ที่บนสังเวียน ภายในลานประลองยุทธ เย่ซิวและจางจื้อเซิงยืนอยู่ที่นั่นหลี่หรูปิงที่ยืนอยู่ด้านล่างตะโกนขึ้นว่า “ประลองอย่างเดียวคงน่าเบื่อแย่ ผมจะเป็นเจ้าภาพเอง ทุกคนสามารถเดิมพันได้ว่าใครชนะและใครแพ้...“หากใครเดิมพันผู้อาวุโสจางชนะหนึ่งต่อหนึ่งเท่า หากเดิมพันว่าเย่ซิวชนะ อัตราต่อรองคือหนึ่งเท่าต่อสิบ!”มีคนหัวเราะเสียงดังแล้วเอ่ยขึ้น “แล้วคุณจะต้องเสียเปรียบแน่นอน ผมจะเดิมพันหนึ่งล้าน ผมพนันว่าผู้อาวุโสจางจะชนะ”“ผมขอเดิมพันห้าแสน ผู้อาวุโสจางจะชนะ”“นี่มันส่งเงินมาให้ฟรีชัด ๆ ผมพนันห้าล้าน!”นอกจากหลิ่วอวี้ฝูแล้วก็ไม่มีคิดว่าเย่ซิวจะสามารถเอาชนะจางจื้อเซิงได้พวกเขาทั้งหมดวางเดิมพันให้จางจื้อเซิงชนะผ่านไปไม่นาน หลี่หรูปิงก็ได้รับเงินเดิมพันราว ๆ ห้าสิบล้าน เขาไม่สนใจที่จะสูญเสียเงินจำนวนเล็กน้อยนี้ เขาแค่อยากจะเหยียบย่ำเย่ซิวไว้ใต้เท้าของเขาในเวลานี้ หลิ่วอวี้ฝูได้เดินเข้ามา “อัตราต่อรองคือหนึ่งต่อสิบ คุณคงไม่เบี้ยวใช่ไหมคะ?“ไม่ แน่นอน”“ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะเดิมพันเย่ซิวชนะหนึ่งพันล้าน! ฉันหวังว่าคุณจะไม่เบี้ยวนะ!”เธอวางเช็คหนึ่งพันล้านลงตรงหน้าหลี่หรูปิงหลี่หรู
หยางเชี่ยนยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถือว่าเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่แล้วกันนะคะ”หลี่หรูปิงแอบส่งเสียงหึในใจ!ในเมื่อหยางเชี่ยนส่งเงินให้กับเขาฟรี ๆ ตัวเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่รับในสังเวียน เย่ซิวหลบการโจมตีเก้าครั้งจากจางจื้อเซิงแม้ว่าตอนนี้จางจื้อเซิงจะเย่อหยิ่งเพียงใด แต่เขาก็ตระหนักว่าเย่ซิวมีความสามารถค่อนข้างมาก และสีหน้าของเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย“นี่นายทำได้แค่หลบหรือยังไง?”เหตุผลที่เย่ซิวต้องหลบการโจมตีของเขาเป็นเพราะเขาไม่อยากให้ทุกคนตกใจมากจนเกินไปเขาสามารถล้มจางจื้อเซิงได้ด้วยนิ้วมือเพียงนิ้วเดียวถ้าเป็นเช่นนั้น การประลองจะจบลงอย่างง่ายดายและมันคงจะน่าเบื่อ“ถ้างั้น ผมจะทำตามที่คุณต้องการ!”เสียงตะโกนต่ำ ทันใดนั้น เย่ซิวก็ยกมัดขึ้นต่อยทันทีหมัดนี้ของเขาดูธรรมดาและไม่มีแรงผลักดันใด ๆ มันเหมือนกับหมัดจากทารกน้อยจางจื้อเซิงที่ได้เห็นหมัดนี้ก็ขำออกมา“ที่แท้นายก็มีแรงแค่นี้เองเหรอ? ฉันนึกว่านายจะเก่งกว่านี้ซะอีก!”เขาใช้พลังพญากรงเล็บอินทรีอันทรงพลังของเขาอีกครั้งด้วยสายตาที่ดุร้าย เขาต้องการทำลายเย่ซิวด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวหมัดและกรงเล็
