ด้านในถาดกลับมีหัวคนอยู่ในนั้น! ! !ขุนนางที่ขี้ขลาดตาขาวนั้นพลันเป็นลมล้มพับหน้าซีดหน้าเซียวไปในทันทีเซียวอวี้ใช้เวลาชื่นชมปฏิกิริยาของผู้คนเหล่านี้“พวกเจ้ามิใช่ขอให้เราตรวจสอบอย่างเข้มงวดหรือ เหตุใดถึงได้มีท่าทีเป็นกังวลเช่นนี้กัน?”“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ นี่ นี่มัน...”เฉินจี๋จึงเป็นผู้ตอบแทนฝ่าบาทเอง“พวกเขาล้วนแต่เป็นขุนนางที่ทำการยักยอกเบี้ยหวัดทหารของเมืองเซวียน ขุนนางทุกท่านจงดูเอาไว้ ไม่แน่ว่า อาจจะมีคนที่พวกท่านคุ้นเคยอยู่ด้วยก็เป็นได้”เหล่าขุนนางต่างพากันตกอกตกใจก่อนจะรีบลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นในทันที“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องยิ่งนัก! การสังหารขุนนางที่ก่อกรรมทำเรื่องทุจริต ทั้งยังคืนความสงบสุขให้กับเมืองเซวียนอีกด้วย!”“ขุนนางที่ละโมบย่อมสมควรถูกประหาร!”ตงฟางซื่อที่มองไปยังหัวที่เปื้อนเลือดนั้น เขาพลันรู้สึกหัวไก่ที่อยู่ในชามดูน่าขยะแขยงยิ่งนักทันใดนั้น เซียวอวี้จึงกวาดสายตามองเหล่าขุนนางทุกคนภายในงานเลี้ยง แววตาเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟัน “ย่อมสมควรถูกประหาร ทว่า เพียงเท่านี้หาได้เพียงพอไม่”พูดจบ ประตูใหญ่พลันถูกปิดลงดัง “ปั้ง”ทำเอาเหล่าขุนนางพากันตกใจไปในทันทีพร
วันรุ่งขึ้นด้านนอกโรงพักแรมหลังจากที่ทุกคนจัดเตรียมของเสร็จแล้วนั้น ก็เตรียมตัวออกเดินทางในทันทีรถม้ามีเพียงหนึ่งคันเท่านั้น ย่อมเป็นคันที่ให้ฮ่องเต้นั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนและตงฟางซื่อจึงขี่ม้าจู้กั๋วกงออกมาส่งเซียวอวี้พลางเอ่ยพูดคุยกับเขาเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายในรถม้าเล็กน้อยนั้น ยามที่คิดจะเข้าไปดู จู่ ๆ กลับมีหัวโผล่ออกมา ที่แท้เป็นองค์หญิงน้อยที่นั่งอยู่ด้านในนั่นเองนางกอดผ้าห่อของสีชมพูดเอาไว้ พลางหันมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยท่าทีตื่นเต้น“พี่ชายใหญ่ ข้าจะไปพักอยู่กับพี่ชายฮ่องเต้ที่เมืองหลวงสักระยะ! ท่านเข้ามานั่งกับข้าเถอะ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบถอยตัวออกมาในทันที“องค์หญิงน้อยพ่ะย่ะค่ะ ชายหญิงสมควรจักมีระยะห่างต่อกัน”ขณะที่นางกำลังถอยตัวออกมานั้น นางเกือบจะชนเข้ากับเซียวอวี้ที่อยู่ด้านหลังของนางข้างหูพลันมีน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เจือไปด้วยความเย็นชาดังออกมาว่า“มิเป็นอันใด ในเมื่อองค์หญิงน้อยเห็นว่าเจ้าเป็นสหาย คุณชายซู อย่าได้ปฏิเสธไปเลย”องค์หญิงน้อยพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะใช้แรงดึงมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้“พี่ชายใหญ่...”เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงถ
“ให้ข้าคุ้มกันส่งพวกเขากลับไปยังเมืองหลวง?” น้ำเสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเจือไปด้วยความเย็นชาตงฟางซื่อที่นั่งอยู่ที่เดิมนั้น พลางเอ่ยถามออกมาตามตรง“ในห้องนี้มีแค่พวกเราสองคน เจ้าบอกความจริงกับข้ามา ที่อดีตฮองเฮาต้องการหย่าร้างจนเกิดเรื่องราวใหญ่โตนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่?”เขาที่รู้จักซูฮ่วนมานานหลายปีนั้น ทั้งยังคอยเฝ้าดูเขาเติบโตจากเด็กน้อยเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ มองดูเขาที่เดินผ่านมวลบุปผานับพัน ทั้งยังได้รับความรักจากสตรีอีกมากมายโดยเฉพาะบุตรสาวของลูกหลานชนชั้นสูงที่ได้รับการฟูกฟักเป็นอย่างดี ย่อมถูกเสน่ห์ของคนยุทธภพเช่นซูฮ่วนดึงดูดได้อย่างง่ายดายตงฟางซื่อทมีความสามารถเข้าใจผู้คนได้เป็นอย่างดี ย่อมมองออกว่า ฝ่าบาทให้ความ “ใส่ใจ” กับซูฮ่วนมากเป็นพิเศษอีกทั้ง ฝ่าบาทยังย้ำเรื่องอดีตฮองเฮาขึ้นมาอีกนั่นจึงทำให้เขานึกสงสัยเป็นอย่างมากว่า การที่ฝ่าบาทพุ่งเป้าไปที่ซูฮ่วนเช่นนี้ เป็นเพราอดีตฮองเฮาหรือไม่เฟิ่งจิ่วเหยียนเพียงรู้สึกว่าไร้สาระยิ่งนัก“มิใช่ ความสัมพันธ์ของข้ากับอดีตฮองเฮาขาวสะอาดยิ่งนัก”ตงฟางซื่อจึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปยังเบื้องหน้าของนาง พลางตบไหล่เ
หาได้เหมือนตอนที่อยู่ในเมืองหลวงไม่ หลังจากที่อู๋ไป๋มาที่พันธมิตรอู่หลินแล้วนั้น เขาก็มักจะสวมใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา มิยอมเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตนเองให้ผู้ใดเห็นเมื่อฮ่องเต้มาเยือนที่พันธมิตรอู่หลินในวันนี้ อู๋ไป๋จึงไม่กล้าที่จะเผยตัวตนออกมามากกว่าเดิมเมื่อได้ยินว่าท่านแม่ทัพน้อยจะคุ้มกันฮ่องเต้และองค์หญิงไปที่เมืองหลวงนั้น เขาก็เริ่มตื่นตระหนกออกมาในทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีใจเย็นว่า“เจ้ามิเหมาะสมที่จะติดตามข้าอีก ไปเมืองผางก่อนเสีย”อู๋ไป๋พลางรับคำ “ขอรับ!”……อีกด้านหนึ่งสถานที่ถิ่นทุระกันดารในหนานฉีหลังจากฟังคำรายงานของผู้บังคับบัญชาของตนเองแล้วนั้น นายท่านที่อยู่ภายในห้องพลันมีอาการโกรธเกรี้ยวไปในทันที“หวังโซ่วเหรินต้องการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้? เป็นผู้ใดสั่งให้เขาทำกัน!”ในขณะเดียวกัน พลันมีชายชุดคลุมสีขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พร้อมทั้งปิดบังหน้าตาของตนเองจนมองไม่ออกว่าเป็นผู้ใดเขาเอ่ยกับผู้ที่อยู่ด้านในฉากกั้นว่า“ข้าเคยพบกับหวังโซ่วเหริน ในยามนั้นเขาหาได้เปิดเผยถึงแผนการที่จะลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ไม่ เกรงว่าเขาคงตัดสินใจทำลงไปเช่นนั้นยามที่ตน
เฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับความนิยมในหมู่สาว ๆ มากนัก ทำเอานางดื่มสุราไปมากมายหลายจอกแล้วยามที่แม่นางน้อยผู้หนึ่งยื่นสุรามาให้นั้น ตงฟางซื่อก็รีบมารับไปแทนเฟิ่งจิ่วเหยียนในทันที“แม่นางทุกท่าน ถึงแม้ว่ารองผู้นำพันธมิตรซูของพวกเราจักดีมากเท่าใด ทว่า ภายในพันธมิตรอู่หลินของพวกเรายังมีคนอีกมากที่ยังมิได้ตกแต่งออกไปนะ!”พร้อมทั้งเสียงหัวเราะจากฝูงชนที่ดังตามมา“ไม่ได้! ท่านผู้นำก็ยังมิแต่งงานเลย! แม่นางทุกท่านยังมิรีบส่งจอกสุราให้กับท่านผู้นำพันธมิตรอีกหรือ?”สิ่งที่ยากที่สุดคือการรับน้ำใจจากสาวงามนั่นเองตงฟางซื่อจึงยอมลงโทษตนเองด้วยการยกจอกสุราขึ้นดื่มไปสองสามจอกก่อนหลังจากนั้นเขาก็นั่งอยู่ข้าง ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียน พลางเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มว่า“วันพรุ่งนี้เจ้ายังต้องออกเดินทางต่อ รีบเข้าไปพักผ่อนเสียเถอะ ตรงนี้หาได้เป็นอันใดไม่”เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้สนใจอันใดนานแล้วเหมือนกันที่นางมิได้ผ่อนคลายแบบนี้หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่เป็นเสมือนกับสวนดอกท้อที่พันธมิตรอู่หลินคอยปกป้องดูแลอยู่เมื่อนางมาเยือนที่แห่งนี้ ราวกับว่าทั่วร่างที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารฆ่าฟันถูกชำระล้างออกไปในขณะเดียวกัน พ
การรักใครสักคนจริง ๆ นั้น ริมฝีปากของนาง มือของนาง ท่าทางการร่ำสุราของนาง ท่าทีเหม่อลอยของนาง คำพูดที่นางมักจะเอ่ยออกมานั้น... เขาล้วนแต่คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างยิ่งฮองเฮาของเขา แม่ทัพน้อยของเขา เขามั่นใจว่าต้องเป็นนางอย่างแน่นอนภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เซียวอวี้แย้มยิ้มออกมาด้วยความขมขื่นนางหลอกลวงเขาได้เจ็บแสบยิ่งนักนางมิได้เป็นเพียงท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ฟาดฟันศัตรูในสนามรบเท่านั้น ยังเป็นซูฮ่วนจอมยุทธพันธมิตรอู่หลินแห่งยุทธภพอีกป้ายทองไว้ชีวิตนั้น แต่แรกจนถึงตอนนี้ล้วนแต่เป็นการขอไว้เพื่อตัวนางเองมิแปลกใจเลยที่นางจะไม่ชอบอยู่ในวังหลวงสิ่งที่นางเคยพบเห็นนั้น มิได้มีเพียงดินแดนอันกว้างใหญ่ของชายแดนเหนือ ทั้งยังมียุทธภพที่กว้างใหญ่อีกนางที่มีอายุเพียงสิบสามก็โลดแล่นอยู่ภายในยุทธภพแล้ววังหลวงของเขา เล็กเกินไปสำหรับนางเสมือนกับปลาในแม่น้ำและทะเล หากนำพวกมันมาเลี้ยงเอาไว้ในอ่างเล็ก ๆ ไม่นานก็ย่อมตายไปด้วยความหดหู่ เมื่อได้มาเห็นนางร้องเพลงและเต้นรำกับผู้คนในหมู่บ้านเสิ่นเจียอู่คืนนี้แล้วนั้น เขาถึงได้รู้ว่านางชอบวันเวลาแบบไหนกันแน่ คนที่เขาเพียรคิดถึงคะนึงหาอยู่
เนื่องจากทางด้านหน้ามีการพังทลายของภูเขา ทำให้มิอาจเดินทางผ่านไปได้ทางราชสำนักจึงส่งคนมาทำความสะอาดเศษดินเศษไม้ที่ล่วงหล่นลงมากลุ่มคณะของเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงได้แต่ต้องเลือกสถานที่ค้างแรมแถวนี้องค์หญิงน้อยที่มีจิตใจที่กว้างใหญ่ ยามนี้แย้มยิ้มออกมาเต็มหน้า พลางเอ่ยเรียกออกมาว่า “ท่านพี่ฮ่องเต้”“ท่านพี่ฮ่องเต้ ต้องกางกระโจมหรือไม่? คืนนี้ข้าจักได้นอนกับพี่ชายใหญ่!”ถึงแม้ว่าเซียวอวี้จะยอมตกลง หากแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้เห็นด้วยไม่ข้าง ๆ มีลำธารอยู่ใกล้ ๆ องค์หญิงน้อยที่อยากกินปลานั้น เซียวอวี้จึงสั่งให้เฉินจี๋ไปจับมันมาเฉินจี๋มีฝีมือไม่เบาเลย ไม่นานเขาก็สามารถจับปลาตัวใหญ่ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงก่อไฟขึ้นมาด้วยความเชี่ยวชาญ ใช้กิ่งไม้ขึ้นมาต่อกันเพื่อให้สามารถย่างปลาได้ง่าย ๆเซียวอวี้นั่งอยู่บนก้อนหินอยู่ไม่ไกลนั้น มองดูนางอย่างเงียบ ๆองค์หญิงน้อยนั่งอยู่ด้านข้างเขา ก่อนจะใช้สองมือเท้าคางเอาไว้ พลางเอ่ยชื่นชมออกมาว่า“พี่ชายใหญ่ใจดียิ่งนัก หากว่ามาเป็นเสด็จพี่สะใภ้ของข้าได้คงจะดีไม่น้อย!”เซียวอวี้รู้ดีว่า เรื่องนี้มิอาจเป็นไปได้นางมิเคยมีเขาอยู่ภายในใจ อีกทั้ง นางยังมิช
เซียวอวี้พลางเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าอึมครึม ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดมากมายราวกับว่าไม่ว่าเขาจักทำเช่นไร สตรีผู้นั้นหาได้พอใจไม่ปลาย่างของต้วนไหวซวี่อร่อยกว่าของเขางั้นหรือ นางถึงได้ไม่ยอมลืมเช่นนี้?ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนมาจากด้านหลังว่า“ฝ่าบาท”ฝีเท้าของเซียวอวี้พลันชะงักไปในทันที ก่อนหันหลังเอ่ยกับผู้ที่ตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก“มีเรื่องใด?”“พี่ชายฮ่องเต้ พี่ชายใหญ่มาที่นี่เพื่อต้องการมาขอโทษท่านนะ”เมื่อเขาหันกายกลับมานั้น พลันเห็นว่าองค์หญิงตัวน้อยก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน นางยืนอยู่ข้างกายเฟิงจิ่วเหยียน พร้อมทั้งในมือที่ถือปลาย่างเอาไว้ ก่อนจะเคี้ยวมันด้วยปากที่เปรอะเปื้อนไปด้วยสีดำนางเขย่าแขนเฟิ่งจิ่วเหยียนไปมา “ใช่หรือไม่? พี่ชายใหญ่? ท่านรู้ว่าท่านพี่ฮ่องเต้ย่างปลาด้วยความยากลำบาก การที่ท่านไม่กินนั้น ย่อมทำให้เขาไม่สบายใจใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าลง“ใช่”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเป็นปมเล็กน้อย ก่อนที่คิ้วจะคลายตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น“เราหาได้เป็นอันใดไม่ เพียงแค่เรายังไม่หิวเท่านั้น”องค์หญิงน้อยพลางก้าวไปข้างหน้าเพื่อกระตุกแขนเสื้
หลิวอิ๋งดิ้นรนเหมือนคนบ้า“ปล่อยข้า! ข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของท่านประมุขนะ! ข้าจะไปพบท่านพี่! พวกเจ้าจะทำร้ายท่านพี่ของข้า!”“ขุนนางรัก รีบหยุดพวกเขาเร็ว!“พวกเขาต้องมีเจตนาร้ายแน่!”ยามนี้เหล่าขุนนางต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ต่อให้พวกนางอยากจะช่วย ก็ยังต้องดูด้วยว่าตนมีความสามารถที่จะช่วยหรือไม่แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่มีอำนาจคุมกองทัพ รวมกับฮองเฮาแคว้นหนานฉีเองก็อยู่ที่นี่ จะให้สู้อย่างไรเล่า?อีกทั้งประมุขคนใหม่นี้มีเหตุผลชอบธรรมจริงหรือไม่ ก็ยังต้องพิจารณากันอีกที!หากนางไม่ใช่ซู่ยวนจริง ๆ พวกนางจะไม่กลายเป็นประสงค์ดีแต่ดันทำเรื่องไม่ดีลงไป แล้วช่วยคนชั่วทำความผิดหรอกหรือ?เสียงโวยวายของหลิวอิ๋ง เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่นางสั่งทุกคนอย่างหนักแน่น“แม่ทัพหู ท่านดูแลท้องพระโรงให้ดี“แม่ทัพอีกสามท่านแยกกันเฝ้าประตูวัง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกทั้งสิ้น ป้องกันไม่ให้สายลับของแคว้นอื่นฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย“มั่วซินหมัวมัว พาขุนนางคนสนิทสองสามคนตามข้าไปพบท่านประมุข”“เพคะ!” หูย่วนเอ๋อร์และมั่วซินหมัวมัวตอบรับคำสั่งขุนนางบุ๋นบู๊ที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสั
บนบัลลังก์มังกร หลิวอิ๋งมองเฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังได้เปรียบแล้วฝืนยิ้ม“ที่แท้ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดนี่เอง ถึงอย่างไรความจริงก็เป็นเรื่องภายในของแคว้นซีหนี่ว์ แคว้นหนานฉี...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะหลิวอิ๋งที่กำลังพูดด้วยแววตาเย็นชา“ข้าจะพบประมุขแคว้น”หลิวอิ๋งซ่อนเจตนาไม่ดีไว้ในรอยยิ้ม“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ประมุขแคว้นทรงสวรรคตแล้ว ยามนี้ยังไม่ได้ประกาศออกไป เพราะกลัวว่าในแคว้นจะเกิดความวุ่นวาย หากพวกเจ้าไม่เชื่อก็รีบไปที่ตำหนักบรรทมสิ ประมุขแคว้น...ทรงอยู่ในโลงแล้ว”“อะไรนะ!” ปฏิกิริยาของมั่วซินหมัวมัวรุนแรงมากหลิวอิ๋งแสร้งแสดงท่าทีเสียใจ ใช้มือหนึ่งปิดใบหน้า ไหล่สั่นสะท้าน ราวกับกำลังสะอึกสะอื้นด้วยความเศร้านางก้มศีรษะลงครึ่งนึง แล้วกล่าวเสริมว่า“เหล่าขุนนางรักเอ๋ย ไม่ใช่ว่าข้าต้องการปิดบังพวกท่าน ทว่านี่เป็นเรื่องกะทันหัน ภายในก็วุ่นวาย ภายนอกศัตรูรุกราน ข้าไม่กล้าพูดออกมา“วันนี้ กบฏมั่วซินกลับเดินเข้ามาติดกับดักด้วยตนเอง ในที่สุดวิญญาณของท่านพี่ที่อยู่บนสวรรค์ ก็ได้ตายตาหลับเสียที“ท่านพี่...”นางร้องไห้เสียใจ ทำให้เหล่าขุนนางร้องตามไปด้วย“ท่านประมุข!”มั่วซินห
เหล่าขุนนางของแคว้นซีหนี่ว์ล้วนรู้ดี มั่วซินหมัวมัวเป็นคนเก่าแก่ข้างกายประมุข ได้รับความไว้วางใจจากประมุขเป็นอย่างมากคำพูดของนาง น่าจะไม่ผิดทว่า ใต้เท้าซู่ยวนคนนี้ เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของประมุข...ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครมั่วซินกล่าวหาว่าสถานะซู่ยวนเป็นตัวปลอม ซู่ยวนก็กล่าวหาว่ามั่วซินกบฏ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความคิดเห็นของตนเองจนเฟิ่งจิ่วเหยียนออกมาพูด“เหตุใดไม่ให้ประมุขทรงตรัสด้วยตนเอง?”เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ สายตาหลิวอิ๋งฉายแววความโหดร้าย“ข้าไม่มีทางให้พวกเจ้าทำร้ายพี่สาว! พวกเจ้าเป็นโจรกบฏ อย่าคิดที่จะได้พบประมุข! ทหาร จัดการพวกนาง!”