ท่อนแขนเรียวสวยของหญิงสาวถูกพี่หยางหยางดึงรั้งให้ร่างงามหันกลับมาเผชิญหน้าตามเดิม ท่ามกลางความตกใจของอีกฝ่าย “เฮ้ย! เฮ้ย!พี่หยางจะทำอะไร!”หญิงสาวร้องโวยวายพร้อมร่างเล็กๆ ถูกจับให้หันกลับมายืนอยู่ตรงหน้าคนตัวโตที่กำลังจ้องเขม็งอยู่ในขณะนี้ “เจ้าเป็นอะไรรึ! เหตุใดวันนี้แลดูชอบกลนัก แสดงท่าทีประหลาดก็หลายครา ตกใจก็ง่ายดาย แล้วนี่กระไรหน้าแดงก่ำถึงเพียงนี้เชียว... หรือว่าเจ้าเป็นไข้รึ!” รับสั่งพร้อมพยายามจะลุกจากฟูกบรรทมเพื่อสำรวจร่างกายน้องชายหน้าสวย ทั้งๆ ที่พระวรกายยังคงเปลือยเปล่าอยู่เช่นนั้น มีเพียงผ้าห่มของหญิงสาวปิดเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ดวงตากลมโตเบิกกว้างครั้นเห็นร่างเปลือยจะหลุดพ้นจากผ้าห่มผืนน้อย มือเรียวสวยรีบตรงเข้าไปตะครุบผืนผ้าก่อนจะพันรอบพระวรกาย “ว้าย! ไม่ต้อง! ไม่ต้อง! ไม่ต้องยืน!!!” จางเพ่ยอันหวีดร้องออกมาด้วยความลืมตัว แปะ! หยดเลือดสีแดงก่ำไหลออกมาจากรูจมูกของเธอโดยพลัน เมื่อใบหน้าแสนสวยเกือบแนบชิดกับแผงอกกว้างที่อัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อเรียงตัวอย่างสวยงาม “อือหือ แข็งปั้ก! แข็งไปหมด!” หญิงสาวพูดพลางยกปลายนิ้วขึ้นสัมผัสตรงปลายจมูกของเธอทันใด “โอ้โฮ!ความดันขึ้นถึงขี
พี่หยาง!!!” จางเพ่ยอันร้องเรียกชื่อพี่ชายปีศาจจนสุดเสียง สองมือพยามยามผลักมือหนาที่กำลังง่วนอยู่กับการแก้เชือกผูกสาบเสื้อของเธออยู่ตลอดเวลา “ทะ... ท่านไม่ต้องแก้เสื้อให้ข้าหรอก! ข้าบอกว่าไม่เป็นอะไร... พี่หยางเชื่อข้าเถอะ!” เธอพยายามอธิบายกลับไป “ข้าไม่เชื่อ! เจ้ามีพิรุธยิ่งนักโดยเฉพาะตรงหน้าอก! จะต้องถูกคนโฉดผู้นั้นทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ มาเถิดอันอันพี่หยางขอดูหน่อย… จะได้ช่วยรักษาเจ้าให้เป็นปกติดั่งเดิม... มา... มา” จู่ๆ ถ้อยรับสั่งขององค์ชายปีศาจพลันเชื่องช้าลง เปลือกพระเนตรเริ่มปรือและค่อยๆ พร่ามัวขึ้นมา พระองค์ทอดพระ เนตรใบหน้าแสนสวยของน้องชายเริ่มพร่าเลือนพร้อมพระวรกายเริ่มโงนเงน “นี่ข้าเป็นอะไรไป! อันอัน! อันอัน!” รับสั่งเพรียกหาน้องชายหน้าสวยพร้อมสะบัดพระเศียรไปมาอย่างแรงติดต่อกันเพื่อขับไล่ความมึนงงและอาการพร่าเลือนที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ทันทีที่หญิงสาวเห็นอาการพี่หยางหยางแสดงออกมาเช่นนั้น เธอล่วงรู้ได้ทันทีว่าฤทธิ์ของยาสลบที่เพิ่งฉีดเข้าไปนั้นเริ่มออกฤทธิ์แล้ว และมิเสียเวลารอช้าจางเพ่ยอันสวมบทบาทตีเนียนทันใด “พี่หยางท่านเป็นอะไรอย่างนั้นรึ! เห็นไหมข้าเตือนแล้วว่าอาการข
ห้าวันผ่านไปจวนแม่ทัพ พระวรกายใหญ่ขององค์ชายอิ๋งหยางนั่งอยู่บนตั่งที่ประทับ ทรงอ่านรายงานสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมาซึ่งพระองค์หายสาบสูญไปอยู่บ้านน้อยริมลำธาร ใช้ชีวิตชาวป่ากับสองผู้เฒ่าและน้องชายหน้าหวานมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในยามนี้ความเคลือบแคลงสงสัยในตัวของน้องน้อยยังมิเสื่อมคลายลงไปแม้แต่น้อย หากแต่พระองค์เลือกที่จะแอบสังเกตการณ์เอาไว้อย่างเงียบๆ หลังจากที่ทรงหมดพระสติบรรทมไปเสียดื้อๆ ทำให้น้องชายหน้าหวานรอดพ้นจากการถูกพระองค์จับแก้ผ้าเพื่อสำรวจร่างกาย จึงทำให้ล่วงรู้ว่าทรงถูกน้องน้อยจัดการให้มีสภาพเช่นนั้น อีกทั้งองค์ชายปีศาจทอดพระเนตรน้องชายกระตือรือร้นจัดการต้มยาด้วยตัวเองอ้างว่าเพื่อช่วยรักษาพิษที่อยู่ภายในพระวรกายให้หายเป็นปกติในเร็ววัน พระองค์จึงต้องแสร้งเล่นตามน้ำไปด้วยเพื่อจับให้ได้คาหนังคาเขาด้วยอย่างใจเย็นกว่าครั้งที่แล้วมา ในขณะที่จางเพ่ยอันหาวิธีการที่จะทำให้พี่หยางหยางคลายความสงสัยในตัวเธอว่าแท้จริงแล้วเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่ หญิงสาวพลิกตำราสูตรยาลับพร้อมสมุนไพรสุดวิเศษที่ผู้เฒ่าหยงอู่จัดไว้ในห่อผ้าและได้อธิบายให้หลานสาวคนสวยถึงวิธี
“หา!... ให้ข้าเป็นขันที!” เสียงน้องชายหน้าสวยโวยวายขึ้นมาโดยพลัน ครั้นได้ยินพี่หยางหยางกล่าวออกมาเช่นนั้น พระเนตรคู่สวยขององค์ชายปีศาจเหลือบไปทอดพระเนตรน้องชายหน้าสวยอยู่เพียงครู่ ครั้นทรงได้ยินเสียงโวยวายของคนเป็นน้องดังแทรกขึ้นมา “เจ้าอยู่เฉยอันอัน!” รับสั่งเพียงสั้นๆ กลับไป พลางหันกลับไปทอดพระเนตรทหารคนสนิท “ข้าจะปลอมตัวเป็นองครักษ์และอันอันจะเป็นขันทีแอบแฝงอยู่ในราชสำนักสักระยะ เพื่อสืบข่าวบางอย่างที่อยากล่วงรู้มาโดยตลอด อีกทั้งเพื่อตัดไฟตั้งแต้ต้นลมมิให้บรรดาน้องชายต่างแม่ของข้าเหล่านั้นริอ่านแข็งข้อกับข้าขึ้นมาได้อีก! มีหลายสิ่งที่คิดเอาไว้นานแล้วและอยากลงมือเสียที ในที่สุดโอกาสก็มาถึง” ตุ้บ!!! พู่กันอยู่ในมือที่กำลังจดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ขององค์ชายอิ๋งหยางรวมไปถึงเหตุการณ์โดยรวมของแคว้นฉิน ซึ่งจางเพ่ยอันคอยบันทึกอยู่เป็นประจำทุกวันร่วงหล่นจากมือของตัวเองทันใดเมื่อได้ยินว่าจะต้องกลายเป็นขันที ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะรู้สึกตัว “โอ๊ย! ไม่เอานะ! ไม่เอานะ! ทำไมต้องให้ข้าไปเป็นขันทีด้วย ตำแหน่งนี้ข้าต้องโดนตอนนะ... พี่หยาง ใจคอท่านจะส่งข้าให้ไปตอนอย่างนั้นเหรอ... แ
ในเวลาเดียวกันในขณะที่จางเพ่ยอันกำลังยืนครุ่นคิดถึงอัครเสนาบดีใหญ่จางฟง ผู้เป็นบิดาของตนในภพชาตินี้ โดยมิทันสังเกตพี่หยางหยางของเธอ กำลังเดินตรงมาหาก่อนจะหยุดยืนลงตรงหน้าพร้อมยกมือจับศีรษะน้องน้อยพลางโยกไปมาเบาๆ“คิดอะไรอยู่เจ้าตัวเล็ก!” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้ในท่าทีที่เหม่อลอยของน้องน้อยในขณะนั้น จางเพ่ยอันรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติดั่งเดิมพร้อมถามกลับไปทันที “พี่หยางจำเรื่องราวของท่านได้จนหมดสิ้นแล้วใช่ไหม จึงสามารถวางแผนการต่างๆ อะไรตั้งมากมายถึงเพียงนี้มิหนำซ้ำยังวางออกมาเป็นขั้นเป็นตอนเลยทีเดียว” พระพักตร์หล่อเหลาพยักขึ้นลงติดต่อกัน พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ “ความทรงจำของข้าที่หายไปจดจำได้จนหมดสิ้น จำได้แม้กระทั่งเจ้านั่นแหละเป็นคนทำให้ข้าหัวฟาดพื้นจนความจำเลือนหายไป” “หา!... จำได้ด้วยเหรอ” จางเพ่ยอันพึมพำเสียงอ่อยๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอจากพี่ชายแสนดี “แต่ถึงแม้ความทรงจำเดิมจะหวนกลับคืนมา ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าและความรักที่ได้รับจากท่านตาท่านยาย กับการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหุบเขาในบ้
จวนสกุลไป๋ จวนขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กของพ่อค้าขายข้าวสาร ทว่า ใหญ่ที่สุดในแคว้นฉิน ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเฟิ่งที่ไหลทอดยาวไปสมทบกับแม่น้ำฮวงโหว พื้นที่ภายในมีขนาดเล็กกว่าจวนสกุลฮัวไม่มากนัก แต่ถ้าหากนับพื้นที่ซึ่งติดกับริมแม่น้ำแล้วไซร้กว้างใหญ่กว่าจวนสกุลฮัวหลายเท่าเลยทีเดียว บริเวณริมแม่น้ำปรากฏเรือขนาดใหญ่สามารถเดินทางล่องแม่น้ำ และบรรจุข้าวของหนักได้เป็นอย่างดีไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์ขนาดใหญ่เช่นม้าหรือวัว เรือลำดังกล่าวมีผู้คนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเตรียมความพร้อมอยู่ทุกเมื่อหากมีภัยมาถึงตัว ปัง!!! เสียงดังกระหึ่มบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างยิ่งยวดได้เป็นอย่างดี พระวรกายสูงใหญ่ของรัชทายาทหนุ่มจากแคว้นต้าหลู่ ทรงยืนสูงตระหง่านอยู่กลางห้องโถงของจวนสกุลไป๋ ถูกสร้างขึ้นให้เป็นสถานที่ประทับแห่งที่สองซึ่งเป็นความลับสุดยอด ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงออกมาอีกและมีทางหนีได้หลายเส้นทางเตรียมพร้อมตลอดเวลา พระพักตร์หล่อเหลาบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ครั้นทรงได้ยินรายงานจากเหล่าองครักษ์กลับมารายงานผลการค้นหาสมบัติที่พระองค์เสียเงินซื้อมาถึงหนึ่งพันเตาปี้
พระราชวังหลวงภายในพระตำหนักบูรพา “พัง! พังหมด! วอดวายย่อยยิบมิมีชิ้นดี! หอเฟิ่งอี้ที่ข้ากับเสด็จแม่อุตส่าห์สร้างขึ้นมา ถูกอิ๋งหยางสั่งปิดอย่างถาวร เช่นนี้เงินมหาศาลที่เคยได้รับสูญสลายหายไปเพียงชั่วพริบตา!” สุรเสียงขององค์ชายอิ๋งเฟิ่งดังกึกก้องภายในพระตำหนักบูรพาของรัชทายาทแห่งแคว้นฉิน พร้อมพระดำเนินกลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่องค์ชายอิ๋งเหว่ยได้แต่นั่งกุมขมับอยู่เช่นนั้น เมื่อได้ล่วงรู้ข่าวการปรากฏพระวรกายของพระเชษฐาพระองค์ใหญ่มาพร้อมกับพระบัญชาอันเฉียบขาดดั่งเช่นทุกครั้งที่ทรงลงมือทำอะไรแล้ว รวดเร็วฉับไวมิทันได้ให้ตั้งตัวแม้แต่น้อย พระบัญชาที่แฝงเร้นความโหดเหี้ยมในคราเดียวกัน ด้วยหากขัดขืนพระบัญชามีคำสั่งลากไปบั่นคอจนริบเรือนพร้อมเสียบหัวประจานกลางเมืองหลวงเลยทีเดียว เป็นที่ประหวั่นพรั่นพรึงเป็นยิ่งนัก ในขณะเดียวกันทรงได้รับการยกย่องและเทิดทูนในคราเดียวกัน “เจ้าจะโวยวายออกมาก็เปล่าประโยชน์อิ๋งเฟิ่ง ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเจ้าไร้ฝีมือที่จะจัดการอิ๋งหยางให้สิ้นซาก นักฆ่าแต่ละคนล้วนไร้น้ำยา
“อี้เอ๋อร์! อี้เอ๋อร์ลูกพ่อ!!!” จางฟงพร่ำเรียกชื่อของบุตรสาวที่เพิ่งจากไป ในขณะที่บุตรชายคนโตจางฮั่น ซึ่งเป็นขุนนางใหญ่เช่นกันอยู่ในตำแหน่งเจ้ากรมอาญาเดินตามหลังมาติดๆ “ท่านพ่อมีอะไรอย่างนั้นเหรอ... กำลังเรียกผู้ใดกันขอรับ” จางฮั่นกล่าวออกมาด้วยความสงสัย พลางก้มหน้ามองเด็กหนุ่มในชุดขันทีขั้นห้าที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นในขณะนี้ “อี้เอ๋อร์! ท่านพ่อนะ... นี่... นี่!!!” จางฮั่นได้แต่พูดติดอ่างอยู่เช่นนั้น ครั้นได้เห็นใบหน้าสวยซึ่งถอดพิมพ์เดียวกับน้องสาวของตนมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน ท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายปีศาจ ทรงทอดพระเนตรเหตุการณ์ตรงพระพักตร์ทุกอย่างด้วยความสงสัยระคนแปลกใจอย่างยิ่งยวด เมื่ออัครเสนาบดีใหญ่จางฟงพร้อมบุตรชายคนโต ต่างเรียกชื่อน้องชายหน้าสวยของพระองค์ออกมาเช่นนั้น พร้อมรีบรุดวิ่งเข้าไปประคองร่างน้องน้อยให้ลุกขึ้นจากพื้นทันที “ต้องขออภัยท่านอัครเสนาบดีด้วยขอรับ ที่น้องชายของข้าแสดงกิริยาที่ไม่สมควรเดินชนท่านเช่นนั้น อันอัน! รีบขอโทษท่านเร็วๆ เข้า!” พระองค์แสร้งรับสั่งเฉไฉไปทางอื่น ในขณะที่จางเพ่ยอัน ที่ยังคงอยู่ในอาการตกตะ
ยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ
ยามเหม่าพระราชวังหลวงร่างอรชรแน่งน้อยของจางเพ่ยอันสวมเสื้อผ้าบุรุษสะพายกระเป๋าล่วมยาเดินเคียงคู่มากับพระสวามีปีศาจ ฉลองพระองค์เครื่องแบบราชองครักษ์ฝ่ายใน เดินตามติดชายาคนงามของพระองค์ไปอย่างกระชั้นชิดมิให้คลาดสายพระเนตรไปได้แม้แต่น้อย โดยเป้าหมายในขณะนี้คือพระศพขององค์ชายรองซึ่งจนถึงเวลานี้ มิมีหมอหลวงคนใดล่วงรู้เลยว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์นั้นเกิดจากอะไรกันแน่องค์ชายปีศาจพระดำเนินนำหน้าพร้อมจูงมือพระชายา ผ่านสายตาเหล่านางกำนัลและขันทีมากมายหลายสิบคู่ โดยไม่สนพระทัยสายตาของผู้ใดแม้แต่น้อยที่กำลังจับจ้องบุรุษทั้งสองกำลังเดินจูงมือเคียงคู่ไปด้วยกัน ก่อนจะหยุดลงเมื่อมาถึงพระตำหนักบูรพา ภายในห้องเก็บพระศพ มีผ้าขาวผืนขนาดใหญ่ขวางกั้นโลงพระศพและแท่นบูชาป้ายวิญญาณเพื่อให้เชื้อพระวงศ์และบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ เข้ามาเซ่นไหว้บริเวณด้านนอก ภายในห้องดังกล่าวมีนางกำนัลและขันทีคอยทำหน้าที่ดูแลพระศพให้เรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่มาถึงองค์ชายปีศาจมีรับสั่งออกไปทันที“เปิดฝาโลง! องค์ชายอิ๋งเฟิ่งมีรับสั่งให้ท่านหมอมาตรวจหาสาเหตุการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง” สิ้นพระสุรเสียงขององค์ชายปีศาจบรรดาขันที
เรือนบูรพา ปัง! ปัง! ปัง! เสียงเคาะประตูห้องดังเอ็ดอึงขึ้นระหว่างกลางดึกในขณะที่คู่สามีภรรยากำลังนอนหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียกับบทเสพสังวาสที่มอบให้กันตั้งแต่ยามสายในห้องหนังสือและยังมาต่อเนื่องในห้องนอนกันอีก ก่อนจะพากันหมดแรงไปด้วยกันก็เข้ายามโฉว่ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ! เกิดเรื่องใหญ่ในวังแล้ว! ทรงตื่นบรรทมอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของจางฮั่นดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้องนอน พร้อมร่างของรองแม่ทัพโม่โฉวและหรงซิ่วต่างพากันยืนอยู่ด้วยพร้อมกันในขณะนี้ เพียงครู่ภายในห้องบรรทมที่มีแต่ความมืดมิดมีแสงสว่างจากโคมไฟขึ้นมาทันที พร้อมเสียงจากคนที่อยู่ด้านในเปิดบานประตูออกด้วยความรวดเร็ว พร้อมพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายอิ๋งหยางพระดำเนินออกมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นรองแม่ทัพคนสนิททั้งสองปรากฏกายในยามวิกาลเช่นนี้ “มีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ! พวกเจ้าจึงรีบร้อนพากันมาหาข้าในยามวิกาลเช่นนี้” รับสั่งถามกลับไปทันใด “องค์ชายรองสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” โม่โฉวรีบกราบทูลรายงานทันที องค์ชายปีศาจทรงยืนนิ่งไปชั่วขณะครั้นทรงได้ยินรายงานเช่นนั้น “อิ๋งเหว่ยตายได้อย่างไร!” รับสั่งถามกลับไป “ตอนนี้บรรดาหมอ
สามวันผ่านไปภายในห้องหนังสือร่างงามแน่งน้อยในชุดสีขาวลออตาของสตรีสาวที่เต็มไปด้วยยศศักดิ์ ผมสีดำยาวสยายถูกเกล้าขึ้นสูงเป็นสัญลักษณ์ของหญิงที่สมรสแล้ว พรั่งพร้อมด้วยเครื่องประดับผมล้ำค่ามีทั้งทองคำและหยกเนื้องามชั้นดีเสียบไว้ที่บริเวณผมที่ถูกเกล้าขึ้น ใบหน้าแสนสวยถูกแต่งแต้มพองามมิต้องประเคนเครื่องประทินโฉมอะไรมากมาก คนสวยยังไงก็เอาอยู่ดวงตากลมโตสีหยาดน้ำผึ้งกำลังนั่งมองแผ่นไม้ไผ่ที่เป็นตำรายาสูตรลับของหยงเซี๊ยะกำลังถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนลุกโชน ก่อนจะโยนตำราดวงดาวลงไปเผาอีกเช่นกัน ราวกับว่าหญิงสาวล่วงรู้ว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นเพราะมีการแย่งชิงตำราดังกล่าวเกิดขึ้นนั่นเองท่ามกลางสายพระเนตรของพระสวามีปีศาจ ทรงพระดำเนินเข้ามาด้วยความแปลกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรพระชายาคนงามกำลังเผาตำราโบราณของหยงเซี๊ยะด้วยมือของนางเอง“อันอัน! เหตุใดเจ้าจึงเผาตำราที่ท่านตามอบให้มาเล่า เกิดเหตุสิ่งใดขึ้นหรือไรตำราทั้งสองนั้นเป็นของล้ำค่าทางด้านการรักษาและดูดวงดาวมิใช่รึ” พระองค์รับสั่งถามกลับไปด้วยความสงสัยระคนใคร่รู้ใบหน้าแสน