ดวงตาของรุ่ยอ๋องพลันแฝงไปด้วยความลึกล้ำในทันทีหนานเจียงอ๋องยังคงหวาดระแวงว่าหนานฉีจักมีเจตนาอื่นแอบแฝง จึงได้คิดจับเขามาเป็นตัวประกันเช่นนี้รุ่ยอ๋องพลันจับมือของหร่วนฝูอวี้ขึ้นมาต่อหน้าหนานเจียงอ๋อง“หากเป็นเรื่องของทางการแล้ว เราย่อมต้องนำทัพโจมตีและถอยทัพพร้อมทหารสามหมื่นนาย“ทว่า หากเป็นเรื่องส่วนตัวของตนเอง เราอยากจะอยู่รอพระชายาคลอดบุตรอยู่ที่หนานเจียงแห่งนี้”หร่วนฝูอวี้พลางเอนตัวไปพิงไหล่ของรุ่ยอ๋อง ก่อนจะจับแขนออดอ้อนออเซาะเขาด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคย “ท่านอ๋อง~~ท่านดีกับหม่อมฉันยิ่งนัก หม่อมฉันทราบซึ้งใจท่านเป็นอย่างยิ่งเพคะ”นางจริงจังกับการแสดงของตนเองมากเกินไป จนมิรู้สึกตัวเลยว่าหน้าอกของตนเองกำลังถูไถกับแขนของรุ่ยอ๋องอยู่รุ่ยอ๋องรู้ว่านางแค่แสดงเล่น ๆ เท่านั้น ทว่า เขาก็ยังมิคุ้นชินกับการกระทำเช่นนี้ของนาง ทั่วร่างพลันแข็งทื่อไปในทันที พร้อมกับใบหูที่ค่อย ๆ แดงขึ้นมาเล็กน้อยหนานเจียงอ๋องพลางแย้มยิ้มขึ้นมาอย่างมีความหมาย“ในเมื่อทั้งรุ่ยอ๋องและพระชายารักใคร่กันเช่นนี้ ได้ เราอนุญาต! นำกำลังพลของหนานฉีทั้งสามหมื่นนายเข้ามาหนานเจียงได้เลย พวกเราจักมีรบร่วมรบมีศึกร่วม
หลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนสังหารหมอทหารผู้นั้นแล้ว ก็ได้เลือกคนที่มีรูปร่างไม่ต่างจากหมอทหารคนนั้น มาปลอมกายให้เหมือนกัน เพื่อล่อให้คนมาตกหลุมพรางหลังจากที่นางรั้งรอเวลาผ่านไปสองสามวัน สายลับของศัตรูก็ปรากฏตัวขึ้นสายลับไปพบหมอทหาร เพื่อที่ต้องการจะลงมือวางยาพิษสังหารเฟิ่งจิ่วเหยียน เหมือนกับแผนการในคราก่อน ทว่า เขามิคิดเลยว่าอันตรายจะมารั้งรออยู่ด้านหลังของตนเองแล้วเช่นนี้เขาถูกองครักษ์เงาจับได้คาหนังคาเขา ยาพิษที่อยู่ในปากนั้นถูกนำออกมาแล้ว เพื่อป้องกันมิให้เขาปลิดชีพตนเองสายลับผู้นี้ รูปร่างผายผอม หากไปอยู่ท่ามกลางหมู่คนมากมายละก็ ย่อมมิเป็นที่สะดุดตาทว่า กลิ่นอายท่าทีที่นิ่งเงียบและสงบเสงี่ยมของเขานั้น แตกต่างจากคนปกติทั่วไปถึงแม้จะถูกจับได้ แต่เขาก็ยินยอมพร้อมที่จะตาย พลางก้มหน้ามองดูพื้นด้วยท่าทีใจเย็น มิพูดมิจาอันใดออกมาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองดูเขาด้วยสายตาเย็นชา หลังจากประเมินดูคนตรงหน้าแล้วนั้น นางจึงสั่งการออกมาอย่างเรียบง่ายว่า“โยนออกไปจากด่านเฉาอวี๋”มิมีการสอบสวน มิมีการทรมาน เพียงแค่ปล่อยตัวสายลับออกไปเท่านั้นหยิ่นซานและคนอื่นๆ ต่างก็มีท่าทีงุนงงไปในทันทีแ
เหล่าราษฎรที่ได้รับข่าวสารกันอย่างกว้างขวางนั้นเมื่อทุกคนรู้ว่าฮองเฮาเสด็จไปยังชายแดนตะวันออก ทั้งยังออกรบจนแคว้นต้าเซี่ยและกองกำลังพันธมิตรทั้งสี่แคว้นถอยร่นออกไปไกลนับสิบลี้ยังมิทันที่ราชสำนักจักประกาศเฉลิมฉลองออกมา เหล่าราษฎรก็พากันยินดีกันถ้วนหน้าไปแล้วนักเล่าเรื่องบนท้องถนน บัณฑิตในร้านน้ำชา ต่างก็เอ่ยถึงความสำเร็จของฮองเฮายังกว้างขวาง“เมื่อเหล่าแคว้นที่อยู่รอบด้านรวมกำลังพลโจมตีหนานฉีนั้น ฟังดูน่ากลัวยิ่งนัก ที่แท้ทุกอย่างก็เพียงแค่โครงประดับ! ในยามนี้ พวกเขายังไม่มีปัญญาฝ่าแนวป้องกันชายแดนของหนานฉีของพวกเราเข้ามาได้ภาคใต้ได้ ช่างน่าขันเสียจริง!”“ชายแดนเหนือของพวกเรามีค่ายทหารเหนือที่กล้าหาญชาญชัย ทั้งยังมีรัฐเหลียงที่กำลังร่วมปกป้องชายแดนหนานฉีอีก หนานเจียงเองมีกองกำลังเสริมของรุ่ยอ๋อง ทางชายแดนตะวันตกมีหนานซานอ๋องผู้แกร่งกล้า ยามนี้ชายแดนตะวันออกมีฮองเฮา ทั้งยังเคยเป็นเทพสงครามแห่งค่ายทหารเป่ยต้าอีก! เวลานี้กองกำลังพันธมิตรล้ำเลิกที่จะบุกเข้ามาโจมตีหนานฉีของพวกเราไปได้เลย!”“ข้าได้ยินมาว่าฮองเฮาสร้างเนินฝังศพขึ้นมา เพื่อทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพฝ่ายศัตรู ทำเอาแคว้นต้
นับตั้งแต่ที่มู่หรงหลันสมคบคิดกับพรรคเทียนหลงนั้น ทั้งยังวางแผนบีบบังคับนางในวัดอีก ตระกูลมู่หรงก็ถูกฝ่าบาทจงเกลียดจงชังในทันทีไทฮองไทเฮาที่ถูกจองจำอยู่ที่ภูเขาอวี้หยางนั้น ตระกูลมู่หรงย่อมมิมีสิทธิ์อันใดที่จักไปเอ่ยพูดต่อหน้าฮ่องเต้ได้อีกนับว่าโชคดีที่ฝ่าบาททรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าให้พวกเขาได้เข้ามาเยี่ยมเยียนไทฮองไทเฮาได้บ้างทว่า ไทฮองไทเฮาหาได้ดีใจที่ได้เห็นบุตรหลานเหล่านี้ไม่ยามที่นางยังเป็นสาวแรกรุ่นอยู่นั้น ก็จำเป็นต้องหาผลประโยชน์เพื่อตระกูลฝ่ายมารดา แม้นางจักแก่ชราแล้วในยามนี้ พวกเขาก็ยังมิวายปล่อยนางไปอีก!ผู้ที่มาเยือนภูเขาอวี้หยางในวันนี้ คือภรรยาของหลานชายที่ล่วงลับไปแล้วของนาง——ภรรยาเอกของบิดามู่หรงหลันนามว่าอันซื่อ และหลานชายหลานสาวของตระกูลสายรองอีกจำนวนหนึ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าซีดเซียวของเหล่าลูกหลานนั้น ไทฮองไทเฮาหาได้ปล่อยโอกาสให้พวกเขาเอ่ยอันใดออกมาไม่ พลางเอ่ยออกมาตามตรงว่า“เราถูกมู่หรงหลันทำร้ายจนต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกเจ้ายังคิดให้เราทำอันใดเพื่อพวกเจ้าอีกงั้นหรือ!“แต่นี้ไป พวกเจ้ามิจำเป็นต้องมาที่ภูเขาอวี้หยางอีกต่อไปแล้ว!”นางเพียงแค่ต
หลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินทางไปยังชายแดนตะวันออกนั้น เซียวอวี้ก็เขียนจดหมายส่งถึงนางทุกวันไม่มีขาดแต่นางมักจะตอบเขากลับทุก ๆ สองสามวันเซียวอวี้หาได้คิดโทษนางไม่ ถึงอย่างไร นางที่อยู่ป้องกันศัตรูที่ชายแดนตะวันตกนั้น เขากลัวว่านางจักยุ่งจนมิมีเวลาแม้แต่จะกินข้าวกินปลา ชำระกายเลย การที่นางจักเขียนจดหมายตอบกลับมายามที่มีภารกิจติดพันตัวเป็นร้อยอย่างนั้น หาใช่เรื่องง่ายดายไม่ ทว่า เมื่อเซียวอวี้ได้ยินเฉินจี๋กล่าวว่า “ไม่มี” นั้น ภายในใจก็ทำเอารู้สึกผิดหวังขึ้นมาไม่ได้ที่เขาอยากเห็นจดหมายของนางนั้น นั่นเป็นเพราะเขาเป็นห่วงนาง อยากรู้ว่านางเป็นอย่างไรบ้างช่วงนี้เซียวอวี้ใช้มือข้างเดียวกุมหน้าผากของตนเองเอาไว้ ก่อนจะนวดคลึงไปที่หัวคิ้วของตนเอง พลางเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า: “ทางฝั่งของตงฟางซื่อเป็นเช่นไรบ้าง?”ตามแผนของเขาและจิ่วเหยี่ยนนั้น พวกเขาจักต้องทำให้กองกำลังศัตรูที่อยู่ชายแดนทั้งสี่ตั้งมั่นเสียก่อน เพื่อที่กองกำลังของตงฟางซื่อจักจัดการ “ใยแมงมุม” ให้สำเร็จเพราะเหตุนี้ เซียวอวี้จึงได้ส่งคนไปช่วยกลุ่มของตงฟางซื่อไม่น้อยเลยทีเดียวเฉินจี๋ตอบกลับด้วยท่าทีเคารพ“ไ
กองกำลังพันธมิตรทั้งสี่ที่เตรียมกำลังพร้อมสู้รบนั้น พวกเขาต่างพากันมองไปยังด่านเฉาอวี๋ที่อยู่ไกล ๆ ราวกับลูกไก่ที่อยู่ในกำมือซ่านชุนมีความสุขยิ่งนัก เขาร่ำสุราลงไปหนึ่งถ้วย ก่อนจะร้องเพลงเสียงดังออกมา“ด่านเฉาอวี๋ ด่านเฉาอวี๋ สายลมพัดพาแขกมาเยือนนับหมื่นลี้! อีกไม่นาน ก็จักเป็นด่านเฉาอวี๋ของแคว้นต้าเซี่ยแล้ว!”ในวันเดียวกันนั้น ซ่านชุนก็ได้เขียนจดหมายส่งถึงจักรพรรดิ พลางเอ่ยเล่าเกี่ยวกับกองกำลังป้องกันของหนานฉี ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจว่า ชายแดนตะวันออกสามารถโจมตีได้ ขอให้พระองค์ช่วยส่งกองกำลังทหารมาเพิ่มอีกสามแคว้นก็ทำเช่นเดียวกัน พลันค่อย ๆ ทยอยส่งกองกำลังภายในแคว้นของตนเองออกมาศึกในครานี้ จักต้องได้ชัยกลับมาเท่านั้น!ในเมื่อหนานฉีไม่มีปืนมังกรไฟเช่นนี้ พวกเขาก็หามีอันใดให้ต้องกลัวไม่สำหรับเฟิ่งจิ่วเหยียนแล้ว แม้ว่าวรยุทธ์ของนางจักสูงส่งเพียงใด หากมิมีกำลังพลทหารที่เพียงพอ แม้แต่แม่บ้านแม่เรือนที่เฉลียวฉลาดก็มิสามารถหุงข้าวโดยไร้ข้าวสารไม่!แววตาของซ่านชุนพลันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของนักสู้ในทันที“สั่งการลงไป ให้ทุกคนเตรียมจัดกระบวนทัพธนู!”“ขอรับ! ท่านแม่ทัพ!”พลั
หลังจากที่ฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยได้รับจดหมายของซ่านชุนนั้น เขาก็รีบสั่งการให้นำทัพใหญ่บุกเข้าไปตีด่านเฉาอวี๋ในทันทีหนึ่งเดือนต่อมา เมื่อกำลังเสริมจากทั้งสี่แคว้นมารวมตัวกันที่ด้านนอกด่านเฉาอวี๋นั้น กองกำลังพลันมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ขึ้นเป็นเท่าตัวกองทัพใหญ่จำนวนสองแสนนายนั้น กำลังยืนอยู่ด้านหน้าประตูเมือง มวลคนสีดำทมึนกำลังเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วซ่านชุนผู้เป็นผู้นำของกองทัพนั้น พลันมีสีหน้ามืดครึ้มเขาต้องการสังหารพวกชาวหนานฉีที่หัวเราะเยาะเย้ยเขามานานแล้ว!“กระบวนทัพพลธนู เตรียมพร้อม!”เหล่าทหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบธนูนั้น จึงก้าวขึ้นมาข้างหน้า พลางง้างคันธนูออกมาเพื่อเล็งไปที่กำแพงด่านเฉาอวี๋ในทันทีเมื่อเทียบกับธนูทั่วไปแล้ว หน้าไม้ของธนูนี้จักมีระยะยิงที่ไกลกว่า ทั้งยังมีความแม่นยำที่มากกว่าเดิมอีกด้วย นอกจากนี้ กลไกที่ใช้หน้าไม้ดึงสายและยิงธนูนั้น ทำให้สะดวกต่อการใช้งานมากกว่าทว่า การทำธนูเช่นนี้ขึ้นมานั้น มีความซับซ้อนยิ่งนักทั้งลำกล้อง ข้อเหวี่ยง ตาแมวที่ใช้ในการเล็ง กลไกในการเหนี่ยวไกและอีกมากมายนั้น จำเป็นต้องใช้ช่างที่มีฝีมือละเอียดละออการทำธนูขึ้นมาหาใช
ด่านเฉาอวี๋ไร้การป้องกันเป็นเวลานานแล้ว ส่วนทหารที่ถูกศรหน้าไม้ยิง ล้วนเป็นหุ่นฟาง เป็นคนปลอม! ในโสตของซ่านชุนเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง ฝ่ามือที่กำทวนยาวชื้นไปด้วยเหงื่อ ทั้งเจ็บใจ และไม่ยอมรับ! เขาถูกชาวฉีปั่นหัวเล่นอีกแล้ว!! ทว่า จักไม่มีใครเลยได้อย่างไร! ด่านเฉาอวี๋เป็นปราการสำคัญแห่งชายแดนตะวันออกของหนานฉี! ซ่านชุนไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ชาวฉีเหล่านั้นคิดจะทำอันใดแน่ เขาหาได้เชื่อคำพูดของทหารสอดแนมไม่ และต้องการไปยืนยันด้วยสายตาของตนเอง ประตูเมืองด่านเฉาอวี๋ ถูกข้าศึกที่บุกเข้าไปเปิดเอาไว้ ซ่านชุนจึงขี่อาชา เข้าเมืองได้อย่างง่ายดาย ในด่านว่างเปล่า ไม่มีกระโจมทหาร และกำลังพลแม้แต่นายเดียว เขาวิ่งขึ้นไปบนหอประตูเมืองอีก เป็นจริงดั่งที่ทหารสอดแนมรายงาน ทหารหนานฉีที่ยืนเรียงแถวบนกำแพงเมือง ล้วนเป็นหุ่นฟางในชุดเกราะ! เหล่าทหารที่พยายามปีนขึ้นกำแพงเมืองอย่างลำบาก และเหนื่อยจนลำคอแห้งผากนั้น ตอนนี้ทุกคนต่างหันมองหน้ากัน รู้สึกทำอะไรไม่ถูกอย่างงงงวย พวกเขาทุกคนพร้อมที่จะต่อสู้จนตัวตาย ฝ่ายตรงข้ามกลับวิ่งหนีไปแล้ว... ชั่วขณะหน
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร
เคร้ง!พู่กันในมือเฟิ่งจิ่วเหยียนหล่นลง นางมองอู๋ไป๋ด้วยสีหน้าเย็นชา“พวกเฉินจี๋เล่า!”อู๋ไป๋ส่ายศีรษะ“เฉินจี๋เองก็หายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ ไม่ง่ายเลยที่จะส่งข่าวนี้กลับมา! ท่านประมุข พวกเราทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายแต่ก็ไม่ตื่นตระหนก หลังจากสงบอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็วก็สั่งอู๋ไป๋“สั่งการลงไปให้ทุกจวนในแคว้นซีหนี่ว์ตามหาพระสวามี“พร้อมทั้งส่งองครักษ์ลับทุกคนออกไป รวมถึงกองทัพอินทรีเหิน“ให้พวกเขาตามหาฝ่าบาทตามแนวชายแดน!”อู๋ไป๋รีบไปจัดการตามคำสั่งหากเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่!หลังจากอู๋ไป๋ออกไป เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าฝ่ามือของตนเต็มไปด้วยเหงื่อฎีกาบนโต๊ะนางก็ดูไม่รู้เรื่องแล้วทุกอย่างที่คิด มีแต่เรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของเซียวอวี้เป็นไปได้มากว่าคนที่ลงมือรู้ถึงฐานะของเขาดีเฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าเคร่งขรึม หน้าซีดไร้เลือดไม่นานอู่ไป๋ก็กลับมา“ท่านประมุข จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ยังมีองครักษ์ที่มาส่งข่าวผู้นั้น ท่านต้องการพบเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”เขาพูดจบแล้ว ทว่ากลับไม่ได้ยินท่านประมุขตอบอะไรอู่ไ
พรุ่งนี้เซียวอวี้ก็ต้องเดินทางกลับแคว้นหนานฉีแล้ว คืนนี้เขานอนกอดเฟิ่งจิ่วเหยียน ทั้งคืนไม่อาจหลับตาลงได้เขาวางมือข้างหนึ่งไว้บนท้องของนาง สัมผัสกับการเคลื่อนไหวในครรภ์ที่มีอยู่บางเวลาหากเวลาหยุดลงตรงนี้ได้ ก็คงจะดีทว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับความจริงเขายังคงเป็นฮ่องเต้แคว้นหนานฉี ไม่อาจเห็นแก่ความรู้สึกส่วนตัว ละเลยความปลอดภัยของแคว้นได้เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็นอนไม่หลับนางกุมแขนของเขาเบา ๆ พูดด้วยน้ำเสียงสงบและอ่อนโยน“อย่างมากสุดหนึ่งเดือน หม่อมฉันก็จะกลับแคว้นหนานฉีเพคะ”เซียวอวี้จุมพิตซอกคอนาง “ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ผิดคำพูด”ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกกระวนกระวายใจเหมือนกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปด้วยฝน ยากที่ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งวันที่สอง ในที่สุดเซียวอี้ก็ต้องออกเดินทางแล้ววันนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ว่าราชการ นางนั่งรถม้าไปส่งเขาออกจากเมืองด้วยตนเองข้างกายเซียวอวี้มีองครักษ์ติดตามมากมาย ส่วนเหล่าองครักษ์เงา เขาล้วนให้อยู่กับเฟิ่งจิ่วเหยียน ให้พวกเขาคอยปกป้องฮองเฮาและเด็กให้ดีส่งกันพันลี้ ก็ต้องจากกันเซียวอวี้กำชับหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการกินข้าวและการนอน
ในใจเฟิ่งจิ่วเหยียนพลุ่งพล่านด้วยเพลิงอารมณ์อันร้อนแรง นางเม้มริมฝีปาก พูดกับเซียวอวี้“เราเป็นสามีภรรยากัน ข้าย่อมมิอาจทำใจห่างจากท่านได้ “แต่ราชการบ้านเมืองประดุจเพลิงโหมกระหน่ำ จะให้ข้ามีจิตห่วงใยแต่เรื่องรักใคร่ได้อย่างไร? “ฝ่าบาท ท่านก็เช่นกัน อย่าได้พูดสิ่งที่หามีสาระไม่ เร่งจัดการราชกิจให้เป็นกิจจะลักษณะเถิดเพคะ...”นางพลางพูด พลางถอยออกจากอ้อมกอดของเขา บีบคั้นให้เขาจำต้องให้ความสำคัญแก่งานราชกิจก่อนสิ่งอื่นใดเซียวอวี้จ้องนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างอดกลั้น“ได้”พูดจบ เขาก็หมุนตัวออกจากห้องทรงพระอักษร เหมือนกลั้นลมหายใจไว้ มิคาดหวังคำปลอบประโลมจากนางอีกต่อไปด้านนอกตำหนัก เซียวอวี้ยืนท่ามกลางลมห้วงราตรี สัมผัสได้ถึงไอสังหารเยือกเย็นของแคว้นซีหนี่ว์สายตาของเขาทอดมองไกลลิบ สั่งเฉินจี๋ด้วยสีหน้าเรียบเฉย“เตรียมรถม้า พรุ่งนี้กลับแคว้นหนานฉี”สีหน้าเฉินจี๋ไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด ๆ แต่ในใจกลับแอบลิงโลด ในที่สุดก็ได้ออกจากแคว้นซีหนี่ว์แล้วเฉินจี๋ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “จะให้จัดหมอตำแยติดตามไปด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”เผื่อฮองเฮาประสูติกลางทา
เฟิ่งจิ่วเหยียนจำลายมือในกระดาษนั้นได้แน่ชัด ว่าเป็นลายมือของเลี่ยอู๋ซิน เลี่ยอู๋ซินเป็นสหายสนิทของเมิ่งสิงโจวศิษย์พี่ของนาง ก่อนหน้านี้เพื่อสืบหาความจริงคดีมนุษย์โอสถ นางเคยติดต่อกับเลี่ยอู๋ซิน ได้ข่าวว่าหลังจากความจริงกระจ่าง เลี่ยอู๋ซินก้ไปยังแคว้นตงซาน ไล่ล่าซุนโฉวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมนุษย์โอสถที่หลงเหลือ ครั้งนี้เขาส่งข่าวสารมาโดยมิได้ปรากฏตัว ดูท่าออกจะลึกลับพิกลอยู่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “หากมีสิ่งใดเคลื่อนไหวผิดแผก ไยไม่เขียนบอกให้ชัดเจนโดยตรง?”นางก้มมองข้อความ เซียวอวี้ผู้ยืนอยู่ข้างตัวนางคาดคะเน “เลี่ยอู๋ซินอาจไม่สะดวกปรากฏตน หรือผู้ที่ส่งข่าวครั้งนี้ มิใช่เขาเองก็เป็นได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนโน้มเอียงไปทางข้อสันนิษฐานประการหลังมากกว่า อาจเป็นเลี่ยอู๋ซินมอบหมายให้คนนำข้อความมา หากมิใช่เช่นนั้น คงไม่จำต้องปิดบังอำพรางถึงเพียงนี้“แคว้นตงซาน…” เฟิ่งจิ่วเหยียนพึมพำในลำคอ ครานั้นแต่ละแคว้นโจมตีแคว้นหนานฉี ก็เพราะแคว้นตงซานเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง เห็นได้ชัดว่าความทะเยอทะยานของพวกเขาไม่ธรรมดา ยามนี้แคว้นตงซานเคลื่อนไหวผิดแผก เกรงว่า