เซียวอวี้นึกไม่ถึงมาก่อนเลย ที่ว่าโอวหยางเหลียนมาหาเขาเพราะมีเรื่องด่วน ก็เพื่อให้จิ่วเหยียนเติมเต็มวังหลังนางถึงกับต้องการให้เขาไปพูดโน้มน้าวจิ่วเหยียนโอวหยางเหลียนใช้ผลประโยชน์เป็นเหยื่อล่อ หวังให้เซียวอวี้เห็นด้วยหารู้ไม่ว่า พระสวามีที่สวมหน้ากากอยู่ด้านหน้านี้ ที่จริงแล้วคือฮ่องเต้แคว้นหนานฉี เขาไม่สนใจเงินทอง ลาภยศพวกนั้นเลยแม้แต่น้อยโอวหยางเหลียนพูดอยู่นาน แลกมาเพียงเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากเซียวอวี้“ใต้เท้าโอวหยาง ท่านดูถูกข้าเกินไปแล้ว”หลังทิ้งประโยคนี้ออกไป เซียวอวี้ก็เดินจากไปความโกรธพลันปรากฎขึ้นบนใบหน้าที่แก่ชราของโอวหยางเหลียนจนกระทั่งเซียวอวี้จากไปไกลแล้ว หูย่วนเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากภูเขาจำลองด้านหลังนางคำสนทนาเมื่อครู่ของคนทั้งสอง หูย่วนเอ๋อร์ได้ยินทั้งหมด“ใต้เท้าโอวหยาง พระสวามีเซียวท่านนี้ไม่ต้องการอะไรนอกจากความโปรดปรานของท่านประมุข บางทีคนผู้นี้อาจจะใช้งานได้”โอวหยางเหลียนขมวดคิ้ว “เจ้าคิดจะใช้อย่างไร?”หูย่วนเอ๋อร์ค่อย ๆ ตอบ“ท่านประมุขทรงโปรดปรานคนผู้นี้ พวกเราก็ใช้คนผู้นี้ทำให้ท่านประมุขอยู่ที่นี่ต่อ”น้ำเสียงของโอวหยางเหลียนเคร่งขรึม“ท่านแม
ต้วนเจิ้งมาที่แคว้นซีหนี่ว์ คิดอยากจะพบเฟิ่งจิ่วเหยียนซักครั้งเขาอยากจะถามนางว่าทำไมถึงทอดทิ้งเขา ไม่รักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายของเขาเมื่อข้าหลวงนำทางเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ในที่สุดต้วนเจิ้งก็ได้พบกับเฟิ่งจิ่วเหยียนทว่าคำถามที่คิดเอาไว้ดิบดี กลับถูกดึงกลับเข้าไปจนหมดจมูกของเขาแสบร้อน ดวงตาบวม“พวกเขาล้วนหลอกลวงข้า...เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้ว่าเขามาที่แคว้นซีหนี่ว์ทำไม นางแววตาเรียบเฉย“ขาของเจ้าหายรึยัง”ต้วนเจิ้งพยักหน้าติด ๆ กัน ยังดูเป็นเด็กน้อยเหมือนแต่ก่อน“ข้าตัวคนเดียว โดเดี่ยวมาก หากเป็นท่านพี่ เขาไม่มีทางทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียว...”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดแบบขวานผ่าซาก“ต่อให้เป็นพี่เจ้า ก็ไม่มีทางอยู่เป็นเพื่อนเจ้าไปตลอดชีวิตได้ อาเจิ้ง เจ้าควรจะโตได้แล้ว เซียวเหยาจวีที่ยกให้เจ้า ยังไม่พอหรือ? หรือเจ้ายังต้องการให้ข้าดูแลเจ้าไม่ห่าง?”ใบหน้าหล่อเหลาของต้วนเจิ้งปกคลุมไปด้วยความอึดอัดแขนที่ห้อยอยู่ข้างกายทั้งสองข้างของเขาเกร็งแน่น เขากำหมัดเบา ๆ“ข้าก็แค่อยากมาเยี่ยมท่าน อยากรู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีหรือไม่“ข้าไม่ได้อยากจะตัวติดกับท่าน“หลังจากท่านพี่ตาย ข
ภายในคุกหลวงสายลับแคว้นเป่ยเยี่ยนถูกคุมขังเอาไว้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากประมุข ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าเยี่ยมได้อู๋ไป๋ถูกสั่งให้มาสอบปากคำคนผู้นี้สายลับผู้นี้สารภาพออกมาตรง ๆ อย่างสบาย ๆ“ข้าเป็นองค์ชายเจ็ดของแคว้นเป่ยเยี่ยน ไม่รู้ว่าแคว้นท่านควบคุมตัวข้าไว้ด้วยเหตุใด”เขาไม่มีมาดอย่างองค์ชาย ทว่ากลับซักถามด้วยน้ำเสียงที่ปนความสงสัยหากเขาเป็นแค่สายลับทั่วไป จับมาก็แล้วไป ต่อให้ฆ่าเขาทิ้ง แคว้นเป่ยเยี่ยนก็ไม่มีทางมาถามหาความรับผิดชอบจากแคว้นซีหนี่ว์ทว่าเขาเป็นองค์ชายของแคว้นเป่ยเยี่ยน เรื่องนี้จึงจัดการยากอยู่บ้างอู๋ไป๋จึงรายงายเรื่องนี้ต่อท่านประมุขทันทีหลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ก็มีสีหน้านิ่งเฉย“ส่งเขากลับเป่ยเยี่ยนซะ”การเก็บคนผู้นี้ไว้ สำหรับแคว้นซีหนี่ว์เป็นการเพิ่มปัญหา และมีแต่จะเป็นการให้เหตุผลแคว้นเป่ยเยี่ยนในการบุกโจมตีแคว้นซีหนี่ว์เท่านั้นอู่ไป๋ไม่เห็นด้วยนักจึงเตือนนาง“ท่านประมุข ยังไม่ได้สืบเจตนาของคนผู้นี้ให้ชัดเจน หากเขามีเจตนาไม่ดี การปล่อยเขากลับไป จะไม่เป็นการปล่อยเสือกลับเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่คิดเช่นนั้นเมื่อวานนางได้ยินเซียวอวี้พูดม
ท่าทางขององค์ชายเจ็ดแคว้นเป่ยเยี่ยนดูหนักแน่น ต่างจากท่าทางที่ดูสบาย ๆ ก่อนหน้านี้“ตอนแรกเสด็จพี่ของกระหม่อมคนนั้นถูกแคว้นตงซานยุยง จึงร่วมกับแคว้นอื่นล้อมโจมตีแคว้นหนานฉี“พอเกิดสงครามขึ้น แคว้นตงซานกลับไม่ส่งทหารมาเลย น่ารังเกียจกว่าแคว้นซีหนี่ว์ที่หักหลังพันธมิตรเสียอีก“แคว้นตงซานหลอกใช้แคว้นอื่น ๆ เพื่อวางแผนชิงใต้หล้า“หากไม่ใช่เพราะแคว้นหนานฉีอาศัย ‘ใยแมงมุม’ ช่วยในการโจมตีกลับ แผนชั่วของแคว้นตงซานคงจะสำเร็จไปแล้ว“ทว่ายามนี้เสด็จพ่อต้องการแต่งตั้งรัชทายาท แคว้นตงซานแอบสนับสนุนเสด็จพี่หลายคนของกระหม่อมอย่างเงียบ ๆ เพื่อที่จะควบคุมราชสำนักของแคว้นเป่ยเยี่ยน“กระหม่อมไม่อาจทนเห็นพี่น้องทะเลาะวิวาทกัน และเพื่อปกป้องตัวเองไปในเวลาเดียวกัน จึงออกมาจากแคว้นเป่ยเยี่ยน เพื่อช่วยแคว้นเป่ยเยี่ยนชิงแคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งมาด้วยตนเอง”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ถึงความทะเยอทะยานของแคว้นตงซานทว่าองค์ชายเจ็ดแคว้นเป่ยเยี่ยนผู้นี้ ก็ไม่ใช่คนบริสุทธ์เช่นกันทุกอย่างที่เขาทำ ต้องทำไปเพื่อแคว้นเป่ยเยี่ยนและตนเองแน่นอน“ระหว่างแคว้นซีหนี่ว์กับแคว้นตงซาน ยังถูกคั่นด้วยแคว้นหนานฉีที่กว้างใหญ่
แม้เซียวอวี้จะอยู่ที่วังหลัง ทว่ากลับรู้ข่าวสารทั้งหมดทว่าเขายังคงไม่เข้าใจว่าคำพูดของเฟิ่งจิ่วเหยียนหมายความว่าอะไรแคว้นเป่ยเยี่ยนยึดครองแคว้นเจิ้งได้ ยังจะมีใครร้อนใจกว่าพวกเขาสองคนอีก?เฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบาย“วันนี้หม่อมฉันพบองค์ชายเจ็ดแคว้นเป่ยเยี่ยนแล้ว เขาพูดจริงปนเท็จ ทว่าก็ทำให้หม่อมฉันเข้าใจเรื่องหนึ่ง“ฮ่องเต้เป่ยเยี่ยนอยากแต่งตั้งองค์รัชทายาท ทว่ายังตัดสินใจไม่ได้“องค์ชายเจ็ดมาไกลถึงแคว้นเจิ้ง อยู่เป็นกุนซือในค่ายทหารแคว้นเจิ้ง จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือการช่วยแคว้นเป่ยเยี่ยนยึดคูป้องกันเมืองของแคว้นเจิ้ง แล้วใช้สิ่งนี้เป็นผลงานใหญ่“ยามนี้แคว้นเป่ยเยี่ยนชนะ บุกยึดแคว้นเจิ้งไว้ได้แล้ว ผลงานนี้จะเป็นของผู้ใดกัน?”เซียวอวี้เข้าใจแล้ว“เมื่อเป็นเช่นนี้ พอองค์ชายเจ็ดสร้างผลงานใหญ่ได้ ตำแหน่งรัชทายาทย่อมเป็นของเขา”เฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหน้า“ไม่แน่ โดดเด่นมากเกินไป ย่อมมีคนอิจฉา“แคว้นเป่ยเยี่ยนยังมีองค์ชายองค์อื่นอีก พวกเขาจะต้องขัดขวางแน่“ดังนั้นเมื่อครู่หม่อมฉันถึงได้บอกว่ามีคนร้อนใจกว่าพวกเรา ไม่อยากเห็นแคว้นเป่ยเยี่ยนครองแคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งสำเร็จ”นี่ก็
รุ่ยอ๋องจ้องหร่วนฝูอวี้ไม่กระพริบตา“เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือ ว่าอยากร่วมเตียงเคียงหมอน?”หร่วนฝูอวี้: นางพูดไปตั้งมากมายขนาดนี้ สุดท้ายเขาได้ยินแค่คำว่า “ร่วมเตียงเคียงหมอน” งั้นหรือ?นางฟาดมือลงบนแขนของเขา“ใครอยากนอนกับท่าน! อย่าคิดที่จะเอาเปรียบข้านะ!”รุ่ยอ๋องถือโอกาสยื่นมือไปจับมือของนางไว้ เป็นการกระทำที่ใจกล้าอย่างมากหร่วนฝูอวี้ชะงักอย่างห้ามไม่ได้“ท่าน ท่านทำอะไร?”ป่วยจนเลอะเลือนหรือไร?รุ่ยอ๋องมีสีหน้าจริงจัง “เราเป็นสามีภรรยากัน หากร่วมเตียงกัน ก็ไม่ถือว่าผู้ใดเอาเปรียบผู้ใด”มุมปากของหร่วนฝูอวี้กระตุกอย่างรุนแรงต่อมา นางก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ตบหัวเขาหนึ่งฉาด องครักษ์หลิวหวาเข้ามาในห้อง ก็เห็นภาพที่ท่านอ๋องของตัวเองโดนตบน่าแปลกกว่านั้นคือ ท่านอ๋องโดนตบ แต่ยังยิ้มได้นี่โดนตบจนเพี้ยนไปแล้วหรือ?หร่วนฝูอวี้ลุกขึ้น ตะคอกใส่หลิวหวา“รีบไปตามหมอมา ดูอาการให้ท่านอ๋องของพวกเจ้าด้วย”หลังจากที่นางออกไป รุ่ยอ๋องก็กลับมาเป็นปกติ มองมาที่หลิวหวาอย่างเรียบนิ่ง “เจ้าเข้ามาทำไม”หลิวหวาไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องตอบอย่างไร“เอ่อ…ข้าน้อยออกไปก็ได้ขอรับ?”รุ่ยอ๋องไม่สนใจ ลูบบริ
ณ เป่ยเยี่ยนฮ่องเต้ผู้เฒ่าโวยวายในห้องทรงพระอักษร“เจ้าเวรตะไลสมควรตายนั่น! แคว้นหนานฉียังจะส่งเขาไปเป็นขุนนางที่เมืองชายแดนอีกหรือ!”เสนาบดีโน้มน้าวเขา “ฝ่าบาททรงอย่าพิโรธ เป่ยเยี่ยนล้มแคว้นเจิ้งได้แล้ว ตราบใดที่เอาแคว้นเสี่ยวโจวมาได้อีก ก็จะสามารถเหนี่ยวรั้งแคว้นซีหนี่ว์ได้ เมืองทางตอนใต้ ได้สละให้แคว้นหนานฉีไปแล้ว แต่ก็ส่งผลเสียต่อพวกเราไม่มาก”ฮ่องเต้เยี่ยนมีสีหน้ามืดครึ้ม“เรากังวลว่าไอ้ลูกทรพีนั่นจะไม่ถอดใจ คิดว่าที่แคว้นหนานฉีปล่อยเขาออกมา คงมีความคิดที่จะปั่นป่วนเป่ยเยี่ยนเป็นแน่“ส่งคำสั่งออกไป ข่าวสารใด ๆ เกี่ยวกับไอ้ลูกทรพีนั่น ต้องให้เรารู้ทั้งหมด”เขาจะไม่ให้ลูกทรพีคนนั้นกลับมาที่เป่ยเยี่ยนอีกเสนาบดีพยักหน้าอย่างนอบน้อม “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”จากนั้น เสนาบดีก็ถามต่อ“พระองค์ ครั้งนี้องค์ชายเจ็ดสร้างผลงานครั้งใหญ่ไว้ คาดว่าจะกลับมาที่เป่ยเยี่ยนในไม่นานนี้ กระหม่อมคิดว่า ควรรีบแต่งตั้งรัชทายาทเร็ว ๆ เพื่อปกป้องรากฐานของแคว้น” เขาเป็นเสนาบดีคนสนิทของฮ่องเต้เยี่ยน ถึงได้กล้าพูดออกมาตรง ๆ เช่นนี้ฮ่องเต้เยี่ยนฟังจบ ก็พลอยเห็นด้วยอีกอย่าง เขาก็ถูกใจเจ้าเจ็ดเป็นทุน
แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อยสัญชาตญาณบอกนางว่า การเห็นคนที่เหมือนต้านไหวซวี่ ในงานฉลองวันเกิดของโอวหยางเหลียน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนางมองไปทางโอวหยางเหลียนที่นั่งอยู่ในที่นั่งอีกฝ่ายพยักหน้าให้นางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและในตอนนี้เอง เซียวอวี้ก็จดจ้องคนรำดาบผู้นั้น มือขวากำแก้วสุราแน่น แววตาเจือไปด้วยความเยือกเย็นใบหน้านี้ ทำไมยังตามมาหลอกหลอนไม่เลิก!เขาไม่ได้อิจฉา กลัวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจะหวั่นไหวเขาอยากรู้ ว่าใครเล่นตุกติกอยู่เบื้องหลังแผนแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าสืบอดีตของจิ่วเหยียนกับต้วนไหวซวี่มาอย่างกระจ่างแล้วเหล่าชายหนุ่มรำดาบทุ่มเทอย่างมาก ทุกท่วงท่าล้วนพลิ้วไสวคนที่อยู่ตรงกลางยิ่งรูปงามราวเทพเซียน นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนไม่จางหายเฟิ่งจิ่วเหยียนอดที่จะทึ่งไม่ได้ หาคนที่เหมือนขนาดนี้มาได้ คงพยายามมาอย่างหนักนางแสร้งทำเป็นมีอารมณ์ร่วมไปกับการดู“ให้รางวัล”โอวหยางเหลียนเห็นเช่นนั้น ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกดูเหมือนว่าต้วนเจิ้งผู้นั้นจะพูดถูกประมุขแคว้นยังไม่ลืมเลือนต้วนไหวซวี่ไปจากใจก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง แคว้นซีหนี่ว์มีมากมาย ประมุขแคว้นสามารถเ
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย