ตงฟางซื่อตอบกลับยิ้ม ๆ“ได้สิ ลำบากนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร กลัวแต่หยางเหลียนซั่วจะหนีไปได้จริง ๆ”หนึ่งชั่วยามต่อมาเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมาถึงจวนหนานซานอ๋องได้ยินว่าอาการของต้วนไหวซวีแย่ลง นางจึงรีบเข้าไปในห้องของเขาข้างเตียง สีหน้าของต้วนเจิ้งค่อนข้างย่ำแย่“วันนี้ฮ่องเต้มาหาพี่ชายของข้า ทำให้พี่ชายของข้าอาเจียนเลือดออกมา”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยต้วนไหวซวี่อธิบายด้วยสีหน้าอ่อนแรง“อย่าไปฟังที่อาเจิ้งพูด ไม่เกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้ ร่างกายของข้าไม่ดีเอง อาเหยียน พวกเจ้าเจอศพประมุขพรรคหรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างใจเย็น“เพื่อป้องกันไม่ให้คนหนีออกไปได้ ตอนนี้เหล่าทหารทำได้เพียงเฝ้าไว้ยังไม่ขุด จึงยังไม่เจอศพ ไหวซวี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลมาก มีคนอยู่มากมาย ไม่มีทางปล่อยให้เขาหนีไปได้หรอก”หัวคิ้วของต้วนไหวซวี่ขมวดเข้าหากัน“ข้ากลัวว่า ประมุขพรรคจะไม่ตายง่าย ๆ …อาเหยียน เจ้าต้องระวัง และป้องกันมากหลายเท่านะ“หากเขาหนีไปได้จริง ๆ เจ้าจงจำไว้ว่า…วิชาดาราโรยหมื่นวิถีควบคุมได้ยาก สิ่งที่กลัวที่สุดคือจิตใจว้าวุ่น ไม่เช่นนั้นอาจหมกมุ่นเหมือนถูกมนต์ดำ…แค่ก ๆ !”ต้วนไหวซวี่ร่
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น!” เฟิ่งจิ่วเหยียนตกใจอย่างมากแม้นหมอจะบอกว่า เวลาของต้วนไหวซวี่เหลือไม่มากแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังเหลือเวลาอยู่อีกหลายวันนางยังไม่ทันได้เตรียมใจ——เขากำลังจะลาจากโลกนี้ไปแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบกลับไปที่จวนหนานซานอ๋องเมื่อเปิดประตูเข้าไป เห็นเพียงต้วนไหวซวี่นอนอยู่บนเตียง ลมหายใจเริ่มโรยรินขึ้นเรื่อย ๆ ความมีชีวิตชีวาบนใบหน้าหล่อเหลานั้นค่อย ๆ เลือนหายไปต้วนเจิ้งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กุมมือของเขาไว้แน่น“ท่านพี่ ท่านพี่! ท่านอย่าหลับนะ! กว่าเราจะช่วยท่านออกมาได้…ท่านพี่!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้าไปทีละก้าวอย่างแข็งทื่อ จ้องมองต้วนไหวซวี่แน่นิ่ง นัยน์ตาทอแววเวทนา“ไหวซวี่…”ผ้าปูเตียงเปื้อนไปด้วยเลือดสด ๆ ของเขา เขามองมาที่นาง ด้วยแววตาอ่อนโยน ราวกับว่าไม่อยากให้นางกังวลและกลัว“อาเหยียน ข้าไม่เป็นอะไร” เขาพยายามยิ้มออกมาเฟิ่งจิ่วเหยียนกำหมัดแน่นนางรู้ว่าร่างกายของเขาต้องแบกรับความเจ็บปวดมากแค่ไหนมากถึงขนาดที่ว่า ทุกครั้งที่หายใจ เหมือนถูกลงโทษประหารแล่เนื้อการมีชีวิตอยู่สำหรับเขา ไม่ได้สบายในวินาทีนี้ นางปล่อยวางแล้วดังนั้นนางจึงนั่งลงข้างเต