“เขาเก่งมากจริง ๆ!”ดวงตาอันรู้สึกชื่นชมของหยางเชี่ยนปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ เธอคิดเอาไว้แล้วว่าเย่ซิวอาจจะเก่งจริง เธอมีความหวังที่จะชนะเดิมพันแล้วแม้จะคิดว่าเย่ซิวจะเก่งเพียงใด แต่เขาก็ต่อสู้กับจางจื้อเซิงไปหลายร้อยรอบ อาจเป็นเพราะเขาชนะด้วยความเหนือกว่าทางร่างกายแต่ถึงอย่างนั้นใครจะคิดว่าจางจื้อเซิงจะพ่ายแพ้ให้กับเย่ซิวไม่เพียงแต่เย่ซิวจะเป็นจอมยุทธระดับสี่ตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านั้น แต่เขายังมีระดับที่สูงกว่าเธออีกด้วย!เมื่อจอมยุทธคนอื่น ๆ เห็นภาพนี้ สีหน้าท่าทางของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายแต่คนที่คาดไม่ถึงและยอมรับความจริงไม่ได้นั่นก็คือ หลี่หรูปิงเมื่อเห็นเย่ซิวมีพละกำลังมากเช่นนั้น นอกจากความโกรธแล้วเขายังรู้สึกกลัวอีกด้วยเขารู้สึกมีสติขึ้นมาทันทีเขาเพิ่งจะรับเงินจากหลิ่วอวี้ฝูมาหนึ่งพันล้าน ของเซี่ยซิ่วซิ่วห้าสิบล้าน และไหนจะของหยางเชี่ยนอีกยี่สิบห้าล้าน!ทั้งหมดนี้ เขาจะต้องจ่ายให้พวกเธอหนึ่งหมื่นสองร้อยห้าสิบล้าน!นี่เป็นจำนวนเงินที่มากเกินกว่าเขาจะรับไหวเขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ และเตรียมตัวที่จะวิ่งหนีออกไปในขณะที่ความสนใจ
เย่ซิวจับหัวของจางจื้อเซิงและทุ่มลงบนสังเวียนวินาทีต่อมา อีกฝ่ายถึงกับน็อคและหมดสติไปทันทีสถานการณ์ในตอนนี้เงียบสงัดสายตาที่ยากจะเหลือเชื่อทุกคู่จับจ้องไปที่เย่ซิว“เก่งมาก เยี่ยมสุด ๆ ไปเลยค่ะ…” หยางเชี่ยนปรบมือ เธอเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบในเวลานี้ เธอนับถือเย่ซิวด้วยใจจริงถ้าหากข้างบนนั้นเป็นเธอ เธอเองก็คงจะสู้เขาไม่ได้เช่นกันผู้คนที่เคยหัวเราะเยาะเย่ซิวต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดีจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีผู้คนจำนวนมากมองไปทางเย่ซิวด้วยสายตาชื่นชมและน่าเกรงขามเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะแพร่กระจายและได้รับความสนใจจากแวดวงศิลปะการต่อสู้อย่างแน่นอนและเย่ซิวก็จะมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนเย่ซิวเดินลงมาจากสังเวียน จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาต่งอู่ในตอนนี้ต่งอู่ไม่สามารถระงับอารมณ์ให้เย็นลงได้อีกต่อไปเขากำมือแน่นและมีสีหน้าที่บูดบึ้งหากสังเกตดี ๆ จะพบว่าร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อยเดิมทีเขาคิดว่าเย่ซิวเป็นปลาซิวปลาสร้อยแต่ใครจะรู้ว่าเขาจะมีพละกำลังมากมายขนาดนี้แม้แต่คนที่มีพละกำลังมหาศาลที่สุดในครอบครัวก็ยังโดนเขาโค่นล้ม แล้วตนจะเอาอะไรไปสู้เย่ซิวได้?เมื่อเห
ต่งอู่ระงับความโศกเศร้าของเขา แล้วโอนเงินให้กับเย่ซิวเป็นจำนวนเงินแสนล้าน เมื่อได้รับเงินแล้ว เย่ซิวก็เตะไปที่ต่งเฟยสองสามครั้งเพื่อทำให้กำลังภายในที่เหลืออยู่ในร่างกายของเขาแตกสลายแน่นอนว่าเขาได้วางกับดักต่งเฟยอีกด้วย แต่ถ้าหากว่าต่งเฟยไม่ปล่อยตัวมากจนเกินไปก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นถ้าเขามีเพศสัมพันธ์มากกว่าหกครั้งต่อเดือน เลือดจะออกจากทวารของเขาและเขาจะเสียชีวิตในกะทันหันทันที“เรียบร้อย” เย่ซิวเอ่ยต่งอู่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “แค่เตะสองครั้งก็บอกว่าเป็นการรักษาให้หายแล้ว นี่นายล้อฉันเล่นใช่ไหม?”แต่ต่งเฟยกลับรู้สึกเซอร์ไพรส์เป็นอย่างมาก “ดีขึ้น มันดีขึ้นแล้วจริง ๆ ผมมีความรู้สึกขึ้นแล้ว!”ต่งอู่รู้สึกตกใจ “นี่แกดีขึ้นแล้วจริง ๆ เหรอ?”“จริง ๆ ครับ ผมดีขึ้นแล้ว เอาอย่างนี้นะครับคุณพ่อ ผมจะไปหาผู้หญิงมาลองดูเลย!”ความรู้สึกที่ได้คืนบางสิ่งที่สูญเสียไปทำให้ต่งเฟยรู้สึกตื่นเต้นมาก ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้วต่งอู่รีบออกไปทันทีเขาไม่กล้าอยู่กับเย่ซิวอีกต่อไปหลังจากที่รอพวกเขาจากไปแล้ว หยางเชี่ยนก็เดินเข้ามาใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “สวัสดีค่ะ ฉันหวางเชี่ยน
“ฉันก็มาเซอร์ไพรส์เธอไง ดีใจไหม? อะนี่ฉันให้เธอ”เย่ซิวหยิบตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่งออกมา ระหว่างทางกลับมาเขาได้แวะซื้อมันที่ร้านตุ๊กตาแห่งหนึ่งเมื่อหลิ่วเมิ่งอิ๋นได้เห็นตุ๊กตาผ้า เธอก็ยิ้มแล้วรีบรับมันมาด้วยความดีใจ “ฉันชอบมันมาก ๆ เลย! ขอบคุณนะพี่เย่”เธอเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาคนหนึ่ง แค่ตุ๊กตาผ้าที่ราคาไม่กี่บาทก็สามารถทำให้เธอมีความสุขขนาดนี้ได้แน่นอน ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนให้ด้วยหากเป็นชายอื่น แม้จะมอบตึกทั้งหลังให้เธอก็ไม่ดีใจอยู่ดี“พี่เย่ อย่ามัวยืนอยู่ข้างนอกเลย รีบเข้ามาก่อนดีกว่า”เย่ซิวพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน เขาหันกลับมามองไปทางห้องรับแขกมีแม่ชีลัทธิเต๋าแต่งกายเรียบง่ายนั่งอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าเธอจะให้ความสนใจกับเขาแม่ชีลัทธิเต๋าจ้องมองไปยังเย่ซิว เธอพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรหลิ่วเมิ่งอิ๋นแนะนำให้เขาได้รู้จัก “พี่เย่ ท่านนี้คือนักบวชลัทธิเต๋าโส่วจิ้ง ท่านบอกฉันว่า ฉันมีคุณวุฒิสูงมากและอยากให้ฉันไปวัดลัทธิเต๋าเพื่อฝึกฝน”ดวงตาของเย่ซิวเป็นประกาย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเขาไปที่ห้องนอนของพ่อของหลิ่วเมิ่งอิ๋นเพื่อเยี่ยมเขาจากนั้นตรวจร่างกายให้กับเขาเล็ก
หลิ่วเมิ่งอิ๋นยกอาหารออกมาจนเต็มโต๊ะมีทั้งเนื้อและผัก ถึงแม้จะไม่ใช่ปลาหรือเนื้อตัวใหญ่แต่ก็ดูน่ารับประทานมากทั้งสี่คนรับประทานอาหารกันที่โต๊ะอาหารหลิ่วเมิ่งอิ๋นตักอาหารให้เย่ซิวอย่างต่อเนื่อง สายตาความรักที่มีต่อเขา แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออกพ่อของเธอหัวเราะให้กับภาพนี้คนอย่างเย่ซิวเป็นทั้งคนดีมีความสามารถ หากใช้ชีวิตร่วมกันกับลูกสาวของเขา ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่านั้นอีกแล้ว แต่ท่าทีของนักบวชลัทธิเต๋าโส่วจิ้งไม่ได้รู้สึกดีกับภาพที่เห็นหลังจากทานข้าวเสร็จ แม่ชีก็ขอตัวลาเมื่อเห็นเธอจากไป เย่ซิวก็ยืนขึ้นและเตรียมที่จะออกไปหลิ่วเมิ่งอิ๋นรู้สึกอาลัยอาวรณ์ “พี่เพิ่งจะมาเอง จะรีบกลับไปไหน อยู่ให้นานกว่านี้หน่อยสิ”“ฉันยังมีธุระที่ต้องทำน่ะ เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะมารับเธอไปมหาลัยนะ”พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ เธอต้องไปเรียนอารมณ์ของหลิ่วเมิ่งอิ๋นดีขึ้นทันที “ก็ได้ ฉันเข้าใจแล้ว”เย่ซิวเดินจากไปพร้อมกับแม่ชีเมื่อเดินมาจนถึงข้างล่างแม่ชีก็เปิดบทสนทนาก่อน “นี่พ่อหนุ่ม ฉันจะพูดกับคุณอีกครั้งนะ รีบเลิกกับเธอซะ ทำแบบนี้มีแต่จะเป็นอันตรายต่อคุณกับเธอ”“แล้วอีกอย่าง ฉันจะให้เงินคุณเพิ่มจากห้าล
นั่นดูเป็นเหตุเป็นผลที่สุดแล้วเย่ซิวไม่มีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ เธออยากจะคิดอย่างไรก็ปล่อยให้เธอคิดไป “ตอนนี้คุณแพ้แล้ว เชิญคุณออกไปได้แล้ว ผมขออนุญาตไม่ส่งคุณออกไป”ในเวลานี้เขาตระหนักได้ว่า ก่อนหน้านี้ที่หลิ่วเมิ่งอิ๋นเจออันตราย หลางอีและคนอื่น ๆ ได้รับบาดเจ็บ แต่หลิ่วเมิ่งอิ๋นกลับไม่ได้รับบาดเจ็บ นั่นคงเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ได้ช่วยเธอเอาไว้เพราะฉะนั้น แม้เธอจะปฏิเสธที่จะยอมแพ้แต่เย่ซิวก็จะไม่ทำร้ายเธอสีหน้าของนักบวชลัทธิเตาเปลี่ยนไปตอนนี้เธอสูญเสียแขนไปข้างหนึ่งและกำลังภายในของเธอก็หมดลง เธออยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป“คุณไปเถอะ!” เย่ซิวเอามือไขว้หลัง รังสีอำมหิตเล็ดลอดออกมาจากภายในสู่ภายนอก“หลิ่วเมิ่งอิ๋นไม่ใช่คนที่คุณสามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้ คุณควรล้มเลิกความคิดนั้นซะ ถ้ายังมีครั้งต่อไป ผมจะไปทำลายสำนักของคุณด้วยตัวเอง”จิตใจของนักบวชลัทธิเต๋าโส่วจิ้งสั่นเทา เธอได้ยินคำพูดบาดใจของเย่ซิวเธอมองไปที่เย่ซิวอย่างลึกซึ้งก่อนจะหันหลังกลับและจากไปโดยไม่พูดอะไรแต่เธอจะไม่ยอมปล่อยหลิ่วเมิ่งอิ๋นไปแน่นอน ‘ดูเหมือนว่าหลังจากท่านอาจารย์กลับมาแล้ว ฉันจะต้องบอกเรื่องนี้กับท่าน หล
หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับนั่งลงและเริ่มชงชาท่วงท่าของเธอลื่นไหลราวสายน้ำ ทำได้อย่างรวดเร็วเพียงครู่เดียว ถ้วยชาก็ถูกวางลงตรงหน้าเย่ซิว "ดื่มชาก่อน แล้วค่อยคุยกัน"เย่ซิวไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นศัตรูจากหญิงสาวคนนี้ จึงระงับความสงสัยในใจชั่วคราวและนั่งลงกลิ่นหอมของชาไป๋หลิงที่ลอยออกมาไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ แม้แต่เขาที่อยู่ในระดับวิญญาณก่อกำเนิดก็ยังรู้สึกเคลิบเคลิ้มเย่ซิวไม่กังวลว่าชานี้จะมีปัญหาภายในระดับวิญญาณก่อกำเนิดของเขามีสัตว์วิญญาณกิเลนและกระบี่หายนะคอยปกป้องอยู่ต่อให้มีพิษ ก็จะถูกขจัดออกไป ดังนั้นเขาจึงดื่มลงไปในรวดเดียวทันใดนั้นระดับวิญญาณก่อกำเนิดของเขาพลันก็เปล่งประกายแสงห้าสีสว่างจ้าพลังของมันแน่นหนาขึ้น และยังขยายตัวขึ้นกว่าเดิมดวงตาของเย่ซิวเป็นประกาย ด้วยความรู้สึกที่ชัดเจนว่าระดับพลังของเขาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งร้อยปีถ้าได้ดื่มแบบนี้อีกสักห้าสิบครั้ง เขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับวิญญาณก่อกำเนิดขั้นกลางได้แล้วใช่แล้ว ยิ่งระดับพลังสูงขึ้น ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการทะลวงผ่านไปยังระดับถัดไปก็จะยิ่งมหาศาลขึ้นหลังจากดื่มชาเสร็จ เย่ซิวจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า "ตอนน
เมดูซ่ายืนอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นขุนเขาสูงใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถก้าวข้ามไปได้ทำให้ใจของทุกคนในสำนักโอสถรู้สึกหนักอึ้งผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เธอยังไม่ได้ขยับแม้แต่ก้าวเดียว แค่ใช้สายตาก็สามารถเอาชนะทุกคนได้หมดแล้วณ ประเทศจ้านอิงตี้จักรพรรดิอินทรีครามเมื่อเห็นฉากนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจ “ฮ่าฮ่าฮ่า! สมกับเป็นเมดูซ่าในตำนาน แข็งแกร่งสมคำร่ำลือ! ต่อให้เย่ซิวมาเองก็ต้องตาย!”เขาเริ่มจินตนาการถึงวันที่ตัวเองจะสามารถรวมโลกให้เป็นหนึ่ง และเหยียบทุกคนไว้ใต้ฝ่าเท้า“ฉันจะเป็นคู่มือให้เธอเอง”เย่หลิงที่กอดกระบี่ยาวไว้ในอ้อมแขนก้าวออกมาสองร่างแยกในเงามืด หนึ่งในนั้นก็เตรียมพร้อมจะลงมือเช่นกันพลังของเมดูซ่านั้นร้ายกาจอย่างแท้จริงอีกทั้งระดับพลังของเธอก็บรรลุถึงระดับจินตานขั้นสมบูรณ์ หากต้องการเอาชนะเธอ มีเพียงร่างแยกเท่านั้นที่สามารถลงมือได้แต่ในขณะนั้นเอง สองร่างแยกกลับเปลี่ยนสีหน้าอย่างฉับพลัน โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นก็พุ่งตรงไปยังห้องลับร่างหลักตกอยู่ในอันตราย!เมดูซ่ามองไปที่เย่หลิง แล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “พวกขยะพวกนั้นไม่มีค่าอะไ
“ดีมาก” เมดูซ่าจ้องมองเย่หลิงด้วยสายตาราวกับมองเหยื่อ “ของอร่อยย่อมต้องเก็บไว้กินทีหลัง”เย่หลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกอยากลงมือ แต่สุดท้ายก็อดกลั้นไว้เมดูซ่าหันไปมองลู่เสวี่ยเอ๋อร์อีกครั้ง “เย่ซิวล่ะ? ให้เขาไสหัวออกมารับความตายซะ”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ถ่อมตัวแต่ก็ไม่โอหัง “ถ้าแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องให้เขาออกมาเอง งั้นศักดิ์ศรีของเขาก็คงไร้ค่าเกินไปแล้ว”ความหมายโดยนัยก็คือพวกแกไม่คู่ควรให้เย่ซิวต้องออกมาสู้ด้วยเมดูซ่ามีสีหน้าเย็นชา “ดีมาก งั้นฉันจะจัดการพวกเธอก่อน มาดูกันว่าเขาจะยังเป็นเต่าหดหัวอยู่หรือเปล่าไม่ต้องมีพิธีรีตองมากมาย ทั้งสองฝ่ายส่งคนขึ้นไปประลองตัวต่อตัวใครแพ้ก็ลงมา จนกว่าจะไม่มีใครกล้าขึ้นไปอีก”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยถาม “แล้วเดิมพันคืออะไร?”“ชีวิตของพวกเธอไง”ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ทุกคนก็รู้สึกถึงไอสังหารเย็นยะเยือกที่พุ่งเข้าใส่แม้ว่าลู่เสวี่ยเอ๋อร์จะยังคงสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับลังเลนี่เป็นการเดิมพันที่ใหญ่เกินไปแต่ตอนนี้เธอไม่มีเวลาคิดอะไรมากแล้ว เธอกัดฟันตอบ “ตกลง พวกเรายอมเดิมพัน”ทั้งสองฝ่ายจัดขบวนเตรียมพร้อมประลองฝั่งสำนักโอสถส่งเฉินหลา
หลังจากลองวิธีต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล เย่ซิวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เขายื่นมือขาวเนียนเล็ก ๆ ออกไปแตะที่ม่านพลัง ก่อนจะกระตุ้นวิชาแปรมังกรอย่างไม่ลังเลทันใดนั้น พลังอันมหาศาลก็ไหลทะลักเข้าสู่ระดับวิญญาณก่อกำเนิดของเย่ซิวอย่างบ้าคลั่งทำให้ทั้งระดับวิญญาณก่อกำเนิดเข้าสู่สภาวะมังกรแปลงร่างของเขาเริ่มงอกเกล็ดมังกร หางมังกร และกรงเล็บมังกรออกมาหญิงสาวเผยแววตื่นตะลึงในดวงตา “วิชายุทธ์ช่างแข็งแกร่งนัก ถึงกับสามารถกลืนพลังของค่ายกลนี้ได้”เธอไม่ปล่อยให้เย่ซิวดูดกลืนพลังต่อไป เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานกว่านี้ ค่ายกลต้องพังทลายแน่นอนเธอโบกมือครั้งหนึ่ง ค่ายกลจึงเปิดช่องออก “เข้ามาสิ”เย่ซิวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขากำลังสนุกกับการดูดกลืนพลังอยู่แท้ ๆแต่หญิงสาวตรงหน้าก็ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูอย่างน้อยก็ในตอนนี้เย่ซิวย่อมไม่อาจทำตัวเหมือนโจรได้“ขอบคุณแม่นาง”เย่ซิวพุ่งเข้าไปข้างในหญิงสาวเดินนำหน้าไปอย่างสง่างาม เอวบางอ้อนแอ้นของเธอบิดไหวเล็กน้อย ดูแล้วชวนให้เพลินตาทันทีที่เย่ซิวก้าวเข้ามาข้างใน สีหน้าของเขาพลันก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง......แม้ว่าเย่ซิวจะอยู่บนดวงจันทร์ได้ไม่นา
ยังมีม้าศึกเพลิงน้ำแข็ง อีกทั้งลู่เสวี่ยเอ๋อร์และพวกเธอล้วนมีระดับพลังอย่างน้อยอยู่ในช่วงสร้างพื้นฐานขั้นกลางบวกกับจักรกลมังกรดำ ทำให้พวกเขาเริ่มมีเค้าลางของมหาอำนาจสิ่งเดียวที่ขาดไปคืออุตสาหกรรมเศรษฐกิจระดับล่าง ซึ่งยังไม่สามารถยกระดับขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”“จริงสิ” เซี่ยซิ่วซิ่วพูดขึ้นอีกประโยค “ส่งคำเชิญไปให้ประเทศหลงเถิงด้วย ถ้ามีพวกเขาช่วย ประเทศจ้านอิงตี้ก็คงไม่กล้าเล่นตุกติก”เฉินหลานกับหวังซวงตาเป็นประกาย พวกเขาเกือบลืมไปเลยว่าประเทศหลงเถิงเป็นแบ็กอัพที่แข็งแกร่งไม่นาน ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วโลกดึงดูดสื่อมากมายนับไม่ถ้วนให้พากันรีบไปที่สำนักโอสถแม้แต่นักเดินทางเดียวดายบางคนก็เริ่มเตรียมตัวเดินทางไปเงียบ ๆนี่คือมหกรรมที่ยิ่งใหญ่ระดับสุดยอดคนที่มองการณ์ไกลล้วนมองออกว่าประเทศจ้านอิงตี้ไม่ได้มาด้วยเจตนาดีทั้งที่รู้ว่าเย่ซิวแข็งแกร่งขนาดนั้น แต่ยังกล้าเป็นฝ่ายริเริ่มเปิดการเจรจาแบบนี้ แสดงว่าพวกเขาต้องมีอะไรให้พึ่งพาทางด้านประเทศหลงเถิง หลังจากได้รับข่าวอัครมหาเสนาบดีกับผู้นำก็หารือกันว่าจะส่งใครไปเข้าร่วมนายกรัฐมนตรีเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได
เส้นผมของหวังซวงยังคงเปียกชื้นเธอสวมชุดนอนผ้าไหมที่แนบสนิทไปกับร่างกาย เผยให้เห็นสัดส่วนอันเย้ายวนของเธอเห็นได้ชัดว่าเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จเธอนั่งอยู่บนเตียง มือซ้ายถือรูปของเย่ซิว จ้องมองมันด้วยสายตาหลงใหล“อาจารย์ อาจารย์รู้ไหมว่าฉันชอบอาจารย์อาจารย์ช่างหล่อเหลา พลังของท่านก็แข็งแกร่ง ร่างกายของอาจารย์ยังสมบูรณ์แบบ แข็งแกร่งมาก...อาจารย์รู้ไหม? ทุกค่ำคืนฉันมักจะฝันถึงอาจารย์ ในความฝันฉันได้...กับอาจารย์”เธอกัดริมฝีปากเบา ๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความปรารถนาเย่ซิวไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเด็กคนนี้จะมีความคิดเช่นนี้กับตนเองเขาส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวจากไปตอนนี้ผู้หญิงรอบตัวเขามีมากพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องรับเข้ามาเพิ่มอีกคนเย่ซิวลอยขึ้นไปเหนือสำนักโอสถเขาเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่แขวนอยู่บนท้องฟ้า พลันเกิดความคิดที่บ้าบิ่นขึ้นมา“บนดวงจันทร์มีอะไรอยู่กันแน่?”แม้ว่าในอดีตจะมีหลายประเทศที่ส่งยานอวกาศพร้อมมนุษย์ขึ้นไปสำรวจ และมีคนจริง ๆขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้แล้วแต่ขอบเขตที่พวกเขาเดินทางไปได้นั้นยังมีจำกัดยังมีพื้นที่อันลี้ลับบนดวงจันทร์ที่ไม่เคยถูกค้นพบที่สำคัญ
ภายในห้องลับ เย่ซิวไม่อาจรับรู้ถึงการไหลผ่านของกาลเวลาได้เลยจิตวิญญาณทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่กับการหลอมรวมระดับวิญญาณก่อกำเนิดด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งและการเตรียมพร้อมที่เพียงพอ การทะลวงระดับของเขาจึงราบรื่นไร้อุปสรรคในวันที่แปดของการปิดด่าน เขาสามารถควบแน่นระดับวิญญาณก่อกำเนิดได้สำเร็จระดับวิญญาณก่อกำเนิดของเขามีห้าสีเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของมันยังใหญ่กว่าระดับวิญญาณก่อกำเนิดขั้นต้นทั่วไปอยู่หนึ่งเท่าพลังวิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอีกครั้งหากเปรียบพลังวิญญาณของเขาในอดีตเป็นเพียงตะปู ตอนนี้มันกลับกลายเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งแล้วการเพิ่มพูนของพลัง ส่งผลสะท้อนกลับเข้าสู่ร่างกายโลหิตและกล้ามเนื้อของเย่ซิวเปล่งประกายราวกับอัญมณี ดวงตาของเขาส่องแสงเจิดจ้าดุจตะวันดวงน้อยเพียงแค่คิด ระดับวิญญาณก่อกำเนิดก็แยกออกจากร่าง ลอยขึ้นสำรวจโดยรอบความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนักระดับวิญญาณก่อกำเนิดคือผลรวมของจินตานและจิตวิญญาณที่หลอมรวมกันก่อนที่จะทะลวงระดับ หากจิตวิญญาณของเย่ซิวออกจากร่าง มันจะได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงแม้แต่พลังของเขาก็ไม่อาจยื้อเวลาให้อยู่นอกกาย
ยังคงเป็นที่ห้องทดลองชีวภาพหมายเลขเก้าในประเทศจ้านอิงตี้หลังจากที่ประเทศจ้านอิงตี้ทุ่มเททุกวิถีทางในการเพาะเลี้ยงมาตลอดช่วงเวลานี้นักรบยีนสิบคนกับสิ่งมีชีวิตโบราณก็ได้หลอมรวมจนถึงระดับแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เพียงแค่แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากพวกเขา ก็ทำให้พื้นของห้องทดลองแทบจะรับไม่ไหว เกิดรอยร้าวมากมายเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่อยู่นอกห้องทดลองมองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจแต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะดำเนินการขั้นตอนต่อไป ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจู่ ๆ นักรบยีนทั้งสิบคนก็เข้าห้ำหั่นกันเอง เลือดสาดกระจายไปทั่ว ราวกับนรกบนดินนักวิทยาศาสตร์ภายนอกรีบฉีดสเปรย์สารควบคุมชนิดต่าง ๆ เข้าไป แต่กลับไม่มีผลใด ๆ“แย่แล้ว! รีบเข้าสู่สถานะเตือนภัยด่วน!”เหล่านักวิทยาศาสตร์ตกตะลึงสุดขีด รู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มเกินกว่าการควบคุมตู้ม!ทันใดนั้น พลังงานบางอย่างปะทุขึ้น ทำให้ทั้งห้องทดลองสั่นสะเทือนราวกับจะพังทลายจากนั้น ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากข้างในเธอมีใบหน้าที่งดงามสะกดสายตา อีกทั้งรูปร่างยังเย้ายวนเกินต้านทานแต่สิ่งที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป ก็คือเส้นผมของเธอทั้งหมดกลับเป็นอส
ในขณะเดียวกัน เสียงของเย่ซิวก็ดังขึ้นข้างหูเขา "สถานที่แห่งนี้ ห้ามฟื้นฟูขึ้นใหม่ภายในหนึ่งร้อยปี มิเช่นนั้นประเทศจ้านฉงตี้จะต้องหายไปจากโลกใบนี้"นี่เป็นทั้งการดูแคลน และยังเป็นการเหยียดหยามอย่างถึงที่สุดให้พวกเขาต้องเผชิญกับความอัปยศนี้ทุกขณะในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีถือเป็นการโต้กลับอย่างแข็งแกร่งของเย่ซิว หลังจากประเทศจ้านฉงตี้พยายามเล่นงานเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจักรพรรดิหมีเหล็กกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ความอัปยศอันรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วร่างใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแต่ในความโกรธแค้นนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกหมดหนทางอย่างลึกล้ำเพียงชั่วพริบตาเดียวราวกับว่าเขาแก่ลงไปอีกหลายสิบปีเดิมทีเส้นผมของเขายังมีสีดำเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับขาวโพลนทั้งหมดผู้ช่วยที่อยู่ข้างกาย มองดูสภาพของเขาด้วยความสงสาร ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา "ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี? จะยิงจรวดออกไปอีกไหม?""ไม่ต้องแล้ว ไม่มีทางเอาชนะเขาได้หรอก"จักรพรรดิหมีเหล็กส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยล้า สายตามองไปยังร่องรอยของกระบี่อันใหญ่โตเบื้องหน้า "ดูเหมือนว่า ถึงเวลาที่ฉันจะต้องหาผู้สืบทอดแล้ว"……ม