เฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองชายหนุ่มรูปงามที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเหล่านั้น “ก่อนที่จะสังหารพวกเขาทิ้ง ให้ทิ้งยาไว้เสีย” หนุ่มรูปงามทั้งหลาย : ! ผู้มีพระคุณอำมหิตเกินไปแล้ว! พวกเขาต่างก็กำลังจะตาย นางกลับสนใจแต่เรื่องยา! มั่วซินหมัวมัวขมวดคิ้วเบา ๆ ดูเหมือนว่า แม่ทัพน้อยเมิ่งผู้นี้จักมิใช่ลุ่มหลงในรูปงาม…… เหล่าองครักษ์เงาที่คอยอารักขากลางแจ้งฉายแววตาที่เฉียบคม ขณะที่จ้องมองบุรุษรูปงามที่ถูกไล่ออกมาเหล่านั้น แววตามีแต่กลิ่นอายสังหาร เพียงทำเช่นนี้ หมายจะยั่วยุฮองเฮาของพวกเขาอย่างนั้นหรือ? สมควรตาย! เหล่าองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ก็เห็นฉากนี้เช่นกัน ต่างก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “พี่รอง ประมุขแคว้นซีหนี่ว์คิดจะทำอันใดกันแน่?” หยิ่นเอ้อร์คาบหญ้าหางสุนัขไว้ในปาก พลางเอ่ยเหน็บแนม “ยังจะทำอันใดได้อีกเล่า นางคิดจะรั้งตัวฮองเฮาไว้!” “ว่าอันใดนะ?!” ทันใดนั้นเหล่าองครักษ์เงาต่างก็รู้สึกว่าหายนะกำลังจะบังเกิด หากประมุขแคว้นซีหนี่ว์ทำสำเร็จแล้วไซร้ ฝ่าบาทของพวกเขาจักทำเช่นไร? โชคดีที่ฮองเฮาต้านทานสิ่งเย้ายวนใจได้ หาได้ยอมรับบุรุษเหล่า
ถึงแม้เฟิ่งจิ่วเหยียนจะสั่งให้เหล่าองครักษ์เงาถอยออกไป พวกเขาก็หาได้เคลื่อนไหวไม่ ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รับสั่งกับองครักษ์เงาของตนเอง “ถอยออกไป” เมื่อนางออกคำสั่ง องครักษ์เงาทั้งหมดก็หายตัวไปทันที เหลือเพียงมั่วซินหมัวมัวอยู่ข้างกาย ประมุขแคว้นก็หาได้หวาดหวั่นไม่ นางมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน พลางเอ่ยยั่วยุอย่างแนบเนียน “ดูเหมือนว่า พวกเขาเชื่อฟังเจ้าอย่างผิวเผิน แท้จริงยังเชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้ฉีสุดหัวใจ และดูแลเจ้าในนามของเขา ถึงแม้เจ้าจะเต็มใจอยู่ในแคว้นซีหนี่ว์ต่อไป ก็จักถูกพวกเขาลักพาตัวกลับไปที่หนานฉีอยู่วันยังค่ำ” หยิ่นซานกังวลเล็กน้อย “ฮองเฮา คือพวกกระหม่อม...” เฟิ่งจิ่วเหยียนเมินเฉยต่อคำแก้ตัวของหยิ่นซาน นางก้าวไปข้างหน้า และเอ่ยกับประมุขแคว้นซีหนี่ว์อย่างสงบเยือกเย็น “ท่านมิต้องพยายามเอ่ยยุแยงหรอกเพคะ “ศัตรูต่างแคว้นคืบคลานเข้ามาทุกที เราควรจะสามัคคีกันไว้ แทนที่จะทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้” ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ส่ายศีรษะอย่างเสียดาย “ในที่สุดก็มีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน เรายังคิดว่า แม่ทัพน้อยเป็นสตรีที่มีความทะเยอทะยาน ไม่
ครั้นเอ่ยถึงบิดาผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น ประมุขแคว้นซีหนี่ว์พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “เสด็จพ่อประชวรหนักจนสิ้นลม ตั้งแต่เรายังเล็ก “ในวังจึงไม่มีภาพเหมือนของท่านอยู่เลย “เราเองก็จดจำหน้าตาของท่านไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ หากเจ้าต้องการได้ภาพเหมือนจริง ๆ เราจักหาผู้เฒ่าในสมัยนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วสอบถามจากพวกเขา” เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกลำบากใจขึ้นมาบ้าง ไร้ภาพเหมือนแล้วไซร้ ย่อมจะไม่มีเบาะแสด้านรูปลักษณ์ภายนอกเลย เป็นการยากยิ่งกว่าให้คนลงไปงมเข็มในมหาสมุทร! ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังกล่าวต่อ “ในสมัยนั้น เรากับซู่ยวนเพิ่งจะอายุเพียงสองสามขวบ พวกบุรุษก่อกบฏ และบุกเข้าไปในพระราชวัง เสด็จแม่ต้องการเก็บรักษาทายาทไว้ จึงส่งเรากับซู่ยวนออกจากวังเพื่อลี้ภัย “เพื่อให้พี่น้องจดจำกันได้ในอนาคต จึงหักปิ่นหยกออกเป็นสองส่วน “นี่เป็นครึ่งหนึ่งที่อยู่ในมือของเรา” นางหยิบปิ่นหยกขาวครึ่งท่อนออกมา ซึ่งเป็นส่วนของหัวปิ่นประกอบด้วยด้ามปิ่นอีกเสี้ยวหนึ่ง เฟิ่งจิ่วเหยียนถามด้วยความรอบคอบ “ถ้าเช่นนี้ ในมือของซู่ยวนตัวจริง ก็ควรจะมีด้ามจับของปิ่นที่เหลือใช่หรือไม่เพค
เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าเคร่งขรึม ชวีสื่อสามารถเอ่ยคำดังกล่าวได้ เกรงว่าจักมิใช่เขาคนเดียวที่คิดเช่นนั้น นางได้เข้าวังเป็นฮองเฮา มิอาจเป็นผู้นำกองทัพได้อีก ชวีสื่อคิดว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เปิดใจกัน จึงเอ่ยทุกสิ่งที่อยากจะเอ่ย ผลลัพธ์อย่างเลวร้ายที่สุดก็แค่ความตาย “ท่านก่อตั้งทัพของพวกเราขึ้นมา และเป็นท่านที่ฝึกฝนพวกเรา ผลักดันให้พวกเราเข้าสู่สมรภูมิและสังหารศัตรู “ทว่าหลังจากเข้าร่วมกับทหารรักษาพระองค์ของวังหลวง เหล่าพี่น้องก็ไม่รู้จะคล้อยตามใครดี “ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะมิใช่แม่ทัพน้อยแล้ว แต่ก็ได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท ในเมื่อสามารถไปสอนที่สถาบันทางการทหารได้ ไฉนไม่สามารถก่อตั้งกองทัพของตนเองได้เล่าขอรับ? “ฮองเฮา ข้าน้อยขอบังอาจกล่าวคำที่ไม่สมควร ข้าน้อยคิดว่า คำพูดของประมุขแคว้นซีหนี่ว์มิได้ผิดไปเสียหมด “หลังจากที่ท่านอภิเษกสมรสกับฝ่าบาทแล้ว ก็หาได้มีอำนาจแท้จริงไม่ มีเพียงการดูแลสามีและเลี้ยงดูบุตร ช่างน่าเสียดายทักษะวิทยายุทธชั้นยอดของท่าน...” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยขัดจังหวะเขาด้วยสีหน้าเย็นชา “ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มาพบเจ้ารึ
ลูกค้าเจ้าปัญหาจ้องมองด้วยดวงตาถมึงทึง “เจ้ายังมีขนขึ้นไม่ครบเลยด้วยซ้ำ! ข้าจ่ายเงินแล้ว เจ้าก็ทำงานสิ ฟังไม่เข้าใจรึ! บอกให้เจ้าเขียนว่า ‘กุมมือกันและอยู่เคียงข้างจนแก่เฒ่า’ เจ้าก็เขียนเช่นนี้! ไยต้องมาพูดมากน่ารำคาญด้วย!” เด็กชายคนนั้นหน้าตอบร่างกายผอมโซ ถือพู่กันไว้ในมือ และเอ่ยอย่างชอบธรรม “บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้! นั่นเป็นเพลงในกองทัพ! ใช้โดยพี่น้องทหารร่วมชาติ เจ้ากับหญิงนางโลมของเจ้าเป็นตัวอะไร! พวกเจ้าไม่คู่ควร!” ลูกค้าคนนั้นโกรธมากจนกัดฟันกรอด “หญิงนางโลม? เจ้า! เจ้าด่าใครอยู่! อายุยังน้อย ไม่เรียนรู้เรื่องดี ๆ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!” “แม้จะฆ่าข้า พวกเจ้าก็ยังเป็นหญิงชู้ชายเลวอยู่ดี! เจ้ามีภรรยาแล้ว ยังจะส่งจดหมายไปสู่ขอถึงหญิงนางโลม เจ้าเป็นผู้ชายที่ไร้ประโยชน์! ไปเป็นขันทีเสีย! ตอนทิ้งเสียยิ่งดีกว่า! จักได้ไม่ออกลูกเป็นครอก!” การออกลูกเป็นครอก เหมือนหมูเหมือนหมา! “ไอ้เดรัจฉานน้อย! เจ้าช่างมีปากคอเราะร้ายอะไรเช่นนี้!” ลูกค้าคนนั้นโกรธมากจนหน้าเขียวคล้ำ คิดจะลงไม้ลงมือ กลับถูกดึงใบหูไว้ “ใคร! ใครบังอาจตีข้า...” ครั้นหันขวับไปมอง ก็พบกับภรรย
เฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปมองตามเสียงนั้น และได้เห็น เซียวอวี้ที่สวมอาภรณ์สีม่วงทั้งตัว ดูโดดเด่น...เป็นพิเศษ นางถึงกับทนดูไม่ได้ชั่วขณะ คนผู้นี้เป็นสามีของนางจริงหรือ? เป็นกษัตริย์ผู้สง่างามน่าเกรงขามของแว่นแคว้นจริงหรือ? เฟิ่งจิ่วเหยียนอยากจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วจากไปอย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้มองดูภรรยาด้วยความปรารถนาแรงกล้า สาวเท้าเดินมาหาอย่างรวดเร็ว ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยสายลม ทำให้ชายอาภรณ์พลิ้วไหว เหล่ากองทัพอินทรีเหินถอยกลับไปอย่างรู้งาน เพื่อให้ฝ่าบาทกับฮองเฮาได้พบกัน มีเพียงชวีสื่อเท่านั้นที่รับรู้ด้วยสายตาเฉียบคม ดูเหมือนฮองเฮาจะก้าวถอยหนี... “ฮูหยิน!” เซียวอวี้สวมกอดเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง ท่ามกลางสาธารณชน เขาไม่สามารถเรียกนางว่าฮองเฮาได้ ครั้นทั้งสองคนเข้าใกล้กันแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงได้กลิ่นธูปหอมบนอาภรณ์ของเขา กลิ่นฉุนเล็กน้อย นางรีบเอ่ยบางอย่างด้วยเสียงกระซิบ “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด รีบออกจากร่างของเขาเดี๋ยวนี้” เซียวอวี้ : ? “จิ่วเหยียน เมื่อครู่นี้เจ้าเอ่ยว่าอันใด?” ดวงตาคู่นั้นของเขาฉายแว
เมืองหลวง เวลานี้หอวั่งเจียงมีความคึกคักเป็นพิเศษ เซียวอวี้มิอาจจัดงานเลี้ยงขอบคุณแก่กองทัพอินทรีเหินในพระราชวังได้อย่างเปิดเผย ด้วยกลัวผู้คนจะรู้ว่าฮองเฮาตั้งครรภ์เท็จ และแท้จริงออกไปทำภารกิจลับที่แคว้นซีหนี่ว์ ยามนี้จำต้องให้พวกเขาอดทนหน่อย โดยจัดงานเลี้ยงฉลองนอกพระราชวังเท่านั้น ที่ชั้นล่างมีโต๊ะหลายสิบตัว ล้วนมีเหล่ากองทัพอินทรีเหินนั่งอยู่ทุกโต๊ะ เหล่าองครักษ์เงานั่งอยู่เต็มทั้งสองโต๊ะ หาได้มีผู้ใดสนใจหยิ่นฉีไม่ เป็นเพราะเขาสมควรได้ถูกทุบตีเหลือเกิน ตลอดการเดินทาง พู่กันด้ามนั้นมิเคยหยุดเคลื่อนไหวเลย หยิ่นฉีรู้สึกน้อยใจยิ่งนัก เขาเป็นผู้จดบันทึกภารกิจของฮองเฮาแท้ ๆ แต่เขายังเป็นผู้ที่ถูกทุบตี ตอนนี้เขาได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว การเป็นผู้บันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นั้นมิง่ายเลย หลังจากนี้หน้าที่อันเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้คนนั้น....เขายังต้องทำ! ณ ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง เฉินจี๋ยืนอารักขาอยู่ด้านนอก ในห้องส่วนตัว ฮ่องเต้ฮองเฮากำลังนั่งรับประทานอาหารอย่างสงบสุขกันเพียงลำพัง มองออกไปไกลเห็นแม่น้ำ ทิวทัศน์ยอดเยี่ยมนัก
“ฮองเฮา นี่เจ้าจะทำอันใด” เซียวอวี้รีบประคองเฟิ่งจิ่วเหยียนขึ้นมาทันที นางกลัวเขาจะลงโทษกองทัพอินทรีเหิน หรืออยากให้เขาลงโทษกันแน่? ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ก็ไม่ควรนอบน้อมเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ยอมลุกขึ้น นางยังอยู่ในท่าแสดงความเคารพ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ฝ่าบาท ได้โปรดอนุญาตให้กองทัพอินทรีเหินกลับคืนสู่ค่ายเป่ยต้าด้วยเพคะ” เซียวอวี้ย่นคิ้วเบา ๆ เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่า นางจะทำเพื่อเหตุผลนี้ เซียวอวี้ประคองใต้ศอกของเฟิ่งจิ่วเหยียน เพื่อบอกให้นางอย่าได้มากพิธี เขากล่าวอย่างโล่งใจ “จิ่วเหยียน ระหว่างพวกเรา ไม่ต้องทำเช่นนี้เลย “หากเป็นเรื่องของกองทัพอินทรีเหิน ก็แค่เอ่ยมาตามตรง” เฟิ่งจิ่วเหยียนหยิบคำสั่งทหารออกมาอีกครั้ง นี่เป็นสิ่งที่เซียวอวี้มอบให้นางใช้ป้องกันตัว ก่อนจะออกเดินทางไปยังแคว้นซีหนี่ว์ นางเก็บรักษามันไว้อย่างดี ตอนนี้ได้กลับมาที่หนานฉีแล้ว ก็ควรจะคืนให้เขา ทว่า เซียวอวี้ไม่ยอมรับไว้ น้ำเสียงของเขาทุ้มลึก “สามีภรรยาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ทุกสิ่งของเรา ล้วนเป็นของเจ้า ไยจะต้องแบ่งแยกให้ชัดเจนเช่นนี
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร