ลู่เจิ้นเฟิงกล่าวชมลูกเขยในอนาคตด้วยความภาคภูมิใจสำหรับเย่ซิว ลู่เจิ้นเฟิงปฏิบัติต่อเขาเหมือนดินบนพื้น เหยียบย่ำเขาโดยไม่ให้เกียรติสักนิดเย่ซิวยิ้ม แต่รอยยิ้มของเขาเย็นชา“เพื่อเห็นแก่ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ ผมจะไม่เถียงกับคุณ”หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็เดินผ่านลู่เจิ้นเฟิงเพื่อจะออกไปจากตรงนั้นลู่เจิ้นเฟิงโกรธมากและตะโกนใส่เย่ซิว "ไอ้หนุ่ม อย่ามองข้ามความหวังดีกันนักเลยภูมิหลังคู่หมั้นของลู่เสวี่ยเอ๋อร์สะท้านฟ้าสะเทือนดิน เขาคือกิเลนตัวจริง เทียบกับเขาแล้วนายมันไม่มีอะไรสักอย่าง อย่าหลอกตัวเองเลย”เย่ซิวส่ายหัว บางคนเย่อหยิ่งและคิดว่าตนเองชอบธรรมจริง ๆพยัคฆ์ขาวกับกิเลนอะไรกัน ตรงหน้าเขาคือมังกรที่แท้จริง ทั้งหมดนั้นก็แค่พวกปลาซิวปลาสร้อยเขาขี้เกียจเกินไปที่จะโต้เถียงกับลู่เจิ้นเฟิงในที่สาธารณะ เขาจึงเดินออกมาอย่างรวดเร็วลู่เจิ้นเฟิงมองดูแผ่นหลังของเย่ซิว สีหน้าของเขาดูมืดมนอย่างยิ่ง จนในที่สุดเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา!“แกว่งเท้าหาเสี้ยนนัก งั้นก็รอวันที่แกจะแหลกเป็นชิ้น ๆ เถอะ!”หลังจากพูดอย่างนั้นเขาก็เดินออกไปเมื่อเย่ซิวกลับถึงบ้าน ลู่เสวี่ยเอ๋อร์และหลิ่วเมิ่งอิ๋นกำลัง
ในเวลานั้น งานอักษรวิจิตรทั้งสองชิ้นถูกประมูลในราคาสูงถึงสองพันหกร้อยล้าน และสองพันแปดร้อยล้านตามลำดับและภาพฝูงม้านับหมื่นนั้นสูงถึง หกพันแปดร้อยล้านบาทเขาใช้เงินทั้งหมดจากการประมูลเหล่านี้เพื่อสร้างโรงเรียนไพรเมรี่โฮป และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ในพื้นที่ห่างไกลของประเทศหลงเถิงในเวลานั้น การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขาส่งผลกระทบอย่างมาก และด้วยผลงานสามชิ้นนี้ เขาก็ได้รับชื่อเสียงอย่างสั่นสะเทือนผู้ชื่นชอบอักษรวิจิตรและนักสะสมอักษรวิจิตรนับไม่ถ้วนพยายามสอบถามเกี่ยวกับเขาไปทุกหนแห่งด้วยความกระตือรือร้นที่จะซื้อผลงานของแท้จากเขาทว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ได้สร้างผลงานอีกเลยเหตุผลนั้นง่ายมากเพราะการสร้างงานชิ้นเดียวมีผลกระทบต่อเขาอย่างมากผลงานแต่ละชิ้น เขาต้องใช้ความเข้าใจศิลปะการต่อสู้อันลึกซึ้งของเขาในฐานะปรมาจารย์อาวุโสเพื่อยกระดับผลงานนั้นด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะได้รับความชื่นชมจากผู้ที่ชื่นชอบการประดิษฐ์ตัวอักษรนับไม่ถ้วนเพราะผลงานที่สร้างขึ้นด้วยความเข้าใจจากด้านศิลปะการต่อสู้ของเขาไม่ได้เป็นเพียงงานศิลปะเท่านั้นแต่เป็นรูปแบบมีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์หากผู
