หยางเหลียนซั่วสูญเสียกำลังภายในของตนเองไปทั้งหมด ทั้งยังมิอาจต้านทานอันใดได้อีกเพียงแค่สัญญาณมือของเซียวอวี้ ทหารองครักษ์จึงก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะจับหยางเหลียนซั่วล็อคด้วยโซ่ตรวนเอาไว้ และนำตัวไปขังไว้ในกรงเหล็กที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ยามที่หยางเหลียนซั่วถูกนำตัวไปนั้น ปากเขายังคงก่นด่าสาปแช่งออกมาไม่มีหยุด“ซูฮ่วน! เจ้าต้องไม่ตายดี——”ฝานจิ้นพลางทุบหม้อข้าวหม้อแกงทั้งหมดพลางเอ่ยถามความเป็นไปเป็นมาว่า“ซูฮ่วน เจ้ารีบบอกมาเร็วเข้า เจ้าคิดหาวิธีมาต่อกรกับหยางเหลียนซั่วได้อย่างไร?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ยามที่หยางเหลียนซั่วดูดซับกำลังภายในของฝ่าบาทนั้น พลังงานที่แท้จริงของเขาหาได้เสถียรไม่ นั่นจึงทำให้ข้าเริ่มสงสัย“ต่อมา หลังจากที่ข้าเห็นหร่านชิวดูดซับกำลังภายในของหยางเหลียนซั่วไปแล้วนั้น ข้าก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น”“มั่นใจเรื่องอะไร” ฝานจิ้นที่มีนิสัยใจร้อนนั้น เขาจึงรีบเร่งถามออกมาเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงพูดต่อไปอีกว่า“วิชาดาราโรยหมื่นวิถีนั้น มิอาจดูดซับกำลังภายในของผู้อื่นได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด“แม้แต่เหวก็ยังมีก้นบึ้ง“หร่านชิวมิอาจดูดซับกำลังภายในได้ม
กองทัพตงปู้แห่งหนานฉีได้รับชัยชนะ เหล่าทหารรวมขวัญกำลังใจ จัดวางกำลังป้องกันในชายแดนตะวันออกอีกครั้ง สงครามยุติ ในวันนั้นเอง เซียวอวี้ต้องการพาเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางพร้อมกัน กวนไหลอิ้งได้นำแม่ทัพนายกองทั้งหมดมาส่งเสด็จ พวกเขามิได้ใส่ใจว่า ฝ่าบาทจักเสด็จกลับหรือไม่ ถึงอย่างไรฮ่องเต้ของแว่นแคว้น มิอาจรั้งอยู่ในค่ายทหารตลอดไปได้ พวกเขาอาลัยไม่อยากแยกจากแม่ทัพน้อยเมิ่ง ทั้งยังอยากจะหารือเรื่องพิชัยสงครามกับนางต่อ กวนไหลอิ้งลองถามหยั่งเชิง “ฝ่าบาท แม่ทัพน้อยเมิ่งก็จะไปด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เซียวอวี้ : ถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? กวนไหลอิ้งหาได้รับคำตอบจากฝ่าบาทไม่ ได้รับเพียงฝุ่นตลบลอยคลุ้งหลังจากที่รถม้าเคลื่อนออกไป ร่างกายของเฟิ่งจิ่วเหยียนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ จำเป็นต้องระบายความชื้นบรรเทาความเย็นทุกวัน เซียวอวี้จึงพาฮูหยินเมิ่งกลับไปที่เมืองหลวงด้วย ตงฟางซื่อกับพรรคพวกได้กำจัดหยางเหลียนซั่วตัวหายนะ กลับมิได้หยุดพัก พวกเขายังท่องยุทธภพ มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง มีเพียงหร่วนฝูอวี้ ที่ได้ลอบติดตามไปยังเมืองหลวงด้วย …… หลังจา
