เพิ่งจะสูญเสียชายแดนตะวันออก ตอนนี้มาสูญเสียชายแดนเหนือไปอีก ช่างเป็นคลื่นลูกแรกไม่ทันหายคลื่นลูกหลังก็ตามมาซัดจริง ๆ เหล่าขุนนางต่างตื่นตระหนก และรู้สึกเหมือนกันว่า มันจบสิ้นแล้วจริง ๆ ... บนบัลลังก์มังกร เซียวอวี้ยังสงบมิแปรเปลี่ยน เขาเป็นฮ่องเต้ เป็นเสาหลักของหนานฉีทั้งหมด จึงมิอาจล้มลงได้ เมื่อออกจากราชสำนัก ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ และถอนหายใจไม่หยุด “ชายแดนเหนือจะปราชัยได้อย่างไร? กองทัพเยี่ยนโจมตีถึงที่ไหนแล้ว? นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง ไฉนยังสร้างเรื่องไม่หยุดหย่อนทุกวัน? ก่อนหน้านี้ยังพูดว่า สามารถปกป้องชายแดนทั้งสี่ทิศได้ และศัตรูเข้ามาไม่ได้แน่!” “ฮองเฮานำทัพดุจเทพสร้าง ยังไม่อาจปกป้องชายแดนตะวันออกได้ ข้าคิดว่า ชายแดนตะวันตกและชายแดนใต้ก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน” พลังของแคว้นเดียว ย่อมมิอาจต้านทานพลังของสิบกว่าแคว้นได้! เหล่าขุนนางต่างกังวล และเตรียมพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อแว่นแคว้นด้วย ในพระราชวัง เหล่านางสนมก็ได้ทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชายแดนตะวันออกและชายแดนเหนือเช่นกัน พวกนางรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่
ทั่วหมู่บ้านหลี่ ไร้เงามนุษย์แม้แต่คนเดียว! กองทัพพันธมิตรยืนมองด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แววตาของฮ่องเต้เยี่ยนคมกริบ พลางสั่งให้นำตัวทหารที่รอดชีวิตมาพบ ทหารแม้ถูกธนูยิง ก็ต้องถูกลากตัวมาสอบสวนอย่างน่าเวทนา เขาคุกเข่าลงกับพื้น พลางรายงานอย่างหนักแน่น “ฝ่าบาท เป็นตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ! พวกเราถูกซุ่มโจมตีกันตรงนี้!” ฮ่องเต้เยี่ยนอยู่บนหลังอาชา ทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างเย็นชา “สถานที่แห่งนี้ ไม่มีแม้แต่ผีสาง!” ทหารสอดแนมที่ออกไปสำรวจก่อนหน้านี้ก็ถูกนำตัวมาด้วย “ฝ่าบาท เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้ยังมีชาวบ้านอยู่มากมาย!” ฮ่องเต้เยี่ยนกุมสายบังเหียนไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “ไปค้นหาต่อ!” เหล่าทหารออกตรวจค้นทั่วหมู่บ้านหลี่ กลับไม่พบชาวบ้านแม้แต่คนเดียว รวมถึงทหารที่เสียชีวิตในการถูกซุ่มโจมตี ก็ไม่รู้ว่าถูกลากศพไปไว้ที่ใด หมู่บ้านหลี่แห่งนี้เปรียบเสมือนยมโลก เอ่อล้นด้วยพลังงานหยิน หิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ปกคลุมพื้นดินอย่างสมบูรณ์ ม่านตาของฮ่องเต้เยี่ยนฉายแววแดงฉานดุจเลือด แสดงถึงความกระวนกระวาย “เดินทัพต่อไป!” ตลอด
กองทัพพันธมิตรสี่แคว้นต้าเซี่ยโจมตีเมืองม่อ ทว่าต้องตกตะลึง เมื่อเห็นว่าเมืองม่อไม่ต่างจากด่านเฉาอวี๋ ที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ซ่านชุนรู้สึกเหลือเชื่อ ในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ ชาวบ้านจักหนีไปที่ไหนได้? หรือทุกคนหนีไปอยู่ที่กานโจวหมดแล้ว? ทหารสอดแนมวิ่งเข้ามา “รายงาน! ท่านแม่ทัพ เมืองม่อไม่มีทหารรักษาเมืองเลยขอรับ!” กองทัพใหญ่ตรวจค้นเมืองม่อหลายครั้ง ยังไม่พบเงาร่างของใครจริง ๆ ไม่มีแม้แต่สุนัข! เดิมเมืองม่อมีประชากรจำนวนมาก กลับกลายเป็นเมืองผี กองทัพพันธมิตรประจำการอยู่ที่นี่ ในยามค่ำคืน ลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิว เสมือนผีร้ายคร่ำครวญ เหล่าทหารจุดไฟตั้งหม้อ คิดจะทำอาหารกินบ้าง กลับพบว่า เหลือเสบียงไม่เพียงพอ ในกระโจมหลัก เหล่าขุนพลทำหน้านิ่วคิ้วขมวด พลางมองไปที่ซ่านชุน คาดหวังให้เขาตัดสินใจ “แม่ทัพซ่าน ชาวฉีเจ้าเล่ห์มาก! พวกเราพบเมืองร้างสองเมืองติดกัน ทำให้ขวัญกำลังใจถดถอยลง เดิมคิดว่าจะสามารถทำศึกเลี้ยงศึกได้ หากพิชิตเมืองได้ จักมีเสบียง ทว่าผลลัพธ์...” “ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่า อย่ารั้งอยู่นานเลยขอรับ!” “พรุ่งนี้ยังจ
ในกระโจมทหาร รุ่ยอ๋องเผยไหล่ครึ่งหนึ่ง มีหมอทหารช่วยขับพิษให้เขา หมอทหารถือมีดคมกริบ รุ่ยอ๋องกัดม้วนผ้าไว้ในปาก ดูเหมือนจะต้องเผชิญความเจ็บปวดมาก นางจึงเอ่ยถามทันที “มิใช่ดึงลูกศรพิษออกมาแล้วหรือ? นี่กำลังจะทำอันใด?” องครักษ์หลิวหวาตอบกลับ “หมอทหารกล่าวว่า ต้องเฉือนเนื้อเพื่อขับพิษขอรับ” ครั้นหร่วนฝูอวี้ได้ยินเช่นนี้ พลันหัวเราะออกมา “เฉือนเนื้อ? ข้าว่า หมอทหารคนนี้จะเป็นสายลับจากแคว้นศัตรูเสียแล้วกระมัง?” เมื่อหมอทหารได้ยินดังนั้น พลันหยุดชะงักมือที่เคลื่อนไหวลง พระชายารุ่ยอ๋องผู้นี้ จักเอ่ยโจมตีใส่ร้ายคนอื่นอย่างชั่วช้าได้อย่างไร! รุ่ยอ๋องเงยหน้าขึ้นมองนาง เนื่องจากมีม้วนผ้าอยู่ในปาก จึงใช้สายตาเตือนนาง——พูดให้น้อยลง หร่วนฝูอวี้เดินตรงเข้าไป หลังจากเบียดหมอทหารลุกออกไปแล้ว จึงก้มลงมองดูบาดแผลบนไหล่ของรุ่ยอ๋อง บาดแผลลึกมาก และการดึงลูกศรพิษออกทำให้เนื้อหนังปริแตกออก แถมฤทธิ์ของพิษทำให้บาดแผลเป็นสีดำ ช่างน่าตกใจ หากเป็นสตรีทั่วไปได้เห็นบาดแผลเช่นนี้ ย่อมอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอย่างหวาดกลัว หร่วนฝูอวี้แตกต่างโดยสิ้นเชิง นางเดาะ
กองทัพพันธมิตรต้าเซี่ยยึดเมืองม่อได้แล้ว พลันเร่งเคลื่อนทัพไปยังเมืองเซวียน โดยมิหยุดพัก ในหมู่ขุนพล มีผู้ที่ระมัดระวังและช่างสงสัย “แม่ทัพซ่าน พวกเราบุกโจมตีหนานฉีครานี้ ราบรื่นไปเสียทุกอย่าง เกรงว่าหนานฉีจะหลอกลวง และสร้างแนวป้องกันไว้ในเมืองเซวียนแล้ว” ซ่านชุนก็ตระหนักถึงข้อสันนิษฐานนี้เช่นกัน กระนั้น เท่าที่เขารู้คือ กองทัพตงจิ้งล้วนอยู่ในกานโจว เขาหาใช่คนโง่เขลาไม่ ถึงแม้จะนำกองทัพไปที่เมืองเซวียน แต่ก็ทิ้งกองทหารบางส่วนไว้ข้างหลัง เพื่อให้ไปที่กานโจวและแสร้งโจมตี จุดประสงค์ของการปิดล้อมที่แท้จริง เพื่อกักอาณาเขตกองทัพตงจิ้งไว้ ต่อให้เมืองเซวียนจะมีอุบาย ทว่าด้วยกองทัพจำนวนนับแสนนาย รวมกับกองทัพพันธมิตรทางเหนืออีกหลายแสน ยังจะยึดเมืองเซวียนเล็ก ๆ นั้นไม่ได้อีกหรือ? ขุนพลที่เอ่ยเตือนยังคงลังเลใจ เขาเสนอแนะ “ลองคิดดูแล้ว มักจะรู้สึกว่าหนานฉีพยายามล่อลวงศัตรูให้ถลำลึก แม่ทัพซ่าน พวกเราควรจะปฏิบัติตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ กลับไปควบคุมกองทัพตงจิ้งดีกว่า...” ซ่านชุนหมดความอดทนแล้ว “ล่อศัตรูให้ถลำลึก? หนานฉีต้องโง่เขลาเพียงใด ถึงกล้าใช
หนานเจียง รุ่ยอ๋องได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ หร่วนฝูอวี้คอยอยู่ข้างกายเขา และแสร้งทำเป็นคู่รักยามที่อยู่ข้างนอก เมื่อเข้าสู่กระโจมใหญ่ของค่ายทหาร คนทั้งสองพลันแบ่งแยกเขตแดน ต่างฝ่ายต่างไม่อยากสนทนากัน หร่วนฝูอวี้กินมื้อเย็นอย่างอิ่มหนำ หน้าท้องจึงนูนออกมา จู่ ๆ เกิดอาการปวดท้อง ทำให้นางต้องก้มเอวลง เหตุการณ์นี้ตกอยู่ในสายตาของรุ่ยอ๋อง จึงรีบเข้ามาประคองนางไว้ด้วยความกังวล “หลิวหวา! รีบไปตามหมอทหารมา!” เขากังวลว่าจะเกิดความผิดปกติกับทารกในครรภ์ หร่วนฝูอวี้รู้ดีว่า นางแค่กินอิ่มเกินไป “ไม่ต้อง! ข้าไม่เป็นไร” นางสบายดีมาก การตั้งครรภ์เท็จจากวิชาไสยเวท ส่งผลให้ระยะนี้ “ทารกในครรภ์” ไม่มั่นคงมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเรียกหมอทหารมาตรวจ นางกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผย รุ่ยอ๋องเห็นว่านางสงบลงแล้ว จึงช่วยประคองให้นางนั่งบนเตียง ทั้งที่ยังกังวลอยู่ “เด็กเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาจ้องมองไปที่หน้าท้องนูน ๆ ของนาง ผู้หญิงร่างผอมบาง มักจะเห็นการตั้งครรภ์ไม่ชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นระยะนี้หร่วนฝูอวี้ชอบสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ และยังไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ เขาจึงไม่รู้จริง
เดิมรุ่ยอ๋องคิดว่า การที่กองกำลังพันธมิตรเผ่าสุยเหอถอนทัพ เป็นกลอุบาย ทว่าหลังจากลาดตระเวนยามค่ำคืน พวกเขาถอนทัพครั้งนี้ ราวกับรีบหลบหนี จนไม่มีเวลาหยิบหม้อไหกระทะ และกองไฟยังไม่ดับด้วยซ้ำ ครั้นได้สอบถามเพิ่มเติมจึงพบว่า กองกำลังพันธมิตรเผ่าสุยเหอได้ยินข่าวลือเรื่องขุมทรัพย์เมืองเซวียน จึงเร่งรีบถอนทัพทันที เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน รุ่ยอ๋องจึงมิรู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี กองทัพศัตรูถอนทัพหมดแล้ว เขายังจะต้องปักหลักพิทักษ์ต่อไปหรือไม่? อีกด้านหนึ่ง กองกำลังพันธมิตรเผ่าสุยเหอที่มุ่งหน้าไปทางเหนือมีความรีบร้อนอย่างมาก เหล่าทหารเคลื่อนพลฝ่าลมหิมะ ใบหน้าดุร้าย ทหารม้ากองหน้าตะโกนปลุกเร้า “ท่านแม่ทัพมีคำสั่ง! เร่งเดินหน้าให้เร็วขึ้น!” เหล่าทหารรู้สึกน่าสังเวช “เร่งรีบแล้วอย่างไร สุดท้ายขุมทรัพย์ก็มิใช่ของพวกเราอยู่ดี หาเรื่องลำบากไปไย!” “ถูกต้องอย่างที่ว่า! ทันทีที่ได้ยินเรื่องศิลาหยกกับขุมทรัพย์ในเมืองเซวียน ก็รีบแตกค่ายกลางดึก อันที่จริงมีสมบัติก็มีแค่นั้น ศิลาหยกก็มีเพียงแผ่นเดียว แล้วมันจะมาอยู่ในมือพวกเราได้อย่างไร?” “เจ้าจะพูดอ
ไม่กลัวศัตรูที่เก่งกาจ กลัวแต่เพื่อนร่วมงานที่โง่เขลา ถึงแม้ซ่านชุนจะต้องการศิลาหยกของหนานฉีมากเพียงใด ก็ยังตระหนักถึงความสำคัญในหน้าที่ของแต่ละคน เขาเป็นผู้ที่บุกยึดด่านเฉาอวี๋ได้ และบุกเข้าสู่หนานฉีอย่างสง่าผ่าเผย กองกำลังพันธมิตรเผ่าสุยเหอคืออะไร? ไม่สามารถโจมตีเอาชนะได้ กลับจะมาเอาเปรียบกองทัพพันธมิตรตะวันออกของพวกเขา โดยไม่ลงแรงสักนิด! เมื่อคิดเช่นนี้ ซ่านชุนยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก ทว่าคนเหล่านั้นมุ่งตรงมาที่นี่แล้ว มิอาจขับไล่ออกไปได้ เขาทำได้แค่ออกคำสั่ง “ทุกคนจงฟัง แม้จะไม่กินไม่ดื่ม ก็ต้องเร่งรีบออกเดินทาง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไปถึงเมืองเซวียนก่อนแคว้นอื่น!” “ขอรับ!” …… กานโจว กองทัพพันธมิตรของต้าเซี่ยล้อมรอบเมือง พลางจ้องมองไปที่กองทัพตงจิ้งของหนานฉี หารู้ไม่ว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนได้นำกองทัพใหญ่ออกไปแล้ว ผ่านช่องทางลับ “ใยแมงมุม” โดยเหลือเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ ไว้ เพื่อสร้างภาพลวงว่ากานโจวเต็มไปด้วยกองกำลังทหาร ที่ตอบโต้ศัตรูได้ ช่องทางลับใต้ดินนี้ ส่วนใหญ่เป็นเส้นทางตรง กองทัพตะวันออกจึงเดินทางมาถึงเมืองม่อแล้ว ที่นี
ราชทูตแคว้นตงซานมาพร้อมกับผ้าทอและอาชา เริ่มจากปฏิบัติด้วยความสุภาพก่อน“แคว้นตงซานเราไม่เคยเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างแคว้น ครั้งนี้แต่ละแคว้นมาล้อมโจมตีหนานฉี ฮ่องเต้พวกเราก็ได้ยินข่าวลือเหล่านี้เช่นกัน ต่างพูดกันว่า ข้อพิพาทนี้ ต้นเหตุมาจากการยุยงของแคว้นตงซาน”ราชทูตแคว้นอื่นต่างมองหน้ากันราชทูตแคว้นตงซานผู้นี้หมายความว่าอย่างไร? คำนึงแต่ตนเองไม่สนใจผู้อื่นรึ?ในตอนแรก มิใช่แคว้นตงซานพวกเขาส่งคนมาพูดหว่านล้อมว่า หากร่วมมือกับพวกเขาโจมตีหนานฉี จะแบ่งดินแดนหนานฉีให้หรอกหรือ!หลี่หลิงราชทูตแคว้นตงซานกล่าวต่อ“หลังจากสืบสวนอยู่หลายทาง พวกเราถึงสืบพบว่า เดิมทีแล้ว ทั้งหมดนี้ถานไถเหยี่ยนเป็นคนทำ“เขาหลอกลวงอวดอ้าง จนได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทของเรา ถูกยกย่องให้เป็นราชครู และถือเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของแคว้นตงซานด้วย “นึกไม่ถึงว่า เขายังไม่พึงพอใจกับสิ่งนี้ เจตนาจะหลอกล่อกษัตริย์ของเรา ให้กษัตริย์ของเราโจมตีหนานฉี เพื่อจะได้เป็นมหาอำนาจ กษัตริย์ของเรามีสติ จึงไม่หลงกลการยั่วยุ“นึกไม่ถึงว่าเขายังไม่ยอมหยุดความคิดชั่วร้าย ยังแอบตระเวนไปยังแต่ละแคว้น เพื่อยุยงให้แต่ละแคว้นล้อ
เรื่องส่งคืนกองทัพอินทรีเหินให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียน ตอนที่นางเสร็จสิ้นจากการไปเป็นราชทูตที่แคว้นซีหนี่ว์ เซียวอวี้ก็เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ทว่าภายหลังเจอกับสงครามครั้งใหญ่ เรื่องนี้จึงถูกพักไว้ก่อนเซียวอวี้เป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องนี้ ซ้ำยังเตรียมการทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี ถือว่ามีความจริงใจเต็มเปี่ยมโดยมิต้องสงสัยทว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับเป็นกังวล“เรื่องนี้ ราชสำนักรู้หรือไม่เพคะ?”เซียวอวี้สวมกอดนางจากทางด้านหลัง ราวกับได้ครอบครองทั้งใต้หล้า“เราเคยเรียกพบขุนนางคนสำคัญหลายคนในราชสำนักตั้งแต่แรก เพื่อบอกเรื่องนี้กับพวกเขา พวกเขาต่างก็คิดว่า เราสมควรทำเช่นนี้“วันนี้ประชุมราชกิจ เราก็ประกาศกับเหล่าขุนนางอย่างเป็นทางการแล้ว ทว่าก็มีบางคนคัดค้านเช่นกัน แต่เราพูดเพียงว่า ‘ตอนนี้หนานฉีต้องโจมตีกับแคว้นอื่น ผู้ใดที่คัดค้าน เราจะให้ออกไปสนามรบ’ ดังนั้น พวกเขาก็พากันเงียบกริบ“เจ้าเห็นหรือไม่ เรื่องนี้มิได้ยากเย็น”ถึงแม้เขาเอ่ยออกมาดูเหมือนจะง่ายดาย เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับรู้ว่า เพื่อตราคำสั่งทหาร เขาต้องทุ่มเทความพยายามอย่างมากขุนนางใหญ่ในราชสำนักเหล่านั้น โดยเฉพาะขุนนางอาวุโส แต่ละคนมีฝีปา
เซียวอวี้กับเซียวฉีเริ่มจะขัดแย้งกันเขานึกไม่ถึงว่า เซียวฉีจะใส่ร้ายเขาต่อหน้าจิ่วเหยียนเช่นนี้“วาดภาพ” อะไรกัน เขาจำสิ่งใดมิได้เลย!เซียวฉีเล่าออกมาเป็นเรื่องเป็นราว“ตอนที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเหล่าเสด็จพี่ อาภรณ์ของทุกคนเรียบร้อยกันหมด ทว่าของเขามักจะทำขาดอยู่เสมอ ซ้ำยังขาดตรงส่วนก้นด้านหลัง จนเห็นกางเกงลายดอกไม้ยามเหมันต์ และเพราะกลัวเสด็จพ่อจะทรงดุ จึงต้องเดินถอยหลัง“พอโตขึ้นมาหน่อย เขาก็ชอบไปเล่นกับสาวน้อยนางกำนัล...”“พูดจาเพ้อเจ้อ! เราเคยทำเรื่องแบบนั้นที่ไหนกัน!” เซียวอวี้ไม่ยอมรับ จึงตะโกนเรียกเฉินจี๋ให้เข้ามาทันที เพื่อใช้กำลังขับไล่เซียวฉีออกจากตำหนักหย่งเหอองค์หญิงใหญ่มิยอมให้เซียวอวี้อยู่อย่างสงบ ขณะถูกพาตัวไป นางยังพยายามจะหันกลับมา พร้อมตะโกน“สาวน้อยนางกำนัลไม่ยอมเล่นกับท่าน ท่านยังแกล้งนอนคว่ำอยู่บนพื้น ฮองเฮา เขายังชักดิ้นชักงอด้วย!”สีหน้าของเซียวอวี้หม่นคล้ำราวกับน้ำหมึก“ปิดปากนางไว้!”ชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัวกัน เฉินจี๋ตื่นตระหนกจนมิรู้จะใช้วิธีใด จึงรีบทำให้ตัวคนหมดสติทันทีก่อนองค์หญิงใหญ่จะหมดสติ ก็ยังเหลือกตาขาวในตำหนักชั้นในขณะที่เซียว
ราชทูตจากแคว้นต่าง ๆ มาโดยพร้อมเพรียง และเข้าพักในโรงพักแรมเหล่าราษฎรได้ยินเรื่องนี้ ภายใต้แรงผลักดันจากความโกรธแค้น จึงรวมตัวกันไปก่อจลาจลที่โรงพักแรม เพื่อต้องการจะสั่งสอนกลุ่มราชทูตเหล่านั้นยังมีชาวยุทธภพบางส่วน อาศัยวิทยายุทธ์อันแข็งแกร่ง พยายามบุกเข้าไปในโรงพักแรมพวกเขาจับราชทูตมัดไว้ และพาออกไปด้านนอก เพื่อให้เหล่าราษฎรได้ขว้างปาผักเน่า และด่าประณามเหล่าราชทูตมิกล้าต่อต้าน และมิอาจต่อต้านได้ด้วยราชทูตของต้าเซี่ยมิอาจทนต่อความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้“ราษฎรเลวทราม! ราษฎรเลวทราม!! ข้าเป็นราชทูต พวกเจ้าทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้!”สิ่งที่เขาได้รับจากการขัดขืน คือฝ่ามือของเหล่าราษฎรเป็นเพราะคนเหล่านี้ ที่เกือบจะทำให้หนานฉีต้องล่มสลายพวกเขายังมีหน้ามาหนานฉีอีกหรือ?เหล่าราษฎรระบายความโกรธอยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็ถูกทางการปราบปราม เหล่าราชทูตจึงได้รับการช่วยเหลือ แต่ละคนใบหน้าปูดบวมเขียวช้ำ สติมึนงงณ หอสุราใกล้เคียง ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสองราชทูตสองคนของแคว้นตงซานยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้านนอกโรงพักแรมหนึ่งในนั้นรู้สึกโชคดี“ท่านแม่ทัพหยวน โชค
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเซียวอวี้ตื่นขึ้นมา ก็ไม่เห็นเงาของเฟิ่งจิ่วเหยียนแล้วคงจะตื่นเช้าไปฝึกยุทธ์อีกเป็นแน่เซียวอวี้เปลี่ยนอาภรณ์ด้วยตนเอง มิได้ให้ผู้ใดมารับใช้หลิวซื่อเหลียงยกอ่างน้ำร้อนเข้ามา “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงเสด็จไปที่คุกเทียนเหลาตั้งแต่เช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้ขมวดคิ้วมุ่นนางไปคุกเทียนเหลาด้วยเหตุใด?ณ คุกเทียนเหลาระหว่างเฟิ่งจิ่วเหยียนกับถานไถเหยี่ยน มีเพียงประตูคุกคั่นอยู่หนึ่งบานถานไถเหยี่ยนนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างกำแพง บนกำแพงที่อยู่ด้านหลังยังสลักภาพ “ใยแมงมุม” ไว้ ภายใต้แสงเงา ยิ่งขับเน้นให้เขาดูเยือกเย็นเป็นพิเศษ“ฮองเฮาเสด็จมาเอง คิดว่าคงมิได้มาเพื่อพูดคุยความหลังกับข้ากระมัง”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูดุดัน“แคว้นตงซานส่งราชทูตมาที่หนานฉี ก็เพื่อช่วยเหลือเจ้า”สีหน้าของถานไถเหยี่ยนดูเป็นปกติ“จะช่วยข้า หรือจะสังหารข้า ก็ไม่ต่างกัน”ดูเหมือนเขาจะถอดใจแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนถามขึ้นในทันที “อาจารย์เต็มใจจะอยู่ที่หนานฉีหรือไม่”ถานไถเหยี่ยนรู้สึกประหลาดใจ หลังจากตะลึงงันอยู่ชั่วขณะ ก็เงยหน้าขึ้นมองนางเห็นนางมีสีหน้าจริงจัง ไม่เหมือนพูดหยอกล้อ“ฮองเฮา ทรงมิอ
ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังต่อเซียวอวี้ นางจึงบอกตามความจริง“ก็แค่จดหมายเพคะ”เซียวอวี้เลือกหยิบจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับ เห็นบนนั้นเขียนว่า---[อาเหยียนที่รัก]สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นฝืนข่มความรู้สึกไม่พอใจนั้นไว้ และหันมายิ้มให้เฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมถามว่า“นี่ต้วนไหวซวี่เป็นคนเขียนทั้งหมดหรือ?”หว่านชิวยืนอยู่ด้านข้าง เหมือนจะรับรู้บางอย่าง ทว่าก็ยังไม่แน่ชัด และยังไม่เข้าใจหลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองที่เซียวอวี้ ก็หันไปพูดกับหว่านชิว “เจ้าออกไปก่อน”“เพคะ ฮองเฮา”ในตำหนักชั้นในไม่มีผู้อื่น เหลือเพียงฮ่องเต้กับฮองเฮาสองคนเท่านั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนหยิบจดหมายฉบับนั้นมาจากมือเซียวอวี้ และเอ่ยอย่างจริงจัง“เรื่องในอดีต ฝ่าบาทจักสนพระทัยไปไยเพคะ”เซียวอวี้กลับคว้าข้อมือของนางไว้ “เราอยากอ่าน”เขาดูท่าทางจริงจังอย่างมาก “เราอยากรู้ว่า ในจดหมายของเขา เขียนอะไรบ้าง และยิ่งอยากรู้ว่า เจ้าตอบเขาว่าอย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย“ฝ่าบาท...”เซียวอวี้เอ่ยแทรกคำพูดของนาง มองนางด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ พร้อมกับย้อนถาม“ม
หลายวันก่อนเหล่าราชทูตก็ทยอยกันมาถึงแล้ว กำลังรอให้ฮ่องเต้ฉีเรียกเข้าเฝ้า เพื่อเจรจาเรื่องชดเชยการสงบศึกพวกเขามิอาจรบได้อีก และมิอาจเดิมพันได้ไหวหากหนานฉีโจมตีแว่นแคว้นของพวกเขาจริง ๆ จักต้องล่มสลายเป็นแน่ไม่เพียงแต่แคว้นเล็ก ๆ ที่ผู้คนรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย แคว้นใหญ่อย่างต้าเซี่ยก็เช่นเดียวกันราชทูตต้าเซี่ยต้องการจะเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่ เพราะหวังว่าองค์หญิงใหญ่จะออกหน้า ประสานความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นทว่า แม้แต่ประตูจวนองค์หญิงใหญ่พวกเขาก็ยังมิอาจเข้าไปได้เหล่าราชทูตอยู่รวมกัน ต่างมองหน้ากัน และถอนหายใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย“เฮ้อ!”“ทุกท่าน พวกท่านจะยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของหนานฉี ยอมยกดินแดนตามที่พวกเขาต้องการจริงหรือ?”“แล้วจะอย่างไร? พวกเรายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”“พวกเรามิใช่เป่ยเยี่ยน ไม่มีกองกำลังมากพอที่จะต่อสู้กับหนานฉีได้ การสงบศึกถึงจะรับประกันความสงบสุขได้”เหล่าราชทูตสีหน้าซีดเผือด ราวกับแบกภูเขาลูกใหญ่ หายใจแทบไม่ออกหากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นคงจะไม่เข้าร่วมกับการสู้รบครั้งนี้......จันทราลอยอยู่บนกิ่งไม้ ม่านราตรีมาเยือนงานเลี
เฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตว่า หลังจากเซียวอวี้ได้พบกับอาจารย์ศิษย์ทั้งสองคน หลายวันต่อมาหลังจากนั้นดูเหมือนในใจมีเรื่องครุ่นคิด คิ้วขมวดปมไม่คลาย คิดดูแล้วอาจจะวิตกกังวลเรื่องของมนุษย์โอสถขณะที่นางขี่ม้าอยู่ด้านหน้าเพื่อเปิดทาง จะรู้สึกอยู่เสมอว่ามีสายตาหนึ่งกำลังจ้องมองนางเมื่อหันกลับมา ก็มองเห็นเพียงเซียวอวี้ ใบหน้าเขาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาดำคล้ำคู่นั้นลึกล้ำยากจะหยั่งถึง มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ต้นเดือนเจ็ดกองทัพใหญ่ได้รับชัยชนะ และกลับมาถึงเมืองหลวงผู้คนในเมืองหลวงพากันออกจากบ้านเรือน มายืนอยู่ริมถนนสายหลักเพื่อต้อนรับกองทัพใหญ่ชาวบ้านต่างเปล่งเสียงด้วยความยินดี“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”“ฮองเฮาทรงเกรียงไกร!”เด็กตัวเล็ก ๆ ก็ถูกพ่อแม่จับยกขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อมองดูฉากเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ผู้คนพากันพูดปากต่อปาก“ว่ากันว่าฝ่าบาททรงนำทัพด้วยพระองค์เอง จนพลิกสถานการณ์เลวร้าย แก้ไขวิกฤตในเมืองเซวียน ทหารกองทัพศัตรูก็ถูกจับกุมทั้งหมด”“ชายแดนเหนือกับชายแดนตะวันออกสร้างการป้องกันขึ้นมาใหม่! แคว้นต่าง ๆ ถูกหนานฉีพวกเราตีพ่ายจนหวาดกลัว คงมิกล้ามารุกรานอีกเป็นแน่!”
ห้องชงชาในโรงพักแรมหมอทหารและลูกศิษย์ถูกพาเข้ามา ทำความเคารพฮ่องเต้บนพระที่นั่งหลักเซียวอวี้ล้างมืออย่างง่าย ๆ ใส่เสื้อคลุมสบาย ๆ แต่มิอาจปกปิดรังสีสูงส่งของฮ่องเต้ได้ ผมดำขลับมัดรวบด้วยผ้ายาวประดับมุขขาว คิ้วคมเด่นชัด ดูแข็งแรงกำยำ“ในเมื่อเป็นหมอทหาร เหตุใดไม่ตามกองทัพใหญ่ไป แต่กลับแอบหนีมาที่แห่งนี้?” เมื่อเผชิญกับคำซักถามของฮ่องเต้ หมอทหารก็อธิบายอย่างไม่เร่งรีบ“ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยได้รับคำสั่งในยามคับขัน หาใช่หมอทหารที่แท้จริงไม่”สิ้นคำกล่าว ก็มีคนเดินเข้ามาในห้องชงชา“ฝ่าบาท” ผู้มาคือเฟิ่งจิ่วเหยียนเมื่อเซียวอวี้เห็นนาง ก็รีบลุกขึ้น น้ำเสียงฟังดูตำหนิเล็กน้อย“ทำไมไม่นอนอีก?”เฟิ่งจิ่วเหยียนโค้งให้เขาเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงพร้อมกับเขา แนะนำอาจารย์กับลูกศิษย์สองคนนั้นอย่างเป็นทางการ“เรื่องนี้หม่อมฉันเลินเล่อเอง ฝ่าบาท ตอนนั้นหม่อมฉันประสบภัยในภูเขาหิมะเทียนฉือ และได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขา”สีหน้าของเซียวอวี้ผ่อนคลายลง ไม่ดุดันเหมือนก่อนหน้านี้เขารีบออกคำสั่ง“ที่แท้ก็เป็นสองคนนี้นี่เอง เชิญนั่ง”หมอเทวดาเฒ่ารีบโค้งคำนับ“มิได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ข้าน้