ความอลหม่านในการร่ำลาและมอบข้าวของสิ้นสุดลง ฟู่ซูหนิงต้องปาดเหงื่อไปหลายครั้ง กว่าจะได้ออกเดินทางเวลาก็ล่วงเลยเข้ายามซื่อ [1] ฉืออิ้งเทียนให้องครักษ์ของเขาเตรียมรถม้าไว้สำหรับฟู่ซูหนิงและเสี่ยวไป๋
"หนิงเอ๋อร์ เสี่ยวไป๋ พวกเจ้าเหนื่อยหรือไม่"
ฟู่ซูหนิงยังนั่งหน้าบูดบึ้งไม่พูดไม่จา ฟู่ซูหนิงพยายามปะติดปะต่อว่าตนทำพลาดที่ตรงใด ไฉนยังถูกเรียกตัวเข้าวัง บุญคุณหรือบำเหน็จนางไม่ต้องการสักนิด อยู่ ๆ ก็ใช้ราชโองการบีบบังคับนางอย่างไม่เต็มใจ โอรสแห่งสวรรค์นี่ช่างเอาแต่ใจเฉกเช่นกฎของสวรรค์ที่ถีบส่งวิญญาณของนางให้มาเผชิญด่านเคราะห์พอกันจริงเชียว
เสี่ยวไป๋เห็นฟู่ซูหนิงไม่ตอบฉืออิ้งเทียน เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้น "ท่านอ๋อง พวกเราไม่เหนื่อยเลยพ่ะย่ะค่ะ"
"เหนื่อยจะแย่" ฟู่ซูหนิงขยับปากเสียงมุบมิบ โดยไม่รู้เลยว่าฉืออิ้งเทียนได้ยินชัดเจนเชียว
เสี่ยวไป๋หน้าเจื่อนลงพลางส่งยิ้มแห้งขอดยิ่งกว่าบ่อน้ำร้าง
"ได้ เช่นนั้นเราก็พักเสียหน่อย" ฉืออิ้งเทียนยกมือเพื่อให้ขบวนเดินทางหยุดลง
ฟู่ซูหนิงขมวดคิ้ว วันนี
การเดินทางกลับวังหลวงจำต้องล่าช้าไปอีกสองสามวัน เพราะฟู่ซูหนิงยังไม่ได้สติ แม้นางถูกพิษทว่าฟู่ซูหนิงได้รับโอสถสลายพิษอย่างทันท่วงที นับว่าโชคดีที่โอสถนี้สามารถสลายพิษได้ทุกชนิด ถึงมิอาจทำให้อาการดีขึ้นในชั่วพริบตาก็ตาม"เสี่ยวไป๋ ไปพักเถิด ข้าจะดูแลอาจารย์เจ้าให้เอง""แต่ว่า...""ไม่ต้องแต่แล้ว วันนี้เจ้ายังไม่ได้ทานข้าวทานปลาเลยมิใช่หรือ เจ้าฝังเข็มให้นาง และใช้ยาสลายพิษให้จนครบแล้ว ไฉนต้องเป็นกังวลเพียงนี้""ท่านอ๋อง พิษถูกสลายหมดแล้วก็จริง แต่เหตุใดอาจารย์จึงยังไม่ได้สติหรือว่ากระหม่อมพลาดสิ่งใดไป" เสี่ยวไป๋ก้มหน้างุด เขาเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของฟู่ซูหนิง แต่ทว่าฝีมือช่างอ่อนด้อยยิ่ง อาจารย์เพียงคนเดียวก็รักษาไม่ได้ขาสูงย่างกรายมาหยุดยืนเบื้องหน้าเด็กหนุ่มที่เอาแต่โทษตัวเอง"เสี่ยวไป๋ เจ้าดูสีหน้าอาจารย์ของเจ้าให้ดี ข้าว่ายามนี้นางกำลังนอนฝันหวานอยู่มากกว่า"เสี่ยวไป๋เหลือบมองใบหน้าซึ่งเดิมทีซีดขาวเริ่มซับสีชมพูระเรื่อก็เริ่มมีรอยยิ้มแห่งความหวัง "จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะ" เด็กหนุ่มเร่งร
ฟู่ซูหนิงยู่หน้า ทว่านางมิอาจตอบโต้ ยามนี้แก้มของนางโป่งพองเพราะโจ๊กเมื่อครู่ ฟู่ซูหนิงเคี้ยวหยุบหยับด้วยสีหน้ามู่ทู่ ทว่าแก้มตุ่ย ๆ เช่นนี้ช่างทำให้ฉืออิ้งเทียนรู้สึกเอ็นดูนางเป็นอย่างยิ่ง"อร่อยหรือไม่""ก็งั้น ๆ เพคะ" ฟู่ซูหนิงเบือนหน้าหนี นางจำรสมือของเขาได้ นี่เขาถึงขั้นลงแรงทำโจ๊กให้นางด้วยตนเองเลยหรือจู่ ๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็พลอยขึ้นสีชมพูระเรื่อเมื่อหวนนึกถึงภาพวันเก่า ฉืออิ้งเทียนสวามีนางในกาลก่อนมักดูแลเอาใจใส่ฟู่ซูหนิงเช่นนี้เสมอ"เป็นอะไร ไข้ขึ้นหรือ" ฉืออิ้งเทียนใช้หลังมืออังหน้าผากฟู่ซูหนิงอย่างถือวิสาสะ"ทำอะไรน่ะเพคะ" จากใบหน้าชมพูก็พลิกผันเป็นแดงก่ำไปจนถึงใบหู"ก็ข้าเห็นเจ้าหน้าแดง คิดว่าไข้ขึ้นเสียอีก ดูสิแดงไปทั้งตัวแล้ว""ปะ...เปล่าเสียหน่อย เป็นเพราะโจ๊กฝีมือท่านไม่ได้เรื่องต่างหาก"ฉืออิ้งเทียนตัวแข็งทื่อ เขายังไม่ได้บอกนางด้วยซ้ำว่าตนเป็นคนทำ ตอนเสี่ยวไป๋ดูแลนางเองก็ยังไม่ได้สติ แล้วฟู่ซูหนิงทราบได้อย่างไรว่านี่คือรสมือใคร เดิมทีเขาไม่เคยเข้าครัวทำอาหารให้ผู้ใดทานด้วยซ้ำ กระทั่งองครักษ์ทั้งสองของเขายังงง
ทั่วบริเวณหุบเขาร้อยโอสถ ซึ่งเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดล้วนเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำพราวระยับ เพราะยามนี้สายฝนกำลังเทกระหน่ำดุจสวรรค์ร่ำไห้ ผืนนภาอันเคยสว่างเจิดจ้าแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมแผ่กลิ่นอายน่าหวาดเกรงเสียงสายฟ้าหวดสะบั้นเฉกเช่นอสนีเคราะห์ ภายในถ้ำแสนอนธการซ้ำยังอับชื้นพลันปรากฏสตรีร่างระหงนอนไร้สติเพียงลำพัง ความเย็นเยียบกำลังกัดลึกกร่อนกระดูกเสียจนหนาวเหน็บ เรือนร่างที่แน่นิ่งมานานจึงเริ่มขยับไหวพร้อมลมหายใจกระเพื่อมถี่ แค่ก แค่ก"หนาวจัง..." เสียงที่เคยสดใสแหบแห้งระคนสั่นเครือ เปลือกตาบางเปิดปรือขึ้นแช่มช้า ครั้นได้สตินางจึงดันกายของตนเพื่อพิงผนังผิวหยาบ อ้อมแขนยกขึ้นโอบกอดเรือนร่างตนหวังคลายความเย็นเยียบ พลางกวาดสายตาสำรวจสรรพสิ่งท่ามกลางความมืดมัว หญิงสาวขยับแขนเพื่อตรวจสอบทีละฝั่งด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ "นี่เรายังไม่ตายอีกหรือ" ฟู่ซูหนิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกปลดปลง นางจำได้ว่าถูกบั่นศีรษะสิ้นใจไปแล้วตั้งแต่อยู่ในวังหลวง โทษฐานวางยาพิษฮ่องเต้ คาดไม่ถึงว่ายามนี้ฟู่ซูหนิงได้หวนกลับมาในคืนฝนพรำเมื่อคราที่ตนอายุสิบหกหนาวอีกครั้งเหตุใดนางจึงไร้ท่าทีตื่นตระหนกเมื่อทราบว่าต
ฟู่ซูหนิงหยัดกายยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล ตะกร้าสานซึ่งเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรถูกยกขึ้นสะพายบนบ่า ร่างระหงเดินตุปัดตุเป๋ออกจากถ้ำด้วยจิตใจอันล่องลอย สมองของนางเฝ้าตบตีกันซ้ำไปซ้ำมาข้าจะทิ้งให้เขาตายตรงนี้จริงน่ะหรือแต่หากข้าช่วยเขาทุกอย่างก็ต้องวนกลับมาซ้ำรอยเดิม ใครจะอยากถูกตัดศีรษะซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้หรือว่ามันเจ็บเพียงใดฟู่ซูหนิงจึงไม่คิดสนใจบุรุษตรงหน้าอีก ทว่าจิตใจของนางช่างรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ยามนี้เขาก็เป็นเพียงชายหนุ่มวัยแรกรุ่นผู้หนึ่ง นางจะใจจืดใจดำทิ้งเขาได้ลงคอเชียวหรือแต่แล้วฟู่ซูหนิงก็ตัดสินใจทิ้งเขาไว้เบื้องหลังในที่สุด ขาเรียวค่อย ๆ เยื้องย่างห่างออกไปกระทั่งหอบสังขารกลับมาถึงจวนไม้ไผ่กลางหุบเขา ร่างระหงก็ฟุบลงด้วยความเหนื่อยล้า"หนิงเอ๋อร์!"หญิงชรารุดประคองเรือนร่างอันโรยแรงของหลานสาวด้วยอาการตื่นตระหนกริมฝีปากซีดขาวเผยรอยยิ้มเบาบาง "ท่านยาย หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ"จู่ ๆ น้ำสีใสก็ไหลพรากลงตรงหางตา นานเหลือเกินที่ฟู่ซูหนิงจากหุบเขาร้อยโอสถไป นางคิดว่าชาตินี้คงมิได้กลับมาทดแทนคุณของท่านตาท่านยายเสียแล้ว ช่างคิดถึง คิดถึงชีวิตอันแสนเรียบง่ายเช่นนี้เหลือเกินท่า
"ท่านตา...ท่านช่วยเขาหรือเจ้าคะ" "ใช่ ตาช่วยเขาเอง พ่อหนุ่มนี่นอนหมดสติตากฝนอยู่ผู้เดียว ดูเหมือนร่างกายได้รับพิษเสียด้วย อีกอย่างเขายังไม่ถึงคราวตาย" "ท่านตาเจ้าคะ แต่เขาเป็น..." ฟู่ซูหนิงมิได้เอ่ยประโยคถัดไป นางก้มหน้างุดแทบหลั่งน้ำตา นิ้วโป้งสาละวนขึ้นลงพลางเหลือบมองผู้ป่วยบนเตียงด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหตุใดข้าต้องโล่งอกด้วยนะ เฮ้อ.. "หนิงเอ๋อร์ เป็นอะไรของเจ้า"ฟู่ซูหนิงยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น ต่อให้อธิบายไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ว่าบุรุษผู้นี้เปรียบดั่งพญามัจจุราชที่กำลังเข้ามาช่วงชิงชีวิตอันแสนสงบสุขไปจากนางตลอดกาล เจ้าของร่างสูงเบื้องหน้าฟู่ซูหนิงยามนี้คือองค์ชาย'ฉืออิ้งเทียน'แห่งแคว้นซีฮัน อีกไม่นานเขาจะได้รับตำแหน่งชินอ๋องด้วยอายุเพียงสิบแปดปี ชาติก่อนฉืออิ้งเทียนถูกลอบทำร้ายด้วยยาพิษเสียจนดวงตาใกล้มืดบอด ฉืออิ้งเทียนซัดเซพเนจรและได้บังเอิญผ่านมาถึงหุบเขาร้อยโอสถ ทั้งที่ด้านนอกมีค่ายกลขวางกั้นทว่าชายหนุ่มกลับข้ามผ่านเข้ามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดูเหมือนสวรรค์จงใจส่งองค์ชายผู้นี้เข้ามาเพื่อทดสอบชีวิตรักช้ำของฟู่ซูหนิง หลังจากช่วยเหลือเขาจนหายดี นานวันเข้าความรักระหว่างช
ฟู่หรง "อ้าว หนิงเอ๋อร์ ไม่พักหรือ ออกมาทำไมเล่า"ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ "ท่านยายเจ้าคะ ให้ข้าเป็นคนรักษาเขาได้หรือไม่"ประจวบเหมาะกับที่ต่งควนเดินเข้ามา "ไหนเจ้าบอกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรเล่า"จริงดังว่า นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาสักเสี้ยว ทว่าฟู่ซูหนิงประสงค์ให้ฉืออิ้งเทียนออกจากหุบเขาร้อยโอสถโดยเร็วต่างหาก โอกาสครั้งนี้ฟู่ซูหนิงขอเลือกเป็นหมอหญิงไร้สามารถ มิขออาจเอื้อมก้าวเข้าสู่รั่ววังชั่วชีวิต"ท่านตาสอนข้าเอง ยามเมื่อเราเห็นคนลำบากก็ต้องรู้จักยื่นมือเข้าช่วยเหลือมิใช่หรือเจ้าคะ อีกอย่างข้าจะได้พัฒนาฝีมือการแพทย์ของตนเองด้วยเจ้าค่ะ"ฟู่หรงอมยิ้ม มือเหี่ยวย่นลูบไล้เส้นผมสีดำขลับของหลานด้วยความเอ็นดูยิ่ง "ในที่สุดหลานยายก็โตเสียที"ฟู่ซูหนิงยิ้มแฉ่ง ทว่าภายในใจช่างฝืดฝืนเหลือทน "ท่านตาท่านยายสอนมาดีอย่างไรเจ้าคะ""หนาว หนาวเหลือเกิน อย่าทิ้งข้าไป..." เสียงทุ้มแหบพร่าสั่นเครือดังขึ้นตัดบทสนทนา"ท่านตา ข้าดูแลเขาเองเจ้าค่ะ"ชายชราชะงักฝีเท้าลง "แน่ใจหรือ"ฟู่ซูหนิงพยักหน้าหงึกหงัก "เจ้าค่ะ ท่านอย่าลืมว่าหลานของท่านอัจฉริยะเชียวนะเจ้าคะ ท่านลืมแล้วหรือ ว่าข้าท่องตำราการแพทย์ได้
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่ฉืออิ้งเทียนได้รับการรักษาจากฟู่ซูหนิง ยามนี้อาการบาดเจ็บที่เรือนร่างหายเป็นปลิดทิ้ง ทว่าดวงตายังคงพร่าเบลอไม่ชัดเจน "ต้องขอบคุณท่านหมอที่ช่วยดูแลข้าในทุกวัน ลำบากท่านแล้ว" การเรียกขานฟู่ซูหนิงของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉืออิ้งเทียนรับรู้ได้ว่าแม้นางเป็นหลานของผู้มีพระคุณที่เก็บตนกลับมา แต่จากวิธีการดูแลรักษาของนาง ฟู่ซูหนิงคงนับเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือเก่งกาจไม่ต่างกัน มิเช่นนั้นผู้ที่นางเรียกว่าท่านตาคงไม่ปล่อยให้ฟู่ซูหนิงดูแลเขาอย่างใกล้ชิดเพียงลำพัง "ท่านไม่ต้องเกรงใจ อีกสองชั่วยามเราจะออกไปข้างนอกกัน" ฟู่ซูหนิงเก็บอุปกรณ์การแพทย์ ถ้วยยา และผ้าเปียกชื้นซึ่งใช้ทำความสะอาดเรือนกายของชายหนุ่มไปพลางเอ่ยไปพลาง ทว่ามิได้จับจ้องใบหน้าบุรุษฝั่งตรงข้าม เดิมทีการเป็นแพทย์ล้วนเคยเห็น ได้สัมผัสเรือนร่างทั้งชายและหญิงมาจนนับไม่ถ้วน ทว่ายามที่ฟู่ซูหนิงต้องปรนนิบัติเขาในแต่ละครั้งกลับรู้สึกว่าตนเก้อกระดากอยู่ไม่น้อย "เราจะไปที่ใด ในเมื่อข้ายังมองไม่เห็นเช่นนี้ อาจทำให้ท่านหมอลำบาก" "ส่งท่านกลับ" "กลับหรือ? แต่ดวงตาของข้ายัง..." "คุณชายอิ้งเทียนไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ ข้า
"ท่านตา ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ยามนี้ร่างกายเขาแข็งแรงม๊ากมาก…ส่วนเรื่องดวงตา แค่มีเทียบยาและวิธีการดูแลให้ญาติของเขาก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ หากรั้งเขาไว้นานญาติของเขาอาจร้อนใจ กระทั่งพลิกแผ่นดินหาก็เป็นได้นะเจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงกะพริบตาปริบ ๆต่งควนมันเขี้ยวจึงเคาะกบาลนางไปหนหนึ่ง ฟู่ซูหนิงยกมือลูบศีรษะตนป้อย ๆ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์ทำอะไรผิดงั้นหรือ" ฟู่ซูหนิงเหลียวมองฟู่หรงหมายขอความช่วยเหลือ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะ"ตาเคยสอนเจ้าว่าอย่างไร ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดมิใช่หรือ"ฟู่ซูหนิงถลาเข้าซบอกผู้เป็นตา พลางเอ่ยเว้าวอน หากไม่แสร้งว่านอนสอนง่ายแผนของนางต้องพังทลายแน่แท้ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์รู้ดีเรื่องที่ท่านสอนไว้เสมอ แต่หากท่านหายออกจากบ้านไปเป็นแรมเดือน ข้ากับท่านยายก็ต้องร้อนใจเช่นกัน ท่านยายว่าหรือไม่เจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงหันมองผู้เป็นยายเพื่อขอความเห็น ฟู่หรงก็อดใจอ่อนเป็นมิได้"ก็จริงเช่นหลานว่า"ฟู่ซูหนิงยิ้มกว้างอวดฟันเรียงสวย จากนั้นปรับน้ำเสียงให้อ่อนหวานดังเดิม "ท่านตาเจ้าคะ…เขาเป็นบุรุษตัวใหญ่โต ได้ยาดีจากหมอเทวดาเช่นท่าน เหตุใดต้องกังวลใจถึงเพียงนั้น ให้หนิงเอ๋อร์ไปส่งเขาเถอ
ฟู่ซูหนิงยู่หน้า ทว่านางมิอาจตอบโต้ ยามนี้แก้มของนางโป่งพองเพราะโจ๊กเมื่อครู่ ฟู่ซูหนิงเคี้ยวหยุบหยับด้วยสีหน้ามู่ทู่ ทว่าแก้มตุ่ย ๆ เช่นนี้ช่างทำให้ฉืออิ้งเทียนรู้สึกเอ็นดูนางเป็นอย่างยิ่ง"อร่อยหรือไม่""ก็งั้น ๆ เพคะ" ฟู่ซูหนิงเบือนหน้าหนี นางจำรสมือของเขาได้ นี่เขาถึงขั้นลงแรงทำโจ๊กให้นางด้วยตนเองเลยหรือจู่ ๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็พลอยขึ้นสีชมพูระเรื่อเมื่อหวนนึกถึงภาพวันเก่า ฉืออิ้งเทียนสวามีนางในกาลก่อนมักดูแลเอาใจใส่ฟู่ซูหนิงเช่นนี้เสมอ"เป็นอะไร ไข้ขึ้นหรือ" ฉืออิ้งเทียนใช้หลังมืออังหน้าผากฟู่ซูหนิงอย่างถือวิสาสะ"ทำอะไรน่ะเพคะ" จากใบหน้าชมพูก็พลิกผันเป็นแดงก่ำไปจนถึงใบหู"ก็ข้าเห็นเจ้าหน้าแดง คิดว่าไข้ขึ้นเสียอีก ดูสิแดงไปทั้งตัวแล้ว""ปะ...เปล่าเสียหน่อย เป็นเพราะโจ๊กฝีมือท่านไม่ได้เรื่องต่างหาก"ฉืออิ้งเทียนตัวแข็งทื่อ เขายังไม่ได้บอกนางด้วยซ้ำว่าตนเป็นคนทำ ตอนเสี่ยวไป๋ดูแลนางเองก็ยังไม่ได้สติ แล้วฟู่ซูหนิงทราบได้อย่างไรว่านี่คือรสมือใคร เดิมทีเขาไม่เคยเข้าครัวทำอาหารให้ผู้ใดทานด้วยซ้ำ กระทั่งองครักษ์ทั้งสองของเขายังงง
การเดินทางกลับวังหลวงจำต้องล่าช้าไปอีกสองสามวัน เพราะฟู่ซูหนิงยังไม่ได้สติ แม้นางถูกพิษทว่าฟู่ซูหนิงได้รับโอสถสลายพิษอย่างทันท่วงที นับว่าโชคดีที่โอสถนี้สามารถสลายพิษได้ทุกชนิด ถึงมิอาจทำให้อาการดีขึ้นในชั่วพริบตาก็ตาม"เสี่ยวไป๋ ไปพักเถิด ข้าจะดูแลอาจารย์เจ้าให้เอง""แต่ว่า...""ไม่ต้องแต่แล้ว วันนี้เจ้ายังไม่ได้ทานข้าวทานปลาเลยมิใช่หรือ เจ้าฝังเข็มให้นาง และใช้ยาสลายพิษให้จนครบแล้ว ไฉนต้องเป็นกังวลเพียงนี้""ท่านอ๋อง พิษถูกสลายหมดแล้วก็จริง แต่เหตุใดอาจารย์จึงยังไม่ได้สติหรือว่ากระหม่อมพลาดสิ่งใดไป" เสี่ยวไป๋ก้มหน้างุด เขาเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของฟู่ซูหนิง แต่ทว่าฝีมือช่างอ่อนด้อยยิ่ง อาจารย์เพียงคนเดียวก็รักษาไม่ได้ขาสูงย่างกรายมาหยุดยืนเบื้องหน้าเด็กหนุ่มที่เอาแต่โทษตัวเอง"เสี่ยวไป๋ เจ้าดูสีหน้าอาจารย์ของเจ้าให้ดี ข้าว่ายามนี้นางกำลังนอนฝันหวานอยู่มากกว่า"เสี่ยวไป๋เหลือบมองใบหน้าซึ่งเดิมทีซีดขาวเริ่มซับสีชมพูระเรื่อก็เริ่มมีรอยยิ้มแห่งความหวัง "จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะ" เด็กหนุ่มเร่งร
ความอลหม่านในการร่ำลาและมอบข้าวของสิ้นสุดลง ฟู่ซูหนิงต้องปาดเหงื่อไปหลายครั้ง กว่าจะได้ออกเดินทางเวลาก็ล่วงเลยเข้ายามซื่อ [1] ฉืออิ้งเทียนให้องครักษ์ของเขาเตรียมรถม้าไว้สำหรับฟู่ซูหนิงและเสี่ยวไป๋"หนิงเอ๋อร์ เสี่ยวไป๋ พวกเจ้าเหนื่อยหรือไม่"ฟู่ซูหนิงยังนั่งหน้าบูดบึ้งไม่พูดไม่จา ฟู่ซูหนิงพยายามปะติดปะต่อว่าตนทำพลาดที่ตรงใด ไฉนยังถูกเรียกตัวเข้าวัง บุญคุณหรือบำเหน็จนางไม่ต้องการสักนิด อยู่ ๆ ก็ใช้ราชโองการบีบบังคับนางอย่างไม่เต็มใจ โอรสแห่งสวรรค์นี่ช่างเอาแต่ใจเฉกเช่นกฎของสวรรค์ที่ถีบส่งวิญญาณของนางให้มาเผชิญด่านเคราะห์พอกันจริงเชียวเสี่ยวไป๋เห็นฟู่ซูหนิงไม่ตอบฉืออิ้งเทียน เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้น "ท่านอ๋อง พวกเราไม่เหนื่อยเลยพ่ะย่ะค่ะ""เหนื่อยจะแย่" ฟู่ซูหนิงขยับปากเสียงมุบมิบ โดยไม่รู้เลยว่าฉืออิ้งเทียนได้ยินชัดเจนเชียวเสี่ยวไป๋หน้าเจื่อนลงพลางส่งยิ้มแห้งขอดยิ่งกว่าบ่อน้ำร้าง"ได้ เช่นนั้นเราก็พักเสียหน่อย" ฉืออิ้งเทียนยกมือเพื่อให้ขบวนเดินทางหยุดลงฟู่ซูหนิงขมวดคิ้ว วันนี
เป็นเวลาเจ็ดวันที่ฉืออิ้งเทียนและฟู่ซูหนิงยังคงอยู่สะสางเรื่องอลหม่านในหมู่บ้านฮุ่ยเหอจนสิ้น ส่วนเหอหยางยังต้องกลับไปที่เมืองเทียนหลันจึงมิได้อยู่ต่อ ยามนี้เหอหยางและฉืออิ้งเทียนต่างล่วงรู้สถานะอันแท้จริงของกัน เหอหยางจึงวางใจว่าฟู่ซูหนิงต้องปลอดภัยอย่างแน่นอนเมื่ออยู่กับฉืออิ้งเทียนทว่ากลับเป็นสิ่งที่ทำให้ซื่อจื่อเช่นเขาช่างหงุดหงิดใจยิ่ง เนื่องจากเขาเป็นถึงซื่อจื่อแห่งเมืองเทียนหลันยังต้องแบกความรับผิดชอบไว้บนบ่าอีกมากจึงต้องจำใจกลับไปทำหน้าที่ของตนอย่างเสียไม่ได้ทั้งที่ฉืออิ้งเทียนพยายามกุมตัวผู้ร้ายไว้ยังสถานที่ลับ ก็ยังถูกค้นพบดูเหมือนหมู่บ้านฮุ่ยเหอกลายเป็นแหล่งกบดานของเหล่ากบฏแล้วจริง ส่งผลให้ชายที่เขาคุมขังยังไม่ได้รับการไต่สวนก็ถูกวางยาพิษจนตัวตายฉืออิ้งเทียนส่งรายงานทั้งหมดไปให้องค์รัชทายาท สามวันถัดมากลับมีราชโองการมาถึงเขาในราชโองการระบุว่าฟู่ซูหนิงเป็นหมอหญิงที่ช่วยเหลือเขาจนดวงตาหายเป็นปกติ เพราะฉืออิ้งเทียนและฟู่ซูหนิงร่วมมือกันคืนความสุขสงบให้หมู่บ้านฮุ่ยเหอ จึงหมายเรียกตัวหมอหญิงฟู่และชินอ๋องกลับวังหลวง
แค่ก แค่กเสียงกระอักไอดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง ทุกคนต่างมองไปยังที่มาของเสียง ฟู่ซูหนิงรุดเข้าประคองหญิงชรา ทว่าฉืออิ้งเทียนกลับยกมือขึ้นปรามไว้เสียก่อน"หนิงเอ๋อร์ ไม่ต้องไป""เอ๋ เจ้าหน้าน้ำแข็ง นางเป็นหมอจะห้ามนางทำไมกัน""เจ้าไม่รู้อะไรก็เงียบปาก แล้วเตรียมตัวกลับเมืองเทียนหลันไปซะ ปัญหาที่นั่นสะสางเรียบร้อยแล้วงั้นหรือ"เหอหยางผายมือยักไหล่ ฉืออิ้งเทียนมิได้ใส่ใจท่าทียียวนของเหอหยางอีก เขาส่ายหน้าด้วยความระอิดระอา โตป่านนี้เหอหยางซื่อจื่อยังมีนิสัยติดเล่นสนุกเฉกเช่นกาลก่อนมิมีเปลี่ยน"เลิกเสแสร้งได้แล้ว!" เท้ากว้างยันโครมไปยังหน้าอกหญิงชราจนหงายหลังทุกคนตื่นตระหนกเบิกตากว้าง ฟู่ซูหนิงรุดเข้ามาบังหน้าผู้อาวุโสเอาไว้ นางกางแขนออกหมายปกป้องคนเบื้องหลัง "ท่านอ๋อง นี่ท่านทำอะไรเพคะ กระทั่งหญิงชราท่านก็ยังทำร้ายส่งเดชงั้นหรือ"เหอหยางโบกพัดสะบัดไปมา เขาอันตรธานมายืนขนาบข้างฟู่ซูหนิงพลันเอ่ยสำทับ "นั่นสิ ข้ารู้ว่าเจ้าเคร่งครัดเพียงใด แต่กับผู้หญิง ซ้ำยังเป็นคนแก่ชราไยต้องลงไม
ฟู่ซูหนิงอึ้งงัน นางครุ่นคิดถึงคำพูดเด็กหนุ่มในวันนั้นว่ามีพี่ชายมาส่ง วันนั้นฟู่ซูหนิงก็รู้สึกสงสัยไม่ต่างกัน นางย้อนกลับไปอีกครั้งแต่ไม่พบแม้แต่เงาคน ที่แท้ก็เป็นเขาคนที่นางไม่อยากให้เป็นมากที่สุด "เป็นพระองค์เองหรือ ไหนท่านรับปากข้าว่าเราจะเป็นเพียงคนผ่านทางที่บังเอิญพบกันเท่านั้น เหตุใดจึงกลับคำ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า ฟู่ซูหนิงเอ่ยต่อ "ท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ ดุจดั่งโอรสสวรรค์เช่นเดียวกัน วาจาดั่งทองคำ เหตุใดจึงไม่รักษาสัจจะเพคะ""ข้ารักษาสัจจะเสมอ แต่ข้าไม่อาจละเลยผู้มีพระคุณได้ ฉะนั้นวันที่ข้ารับปากเจ้า..." ฉืออิ้งเทียนยกมือขวาขึ้น จากนั้นไขว้กันให้นางดู"ทะ...ท่านอ๋อง นี่ท่าน เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า "เหตุใดจะไม่ได้งั้นหรือ มีกฎข้อไหนของสวรรค์บัญญัติไว้กันเล่า"ฟู่ซูหนิงตัวแข็งค้างประหนึ่งถูกกระแสอสนีบาตฟาดลงกลางกระหม่อม เปลือกตาบางกะพริบตาถี่ ยังไม่ทันขยับปาก เสียงกีบเท้าม้าจากทางด้านนอกก็ดังขึ้น"หนิงเอ๋อร์ อาไป๋"ฟู่ซูหนิงมองผ่านลาดไหล่กว้างออกไปใบหูของฉืออิ้งเทียนกระดิกเล็กน้อย พร้อมสีหน้าซึ่งหม่นทะมึน
เสียงร้องโอดครวญเงียบสงบลงแล้ว ทุกคนต่างหลับใหลและกำลังพักฟื้นจากอาการถูกกู่พิษ ฟู่ซูหนิงเหลือบมองเสี่ยวไป๋ ใบหน้าของเด็กหนุ่มยามนี้ซีดขาวโรยแรง"ไป๋เอ๋อร์""ขอรับท่านอาจารย์"ผ่านไปไม่กี่วันดูเหมือนเด็กหนุ่มจะสูงขึ้นอีกแล้ว ริมฝีปากสีกุหลาบคลี่ยิ้มบาง "เจ้าอยู่กับข้ามานานเท่าใดแล้ว""ท่านจำไม่ได้หรือ เดิมทีท่านอาจารย์มักบอกเสมอว่าความจำเป็นเลิศกว่าผู้ใด"ฟู่ซูหนิงยิ้มบาง ทว่ารอยยิ้มของนางกลับเต็มไปด้วยความฝืดฝืน "นี่แน่ะ ยอกย้อนเก่งเหลือเกิน" มือเรียวดีดหน้าผากเสี่ยวไป๋ไม่จริงจังนัก"ท่านอาจารย์ ระวังความรู้ที่ท่านสอนมาจะไหลออกจากหัวข้าหมด เพราะท่านเอาแต่ดีดเป็นลูกคิดเช่นนี้"ฟู่ซูหนิงหัวเราะครืน ทว่าสีหน้าของนางมิได้ดูสนุกสนานเช่นที่แสดงออกเลยแม้เสี่ยวไป๋ยังเติบโตไม่เต็มที่แต่เขาอยู่กับฟู่ซูหนิงมานาน มีหรืออาการผิดสังเกตเช่นนี้เขาจะมองไม่ออก"อาจารย์ ท่านมีเรื่องไม่สบายใจงั้นหรือ""เสี่ยวไป๋ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกกับเจ้า"กระบอกตาคู่งามขึ้นสีแดงเรื่อ
อาชาตัวใหญ่สีดำเลื่อมห้อตะบึงกลับไปยังหมู่บ้านฮุ่ยเหอ ทั้งสองเร่งเดินทางแทบไม่หยุดพักตลอดสองราตรี อย่าว่าแต่คนอ่อนล้าเลย ยามนี้ม้าก็เช่นกัน"ท่านอ๋อง พักสักครึ่งชั่วยามก็คงไม่เป็นไรกระมังเพคะ เรายังไหว แต่ม้าของท่านนั้นไหวแน่หรือ"ดูเหมือนแรงวิ่งของม้าศึกคู่ใจเขาพละกำลังเริ่มถดถอยแล้วจริง ๆ"ก็ได้"อีกด้าน ณ โรงหมอแห่งหมู่บ้านฮุ่ยเหอบรรดาชาวบ้านยังคงถูกมัดไว้ นับวันนี้ก็ครบเจ็ดวันพอดี อาการของบรรดาผู้คนเริ่มแปลกประหลาดไปทุกขณะ องครักษ์ทั้งสองและเสี่ยวไป๋ต่างเคร่งเครียด เสี่ยวไป๋เมียงมองไปยังเส้นทางเพื่อเฝ้ารอการกลับมาของฉืออิ้งเทียนและฟู่ซูหนิงอย่างมีหวัง"พี่ชาย ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่พวกท่านจะกลับหรือ คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกระมัง""เสี่ยวไป๋ ทางนี้เกิดปัญหาแล้ว" เติ้งเหวยและเกาซีพยายามช่วยกันกดแขนขาหญิงสาวผู้หนึ่งเอาไว้ ดูเหมือนใบหน้าของนางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ หนำซ้ำดวงตายังกลอกขึ้นจนเห็นเพียงสีขาวพละกำลังที่อีกฝ่ายแดดิ้น แทบนับได้ว่าเพิ่มขึ้นเป็นทบทวีคูณ กระทั่งบุรุษผู้ก
"ขออภัยท่านผู้อาวุโส พวกเรามิได้ตั้งใจรบกวนท่าน เพียงแต่ยามนี้พวกเราต้องการความช่วยเหลือ มิทราบว่าหมู่บ้านโม่โฉวมีท่านหมอนามว่าฟางซินหรือไม่ขอรับ""ที่นี่ไม่ต้อนรับแขก พวกเจ้ากลับไปเถิด"ฟู่ซูหนิงใจเสีย "ท่านผู้อาวุโส พวกเรามีความจำเป็นจริง ๆ เจ้าค่ะ ตอนนี้คนในหมู่บ้านของพวกเรากำลังป่วยหนัก หากไม่ใช่ท่านหมอฟางซิน ข้าก็มองไม่เห็นผู้อื่นอีกแล้ว เกรงว่าถ้ากลับไปไม่ทันพวกเขาจะตายกันหมด""นั่นมิใช่ธุระกงการใดของข้า คนจะตายพวกเจ้าห้ามได้ด้วยหรือ อีกอย่างข้าไม่ใช่หมอ หากพวกเขาเจ็บป่วยก็ไปหาหมอ หาใช่มาที่นี่""เพราะหมอธรรมดามิอาจรักษาได้ พวกเราจึงต้องมาที่นี่ ได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเจ้าค่ะ ไม่ทราบท่านหมอฟางซินอยู่ที่ใด หากท่านช่วยบอกใบ้ ชาตินี้พวกเราจะไม่มีวันลืมบุญคุณเจ้าค่ะ"ฟู่ซูหนิงภาวนาเพียงว่าท่านหมอฟางซินจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เงาตะคุ่มหนึ่งค่อย ๆ ย่างกรายออกมาพร้อมไม้เท้าในมือ ฟู่ซูหนิงเห็นอีกฝ่ายก็ถึงขั้นผงะ ใบหน้าของเขาเหี่ยวย่นราวอายุร้อยกว่าปีได้ สีหน้าขมึงทึงไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง"คนที่นี่ไม่อาจช่วยเหลือใครได้ พวกเจ้ากลับไป