เหล่าขุนนางติดตามขบวนเสด็จของฮ่องเต้เข้าวัง เพื่อรายงานตามหน้าที่ เฟิ่งจิ่วเหยียนตั้งใจจะไปที่คุกเทียนเหลาโดยตรงก่อน จึงยังไม่เข้าวัง นางกำลังจะหันหลังจากไป พลันถูกเสียงหนึ่งเรียกไว้ “แม่ทัพน้อย!” ครั้นหันกลับไปมอง ก็เห็นเป็นองค์หญิงใหญ่เซียวฉี องค์หญิงใหญ่ได้รับพระราชทานจวน และพำนักอยู่ที่จวนองค์หญิงใหญ่นอกพระราชวัง เมื่อได้ยินมาว่าฝ่าบาทกับแม่ทัพน้อยเมิ่งจะกลับมาในวันนี้ นางได้มารออยู่ใกล้ประตูพระราชวังแต่เช้าตรู่ เดิมคิดว่า จักทำเพียงมองดูแม่ทัพน้อยจากระยะไกล เมื่อได้รู้ว่าแม่ทัพน้อยยังคงปลอดภัย นางก็พอใจแล้ว ในยามที่เห็นทุกคนจากไปหมดแล้ว นางจึงลงจากรถม้าอย่างไม่รู้ตัว คิดได้คืบจะเอาศอก อยากพูดคุยกับแม่ทัพน้อย แม้กระทั่ง... องค์หญิงใหญ่เดินไปหาเฟิ่งจิ่วเหยียน ทันใดนั้น ก็ยื่นมือออกมาคว้าอีกฝ่ายโดยกะทันหัน และกอดนางไว้ ล้วนเป็นสตรีเหมือนกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงไม่ต่อต้าน และปล่อยให้นางกอดสักพัก หารู้ไม่ว่า ในที่ลับตาคน หร่วนฝูอวี้กำลังจ้องมองคนทั้งสองอยู่ หร่วนฝูอวี้โกรธมากจนหักกิ่งไม้ข้าง ๆ สายตาเย็นชา พลางสบถด่าอยู่กับตนเอง
เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้คีบเหล็กเขี่ยถ่านร้อนแดงในอ่าง พลางเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ช่วงหลายเดือนก่อน ข้าได้ล่วงรู้ถึงภูมิหลังของหร่านชิว “ฮูหยินหร่านกล่าวว่า นางเป็นบุตรสาวนอกสมรสของเจ้า” สีหน้าของหยางเหลียนซั่วพลันเย็นเยียบ กระทั่งตอนนี้ ซูฮ่วนยังคิดที่จะโกหกเขา! เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวต่อ “เพื่อฝึกฝนวิชาดาราโรยหมื่นวิถี หร่านชิวได้สังหารชาวยุทธไปนับมิถ้วน ตงฟางซื่อยืนกรานว่า จักต้องสังหารนางทิ้งทันที เพื่อป้องกันภัยพิบัติในภายภาคหน้า “ข้ากลับคิดว่า ปล่อยให้พวกเจ้าสองพ่อลูกเข่นฆ่ากันเองจะดีกว่า “ฉะนั้น ตงฟางซื่อจึงไปโน้มน้าวให้หร่านชิว ร่วมสังหารเจ้าด้วยกัน “หร่านชิวต้องการขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งประมุขพรรคของเจ้า และครองยุทธภพตั้งนานแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ “ทว่านางมีความหยิ่งทะนงเกินไป เพิ่งจะฝึกฝนเคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถีได้ถึงขั้นสาม ก็กล้าที่จะต่อสู้กับเจ้า หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็จะถูกธาตุไฟเข้าแทรก และสติฟั่นเฟือน เดิมข้าแค่อยากให้พวกเจ้าพ่อลูกได้ ‘รู้จัก’ กัน ให้เจ้าได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของการฆ่าลูกสาวแท้ ๆ ด้วยมือตนเอง ซึ่งการปรากฏตัวของฮ
เฟิ่งจิ่วเหยียนวางคีบเหล็กลง และค่อย ๆ ก้าวเดินไปหยุดต่อหน้าของหยางเหลียนซั่ว ในคุกมืดสลัว อับชื้น และเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าที่ฉุนจมูกนัก หยางเหลียนซั่วสูญเสียดวงตาไปแล้ว การรับรู้เสียงจึงไวมาก เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของนาง เสียงที่เงียบสงบนั้น ชี้นำอารมณ์ที่หลากหลายของผู้คนได้ “มีวิหารลัทธิเต๋าแห่งหนึ่งอยู่ในเมืองหลวง และมีทางลับซ่อนอยู่ใต้วิหารลัทธิเต๋านั้น “และคุกเทียนเหลาแห่งนี้ ก็มีทางลับ ที่เชื่อมต่อกันด้วย “ทางออกที่ปลายทางของพวกมัน คือหุบเขาหลิวหลีในเมืองอาน “ต้องขอบคุณลูกน้องของเจ้า ทำให้ข้าโชคดีได้เดินผ่านเส้นทางลับนั้นโดยบังเอิญ “ตอนแรก ข้าคิดว่ามันเป็นเส้นทางลับธรรมดา ที่ใช้สำหรับหลบหนี และลอบขนส่งมนุษย์โอสถ “หลังจากนั้นก็พบว่า เส้นทางลับนี้มีความผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าสามารถตัดผ่านเป็นเส้นตรงได้ ทว่ากลับอ้อมไปทางป่าทุรกันดาร เป็นทางคดเคี้ยวยาวไกล...” เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของหยางเหลียนซั่วพลันว้าวุ่น เขาพยายามแกล้งทำเป็นไม่สนใจ และเขาเก่งในเรื่องเสแสร้งยิ่งนัก ทว่ายามที่อยู่ต่อหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน สิ่งนี้กลับไม่ม
ไทฮองไทเฮามองดูคนที่คุกเข่าร้องไห้อย่างทุกข์ระทม สีหน้าพลันอ่อนลง “หลันเอ๋อร์ เจ้าบอกความจริงข้ามา เจ้ามิรู้จริงหรือว่าคนเหล่านั้นเป็นกบฏ?” มู่หรงหลันส่ายศีรษะ “ไม่รู้เพคะ หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ หม่ากงกงผู้นั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เขาปั่นหัวพวกเราตั้งแต่ต้นจนจบ เสด็จย่า ท่านก็ถูกเขาหลอกด้วยมิใช่หรือเพคะ ท่านย่อมรู้ดีที่สุดว่าเขาเจ้าเล่ห์แค่ไหน ท่านคิดไม่ผิดเลย...” ไทฮองไทเฮาทอดถอนใจ “เอาล่ะ หากข้าถูกปล่อยตัวออกไปได้ จักอธิบายความจริงให้ฝ่าบาทฟังเป็นแน่ และขอให้ปล่อยเจ้าออกไปด้วย” นังสารเลว! คิดว่านางโง่จริงรึ! ในยามนี้นางต้องตกปากรับคำไว้ก่อน เพื่อให้อีกฝ่ายตายใจไปก่อน มิฉะนั้นมู่หรงหลันจะอับอายกลายเป็นโทสะ ลุกขึ้นมาฆ่านางกลางดึก จะทำอย่างไร? มิรู้จริง ๆ ว่าผู้ใดเป็นคนจัดการ ให้ขังพวกนางไว้ด้วยกัน มู่หรงหลันโค้งคำนับขอบคุณไทฮองไทเฮา นัยน์ตามีแสงสีเข้มแฝงอยู่ ความจริงก็เป็นดั่งที่นางคาดไว้ หยางเหลียนซั่วได้สารภาพจนหมดเปลือก ทว่ามิได้สาวถึงตัวมู่หรงหลันเพียงคนเดียวเท่านั้น และหาได้เอ่ยถึงความสัมพันธ์ฉันลุงหลานของพวกเขาไม่ เขาคิดว่า มู่หรงห
ในห้องพิจารณาคดี รุ่ยอ๋องนั่งอยู่ตรงพื้นที่สำหรับฟังคำพิจารณาคดี เพื่อฟังมู่หรงเหลียนยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา “ในสมัยนั้น ข้าถูกนางแม่มดของพรรคเทียนหลงใช้มนตร์เสน่ห์ใส่ จึงกระทำความชั่วมากมาย “หลักฐานการกบฏของราชครูเฉินนั้น เป็นข้าปลอมแปลงขึ้นมาเอง “อดีตรัชทายาทสังหารพี่น้องร่วมสายโลหิต รวมกลุ่มก่อกบฏ ก็เป็นฝีมือของข้าใส่ร้ายเช่นกัน...” ทันทีที่เขาพูดจบ ทุกคนพลันตกตะลึงพรึงเพริด คาดไม่ถึงว่า วิญญูชนเยี่ยงมู่หรงเหลียน จักกระทำความผิดร้ายแรงเช่นนี้ได้! ยิ่งไม่คาดคิดเลยว่า อดีตรัชทายาทจะถูกใส่ร้ายป้ายสี! …… คุกเทียนเหลา ไทฮองไทเฮารอคอยด้วยใจจดใจจ่อ ข่าวดีก็มาถึงในที่สุด พัศดีเปิดประตูห้องขัง “ไทฮองไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทมีพระบัญชา ให้ปล่อยตัวท่านออกจากคุกพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงหลันที่อยู่อีกมุมหนึ่งก็มีความสุขขึ้นมาทันที ไทฮองไทเฮาถูกปล่อยตัวออกไปแล้ว นางจะช่วยตนเองออกไปได้แน่ ครั้นรู้ว่าออกไปได้แล้ว ไทฮองไทเฮาก็หาได้มีอาการประชวรอีกไม่ ยืนขึ้นอย่างคล่องแคล่ว และเดินออกไปทันที สถานที่แห่งนี้ นางทนอยู่ต่อแม้เพียงอึดใจเดียวก็ไม่ไหวแล้ว
ณ พระราชวัง ฮองเต้ทรงคิดบัญชีย้อนหลัง นอกจากไทฮองไทเฮาแล้ว เหล่าท่านอ๋องในคุกเทียนเหลาก็จะถูกลงโทษฐานกระทำความผิดร้ายแรง มีขุนนางหลายคนทูลขอพระเมตตาแทนพวกเขา “ฝ่าบาท เหล่าท่านอ๋องมิรู้เรื่องเลย ล้วนถูกไทฮองไทเฮาหลอกใช้ มิสมควรได้รับโทษหนักพ่ะย่ะค่ะ” เซียวอวี้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สายตาเย็นชาคมกริบ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่า การที่พวกเขานำทหารของตนบุกเข้าวิหารบรรพบุรุษ เป็นเพราะถูกไทฮองไทเฮาหลอกใช้ หรือมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ “พวกเขาเข้ามาในเมืองหลวงโดยไม่มีคำสั่ง ละทิ้งหน้าที่โดยพลการ ถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรง! “หากกองทัพเยี่ยนบุกโจมตีจริง ๆ แล้วไซร้ พวกเขาจักไม่สามารถพิทักษ์เมืองได้ทัน สมควรปลิดชีพทดแทนความผิด!” เซียวอวี้ไร้ซึ่งไมตรีจิต พลันมีราชโองการทันที ให้ลงโทษเหล่าท่านอ๋องตามกฎหมาย เหล่าขุนนางล้วนแต่น้ำท่วมปาก ทว่าคิดดูอีกที ต้องขอบคุณกองทัพตงปู้กับแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ต่อสู้กับศัตรูสุดความสามารถ หากกองทัพเยี่ยนบรรลุผล ผลที่ตามมาจะเลวร้ายจนไม่อาจจินตนาการถึง เหล่าท่านอ๋องนั้น ช่างเลอะเลือนอะไรเช่นนี้! ความคิดของพวกเขา ปรากฏชัดเจนม
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร