ในเวลาเดียวกัน
ในขณะที่จางเพ่ยอันกำลังยืนครุ่นคิดถึงอัครเสนาบดีใหญ่จางฟง ผู้เป็นบิดาของตนในภพชาตินี้ โดยมิทันสังเกตพี่หยางหยางของเธอ กำลังเดินตรงมาหาก่อนจะหยุดยืนลงตรงหน้าพร้อมยกมือจับศีรษะน้องน้อยพลางโยกไปมาเบาๆ
“คิดอะไรอยู่เจ้าตัวเล็ก!” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้ในท่าทีที่เหม่อลอยของน้องน้อยในขณะนั้น
จางเพ่ยอันรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติดั่งเดิมพร้อมถามกลับไปทันที “พี่หยางจำเรื่องราวของท่านได้จนหมดสิ้นแล้วใช่ไหม จึงสามารถวางแผนการต่างๆ อะไรตั้งมากมายถึงเพียงนี้มิหนำซ้ำยังวางออกมาเป็นขั้นเป็นตอนเลยทีเดียว” พระพักตร์หล่อเหลาพยักขึ้นลงติดต่อกัน พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ “ความทรงจำของข้าที่หายไปจดจำได้จนหมดสิ้น จำได้แม้กระทั่งเจ้านั่นแหละเป็นคนทำให้ข้าหัวฟาดพื้นจนความจำเลือนหายไป” “หา!... จำได้ด้วยเหรอ” จางเพ่ยอันพึมพำเสียงอ่อยๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอจากพี่ชายแสนดี “แต่ถึงแม้ความทรงจำเดิมจะหวนกลับคืนมา ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าและความรักที่ได้รับจากท่านตาท่านยาย กับการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหุบเขาในบ้จวนสกุลไป๋ จวนขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กของพ่อค้าขายข้าวสาร ทว่า ใหญ่ที่สุดในแคว้นฉิน ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเฟิ่งที่ไหลทอดยาวไปสมทบกับแม่น้ำฮวงโหว พื้นที่ภายในมีขนาดเล็กกว่าจวนสกุลฮัวไม่มากนัก แต่ถ้าหากนับพื้นที่ซึ่งติดกับริมแม่น้ำแล้วไซร้กว้างใหญ่กว่าจวนสกุลฮัวหลายเท่าเลยทีเดียว บริเวณริมแม่น้ำปรากฏเรือขนาดใหญ่สามารถเดินทางล่องแม่น้ำ และบรรจุข้าวของหนักได้เป็นอย่างดีไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์ขนาดใหญ่เช่นม้าหรือวัว เรือลำดังกล่าวมีผู้คนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเตรียมความพร้อมอยู่ทุกเมื่อหากมีภัยมาถึงตัว ปัง!!! เสียงดังกระหึ่มบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างยิ่งยวดได้เป็นอย่างดี พระวรกายสูงใหญ่ของรัชทายาทหนุ่มจากแคว้นต้าหลู่ ทรงยืนสูงตระหง่านอยู่กลางห้องโถงของจวนสกุลไป๋ ถูกสร้างขึ้นให้เป็นสถานที่ประทับแห่งที่สองซึ่งเป็นความลับสุดยอด ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงออกมาอีกและมีทางหนีได้หลายเส้นทางเตรียมพร้อมตลอดเวลา พระพักตร์หล่อเหลาบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ครั้นทรงได้ยินรายงานจากเหล่าองครักษ์กลับมารายงานผลการค้นหาสมบัติที่พระองค์เสียเงินซื้อมาถึงหนึ่งพันเตาปี้
พระราชวังหลวงภายในพระตำหนักบูรพา “พัง! พังหมด! วอดวายย่อยยิบมิมีชิ้นดี! หอเฟิ่งอี้ที่ข้ากับเสด็จแม่อุตส่าห์สร้างขึ้นมา ถูกอิ๋งหยางสั่งปิดอย่างถาวร เช่นนี้เงินมหาศาลที่เคยได้รับสูญสลายหายไปเพียงชั่วพริบตา!” สุรเสียงขององค์ชายอิ๋งเฟิ่งดังกึกก้องภายในพระตำหนักบูรพาของรัชทายาทแห่งแคว้นฉิน พร้อมพระดำเนินกลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่องค์ชายอิ๋งเหว่ยได้แต่นั่งกุมขมับอยู่เช่นนั้น เมื่อได้ล่วงรู้ข่าวการปรากฏพระวรกายของพระเชษฐาพระองค์ใหญ่มาพร้อมกับพระบัญชาอันเฉียบขาดดั่งเช่นทุกครั้งที่ทรงลงมือทำอะไรแล้ว รวดเร็วฉับไวมิทันได้ให้ตั้งตัวแม้แต่น้อย พระบัญชาที่แฝงเร้นความโหดเหี้ยมในคราเดียวกัน ด้วยหากขัดขืนพระบัญชามีคำสั่งลากไปบั่นคอจนริบเรือนพร้อมเสียบหัวประจานกลางเมืองหลวงเลยทีเดียว เป็นที่ประหวั่นพรั่นพรึงเป็นยิ่งนัก ในขณะเดียวกันทรงได้รับการยกย่องและเทิดทูนในคราเดียวกัน “เจ้าจะโวยวายออกมาก็เปล่าประโยชน์อิ๋งเฟิ่ง ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเจ้าไร้ฝีมือที่จะจัดการอิ๋งหยางให้สิ้นซาก นักฆ่าแต่ละคนล้วนไร้น้ำยา
“อี้เอ๋อร์! อี้เอ๋อร์ลูกพ่อ!!!” จางฟงพร่ำเรียกชื่อของบุตรสาวที่เพิ่งจากไป ในขณะที่บุตรชายคนโตจางฮั่น ซึ่งเป็นขุนนางใหญ่เช่นกันอยู่ในตำแหน่งเจ้ากรมอาญาเดินตามหลังมาติดๆ “ท่านพ่อมีอะไรอย่างนั้นเหรอ... กำลังเรียกผู้ใดกันขอรับ” จางฮั่นกล่าวออกมาด้วยความสงสัย พลางก้มหน้ามองเด็กหนุ่มในชุดขันทีขั้นห้าที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นในขณะนี้ “อี้เอ๋อร์! ท่านพ่อนะ... นี่... นี่!!!” จางฮั่นได้แต่พูดติดอ่างอยู่เช่นนั้น ครั้นได้เห็นใบหน้าสวยซึ่งถอดพิมพ์เดียวกับน้องสาวของตนมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน ท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายปีศาจ ทรงทอดพระเนตรเหตุการณ์ตรงพระพักตร์ทุกอย่างด้วยความสงสัยระคนแปลกใจอย่างยิ่งยวด เมื่ออัครเสนาบดีใหญ่จางฟงพร้อมบุตรชายคนโต ต่างเรียกชื่อน้องชายหน้าสวยของพระองค์ออกมาเช่นนั้น พร้อมรีบรุดวิ่งเข้าไปประคองร่างน้องน้อยให้ลุกขึ้นจากพื้นทันที “ต้องขออภัยท่านอัครเสนาบดีด้วยขอรับ ที่น้องชายของข้าแสดงกิริยาที่ไม่สมควรเดินชนท่านเช่นนั้น อันอัน! รีบขอโทษท่านเร็วๆ เข้า!” พระองค์แสร้งรับสั่งเฉไฉไปทางอื่น ในขณะที่จางเพ่ยอัน ที่ยังคงอยู่ในอาการตกตะ
ห้องพระประสูติกาล เพียงครู่ฉินเหรินกงเสด็จวิ่งมาถึงห้องมีพระประสูติกาล ก่อนจะหยุดชะงักทันใดครั้นทรงทอดพระเนตรภายในห้องดังกล่าวพบข้าราชบริพารกว่าสิบชีวิต มีทั้งหัวหน้าหมอหลวงและผู้ช่วย รวมไปถึงนางกำนัลคนสนิทอีกหลายชีวิตต่างแข็งเป็นหินด้วยกันทั้งหมด ร่างที่กลายเป็นหินล้วนสิ้นชีพไปแล้วทั้งสิ้น ท่ามกลางเสียงร้องของทารกน้อยที่กำลังแผดเสียงกึกก้องไปทั่วบริเวณ อุแว้! อุแว้! อุแว้! พระโอรสน้อยแผดเสียงร้องอยู่ตลอดเวลา พระวรกายน้อยๆ ดิ้นขลุกขลักจนผ้าที่ห่อเอาไว้อย่างมิดชิดเริ่มคลายออกพร้อมผ้าที่ใช้ปิดพระพักตร์กำลังเลื่อนตกลงบนฟูกพระบรรทม “ลูกพ่อ! ลูกของพ่อ!” รับสั่งเพรียกหาพระโอรสน้อยพร้อมพระดำเนินก้าวเข้าไปหา ฉับพลัน ผ้าที่ปิดบังพระพักตร์ของพระโอรสเลื่อนตกลงบนฟูกพระบรรทมทันใด พร้อมเสียงของขันทีที่วิ่งไปรายงานดังขึ้นติดตามด้วยร่างสันทัดขวางเจ้าผู้ครองแคว้นมิให้เสด็จเข้าไปหาโอรสปีศาจของพระองค์ได้ พรึบ!!! ร่างขันทีผู้นั้นที่เข้ามาขวางทางมิให้ฉินเหรินกงเข้าไปหาพระโอรสค่อยๆ กลายเป็นหินปรากฏอยู่ตรงพระพักตร์เต็มสองพระเนตร ท่ามกลางพระอาการตกตะลึ
ตำหนักข้างเรือนพักราชองครักษ์ท่ามกลางทางเดินที่ทอดยาวเชื่อมต่อพระตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาทอิ๋งเหว่ย มาตำหนักข้างซึ่งเป็นเรือนพักของราชองครักษ์คนใหม่ที่กองงานถวายอารักขา ซึ่งอยู่ในสังกัดและการควบคุมขององค์ชายใหญ่ในฐานะแม่ทัพใหญ่และผู้บัญชาการทัพสูงสุดแห่งแคว้นฉินเป็นผู้ดำเนินการจัดหามาให้ โดยให้เหตุผลว่าตำแหน่งราชองครักษ์มีเพียงหนึ่งเดียวสำหรับเจ้าผู้ครองแคว้นเท่านั้น ครั้นองค์ชายอิ๋งเหว่ยล่วงรู้ว่าพระเชษฐาต่างพระมารดามีพระบัญชาจัดหาราชองครักษ์เพื่อถวายการอารักขาให้แก่ว่าที่เจ้าผู้ครองแคว้น ซึ่งจะต้องมีอยู่เคียงข้างพระวรกายตลอดเวลา และนั่นทำให้พระองค์เต็มใจรับไว้โดยมิสงสัยหรือคลางแคลงในพระทัยแม้แต่น้อย ว่าราชองครักษ์คนใหม่ที่เข้ามาถวายอารักขานั้นแท้จริงแล้วคือพระเชษฐานั่นเอง ด้วยผลสืบเนื่องมาจากองค์ชายปีศาจไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากปิดบังพระพักตร์อีกต่อไปแล้วนั่นเอง เพราะหน้ากากสีเงินดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ขององค์ชายปีศาจที่ผู้คนต่างล่วงรู้จักดี ครั้นปราศจากหน้ากากปิดบังเช่นนี้ทำให้พระองค์สบโอกาสเข้าแฝงตัวในราชสำนักเพื่อสอดส่องและสื
พระตำหนักหรดีตำหนักที่ประทับองค์ชายอิ๋งเฟิ่ง อ๊ากกก!!! สุรเสียงโหยหวนดังเอ็ดอึงไปทั่วพระตำหนักหรดี อันเป็นที่ประทับขององค์ชายอิ๋งเฟิ่งแห่งแคว้นฉิน ภายในพระตำหนักท่ามกลางนางกำนัลที่คอยถวายการปรนนิบัติ ต่างพากันนั่งรายล้อมรอบๆ แท่นพระบรรทมขององค์ชายหนุ่มซึ่งมีพระอาการปวดหลังขึ้นมาอย่างกะทันหันทันทีที่เสด็จกลับมาจากพระตำหนักบูรพาหลังจากที่ทรงมีปากเสียงกับพระเชษฐาอย่างรุนแรง พระวรกายใหญ่ขององค์ชายอิ๋งเฟิ่งอยู่ในท่านอนคว่ำ ด้วยทรงมีพระอาการปวดหลังหน่วงๆ มาตั้งแต่ช่วงเช้าแต่ก็ยังฝืนพระวรกายเสด็จไปหาพระเชษฐาเพื่อขอความช่วยเหลือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหอเฟิ่งอี้และต้องถูกสั่งปิดตามพระบัญชาของพระเชษฐาปีศาจ ทว่าพระองค์กลับต้องพบกับความผิดหวังเมื่อพระเชษฐาอิ๋งเหว่ยไม่สามารถช่วยเหลือพระองค์ใดๆ ได้เลย ตรงกันข้ามทรงกลับมาพร้อมกับความพิโรธเป็นยิ่งนัก จึงเป็นเหตุให้พระอาการปวดหลังที่เจ็บแปลบเกิดขึ้นช่วงเช้าลุกลามจนทำให้พระองค์มิสามารถลุกขึ้นประทับนั่งได้อีกเลย ซึ่งอาการปวดดังกล่าวสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่องค์ชายหนุ่มอย่างยิ่งยวด และ
ภายในพระตำหนัก ดวงตาสีหยาดน้ำผึ้งมองสิ่งที่อยู่ในมือของนางกำนัลประจำพระตำหนักขององค์ชายอิ๋งเฟิ่งด้วยความสงสัยระคนแปลกใจอย่างยิ่งยวด ครั้นเห็นเสื้อผ้าซึ่งเป็นเครื่องแบบของนางกำนัลในวังหลวงถูกยื่นมาให้เธอตรงหน้าในขณะนี้ “นี่เจ้าเอาเครื่องแบบของนางกำนัลมาให้ข้าทำไมรึ” จางเพ่ยอันเอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัย “ให้เจ้าเปลี่ยนจากเครื่องแบบขันทีมาใส่ชุดนางกำนัลอย่างไรเล่า มิเห็นต้องถาม” นางกำนัลผู้นั้นตอบกลับไป “หา!” หญิงสาวอุทานออกมาจนสุดเสียงครั้นได้ยินเช่นนั้น “เจ้าจะบ้าหรือไร! เหตุใดใยจึงให้ข้าเปลี่ยนเครื่องแบบที่สวมอยู่ในขณะนี้เป็นชุดของนางกำนัล... นี่ข้าเป็นบุรุษนะ! หาใช่สตรีเช่นพวกเจ้า” หญิงสาวโวยวายกลับไปด้วยน้ำเสียงของบุรุษที่มีเส้นเสียงห้าวหาญและชัดเจน “นี่คือกฎที่องค์ชายของข้ามีพระบัญชา ผู้ใดก็ตามที่ก้าวล่วงเข้ามาภายในพระตำหนักหรดีแห่งนี้ หากแม้นเป็นบุรุษเพศไม่มีรับสั่งอนุญาตให้เข้าพระตำหนักก็หามีผู้ใดย่างกายเข้ามาได้ หากแต่ครึ่งบุรุษเฉกเช่นเจ้าก็ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเครื่องแบบของนางกำนัล ขันทีคนก่อนที่
พระพักตร์รีบหันกลับไปทอดพระเนตรคนที่มาทำการรักษาพระองค์ พร้อมทำท่าจะลุกขึ้นประทับนั่ง “อย่าลุกขึ้นองค์ชาย! ยังไม่ถึงเวลา… พระองค์จะต้องบรรทมในท่านี้ต่อไปอีกสองชั่วยาม หลังจากนั่นจึงจะลุกประทับนั่งได้ หากลุกนั่งก่อนเวลาอันควรจะทำให้อาการเจ็บปวดรุนแรงกลับมาอีก กระหม่อมเพียงแค่ทำให้ทรงบรรเทาจากอาการเจ็บปวดชั่วคราวเท่านั้น หากต้องการหายจากโรคนี้เป็นปลิดทิ้งจะต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องพ่ะย่ะค่ะ” จางเพ่ยอันอธิบายกลับไปอย่างละเอียด ถ้อยกราบทูลของขันทีหน้าหวานทำให้องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงดีพระทัยอย่างยิ่งยวดเมื่อล่วงรู้ว่ามีหนทางรักษาอาการปวดหลังของพระองค์ได้อย่างเด็ดขาด ในขณะที่ไม่เคยมีผู้ใดสามารถกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบว่าพระอาการที่เป็นอยู่ในขณะนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ “นี่เจ้าหมายความว่าอาการปวดหลังของข้ารักษาให้หายขาดได้ใช่หรือไม่” รับสั่งถามกลับไปเพื่อความแน่พระทัย “รักษาได้พ่ะย่ะค่ะ... แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะหายขาดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์ด้วยว่าทำตามขั้นตอนการรักษาของกระหม่อมได้อย่างเคร่งครัดเยี่ยงไร หากเพิกเฉยมินำพาแล้วไซร้ ภายภาคหน้าพระองค์จะมีพระอาการ
ยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ
ยามเหม่าพระราชวังหลวงร่างอรชรแน่งน้อยของจางเพ่ยอันสวมเสื้อผ้าบุรุษสะพายกระเป๋าล่วมยาเดินเคียงคู่มากับพระสวามีปีศาจ ฉลองพระองค์เครื่องแบบราชองครักษ์ฝ่ายใน เดินตามติดชายาคนงามของพระองค์ไปอย่างกระชั้นชิดมิให้คลาดสายพระเนตรไปได้แม้แต่น้อย โดยเป้าหมายในขณะนี้คือพระศพขององค์ชายรองซึ่งจนถึงเวลานี้ มิมีหมอหลวงคนใดล่วงรู้เลยว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์นั้นเกิดจากอะไรกันแน่องค์ชายปีศาจพระดำเนินนำหน้าพร้อมจูงมือพระชายา ผ่านสายตาเหล่านางกำนัลและขันทีมากมายหลายสิบคู่ โดยไม่สนพระทัยสายตาของผู้ใดแม้แต่น้อยที่กำลังจับจ้องบุรุษทั้งสองกำลังเดินจูงมือเคียงคู่ไปด้วยกัน ก่อนจะหยุดลงเมื่อมาถึงพระตำหนักบูรพา ภายในห้องเก็บพระศพ มีผ้าขาวผืนขนาดใหญ่ขวางกั้นโลงพระศพและแท่นบูชาป้ายวิญญาณเพื่อให้เชื้อพระวงศ์และบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ เข้ามาเซ่นไหว้บริเวณด้านนอก ภายในห้องดังกล่าวมีนางกำนัลและขันทีคอยทำหน้าที่ดูแลพระศพให้เรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่มาถึงองค์ชายปีศาจมีรับสั่งออกไปทันที“เปิดฝาโลง! องค์ชายอิ๋งเฟิ่งมีรับสั่งให้ท่านหมอมาตรวจหาสาเหตุการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง” สิ้นพระสุรเสียงขององค์ชายปีศาจบรรดาขันที
เรือนบูรพา ปัง! ปัง! ปัง! เสียงเคาะประตูห้องดังเอ็ดอึงขึ้นระหว่างกลางดึกในขณะที่คู่สามีภรรยากำลังนอนหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียกับบทเสพสังวาสที่มอบให้กันตั้งแต่ยามสายในห้องหนังสือและยังมาต่อเนื่องในห้องนอนกันอีก ก่อนจะพากันหมดแรงไปด้วยกันก็เข้ายามโฉว่ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ! เกิดเรื่องใหญ่ในวังแล้ว! ทรงตื่นบรรทมอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของจางฮั่นดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้องนอน พร้อมร่างของรองแม่ทัพโม่โฉวและหรงซิ่วต่างพากันยืนอยู่ด้วยพร้อมกันในขณะนี้ เพียงครู่ภายในห้องบรรทมที่มีแต่ความมืดมิดมีแสงสว่างจากโคมไฟขึ้นมาทันที พร้อมเสียงจากคนที่อยู่ด้านในเปิดบานประตูออกด้วยความรวดเร็ว พร้อมพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายอิ๋งหยางพระดำเนินออกมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นรองแม่ทัพคนสนิททั้งสองปรากฏกายในยามวิกาลเช่นนี้ “มีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ! พวกเจ้าจึงรีบร้อนพากันมาหาข้าในยามวิกาลเช่นนี้” รับสั่งถามกลับไปทันใด “องค์ชายรองสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” โม่โฉวรีบกราบทูลรายงานทันที องค์ชายปีศาจทรงยืนนิ่งไปชั่วขณะครั้นทรงได้ยินรายงานเช่นนั้น “อิ๋งเหว่ยตายได้อย่างไร!” รับสั่งถามกลับไป “ตอนนี้บรรดาหมอ
สามวันผ่านไปภายในห้องหนังสือร่างงามแน่งน้อยในชุดสีขาวลออตาของสตรีสาวที่เต็มไปด้วยยศศักดิ์ ผมสีดำยาวสยายถูกเกล้าขึ้นสูงเป็นสัญลักษณ์ของหญิงที่สมรสแล้ว พรั่งพร้อมด้วยเครื่องประดับผมล้ำค่ามีทั้งทองคำและหยกเนื้องามชั้นดีเสียบไว้ที่บริเวณผมที่ถูกเกล้าขึ้น ใบหน้าแสนสวยถูกแต่งแต้มพองามมิต้องประเคนเครื่องประทินโฉมอะไรมากมาก คนสวยยังไงก็เอาอยู่ดวงตากลมโตสีหยาดน้ำผึ้งกำลังนั่งมองแผ่นไม้ไผ่ที่เป็นตำรายาสูตรลับของหยงเซี๊ยะกำลังถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนลุกโชน ก่อนจะโยนตำราดวงดาวลงไปเผาอีกเช่นกัน ราวกับว่าหญิงสาวล่วงรู้ว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นเพราะมีการแย่งชิงตำราดังกล่าวเกิดขึ้นนั่นเองท่ามกลางสายพระเนตรของพระสวามีปีศาจ ทรงพระดำเนินเข้ามาด้วยความแปลกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรพระชายาคนงามกำลังเผาตำราโบราณของหยงเซี๊ยะด้วยมือของนางเอง“อันอัน! เหตุใดเจ้าจึงเผาตำราที่ท่านตามอบให้มาเล่า เกิดเหตุสิ่งใดขึ้นหรือไรตำราทั้งสองนั้นเป็นของล้ำค่าทางด้านการรักษาและดูดวงดาวมิใช่รึ” พระองค์รับสั่งถามกลับไปด้วยความสงสัยระคนใคร่รู้ใบหน้าแสน