ต้วนไหวซวี่ตายแล้วที่จริงชีวิตเขาใกล้จะมอดดับไปนานแล้วหลายปีที่ผ่านมา เขาฝืนทนอยู่ได้ ก็เพื่อรักษาข้อตกลงห้าปีนั้นตอนนี้ เมื่อเห็นว่าอาเหยียนของเขามีความสามารถปกป้องตนเองได้ ข้างกายยังมีสหายและคนรัก รู้ว่านางมิจำเป็นต้องการตนอีกต่อไป เขาก็ปลดปล่อยพลังอย่างหมดสิ้นชีวิตนี้ของเขาไม่เจ็บแค้น และไม่เสียใจเสียงร่ำไห้ของต้วนเจิ้งนั้น ทำลายความเงียบสงัดของรัตติกาลทั่วทั้งจวนอ๋องถูกปกคลุมด้วยความมัวหมองเซียวอวี้ยืนอยู่ที่ลานกว้าง พร้อมแหงนหน้าขึ้น และมองไปยังดวงจันทร์สีขาวนวลดวงนั้นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกังวลใจหากต้วนไหวซวี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะสามารถแย่งชิงมาได้จริง ๆ หรือไม่?พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วัน รวมถึงเคยพูดคุยกันไม่กี่ประโยค เขาก็รู้แล้วว่า เหตุใดตอนแรกเฟิ่งจิ่วเหยียนถึงชอบต้วนไหวซวี่ถึงเพียงนั้นสุภาพบุรุษที่อ่อนโยนเช่นนี้ กระทั่งตายก็ยังนึกถึงคนอื่นเขามิอยากเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนร่ำไห้ให้กับต้วนไหวซวี่ จึงกลับเข้าห้องในทันที ทั้งรู้สึกว้าวุ่นในใจ เหมือนสิ่งของกระจัดกระจายมากมาย กำลังลอยละลิ่ว ทำให้คนคว้าไว้ไม่ได้ จิตใจจึงกระวนกระวาย......หนานซ
ภูเขาอวี้หลิงหยางเหลียนซั่วราวกับพญาวานร กระโดดออกมาท่ามกลางก้อนหินกระจัดกระจายเหล่าทหารเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจตงฟางซื่อพุ่งมาด้านหน้าในทันที และขวางหยางเหลียนซั่วไว้ด้วยพละกำลังของตนเอง เพื่อไม่ให้คนวิ่งหนีไปได้ทันใดนั้น สิบสองเทพชะตาที่คุ้มกันขุนเขาก็ลงมือ ตั้งค่ายกลปิดล้อมหยางเหลียนซั่ว และเปิดฉากโจมตีเขาอย่างต่อเนื่องเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะรีบตามไป และมองเห็นฉากการประมือของพวกเขาการต่อสู้อันดุเดือดทำให้ก้อนหินภูเขาแตกกระจายเหล่าทหารใช้ลูกธนูยิงออกไป ทว่ายากจะเล็งไปยังหยางเหลียนซั่วได้อย่างแม่นยำเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้สวมหน้ากาก จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงในเวลานี้ หยางเหลียนซั่วจดจำเซียวอวี้ได้ และยิ่งจดจำ “เมิ่งสิงโจว” ได้อย่างชัดเจน---คนร้ายที่ลอบสังหารเจาเอ๋อร์ของเขา!หากมิใช่เมิ่งสิงโจว เจาเอ๋อร์ก็คงมิอยู่ในสภาพปางตาย! ดวงตาของหยางเหลียนซั่วใต้หน้ากากพลันแดงก่ำเขารีบพุ่งออกมาจากวงล้อมของสิบสองเทพชะตา และมุ่งตรงมายังเซียวอวี้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนชักกระบี่ยาวออกจากฝัก และเดินตรงไปด้านหน้าเซียวอวี้กับตงฟางซื่อสองคนก็โจมตีจากด้านข้างทั
หยางเหลียนซั่วดูดซับพลังภายในของคนจำนวนมาก หาใช่จะควบคุมได้ง่ายเพียงนั้นแรงกระตุ้นจากคำพูดของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทำให้พลังเจินชี่ภายในของเขาแปรปรวนเพื่อป้องกันมิให้พลังเจินชี่พลุ่งพล่าน จนทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก เขาจึงมิอาจใช้เคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถีได้ ขณะเดียวกันก็ยังต้องใช้พลังภายในควบคุมตนเองให้นิ่งในเสี้ยววินาทีสั้น ๆ นี้ ก็ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนและตงฟางซื่อมีโอกาสท่าทะลวงพิฆาต---กระบวนท่าโจมตีเป็นคู่ของพวกเขาเฟิ่งจิ่วเหยียนโยนกระบี่ให้ตงฟางซื่อ คนหลังเปลี่ยนมาโจมตีทางตรงก่อน ท่าเคลื่อนไหวกระบี่วกวนจนทำให้ลายตาหยางเหลียนซั่วถอยหลังไปหลายก้าว ทว่ากลับไม่สังเกตเห็นว่า เหนือศีรษะของเขา เฟิ่งจิ่วเหยียนราวกับนกอินทรีโฉบลงมากินเหยื่อ พร้อมกับพลังที่รวบรวมอยู่ในฝ่ามือตูม!ฝ่ามือของนางกระแทกลงมาบนศีรษะของหยางเหลียนซั่ว!ในเสี้ยววินาทีนั้น กะโหลกศีรษะของเขาสั่นไหวเมื่อเห็นเช่นนี้ เซียวอวี้ก็รีบซัดฝ่ามือจากด้านข้างเพิ่มไปอีกหนึ่งฝ่ามือสิบเอ็ดเทพชะตาก็รีบเข้ามาเสริมกำลัง และใช้กระบวนท่าโจมตีหยางเหลียนซั่วโดยพร้อมเพรียงกองกำลังมากกว่าสิบคนก็โจมตีมาในเวลาเดียวกัน หยางเหลียนซั่วขับ
เพื่อรับมือกับหยางเหลียนซั่ว เซียวอวี้ได้เตรียมการป้องกันไว้แล้วเหล่าองครักษ์จึงตั้งค่ายกล พร้อมปล่อยตาข่ายลงมา เหมือนกับดักจับปลา ทำให้หยางเหลียนซั่วติดอยู่ในตาข่ายจากนั้นคนจำนวนหนึ่งก็รีบล้อมวงเข้ามา และย้ายตำแหน่งกัน ปากตาข่ายจึงรัดแน่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาหยางเหลียนซั่วเหวี่ยงมือทั้งสองข้าง และดิ้นรนทว่า การพังทลายของเจดีย์เก้าชั้น เดิมก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นยังต่อสู้กับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะการโจมตีของซูฮ่วน บวกกับในเวลานี้เขาธาตุไฟเข้าแทรก พลังเจินชี่กลับรั่วไหลออกมา ตาข่ายนี้ ในยามปกติเขาสามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย ทว่าตอนนี้กลับมีกำลังไม่เพียงพอพลังเจินชี่รั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขาก็ได้รับความทรมานเช่นกัน“ยิงธนู!!” หนานซานอ๋องออกคำสั่งตามมาในขณะที่กำลังจะยิงสังหารราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่นี้ได้ แต่จู่ ๆ หมอกควันสีขาวก็กระจายฟุ้งขึ้นมาโดยรอบตรงกลางหมอกควันนั้น ก็คือหยางเหลียนซั่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนหัวใจบีบแรงแย่แล้ว!มีคนช่วยหยางเหลียนซั่ว!หมอกควันหนาทึบ ทุกคนมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ชัด ทั้งยังสำลักควันหนานซานอ๋
“แม่ทัพน้อย สารด่วนที่สุด! คุณหนูใหญ่ได้รับความอัปยศจนปลิดชีพตัวเอง นายหญิงต้องการให้ท่านกลับโดยเร็วที่สุด เพื่ออภิเษกสมรสแทนคุณหนูใหญ่!”ชายแดนแคว้นหนานฉี เกือกม้าย่ำผ่านลำธารที่เพิ่งละลาย หยดน้ำกระเซ็นซ่านเฟิ่งจิ่วเหยียนควบม้านำอยู่หน้าสุด นางสวมอาภรณ์เรียบง่ายแขนสอบสีดำ ใช้ปิ่นไม้อันเดียวรวบผมดำขลับ เส้นผมและชายชุดสะบัดพลิ้ว ในความองอาจเหนือคนนั้นแฝงไว้ซึ่งอารมณ์อันคุกรุ่นนางกับเฟิ่งเวยเฉียงน้องสาวเป็นฝาแฝดกัน แต่เนื่องจากการมีฝาแฝดไม่เป็นมงคล นางจึงถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เล็กเวยเฉียงมีนิสัยอ่อนโยนอ่อนหวาน ไม่เคยผูกความแค้นกับใครนางไม่เข้าใจเลย ใครจะทำร้ายคนที่บริสุทธิ์ดีงามเช่นนั้นนางจะจับคนผู้นั้นมาถลกหนังเลาะกระดูก สับเป็นชิ้น ๆ ป้อนให้สุนัขกินเสีย!