“ข้าจะดูว่าใครกล้าลงมือ!” แม่ทัพใหญ่หูย่วนเอ๋อร์ออกมายืนด้านหน้า ปกป้องเฟิ่งจิ่วเหยียนกับมั่วซินหมัวมัวหลิวอิ๋งตำหนิหูย่วนเอ๋อร์“แม่ทัพหู เจ้าก็คิดจะกบฏหรือ! เห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่รู้ความจริง ถูกคนหลอกลวง ข้าให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย รีบมายืนฝั่งข้า! จับกุมตัวโจรกบฏ!”หูย่วนเอ๋อร์พูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม“ต่อให้จะลงโทษใคร ก็ควรให้ประมุขตัดสิน! ใต้เท้าซู่ยวน ประมุขอยู่ที่ใด!”หลิวอิ๋งเห็นว่าคนพวกนี้ไม่ฟังคำพูดตนเอง บีบ
ในพระราชวัง แคว้นซีหนี่ว์หลิวอิ๋งพาประมุขกลับวังอย่างเปิดเผย เหล่าข้าหลวงล้วนเคารพนาง ไม่สงสัยในตัวนางเพื่อไม่ให้ประมุขเปิดปากขอความช่วยเหลือ หลิวอิ๋งให้นางทานยาสลบ ทำให้นางตกอยู่ในสภาวะหมดสติเทียบกับความใจเย็นของหลิวอิ๋ง เจิ้งจีรู้สึกตื่นเต้น ไม่กล้ามองผู้ใดจนกระทั่งพาประมุขส่งมาถึงตำหนักบรรทม หลังจากสั่งให้ข้าหลวงทั้งหมดออกไปแล้ว เจิ้งจีค่อยถามด้วยเสียงเบา“ท่านแม่ เราทำเช่นนี้ จะไม่มีใครรู้จริง ๆ หรือ?”หลิวอิ๋งมองประมุขบนเตียง ด้วยแววตาโหดเหี้ยม“นางใกล้จะตายแล้ว ตำแหน่งประมุข ไม่ช้าก็จะเป็นของข้า ขอเพียงข้าควบคุมทั่วทั้งแคว้นซีหนี่ว์ ก็จะไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับข้า!”เจิ้งจียังคงรู้สึกหวาดกลัวหวนคิดถึงเมื่อไม่นาน นักฆ่าพวกนั้นบุกเข้ามาในจวนชานเมือง สังหารองครักษ์ข้างกายประมุข แล้วก็ปลอมเป็นองครักษ์ ร่วมมือกับพวกนาง พาประมุขกลับวังตอนนี้ นักฆ่าพวกนั้นก็อยู่ในวัง กระทั่ง คอยจับตามองอยู่ข้างกายพวกเขาต่อให้ท่านแม่เป็นประมุข ก็จะสามารถสบายใจไม่ทุกข์ไม่ร้อนจริงหรือ?“ท่านแม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ข้ากลัว”น้ำเสียงเจิ้งจีสั่นเทาหลิวอิ๋งลูบใบหน้านาง พูดเตือนนาง
ในพระราชโองการที่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น เขียนบันทึกไว้อย่างชัดเจน ขอเพียงนางยินยอม ก็สามารถเป็นประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้ทุกเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนถือพระราชโองการไว้ ในใจรู้สึกว้าวุ่นตลอดเวลาที่ผ่านมา นางคิดเพียงว่าตนเองคือคนของแคว้นหนานฉี เพื่อปกป้องแผ่นดิน ตายอยู่บนสนามรบ ก็ไม่ตำหนิเสียใจทว่าตอนนี้...ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รู้นิสัยของนางเป็นอย่างดี รู้ว่านางไม่มีทางรับอำนาจปกครองแคว้นซีหนี่ว์“เด็กดี พระราชโองการฉบับนี้ เป็นสิ่งรับประกันที่ป้าให้กับเจ้า ให้อนาคตเจ้ามีทางถอย”บนโลกนี้ การมีชีวิตอยู่ของสตรีนั้นยากลำบากมีเพียงแคว้นซีหนี่ว์ เป็นผืนแผ่นดินของสตรีในความรู้สึกส่วนตัว นางยังคงคาดหวังให้จิ่วเหยียน สามารถกลับมาสู่ตระกูลทว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงความหวังจิ่วเหยียนกับฮ่องเต้ฉีเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กัน กำลังเป็นช่วงเวลาที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ แยกจากกันไม่ได้นายหญิงเฟิ่งคาดเดาได้ว่าในพระราชโองการมีอะไร สีหน้าแสดงออกถึงตกตะลึง“พี่สาว ท่านคิดอยากที่จะ...”ประมุขพูดขัดนาง“ซู่ยวน ให้เด็กตัดสินใจเองเถอะ”จากนั้นก็หันไปสั่งมั่วซิน“เราเหนื่อยแล้ว
อารมณ์ประมุขแคว้นซีหนี่ว์แปรปรวนอย่างมาก บวกกับความปรารถนาที่เฝ้ารอคอยมานานเป็นจริง...การได้หาเจอน้องสาวที่แท้จริง เหมือนเชือกที่รัดแน่น ขาดกะทันหัน ร่างกายทนรับไม่ไหวในที่สุดหมอหลวงผู้ติดตามเฝ้าอยู่ด้านข้างเตียง ให้การรักษาอย่างเร่งด่วนด้านนอกห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนรออยู่เป็นเพื่อนนายหญิงเฟิ่งนายหญิงเฟิ่งยังคงถามย้ำอยู่หลายรอบ“จิ่วเหยียน ข้าคือซู่ยวนจริง ๆ หรือ? คราวนี้ไม่ได้ตรวจสอบผิดจริง ๆ หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนอดทน เล่าความจริงกับนางฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อให้นายหญิงเฟิ่งเตรียมใจตั้งแต่แรก ก็ยังคงไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนี้จากที่นางเป็นคนแคว้นหนานฉี กลายเป็นคนแคว้นซีหนี่ว์ กระทั่งยังกลายเป็นน้องสาวของประมุขทว่าลูกชายลูกสาวของนาง ล้วนอยู่ที่แคว้นหนานฉีต่อไปนางจะทำอย่างไร?และพี่สาวที่นางเพิ่งรู้ความจริง เวลานี้ยังคงเสี่ยงอยู่ตรงประตูนรก...นายหญิงเฟิ่งรู้สึกใจหาย จิตใจกระสับกระส่ายเฟิ่งจิ่วเหยียนจับมือของนางไว้แน่น ปลอบโยนอย่างไร้เสียงนายหญิงเฟิ่งเอียงศีรษะมองนาง แล้วค่อยผ่อนคลายเล็กน้อย“จิ่วเหยียน ประมุขจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สามารถใ
ก่อนที่ชายลึกลับจะปล่อยเจิ้งจี ได้ป้อนยาเม็ดหนึ่งใส่ปากของนางเจิ้งจีอยากคายออกมา กลับถูกเขาบีบคางไว้ ยังเม็ดนั้นจึงไหลลงคอไปหลิวอิ๋งมองเห็นกับตา ร้อนรุ่มอยู่ในใจ“เจ้าเอาอะไรให้นางกิน!”ฝ่ายชายพูดขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ “แน่นอนว่าเป็นยาพิษ ชีวิตลูกสาวของเจ้าอยู่ในมือพวกเรา”สายตาเจิ้งจีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนางกลัวตายนางอยากมีชีวิตอยู่“ท่านแม่ ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”ท่าทีหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความโกรธ“ข้าได้ตอบตกลงทำงานให้พวกเจ้าแล้ว ไยยังต้องทำร้ายลูกสาวข้า! ยาถอนพิษล่ะ! ยาถอนพิษอยู่ที่ใด?”ฝ่ายชายหัวเราะเสียงดัง“ยาถอนพิษ? จะให้เจ้าตอนนี้ได้อย่างไร? หลังจากทำงานสำเร็จแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกก็จะปลอดภัยเอง ทว่าตอนนี้ พวกเจ้าว่าง่ายเชื่อฟังจะดีที่สุด!”แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ฆ่าคนได้อย่างไม่กะพริบตาหลิวอิ๋งเกลียดแค้นจัดทว่า ถูกคนอื่นควบคุม ทำได้เพียงก้มหัว……แคว้นซีหนี่ว์ช่วงเวลานี้ อาการป่วยของประมุข ไม่มีร่องรอยว่าจะดีขึ้นเลยสุขภาพของนานย่ำแย่อย่างมาก แม้แต่ยาก็ไม่สามารถย่อยได้ส่วนงานราชกิจ นางมอบหมายให้กับขุนนางหลายคนที่ไว้ใจนางใช้ข้ออ้างไปรักษาตัว
เมื่อเทียบกับบุตรสาวที่มีความมั่นใจ หลิวอิ๋งกลับมีแต่ความกังวลใจนางรู้สึกอยู่ตลอดว่า เรื่องทั้งหมดแฝงกลิ่นอายความไม่ชอบมาพากลโดยเฉพาะกับราชทูตเหล่านั้นที่หายตัวไปอย่างกะทันหัน...เพล้ง!ขณะที่สาวใช้ยกน้ำชาออกมา เจิ้งจีสะบัดแขนเสื้อแรงเกินไป จึงมิทันระวังทำถ้วยชาหก จนลวกมือตนเองก่อนหน้านี้เจิ้งจีอยู่ที่พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ เป็นนายที่ผู้คนมากมายต้องให้ความเคารพ หากมีสิ่งใดมิราบรื่นเพียงเล็กน้อย จะมิยอมทนเด็ดขาด ตอนนี้แทบจะกลายเป็นสัญชาตญาณ นางจึงฟาดฝ่ามือออกไปอย่างทันควัน“เพียะ!” สาวใช้ปรากฏรอยแดงบนใบหน้าขึ้นมาทันที พลันรีบก้มศีรษะและขออภัยเจิ้งจีตอบโต้ฉับไว: “พวกรนหาที่ตาย ยกชาไม่เป็นหรืออย่างไร? มือข้าถูกลวกจนเป็นแผลแล้ว รีบไปนำยามาเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งรู้สึกหงุดหงิดใจ จึงตำหนิบุตรสาว“พอแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”ถึงอย่างไรก็เป็นจวนขององค์หญิงใหญ่เจิ้งจีรู้สึกคับแค้นใจ จึงยื่นมือไปตรงหน้ามารดา“ท่านแม่ เป็นเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ! ท่านดูมือของข้าสิ! ประเดี๋ยวก็ต้องเข้าวังไปพบฝ่าบาทแล้ว มือของข้ากลายเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาททรงมิพอพระทัยจะทำอย่างไร!”มือนับเป็นใบหน้าที่
หนานฉี เมืองหลวงหลิวอิ๋งยังคงมิได้ข่าวคราวของราชทูตคนอื่น ๆ ในใจยิ่งกระวนกระวายในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางวนเวียนไปที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อสอบถามความคืบหน้าทว่า บัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวคราวใด ๆภายในโรงพักแรมเจิ้งจีเห็นมารดากลับมา คำพูดแรกมิใช่แสดงความห่วงใย แต่เป็นการเร่งรัด“ท่านแม่ ฝ่าบาทเสด็จกลับวังแล้ว เมื่อใดพวกเราถึงจะได้เข้าวัง?”สีหน้าหลิวอิ๋งอยู่ในอาการเหม่อลอยเจิ้งจีถามอีก: “ท่านป้ายังมิได้ตอบจดหมายพวกเรา และส่งสาส์นตราตั้งฉบับใหม่มาให้อีกหรือเจ้าคะ? ท่านแม่?”หลิวอิ๋งเรียกสติกลับมา พลันกุมมือบุตรสาวไว้แน่น“ท่านป้าของเจ้ามิมีทางเมินเฉยพวกเรา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของนาง! พวกเราจะเข้าวังไปพบฝ่าบาทได้เลยโดยตรง!”เดิมคิดว่ารุ่ยอ๋องมีความสามารถที่จะตามหาราชทูตได้ มิคาดคิดว่า เขาที่ดูเหมือนเป็นคนเข้าหาได้ง่าย ที่จริงแล้วกลับรับปากนางแบบขอไปทีตลอดสองแม่ลูกจึงมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ภายในวังเซียวอวี้เพิ่งกลับเข้าวัง ขณะกำลังตรวจดูสาส์นกราบทูลในห้องทรงพระอักษร องครักษ์ก็เข้ามารายงาน---หลิวอิ๋งคนที่อ้างว่าเป็นราชทูตแคว้นซีหนี่ว์มาขอเข้าเฝ