สาวสวยพลันรีบก้าวไปข้างหน้าและยื่นมืออันนุ่มเรียบเนียนของเธอไปทางเย่ซิว “สวัสดีค่ะ อาจารย์ต้าวจือ ดิฉันเป็นเจ้าของบริษัทประมูลแห่งนี้เองค่ะ หลิวเมิ่งถิง”เย่ซิวยื่นมือออกไปจับมือหญิงสาวมือของหญิงสาวนุ่มเด้งเรียบลื่นมากไม่อาจต้านทานได้จนใคร ๆ ก็ไม่อยากปล่อยมือ ทว่าเย่ซิวเพียงสัมผัสเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะถอยกลับโดยไม่รอช้า“สวัสดีครับคุณหลิว อย่ามัวพูดพร่ำทำเพลงกันเลยดีกว่าครับ รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ”หลิวเมิ่งถิงเหลือบมองเย่ซิวด้วยความเคารพผู้ชายที่ดูธรรมดาคนนี้ยังคงเป็นสุภาพบุรุษซื่อตรงเหมือนเคยคนธรรมดาที่เห็นเธอย่อมมีความคิดอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อใครได้จับมือของเธอ พวกเขาแทบจะอยากจับมือไว้โดยไม่ปล่อยมือสักสิบนาที“ได้สิคะ เชิญทางนี้ค่ะ”หลิวเมิ่งถิงนำเย่ซิวเข้าไปในบริษัทประมูลและไปที่ห้องวีไอพีหลังจากได้ยินข่าว ผู้ประเมินแปดเก้าคนที่สวมแว่นอ่านหนังสือก็รีบเข้ามาทันทีด้วยความกระตือรือร้น“ท่านนี้คือ อาจารย์ต้าวจือใช่ไหมครับ?”“ดูอ่อนวัยมากเลยครับ”“อาจารย์ต้าวจือ ท่านได้นำผลงานมาด้วยไหมครับ?”สายตาของคนเหล่านี้จ้องมองไปที่ม้วนกระดาษสองม้วนในมือของเย่ซิวตั้งแต่
แม่น้ำที่คำรามและโหมกระหน่ำรอบตัวเธอราวกับมังกรดุร้ายนั้นเหมือนพร้อมจะกลืนกินเธอทั้งตัวหลังจากนั้นไม่นานเธอก็กลับมามีสติอีกครั้งหลิวเมิ่งถิงสามารถเป็นเจ้าของบริษัทประมูลได้ ความสามารถของเธอเองในการชื่นชมของโบราณและการประดิษฐ์ตัวอักษรก็ย่อมไม่ธรรมดาเช่นกันเพียงแวบเดียวเธอก็ตกหลุมรักผลงานทั้งสองชิ้นนี้แล้วเธออยากจะเก็บภาพวาดทั้งสองไว้เป็นของตัวเองน่าเสียดาย เธอรู้ว่าด้วยทรัพยากรทางการเงินของเธอนั้นไม่สามารถที่จะซื้อผลงานนี้ได้เธอแอบเสียใจในใจ ทำไมเธอต้องมาเห็นผลงานพวกนี้ด้วย ถ้าไม่เห็นก็คงไม่รู้สึกอยากได้แต่ไม่ได้อย่างนี้หรอกกลุ่มชายผู้สูงอายุอีกแปดหรือเก้าคนมีความคิดตรงกัน ผลงานที่สมบูรณ์แบบเช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนาเช่นกันหลิวเมิ่งถิงสงบสติอารมณ์ และพูดกับเย่ซิวด้วยความเคารพ “อาจารย์ต้าวจือคะ รายได้ทั้งหมดจากการประมูลผลงานทั้งสองชิ้นนี้ยกเว้นเงินภาษีจะถูกส่งให้กับคุณดิฉันจะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการในส่วนของดิฉัน ดิฉันแค่หวังว่า หากคุณมีผลงานที่จะขายในอนาคตคุณจะพิจารณาเลือกบริษัทประมูลของเราก่อน จะเป็นไปได้ไหมคะ? ผู้หญิงคนนี้มีแผนหลังจากที่ได้เห็นผลงา
หญิงสาวรู้สึกเบื่อมากจนเริ่มหาวหลังจากรอนานกว่าสิบนาที หลิวเมิ่งถิงก็ปรากฏตัวขึ้นในที่สุด ข้างหลังเธอมีบอดี้การ์ดมากกว่าห้าสิบคน แต่ละคนติดอาวุธครบมือเธอยังเชิญเจ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจหลายคนมาด้วย เพราะจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องครั้งนี้มีมหาศาล และเธอกังวลว่าจะมีบางอย่างผิดพลาดหลิวเมิ่งถิงเป็นหญิงแกร่งเด็ดเดี่ยวหลังจากขึ้นเวทีแล้วเธอก็กล่าวทักทายอย่างสุภาพไม่กี่คำ และเข้าประเด็นทันที“ในครั้งนี้อาจารย์ต้าวจือได้ให้ความไว้วางใจแก่เราในการดูแลผลงานชิ้นเอกสองชิ้น แต่ละชิ้นเป็นผลงานอันศักดิ์สิทธิ์ ผลงานแรก งานเขียนอักษรวิจิตรที่มีชื่อว่า บทกวีไผ่งาม”เธอเปิดม้วนกระดาษด้วยตัวเอง จากนั้นโปรเจคเตอร์ในสถานที่ก็แสดงภาพบนหน้าจอโดยขยายให้ทุกคนได้เห็นกันอย่างชัดเจนผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานนี้ได้จะต้องมีความซาบซึ้งในการเขียนพู่กันขั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัยเมื่อเห็นงานอักษรวิจิตรชิ้นนี้ ผู้ชมส่วนใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนทันที รวมถึงปู่ของสาวน้อยซึ่งรู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน“โอ้พระเจ้า! การประดิษฐ์ตัวอักษรนี้น่าทึ่งจริง ๆ!”“คู่ควรกับงานของอาจารย์ต้าวจืออย่างแท้จริง แนวคิดทางด้านศิลปะลึก
ราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากและในไม่ช้าก็ถึงสองหมื่นล้านและมีเพียงคนหนึ่งในสิบเท่านั้นที่ถอนตัวออกจากการประมูลทุกคนที่มาที่นี่ล้วนแต่มีทรัพย์สมบัติมากมายแน่นอนว่าอีกเหตุผลที่สำคัญมากก็คือ ผลงานของเย่ซิวมีน้อยเกินไปในระยะเวลาสองปีมีเพียงสองผลงานเท่านั้นที่ถูกปล่อยออกมาไม่รู้เลยว่าครั้งต่อไปจะเป็นเมื่อไหร่ดังคำกล่าวที่ว่า ของหายากนั้นมีคุณค่าสำหรับหลาย ๆ คน พวกเขาไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่สิ่งที่พวกเขาขาดคือข้อมูลหากคุณมีสิ่งที่คนอื่นไม่มี ต่อหน้าผู้คนในระดับเดียวกัน คุณก็จะรู้สึกมั่นใจและภูมิใจมากขึ้นด้วยเหตุนี้ราคาจึงพุ่งสูงขึ้นหลิวเมิ่งถิงรู้สึกตื่นเต้นมากเนื่องจากบริษัทประมูลของเธอเปิดมาหลายชั่วอายุคน แต่ไม่เคยมีรายการประมูลครั้งไหนที่มีราคาสูงขนาดนี้ในที่สุดก็ปิดประมูลไปที่สองหมื่นสองพันล้านบาท ปู่ของสาวน้อยเป็นผู้ประมูลไปสาวน้อยส่งเสียงเชียร์และกำมือแน่นด้วยงานประดิษฐ์ตัวอักษรนี้ เธอจะสามารถขึ้นนำยอดฝีมือวรยุทธในระดับเดียวกันไว้เบื้องหลังได้ในขณะเดียวกัน เธอก็สงสัยอย่างมากว่า คนที่เขียนอักษรวิจิตรนี้หน้าตาเป็นอย่างไร และทักษะการต่อสู้ของพวกเขาสูงแค่ไหนกันนะ
ทันทีที่หลี่หรูเฟิงประกาศออกมา หลายคนก็ยอมแพ้ทันทีสามหมื่นเก้าพันล้านไม่ใช่จำนวนน้อยเลยแม้ว่าพวกเขาจะร่ำรวย แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะหาเงินสดจำนวนมากได้ในคราวเดียวมีคนติดตามเขาเพียงเจ็ดหรือแปดคนเท่านั้นหลังจากการเสนอราคาประมูลหลายรอบ ราคาก็ค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปถึงสี่หมื่นล้านบาทไม่มีใครเสนอราคาสู้หลี่หรูเฟิงอีกต่อไปแม้ว่าเงินสี่หมื่นล้านจะเป็นมูลค่าที่สูง แต่หลี่หรูเฟิงก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นการสูญเสียเลยหากเขาได้ภาพวาดนี้มา สำหรับเขาและตระกูลหลี่ก็เหมือนได้เหมืองทองคำมาครอบครองเมื่อหลี่หรูเฟิงคิดว่าตนจะสามารถนำภาพวาดนี้เก็บใส่กระเป๋าไปได้แล้ว ทันใดนั้น เย่ซิวก็พูดว่า “สี่หมื่นห้าร้อยล้าน”หลี่หรูเฟิงหันขวับไปมองเย่ซิวเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเขาก็ขมวดคิ้วบนเวที หลิวเมิ่งถิงจำเย่ซิวได้ทันที และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้แสดงสีหน้าใดการกระทำเช่นนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างดึงดูดความสนใจ แต่ก็สามารถเข้าใจได้เช่นกันหลี่หรูเฟิงเสนอราคาอีกครั้ง “สี่หมื่นแปดร้อยล้าน” “สี่หมื่นหนึ่งพันล้าน” เย่ซิวกล่าวอย่างใจเย็นหลี่หรูเฟิงมองเย่ซิวด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
เมื่อการประมูลสิ้นสุดลง หลี่หรูเฟิงก็สะดุ้งขึ้นมา เขากลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ความรู้สึกกลายเป็นเสียใจ แววตาฉายแววดุร้าย“ไอ้คนที่มันเสนอราคาแข่งกับฉัน สมควรตายนัก”แต่ตอนนี้มันสายเกินไปสำหรับเขาที่จะโกรธ เขารู้ดีกว่าใคร ๆ ว่าภาพวาดนี้หมายถึงอะไรเพื่อความปลอดภัยเขาจะต้องส่งไปที่ตระกูลหลี่โดยเร็วที่สุดทันทีที่เขาออกไปเขาก็ขึ้นรถที่ล้อมรอบด้วยกลุ่มบอดี้การ์ดแล้วมุ่งหน้าตรงไปที่สนามบินหลี่หรูเฟิงและคนอื่น ๆ ไม่ได้สังเกตว่ามีคนติดตามพวกเขาจากระยะไกลต้องเป็นเย่ซิวอยู่แล้วผู้ที่จะสามารถครอบครองภาพวาดของเขาได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจดีหรือมีศีลธรรมสูงเท่านั้น การที่คนอย่างหลี่หรูเฟิงครอบครองภาพวาดของเขานั้นถือเป็นการดูถูกสำหรับเขาความเร็วในการเดินเท้าของเขาไม่ได้ช้าไปกว่าการขับรถมากนักและนี่ไม่ใช่ความเร็วสูงสุดของเย่ซิว เขาสามารถไปได้เร็วกว่านี้อีกสามสิบนาทีต่อมา รถของหลี่หรูเฟิงกำลังจะขับเข้าสู่ทางหลวงเย่ซิวที่ติดตามมาอย่างลับ ๆ ในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวเขางอนิ้วและสะบัดนิ้วอย่างรวดเร็ว กำลังภายในของเขาก็ก่อตัวควบแน่นเป็นจุดเล็ก ๆพลังทำลายล้างที่เกิดจากการสะบัดนั
แต่ลิลิธกลับมีพรสวรรค์ในศาสตร์ด้านนี้สูงมาก จนสามารถฝึกฝนไปถึงระดับที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนผู้ชายทั่วไปไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับเธอเลยไม่เช่นนั้น วันรุ่งขึ้นมีหวังกลายเป็นซากศพแห้งตายอย่างแน่นอนแม้ว่าลิลิธจะมีชื่อเสียงด้านความงามโด่งดังไปทั่ว แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับเธอเคย์ฟี่ดวงตาเป็นประกาย “ความคิดนี้ไม่เลวเลยนะ ลิลิธต้องเจอกับผู้ชายที่แข็งแกร่งระดับเย่ซิวเท่านั้นถึงจะรับมือไหวพอลิลิธทำสำเร็จแล้วเข้าไปอ้อนเย่ซิวอีกหน่อยลองชวนให้เขามาลองพี่น้องสุดเซ็กซี่ บางทีเขาอาจจะไม่ปฏิเสธก็ได้”พรีเอลล์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบพูดแทรกขึ้นมา “อย่าลืมแม่ลูกสุดแซ่บด้วย”เคย์ฟี่หัวเราะคิกคัก “อันนี้ก็ต้องดูที่ผลงานของลูกในอนาคตแล้วล่ะ”พูทมองด้วยความอิจฉาผู้ชายที่แท้จริงต้องเป็นแบบเย่ซิว ต้องผ่านดงดอกไม้นับไม่ถ้วนโดยไม่ทิ้งร่องรอยน่าเสียดายที่ถึงแม้เขาจะมีฝีมือพอตัว แต่เมื่อเทียบกับเย่ซิวแล้วยังห่างชั้นกันเกินไปแถมสาว ๆ ที่เขาเคยได้มาก็ยังไม่มีคุณภาพดีเท่านี้เลยด้วยซ้ำหลังจากหารือกันเสร็จ เคย์ฟี่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาลิลิธด้วยตัวเองณ เมืองระดับแนวหน้าของประเทศจ้านฉงตี้
เย่ซิวมองสิ่งของที่วางอยู่ตรงหน้าตัวเองโดยไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนักตอนนี้เงินทองพวกนี้ไม่ได้มีผลอะไรมากนักสำหรับเขาแล้วแต่รถยนต์ลอยตัวนั่นนับว่ายังพอมีค่าอยู่บ้างเขาย่อมรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ทำแบบนี้เพราะอะไรต้องยอมรับว่าเธอมีความกล้าหาญไม่น้อยเลยทีเดียวแต่เพียงแค่นี้ยังไม่พอที่จะทำให้เขาเชื่อใจเธอได้อย่างสมบูรณ์“ของพวกนี้ฉันรับไว้ แต่ถ้าพวกเธอยอมย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่สำนักโอสถจะยิ่งดีเข้าไปอีก”หากเป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งของกำไรที่พวกเขาได้รับในแต่ละปีจะต้องเสียภาษีนอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาการพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นของสำนักโอสถได้อีกด้วยที่สำคัญที่สุดคือสามารถใช้เป็นมาตรการควบคุมพวกเขาได้หากในอนาคตพวกเขาไม่เชื่อฟังหรือกระทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อสำนักโอสถเย่ซิวสามารถริบทรัพย์สินทั้งหมดของสำนักงานใหญ่ของพวกเขาไปได้ทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันทีเย่ซิวกำลังกุมจุดอ่อนของพวกเขาไว้อย่างแน่นหนาพูโรหัวเราะเสียงดัง “นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก บริษัทไม่ได้เป็นของผมเพียงคนเดียว ผมยังไม่อาจตอบตกลงได้ทันทีขอให้ผมจัดประชุมผู้ถือหุ้นในวันพรุ่งนี้ก่อน แล้วผมจะหารือก
นั่นคือสายตาที่มองลงมาจากระดับชีวิตที่สูงกว่าราวกับพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเย่ซิวตบไปที่หัวม้าศึกเพลิงน้ำแข็งเบา ๆ มันจึงยอมเก็บพลังของตัวเองกลับไป เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ใต้กีบเท้าก็ค่อย ๆ มอดลงเคย์ฟี่มองเย่ซิวด้วยสายตาร้อนแรงตอนนี้เขาดูสง่างามและทรงอำนาจ ทั้งยังหล่อเหลาเกินบรรยาย เหนือกว่าเจ้าชายขี่ม้าขาวในฝันของเธอเสียอีกเธอถึงกับน้ำลายสอโลกนี้มีผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้อย่างไรเย่ซิวหยิบของจำนวนหนึ่งออกมาจากแหวนผนึกของแล้ววางลงตรงหน้าพรีเอลล์กับพวกพ้อง “นี่คือส่วนแบ่งของพวกเธอในครั้งนี้ เอาไปได้เลย”พรีเอลล์ก้มลงมองของตรงหน้า จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที “ของพวกนี้มันไม่ใช่ของที่พวกเราเคยได้มาจากเรือรบของประเทศจ้านอิงตี้ครั้งก่อนเหรอ?”สิ่งที่เย่ซิวนำออกมาเป็นชุดเกราะและอาวุธต่าง ๆ ที่ได้มาเมื่อนานมาแล้ว“ใช่” เย่ซิวพยักหน้าโดยไม่ปิดบัง “ของที่ฉันได้จากข้างในมีค่ามากเกินไป ไม่สามารถให้พวกเธอได้เลยต้องใช้ของพวกนี้แทน”แม้สองพี่น้องจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาในตอนนี้พูทแววตาเป็นประกายขึ้นมา จากนั้นก็ฉีกเสื้อเป็นผืนเล็ก ๆ แล้วใช้มันมัด
เย่ซิวแสยะยิ้มมุมปาก “แกลองเดาดูสิว่าทำไมฉันถึงมั่นใจกล้าปล่อยแกออกมา”ม้าศึกเพลิงน้ำแข็งรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมาทันทีแต่มันยังไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน เย่ซิวก็เริ่มขยับริมฝีปากร่ายคาถาบางอย่างออกมาทันทีที่เสียงคาถาดังก้องในอากาศ ม้าศึกเพลิงน้ำแข็งก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวดทั่วร่างของมันปรากฏอักขระเรืองแสงผุดขึ้นมาจากผิวหนัง ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นโซ่ตรวนล่องหนที่พันธนาการมันเอาไว้อย่างแน่นหนามันทรุดลงกับพื้นกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความทรมาน“สารเลว เหตุใดเจ้าถึง…พอได้แล้ว หยุดเดี๋ยวนี้ บอกว่าให้หยุดอย่างไรเล่า!”มันส่งเสียงร้องปวดร้าวจนใจแทบแตกสลายความปรารถนาที่จะฆ่าเย่ซิวที่มันเคยมีนั้นก็หายไปหมด ตอนนี้เหลือเพียงความหวาดกลัวอย่างท่วมท้นเท่านั้นเย่ซิวมีสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความเมตตา และเขาไม่คิดจะหยุดแต่อย่างใด เขาสวดคาถาต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสิบนาทีจนม้าศึกเพลิงน้ำแข็งถูกทรมานจนแทบไม่เหลือแรง เขาจึงหยุดลงในที่สุดตอนนี้ลมหายใจของมันสับสนวุ่นวาย ไม่มีท่าทีเย่อหยิ่งโอหังเช่นตอนแรกอีกต่อไปสายตาที่มันมองเย่ซิวเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อเย่ซิวมีคาถานี้อยู่ในมือ เขาก็สามาร
เย่ซิวกำลังจะเดินออกจากห้องไปแต่ทันใดนั้น เขาหันไปมองที่กลางห้องก่อนจะดีดนิ้วส่งปราณกระบี่ออกไปทำลายพื้นด้านล่างปรากฏว่าข้างใต้มีช่องลับซ่อนอยู่ภายในนั้นมีหีบสีดำใบหนึ่งวางอยู่เย่ซิวสร้างร่างแยกขึ้นมาเพื่อเข้าไปเปิดมันภายในมีม้วนหนังสัตว์ปริศนาที่ไม่รู้ว่าทำจากหนังของสัตว์ชนิดใดเขาหยิบขึ้นมาดู พบว่ามีตัวอักษรเรียงรายแน่นหนาอยู่เต็มไปหมดแต่ไม่ใช่ตัวอักษรที่ใช้กันในปัจจุบัน เย่ซิวจึงอ่านมันไม่ออกในทันทีเขาทำได้แค่เก็บมันไว้ก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ไขปริศนาในภายหลังตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ม้าศึกเพลิงน้ำแข็งเท่านั้นจากนั้นเย่ซิวก็เดินไปยังจุดที่มันถูกผนึกไว้ทันทีที่ม้าศึกเพลิงน้ำแข็งสัมผัสได้ถึงการเข้าใกล้ของเขา มันก็เริ่มส่งเสียงโหยหวนขึ้นมา“ข้ายอมแล้วพี่ชาย ท่านเป็นบรรพบุรุษของข้าเลย ปล่อยข้าไปเถอะ อย่าดูดพลังข้าอีกเลย ถ้าดูดต่อไปข้าต้องตายจริง ๆ แน่”มันไม่เคยเจอมนุษย์ที่โหดร้ายบ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อนถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายของมันแข็งแกร่งแต่กำเนิด ป่านนี้มันคงสลายไปแล้วเย่ซิวไม่คิดจะเสียเวลาคุยไร้สาระกับมัน เขาก้าวไปข้างหน้าโอบกอดหนึ่งในเสาหลักของผนึก ก่
เมื่อเย่ซิวกลับมาที่ห้องอีกครั้งเขาก็เห็นรังไหมหนาทึบที่ห่อหุ้มโซเฟียปรากฏรอยร้าวมากมาย ก่อนจะระเบิดออกในพริบตาร่างของเธอส่องประกายเจิดจ้าเป็นพัน ๆ ลำแสงราวกับดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอันเจิดจรัสกว่าความสว่างจ้านั้นจะค่อย ๆ จางหายไปก็ใช้เวลานานพอสมควร เมื่อแสงสลายลงก็เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในรังไหมรูปลักษณ์ภายนอกของเธอแทบไม่เปลี่ยนไปเลย ดวงตายังคงปิดสนิทแต่ที่แตกต่างออกไปคือด้านหลังของเธอมีปีกสีขาวบริสุทธิ์คู่หนึ่งกางออกมา พร้อมด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งเปล่งออกจากร่างของเธอตู้ม!ในเสี้ยววินาทีที่เธอลืมตาขึ้นมา พลังมหาศาลก็พุ่งออกจากร่างของเธอมันให้ความรู้สึกราวกับภูเขาไฟที่สะสมพลังงานมาหลายร้อยปีแล้วปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ดูน่าเกรงขามถึงขีดสุดฟึ่บ!เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็มีแสงสีทองก็ส่องประกายในดวงตาทั้งสองข้างเดิมทีโซเฟียไม่ได้แสดงพลังอะไรที่แข็งแกร่งออกมาเลยแต่เพียงแค่สองวันผ่านไป กลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมากลับพุ่งขึ้นไปจนถึงระดับจินตานขั้นสมบูรณ์ เทียบเท่ากับเย่ซิวเลยทีเดียวคนที่มีพรสวรรค์ระดับนี้มันช่างน่าอิจฉาจริง ๆไม่ต้องฝึกฝนอะไรให้เหนื่อยยากแค่หลับไปตื่น
หลังจากนั้นเขาก็หยิบโหลใบใหญ่ขึ้นมาแล้วเอ่ยกับชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า“ท่านผู้อาวุโส เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่วันนี้ผมได้รับความเมตตาจากท่าน ผมไม่มีอะไรจะตอบแทนได้จึงขอแสดงความเคารพเพียงเล็กน้อย โดยการเผากระดูกของท่านและหาที่พักพิงให้”กล่าวจบก็จุดไฟเผาซากโครงกระดูกจนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้วนำใส่ลงในไหจากนั้นวางไว้บนโต๊ะในห้องหยิบธูปสามดอกออกมาจุดไฟปักไว้ตรงหน้าก่อนจะเดินจากไปจิตสำนึกเขาเข้าสู่พื้นที่ภายในแหวนผนึกของซึ่งมีขนาดกว่าหมื่นตารางเมตรภายในมีโอสถมากมาย ทว่าพลังโอสถได้จางหายไปหมดสิ้นแล้วจึงไร้ประโยชน์“หืม นี่มัน…”ท่ามกลางโอสถที่ถูกทิ้งร้างมากมาย เย่ซิวพบโอสถที่พิเศษมากอยู่เม็ดหนึ่งมันมีขนาดใหญ่เท่าหินโม่ แถมยังมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ พื้นผิวเต็มไปด้วยรอยบุ๋มรอยเว้า และที่สำคัญคือมันไม่เหมือนโอสถเลยสักนิด กลับดูคล้ายลูกเหล็กขนาดยักษ์มากกว่าเย่ซิวหยิบมันขึ้นมาแล้วเคาะเบา ๆ เสียงที่ดังออกมาชัดเจนและใสแจ๋ว แสดงให้เห็นว่าวัสดุของมันไม่ธรรมดาสัญชาตญาณบอกเขาว่าของสิ่งนี้อาจมีประโยชน์ในอนาคต จึงเลือกที่จะเก็บมันไว้ก่อนการค้นพบครั้งนี้ทำให้เขาพอใจมากจากนั้นเ
สิ่งของชิ้นที่สองในห้องคือกระบี่หนักคมกว้างขนาดมหึมาตัวกระบี่ปักอยู่ในพื้นมีความยาวถึงสองเมตรทั่วทั้งตัวกระบี่ถูกพันด้วยโซ่เหล็กมากมายและข้าง ๆ กระบี่ก็มีศิลาจารึกขนาดใหญ่สลักอักขระโบราณบอกเล่าที่มาของกระบี่เล่มนี้กระบี่หนักห้าขุนเขาคือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จากยุคบรรพกาล สร้างขึ้นจากแก่นแท้แห่งห้าขุนเขาผสานกับแร่ศักดิ์สิทธิ์กว่าพันชนิด ใช้เวลาหล่อหลอมถึงแปดสิบเอ็ดปีจึงสำเร็จมันมีน้ำหนักหนึ่งแสนแปดหมื่นชั่ง หนึ่งฟาดฟันตัดสายน้ำสะบั้น หนึ่งฟาดฟันบดขยี้ดวงดาว ผู้ที่ไม่มีพลังเทพโดยกำเนิดไม่อาจถอนกระบี่ออกได้ดวงตาของเย่ซิวพลันสว่างวาบ กระบี่เล่มนี้ช่างเหมาะกับเขาอย่างยิ่งทั้งเก้าวัจนะลึกลับและวิชาแปรมังกรเสริมพลังร่างกายเขาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้เวลาถือกระบี่หงส์โบยบิน เขารู้สึกเหมือนถือไม้จิ้มฟันเท่านั้นเนื่องจากมันเบาเกินไป จนทำให้เขาไม่สามารถปลดปล่อยพลังของตัวเองออกมาได้เต็มที่แต่ถ้ามีกระบี่ห้าขุนเขาเล่มนี้ มันจะช่วยเติมเต็มข้อบกพร่องนี้ได้พอดีในอนาคตกระบี่ดาวตกและกระบี่หงส์โบยบินจะใช้สำหรับโจมตีระยะไกล ส่วนกระบี่ห้าขุนเขาจะใช้เป็นอาวุธหลักในการต่อสู้ระยะประชิดเขาจั
ม้าศึกเพลิงน้ำแข็งที่เคยดูทรงพลังและน่าเกรงขาม ตอนนี้กลับดูซูบเซียวและอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัดมันรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ดันไปหาเรื่องกับเย่ซิวซึ่งเป็นตัวอันตรายเข้าหากรู้แต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ มันคงเลือกที่จะเงียบและทำตัวเป็นม้าโปร่งแสงไปเสียตั้งแต่ต้นวิชาแปรมังกรขั้นที่สามต้องบำเพ็ญให้เกิดกรงเล็บมังกร หางมังกร และเขามังกรขึ้นมาเย่ซิวไม่มีทางหยุดแน่นอน โอกาสแบบนี้ถ้าพลาดไปก็คงไม่มีวันหาได้อีกหนึ่งวันผ่านไป เขาก็ฝึกขั้นที่สามสำเร็จตอนนี้เขากลายเป็นมังกรทองในร่างมนุษย์ไปแล้วกรงเล็บมังกรสีทองแหลมคมราวกับสุดยอดศาสตราวุธ สามารถฉีกกระชากทุกสิ่งได้อย่างง่ายดายเขามังกรทั้งสองเส้นชี้ขึ้นฟ้า และมันไม่ได้มีไว้แค่ประดับเท่านั้นแต่มันช่วยเพิ่มการรับรู้และเร่งการดูดซับพลังจากฟ้าดินอีกด้วยส่วนหางมังกรก็มีประโยชน์ไม่น้อยมันเปรียบเสมือนแขนที่สามของเขา สามารถใช้เป็นอาวุธลับในสถานการณ์สำคัญได้และพอจะก้าวไปสู่ขั้นที่สี่ เขาก็ต้องใช้พลังงานมากกว่าขั้นที่สามถึงสิบเท่าเย่ซิวก้มลงมองม้าศึกเพลิงน้ำแข็งและพบว่าตอนนี้มันผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก คงใกล้จะหมดสภาพเต็มทีแ