องครักษ์เห็นว่าจะตามไม่ทันความเร็วของนางแล้วจึงตะโกนว่า“แม่ทัพน้อย ตอนนี้ควบม้าตายไปสองตัวแล้ว ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม แวะพักก่อนดีหรือไม่...”เฟิ่งจิ่วเหยียนสะบัดแส้ม้า“ตามไม่ทันก็ไสหัวกลับค่ายทหาร! ย่าห์!”โง่เง่า! มีเวลามาพักผ่อนเสียที่ไหน!สิ่งที่นางแบกรับอยู่ตอนนี้คือหนึ่งร้อยกว่าชีวิตในตระกูลเฟิ่ง!องคร
เฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ในห้องหรี่ดวงเนตรงามลงเล็กน้อยวันนี้ไม่ว่าผลตรวจร่างกายเป็นเช่นไร ก็ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเฟิ่งทั้งสิ้นหวงกุ้ยเฟยจะต้องตัดสินว่าบุตรีตระกูลเฟิ่งไม่บริสุทธิ์เป็นแน่ จากนั้นก็ใช้เหตุนี้สร้างเรื่องตามมาถ้าคนที่มาสวมรอยแทนอย่างนางถูกตรวจร่างกายได้ผลว่ายังบริสุทธิ์ ถึงจะสามารถป้องกันแผนร้ายของหวงกุ้ยเฟย แต่ก็คงจะทำให้หวงกุ้ยเฟยนึกสงสัยขึ้นมาทันทีที่เรื่องสวมรอยแต่งงานมีพิรุธปรากฏ ถึงยามนั้นโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงก็เพียงพอให้ตระกูลเฟิ่งประสบหายนะได้แล้ว!สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองตรงไปข้างหน้า ใช้มือที่จับทวนมาจนชินนั้นแต้มบุปผาตรงหว่างคิ้วของตนเองอย่างหนักแน่นสิ่งที่อาจารย์สั่งสอนนางมีเพียงหลักพิชัยสงครามและหลักการเป็นขุนนางอาจารย์หญิงเคยสอนหลักการครองเรือนให้นาง ในนั้นย่อมมีธรรมเนียมปฏิบัติในวังหลวงด้วยเช่นกัน ยามนั้นแม้นางได้เรียนรู้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้นำมาใช้งานเพราะปณิธานของนางอยู่ที่ใต้หล้า ไม่ต้องการถูกคุมขังไว้ในเรือน เป็นเพียงภรรยาตัวน้อยที่โอนอ่อนผ่อนตามสามีคิดไม่ถึงว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิตนอกห้องขันทีผู้นั้นเดินนำนางกำนัลจากในวังหลวงตรงมา
เพื่อรับมือกับหยางเหลียนซั่ว เซียวอวี้ได้เตรียมการป้องกันไว้แล้วเหล่าองครักษ์จึงตั้งค่ายกล พร้อมปล่อยตาข่ายลงมา เหมือนกับดักจับปลา ทำให้หยางเหลียนซั่วติดอยู่ในตาข่ายจากนั้นคนจำนวนหนึ่งก็รีบล้อมวงเข้ามา และย้ายตำแหน่งกัน ปากตาข่ายจึงรัดแน่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาหยางเหลียนซั่วเหวี่ยงมือทั้งสองข้าง และดิ้นรนทว่า การพังทลายของเจดีย์เก้าชั้น เดิมก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นยังต่อสู้กับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะการโจมตีของซูฮ่วน บวกกับในเวลานี้เขาธาตุไฟเข้าแทรก พลังเจินชี่กลับรั่วไหลออกมา ตาข่ายนี้ ในยามปกติเขาสามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย ทว่าตอนนี้กลับมีกำลังไม่เพียงพอพลังเจินชี่รั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขาก็ได้รับความทรมานเช่นกัน“ยิงธนู!!” หนานซานอ๋องออกคำสั่งตามมาในขณะที่กำลังจะยิงสังหารราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่นี้ได้ แต่จู่ ๆ หมอกควันสีขาวก็กระจายฟุ้งขึ้นมาโดยรอบตรงกลางหมอกควันนั้น ก็คือหยางเหลียนซั่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนหัวใจบีบแรงแย่แล้ว!มีคนช่วยหยางเหลียนซั่ว!หมอกควันหนาทึบ ทุกคนมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ชัด ทั้งยังสำลักควันหนานซานอ๋
หยางเหลียนซั่วดูดซับพลังภายในของคนจำนวนมาก หาใช่จะควบคุมได้ง่ายเพียงนั้นแรงกระตุ้นจากคำพูดของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทำให้พลังเจินชี่ภายในของเขาแปรปรวนเพื่อป้องกันมิให้พลังเจินชี่พลุ่งพล่าน จนทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก เขาจึงมิอาจใช้เคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถีได้ ขณะเดียวกันก็ยังต้องใช้พลังภายในควบคุมตนเองให้นิ่งในเสี้ยววินาทีสั้น ๆ นี้ ก็ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนและตงฟางซื่อมีโอกาสท่าทะลวงพิฆาต---กระบวนท่าโจมตีเป็นคู่ของพวกเขาเฟิ่งจิ่วเหยียนโยนกระบี่ให้ตงฟางซื่อ คนหลังเปลี่ยนมาโจมตีทางตรงก่อน ท่าเคลื่อนไหวกระบี่วกวนจนทำให้ลายตาหยางเหลียนซั่วถอยหลังไปหลายก้าว ทว่ากลับไม่สังเกตเห็นว่า เหนือศีรษะของเขา เฟิ่งจิ่วเหยียนราวกับนกอินทรีโฉบลงมากินเหยื่อ พร้อมกับพลังที่รวบรวมอยู่ในฝ่ามือตูม!ฝ่ามือของนางกระแทกลงมาบนศีรษะของหยางเหลียนซั่ว!ในเสี้ยววินาทีนั้น กะโหลกศีรษะของเขาสั่นไหวเมื่อเห็นเช่นนี้ เซียวอวี้ก็รีบซัดฝ่ามือจากด้านข้างเพิ่มไปอีกหนึ่งฝ่ามือสิบเอ็ดเทพชะตาก็รีบเข้ามาเสริมกำลัง และใช้กระบวนท่าโจมตีหยางเหลียนซั่วโดยพร้อมเพรียงกองกำลังมากกว่าสิบคนก็โจมตีมาในเวลาเดียวกัน หยางเหลียนซั่วขับ
ภูเขาอวี้หลิงหยางเหลียนซั่วราวกับพญาวานร กระโดดออกมาท่ามกลางก้อนหินกระจัดกระจายเหล่าทหารเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจตงฟางซื่อพุ่งมาด้านหน้าในทันที และขวางหยางเหลียนซั่วไว้ด้วยพละกำลังของตนเอง เพื่อไม่ให้คนวิ่งหนีไปได้ทันใดนั้น สิบสองเทพชะตาที่คุ้มกันขุนเขาก็ลงมือ ตั้งค่ายกลปิดล้อมหยางเหลียนซั่ว และเปิดฉากโจมตีเขาอย่างต่อเนื่องเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะรีบตามไป และมองเห็นฉากการประมือของพวกเขาการต่อสู้อันดุเดือดทำให้ก้อนหินภูเขาแตกกระจายเหล่าทหารใช้ลูกธนูยิงออกไป ทว่ายากจะเล็งไปยังหยางเหลียนซั่วได้อย่างแม่นยำเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้สวมหน้ากาก จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงในเวลานี้ หยางเหลียนซั่วจดจำเซียวอวี้ได้ และยิ่งจดจำ “เมิ่งสิงโจว” ได้อย่างชัดเจน---คนร้ายที่ลอบสังหารเจาเอ๋อร์ของเขา!หากมิใช่เมิ่งสิงโจว เจาเอ๋อร์ก็คงมิอยู่ในสภาพปางตาย! ดวงตาของหยางเหลียนซั่วใต้หน้ากากพลันแดงก่ำเขารีบพุ่งออกมาจากวงล้อมของสิบสองเทพชะตา และมุ่งตรงมายังเซียวอวี้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนชักกระบี่ยาวออกจากฝัก และเดินตรงไปด้านหน้าเซียวอวี้กับตงฟางซื่อสองคนก็โจมตีจากด้านข้างทั
ต้วนไหวซวี่ตายแล้วที่จริงชีวิตเขาใกล้จะมอดดับไปนานแล้วหลายปีที่ผ่านมา เขาฝืนทนอยู่ได้ ก็เพื่อรักษาข้อตกลงห้าปีนั้นตอนนี้ เมื่อเห็นว่าอาเหยียนของเขามีความสามารถปกป้องตนเองได้ ข้างกายยังมีสหายและคนรัก รู้ว่านางมิจำเป็นต้องการตนอีกต่อไป เขาก็ปลดปล่อยพลังอย่างหมดสิ้นชีวิตนี้ของเขาไม่เจ็บแค้น และไม่เสียใจเสียงร่ำไห้ของต้วนเจิ้งนั้น ทำลายความเงียบสงัดของรัตติกาลทั่วทั้งจวนอ๋องถูกปกคลุมด้วยความมัวหมองเซียวอวี้ยืนอยู่ที่ลานกว้าง พร้อมแหงนหน้าขึ้น และมองไปยังดวงจันทร์สีขาวนวลดวงนั้นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกังวลใจหากต้วนไหวซวี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะสามารถแย่งชิงมาได้จริง ๆ หรือไม่?พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วัน รวมถึงเคยพูดคุยกันไม่กี่ประโยค เขาก็รู้แล้วว่า เหตุใดตอนแรกเฟิ่งจิ่วเหยียนถึงชอบต้วนไหวซวี่ถึงเพียงนั้นสุภาพบุรุษที่อ่อนโยนเช่นนี้ กระทั่งตายก็ยังนึกถึงคนอื่นเขามิอยากเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนร่ำไห้ให้กับต้วนไหวซวี่ จึงกลับเข้าห้องในทันที ทั้งรู้สึกว้าวุ่นในใจ เหมือนสิ่งของกระจัดกระจายมากมาย กำลังลอยละลิ่ว ทำให้คนคว้าไว้ไม่ได้ จิตใจจึงกระวนกระวาย......หนานซ
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น!” เฟิ่งจิ่วเหยียนตกใจอย่างมากแม้นหมอจะบอกว่า เวลาของต้วนไหวซวี่เหลือไม่มากแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังเหลือเวลาอยู่อีกหลายวันนางยังไม่ทันได้เตรียมใจ——เขากำลังจะลาจากโลกนี้ไปแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบกลับไปที่จวนหนานซานอ๋องเมื่อเปิดประตูเข้าไป เห็นเพียงต้วนไหวซวี่นอนอยู่บนเตียง ลมหายใจเริ่มโรยรินขึ้นเรื่อย ๆ ความมีชีวิตชีวาบนใบหน้าหล่อเหลานั้นค่อย ๆ เลือนหายไปต้วนเจิ้งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กุมมือของเขาไว้แน่น“ท่านพี่ ท่านพี่! ท่านอย่าหลับนะ! กว่าเราจะช่วยท่านออกมาได้…ท่านพี่!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้าไปทีละก้าวอย่างแข็งทื่อ จ้องมองต้วนไหวซวี่แน่นิ่ง นัยน์ตาทอแววเวทนา“ไหวซวี่…”ผ้าปูเตียงเปื้อนไปด้วยเลือดสด ๆ ของเขา เขามองมาที่นาง ด้วยแววตาอ่อนโยน ราวกับว่าไม่อยากให้นางกังวลและกลัว“อาเหยียน ข้าไม่เป็นอะไร” เขาพยายามยิ้มออกมาเฟิ่งจิ่วเหยียนกำหมัดแน่นนางรู้ว่าร่างกายของเขาต้องแบกรับความเจ็บปวดมากแค่ไหนมากถึงขนาดที่ว่า ทุกครั้งที่หายใจ เหมือนถูกลงโทษประหารแล่เนื้อการมีชีวิตอยู่สำหรับเขา ไม่ได้สบายในวินาทีนี้ นางปล่อยวางแล้วดังนั้นนางจึงนั่งลงข้างเต
ตงฟางซื่อตอบกลับยิ้ม ๆ“ได้สิ ลำบากนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร กลัวแต่หยางเหลียนซั่วจะหนีไปได้จริง ๆ”หนึ่งชั่วยามต่อมาเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมาถึงจวนหนานซานอ๋องได้ยินว่าอาการของต้วนไหวซวีแย่ลง นางจึงรีบเข้าไปในห้องของเขาข้างเตียง สีหน้าของต้วนเจิ้งค่อนข้างย่ำแย่“วันนี้ฮ่องเต้มาหาพี่ชายของข้า ทำให้พี่ชายของข้าอาเจียนเลือดออกมา”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยต้วนไหวซวี่อธิบายด้วยสีหน้าอ่อนแรง“อย่าไปฟังที่อาเจิ้งพูด ไม่เกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้ ร่างกายของข้าไม่ดีเอง อาเหยียน พวกเจ้าเจอศพประมุขพรรคหรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างใจเย็น“เพื่อป้องกันไม่ให้คนหนีออกไปได้ ตอนนี้เหล่าทหารทำได้เพียงเฝ้าไว้ยังไม่ขุด จึงยังไม่เจอศพ ไหวซวี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลมาก มีคนอยู่มากมาย ไม่มีทางปล่อยให้เขาหนีไปได้หรอก”หัวคิ้วของต้วนไหวซวี่ขมวดเข้าหากัน“ข้ากลัวว่า ประมุขพรรคจะไม่ตายง่าย ๆ …อาเหยียน เจ้าต้องระวัง และป้องกันมากหลายเท่านะ“หากเขาหนีไปได้จริง ๆ เจ้าจงจำไว้ว่า…วิชาดาราโรยหมื่นวิถีควบคุมได้ยาก สิ่งที่กลัวที่สุดคือจิตใจว้าวุ่น ไม่เช่นนั้นอาจหมกมุ่นเหมือนถูกมนต์ดำ…แค่ก ๆ !”ต้วนไหวซวี่ร่
ดูเหมือนการมาเยือนของเซียวอวี้ จะอยู่ในความคาดหมายของต้วนไหวซวี่เขานั่งพิงหัวเตียง สีหน้าซีดขาวตามประสาคนป่วย จากนั้นก็ดุต้วนเจิ้งว่า “อาเจิ้ง อย่าเสียมารยาท เจ้าออกไปก่อน”ต้วนเจิ้งไม่กล้าปล่อยพี่ชายไว้กับฮ่องเต้ทรราชคนหลังอารมณ์ดุร้ายแค่ไหน เขาเคยได้ยินมาเซียวอวี้เดินตรงไปนั่งข้างโต๊ะ พูดอย่างเปิดเผยว่า“ให้เขาอยู่ด้วยก็ได้“สิ่งที่เรากำลังจะพูดกับเจ้าต่อจากนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ให้คนฟังไม่ได้”ต้วนไหวซวี่พยักหน้าอย่างยากลำบาก“พ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้นั่งอยู่ตรงนั้น ท่าทางน่าเกรงขาม“เรารู้ เจ้าเป็นคนรุ่นหลังของตระกูลต้วน“ตระกูลต้วนก่อกบฏจนถูกสังหารชั่วโคตร ที่พวกเจ้าสองพี่น้องโชคดีรอดมาได้ ก็นับว่าเป็นบุญคุณจากสวรรค์แล้ว“เฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นฮองเฮาของเรา…”ต้วนเจิ้งรีบแก้คำพูดให้เขา “อดีตฮองเฮาต่างหาก พวกท่านหย่าร้างกันแล้ว ทั่วใต้หล้าต่างรู้กันหมด”เซียวอวี้ปรายตามองเขาอย่างเย็นชา คร้านจะโต้แย้งอะไรกลับไป“เห็นแก่ความรู้สึกของนาง เราจะละเว้นโทษให้พวกเจ้าสองพี่น้อง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเจ้าหลุดพ้นจากการเป็นผู้กระทำต่ำช้า กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์อีกครั้ง”ต้วนเจิ้งค่อนข้า
เฟิ่งจิ่วเหยียนคาดเดา“หนานซานอ๋องคิดว่า คนร้ายถูกส่งเข้ามาในเจดีย์เก้าชั้น เพื่อนำมาหล่อเลี้ยงโลหิตหงส์ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น“ตอนนั้นปฐมจักรพรรดิต้องใช้คนมีชีวิตมาบูชายัญ เพื่อสยบความดุร้ายของศิลาหยก“ด้วยเหตุนี้ จึงนำอาภรณ์ของเชื้อพระวงศ์มาใส่ให้คนร้ายเหล่านี้ แลกกับความสงบสุขของราชวงศ์”ส่วนเหตุใดต้องเลือกคนร้ายเหล่านั้น ประการแรก ปฐมจักรพรรดิยังพอมีจิตสำนึก คิดว่าคนเหล่านี้กระทำผิดอย่างไร้ขอบเขต ไม่ว่าตายแบบไหนยังนับว่าเบาเกินไปสำหรับพวกเขาประการที่สอง เจดีย์เก้าชั้นจองจำผู้กระทำผิดชั่วร้ายไว้ ตัดความคิดของคนที่ต้องการตามหาสมบัติ ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนหลีกห่างเซียวอวี้พยักหน้า เห็นด้วยกับการคาดเดาของนาง“ปฐมจักรพรรดิไม่ได้บอกความจริงกับหนานซานอ๋อง จนหนานซานอ๋องสืบสายเลือดมาถึงปัจจุบัน ก็ยังคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเฝ้าปกปักษ์คือโลหิตหงส์”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวน้ำเสียงเรียบนิ่ง“นี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์“มีฐานะเป็นถึงฮ่องเต้ คงไม่อยากให้มนุษย์โลกคิดว่า เขาจะกลัวศิลาหยก”พูดมาถึงตรงนี้ นางก็ต้องเอ่ยถึงอีกเรื่อง“ไหวซวี่บอกว่า หยางเหลียนซั่วผู้นั้นคือคนรุ่นหลังของแคว
เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นยืน โค้งคำนับท่านอ๋องทั้งสองคนสองคนนั้นกลับหันไปคารวะเซียวอวี้ใบหน้าของอ๋องผู้เฒ่าออบโอ้มอารี เอ่ยอย่างหยอกล้อ“แม่นางเฟิ่ง โลหิตหงส์ขาดแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ หากเจ้าอภิเษกกับฝ่าบาทอีกครั้งได้…”หัวคิ้วของเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดเล็กน้อยเซียวอวี้รู้ดี ในตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความคิดพิจารณาเรื่องเหล่านี้อยู่ดี ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็มีแต่จะทำให้นางหงุดหงิดเขาเป็นฝ่ายตัดบทของอ๋องผู้เฒ่า“พูดเรื่องสำคัญได้แล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ตัวว่าสถานะของตัวเองไม่เหมาะสม จึงจะขอตัวออกมาเซียวอวี้กลับคว้าแขนของนางไว้ “เจ้าไม่ต้องไป”“เพคะ”หนานซานอ๋องกล่าวอย่างนอบน้อม“ฝ่าบาท ที่กระหม่อมกับท่านพ่อมา เพราะอยากขอคำชี้แนะเรื่องขุมทรัพย์กับศิลาหยก เจดีย์เก้าชั้นถูกทำลายแล้ว ต่างถูกฝังไว้ใต้ดินทั้งหมด จำเป็นต้องขุดมาหรือไม่”เซียวอวี้ถามอย่างเรียบนิ่ง“เรื่องศิลาหยก พวกเจ้ารู้มากแค่ไหน?”หนานซานอ๋องหันไปมองอ๋องผู้เฒ่าเขาสงสัยมาตลอด ของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เหตุใดปฐมจักรพรรดิต้องครอบงำมันไว้ในเจดีย์เก้าชั้น?คำบอกเล่าของตงฟางซื่อก่อนหน้านี้ ทำให้เขาพะว้า