คฤหาสน์ตระกูลเฉิน ร่างสูงก้าวเข้ามาภายในห้องโถง เคียงคู่กับหญิงสาวที่หน้าตาละม้ายคล้ายกัน แม้แต่ความสูงยังแทบจะเท่ากันเลยด้วยซ้ำ สองหนุ่มสาวในชุดลำลองสบาย ๆ เดินตรงไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งมีท่านเจ้าสัวเฉินกำลังหัวเราะร่าอยู่กับภรรยา เฉินหมิงมองไปยังน้องสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนสองพี่น้องจะเบะปากให้กันเป็นเชิงหยอกล้อ วันนี้เป็นการลาพักร้อนที่ตรงกันในรอบหลายปีของเขาสองคนพี่น้อง เฉินเปียวแกล้งมองผ่านลูกชายหญิง ก่อนจะชำเลืองมองอยู่ในที เขาอยากได้ยินข่าวดี ว่าทั้งสองลาออกจากกองทัพเสียที งานที่ลูก ๆ ทำมันอันตรายเกินกว่าเขาจะรับได้ แรก ๆ แค่ทหารยศธรรมดา พอนานวันเข้ากลายเป็นหน่วยรบพิเศษไปซะงั้น “บ้านเราก็ออกจะร่ำรวย ทำไมใครบางคนต้องอยากเอาชีวิตไปทิ้งให้กับคนอื่นด้วยนะ” เจ้าสัวเฉินแสร้งประชดลูก ๆ ก่อนจะทำท่าทางฮึดฮัด เมื่อลูกสาวคนรองเฉินหนิงก้าวเข้าไปนั่งข้าง ๆ พร้อมสวมกอดผู้เป็นพ่อ คุณนายเฉินได้แต่หัวเราะกับท่าทางของสามี ก่อนจะกวักมือเรียกลูกชายคนโต เฉินหมิงก้าวยาว ๆ เข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่ ก่อนจะพูดจาออดอ้อนเสียจนน่าหมั่นไส้ “ขอเวลาเราสองคนอีกนิดนะคะป๊า แล้วเราจะกลับมาอยู่บ้านจนป๊ากับม๊าเ
'โครม' รถเสียหลักชนต้นไม้ข้างทาง ปัง ๆ เสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด ฝั่งที่นั่งคู่คนขับ เฉินหลิงรีบเปิดที่พักแขนข้างคนขับ หญิงสาวหยิบปืนออกมา หมับ! เฉินหมิงคว้าจับมือน้องสาวคนเล็กเอาไว้ได้ทัน เป็นจังหวะเดียวกันกับเฉินหนิง เอื้อมจับข้อมือของน้องสาวเอาไว้เหมือนกัน เฉินหลิงน้ำตาคลอหน่วย มือที่กำด้ามปืนเอาไว้สั่นระริก เมื่อสบเข้ากับสายตาคัดค้านของพี่ชายและพี่สาว สองพี่น้องสบตากับน้องสาวคนเล็ก ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นการห้าม เสียงของพ่อกับแม่ดังก้องเข้ามาในหู ทว่ามันเริ่มห่างไกลจากทั้งคู่เข้าไปทุกที เฉินหลิงวางปืนในมือเอาไว้ที่เดิม “ทำไม! ทำไมกัน ฮือ ๆ” เฉินหลิงกรีดร้องออกมาด้วยความเสียใจ หญิงสาวเปิดประตูรถออก ก่อนจะรีบไปเปิดประตูข้างคู่คนขับ เพื่อพาพี่สาวออกจากตัวรถ ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด ทางด้านคุณนายเฉินยังคงช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอค่อย ๆ ลงจากรถ แล้วเดินมาไปหาบุตรสาวคนเล็ก ใบหน้าของคนเป็นแม่ในตอนนี้ขาวซีดราวกระดาษ คุณนายเฉินทรุดลงนั่งกับพื้นสะอื้นจนตัวโยน ภาพของลูกชายหญิง มีเลือดท่วมตัว ทำให้เธอไม่อาจทนรับกับความเจ็บปวดนี้ได้ ร่างสั่นเทาค่อย ๆ คลานเข้าไปหาลูกสาวคนรอง มื
มิติคู่ขนาน กระท่อมชายป่า เมืองชีเป่ย “อาหนิง”เฉินหนิงได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ อยู่ข้างหู ก่อนจะค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ หญิงสาวกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อให้คุ้นชินกับแสง เธอยังไม่ตายอย่างนั้นเหรอ ถูกยิงหลายนัดขนาดนั้น รอดมาได้ถือว่าปาฏิหาริย์มากทีเดียว"ปวดหัวจังเลย"หญิงสาวคิดจะยกมือขึ้นคลึงขมับ เพื่อคลายอาการปวดสักหน่อย แต่ก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะมือของเธอทำไมมันเหมือนเด็กขาดสารอาหารแบบนี้ เฉินหนิงค่อย ๆ ไล่มองตามนิ้วมือเรียวเล็กไปจนถึงแขนที่ไม่ใช่ของเธอ ชายแขนเสื้อไม่เหมือนที่เธอคุ้นเคย‘นี่มันอะไรกัน!’อาการปวดหัวเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมกับเรื่องราวของใครบ้างคนหลั่งไหลเข้ามาในหัว เฉินหนิงทั้งเจ็บปวดและต้องข่มกลั้นก้อนสะอื้นลงไปในอก เพราะภาพที่ฉายวนอยู่ในหัวเธอตอนนี้ มันหาคำว่าความสุขไม่ได้เลยหญิงสาวปล่อยให้ทุกอย่างไหลเข้ามาให้เต็มที่ เพราะยิ่งเธอฝืนไม่อยากที่จะรับ หัวของเธอเหมือนจะระเบิดให้ได้ น้ำใส ๆ ค่อย ๆ ไหลออกจากหางตา ความรู้สึกทั้งหมดของเด็กหญิงวัยเพียงสิบสี่ปี มันอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด จนอยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เฉินหนิงลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยความตกใจ เพราะเธอรู้
หลังจากรถม้าลับสายตาไปแล้ว หรงจิ่งวางลูกชายคนเล็กลงกับพื้น ก่อนจะหันกลับมาหาภรรยา ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มเปลี่ยนไปในทันที สายตาที่เขามองสี่แม่ลูก ไม่ต่างจากเศษขยะริมทาง “กลับไปอยู่ที่กระท่อมได้แล้ว และอย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าขัดคำสั่ง ส่งข่าวให้พ่อแม่เจ้า จำเอาไว้ให้ดีว่าหน้าที่ของภรรยาคือเชื่อฟังสามี เจ้าก้าวออกจากสกุลจางเพื่อมาเป็นคนสกุลหรง ไม่ว่าอยู่หรือตายเจ้าก็คือคนสกุลหรง เรื่องนี้คงไม่ต้องให้ข้าต้องสอนเจ้าเป็นครั้งที่สองหรอกนะ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวพาลูกชายหญิงเดินออกจากจวนไป พร้อมน้ำตาอาบแก้ม นางเป็นแค่ดอกไม้ประดับของสามี และเขามีนางไว้เพื่อให้สกุลจางคอยสนับสนุนเขา ครอบครัวของนางมิใช่คนเมืองหลวง จึงไร้ญาติพี่น้องที่จะพึ่งพา ถึงมีก็ช่วยอะไรนางไม่ได้ เพราะนางเป็นคนของสกุลหรง จะอยู่จะตายก็คือคนของสามี สงสารก็เพียงลูก ๆ ที่พลอยต้องมาลำบากไปด้วย “คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ไยจึงไม่กลับไปเสิ่นโจวกับนายท่านเล่าเจ้าคะ” “ท่านป้าก็รู้ดีมิใช่หรือ หากหย่าขาดจากเขา ไปได้เพียงตัวข้าคนเดียว แล้วลูก ๆ ของข้าเล่าจะอยู่อย่างไร พวกเขาคือคนสกุลหรง หากหรงจิ่งไม่ยินยอม ต่อให้ท่านพ่อท่านแม่ร้องเรียน ก็
หกเดือนต่อมาสองพี่น้องยืนมองไปยังแปลกผัก ที่มีน้องชายคนเล็กกำลังพรวนดินอย่างสนุกสนาน“คุณชายขอรับ ทุกอย่างเรียบร้อยตามคำสั่งแล้วขอรับ”ลุงสือเดินเข้ามารายงานผู้เป็นนายเบา ๆ ด้วยเกรงว่าสตรีทั้งสามคนด้านในกระท่อมจะได้ยิน“เรื่องนี้ไม่ต้องบอกท่านแม่หรอก ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ไปกันเถอะ! วันนี้ข้าอยากทำไก่ต้มน้ำแกง สำหรับพวกเราทุกคน”หยางเจี่ยนที่ตอนนี้ร่างกายนับว่าใกล้จะหายดีแล้ว เดินนำลุงสือไปยังทิศทางป่า โดยทิ้งให้น้องสาวดูแลหยางไท้เพียงลำพังแม้ว่าการเข้าป่าล่าสัตว์ของเขา ผู้เป็นแม่จะไม่เห็นด้วย แต่จะให้เขาทนเห็นทุกคน กินเพียงหมั่นโถวไร้รสชาติทุกมื้อได้อย่างไรกัน เพราะแบบนี้อย่างไรเล่า ร่างกายถึงได้ไร้กำลังวังชาลุงสือไม่ได้ชำนาญการล่าสัตว์ เขาก็ไม่มีกำลังพอเช่นกัน แต่เขาทำกับดักได้ ซึ่งตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้าไปดู ว่ามีสัตว์น้อยใหญ่ตัวไหนบ้าง ที่หลงมาติดกับดักของเขานับว่าเขาโชคดีที่ชีวิตเก่า เขาเกิดเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทยา เพราะตั้งแต่จำความได้ เขากับน้อง ๆ ต้องท่องจำสรรพคุณของสมุนไพรแทบจะทุกชนิดได้จนขึ้นใจเพราะร้านค้าแรกๆของตระกูลเฉิน คือร้านยาสมุนไพรและรักษาแบบจีนโบราณมาก่อน ด
“ท่านแม่หาได้เป็นเช่นนั้นสักนิดเจ้าค่ะ หากท่านแม่อ่อนแอ ย่อมเห็นแก่ตัวทิ้งเราสามพี่น้องไปนานแล้ว การที่ท่านแม่ยังอยู่นั่นเพราะรักและเข้มแข็งมากแล้วเจ้าค่ะ ผู้ใดจะมองว่าท่านแม่โง่เขลา ช่างเขาปะไรเจ้าค่ะเพราะสำหรับข้าสามพี่น้อง ท่านแม่นั้นคือผู้เสียสละอย่างแท้จริง”“วันนี้ข้าจะทำหมูย่างให้ท่านแม่กินนะขอรับ”หยางเจี่ยนเดินเข้ามาบอกกับมารดา โดยมีน้องชายที่กอดห่อขนมเอาไว้แน่น หยางไท้ไม่ยอมกินขนมเหล่านั้น แม้จะอยากกินมากเพียงใดก็ตาม เด็กชายบอกเพียงว่าจะรอกินพร้อมกันกับทุกคน“เจ้าเหนื่อยมากแล้ว ไปอาบน้ำนอนพักผ่อนเสียก่อน ทางนี้แม่ทำเอง”“ท่านแม่นั่นล่ะขอรับที่ควรพักผ่อน เรื่องแค่นี้เราสามคนพี่น้องจัดการได้สบาย ท่านด้วยป้าโจว ลุงสือไปพักกันได้แล้ว ให้พี่เสี่ยวเตี๋ยช่วยเราสามคนก็พอขอรับ”“แต่ว่า...”“อย่าดื้อสิขอรับ วันนี้ข้ามีแรงมากพอที่จะดูแลทุกคน อย่าได้ทำลายน้ำใจนี้ของข้าเลยนะขอรับท่านแม่ หากวันใดข้าเหนื่อยข้าจะบอกท่านแม่เป็นคนแรกนะขอรับ”หยางเจี่ยนเริ่มใช้ทั้งความเป็นชายหนุ่ม ปนกับความเป็นเด็กของร่างนี้กับมารดา ทำให้เหลียนฮวา ที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของมารดาเบะปากใส่พี่ชาย ทำให้หยางไท้หัวเราะค
“ข้ามิใช่เด็กแล้วนะขอรับท่านพ่อ ย่อมรู้สิ่งใดควรมิควร”“เจ้าค่อยติดตามไปภายหลัง เอาเวลานี้สร้างฐานกำลังที่มั่นคงให้ฝาแฝดมิดีกว่าหรือ ที่เหลียงเจ้าอาจเหนือผู้อื่น แต่นี่แคว้นอู๋เป่ยถึงจะมีเงินมากแค่ไหน ก็ต้องรู้จักการถนอมชีวิต อย่าเร่งวิ่งเข้าไปตายให้เร็วนัก เราแค่นิ่งรอให้เหยื่อตายใจ แล้ววิ่งเข้ากับดักของเราเอง เจ้านี่นะ! พ่อสอนกี่ครั้งแล้วมิรู้จักจดจำ”“ใครว่าข้าจะรีบวิ่งไปตายเล่าขอรับ ข้าแค่อยากให้หลาน ๆ เติบโตขึ้นมาในสายตาของข้าก็เท่านั้น”“ยังจะเถียงอีก น้องสาวเจ้าได้สอนพวกเขามากพอแล้ว”“อย่างไรขอรับ”“ความอดทนอย่างไรเล่า นางแค่ทนรอให้ลูกของนางเติบโต เพื่อที่วันหนึ่งไร้นางหรือใคร ๆ เด็ก ๆ จะสามารถดูแลตัวเองได้ ถึงกระนั้นนางก็คือสตรีที่ถูกอบรมมาดี จึงยังยึดมั่นในคำสอนของชนรุ่นหลังอยู่”“เช่นนั้นข้าจะไม่ยินยอมให้เหลียนฮวา ต้องเป็นอย่างฮุ้ยเหมยเด็ดขาด”“หึ ๆ เจ้านี่น่า! จนป่านนี้ยังมองไม่ออกอีกหรือ ว่าหลานสาวของเจ้าจะแตกต่างกับแม่ของนาง คนละขั้วเลยทีเดียว”จางหลี่ชางหัวเราะในลำคอ แม้ในจดหมายไม่ได้บอกถึงรายละเอียดอะไรมากมาย แต่จากที่เขาจับใจความได้นั้น สองแฝดต้องการที่จะเรียนวิชาการต่
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อปรับอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นให้สงบลง เพราะนับตั้งแต่เขาได้รับรู้เรื่องอันเลวร้าย ที่เกิดกับพี่สาวบุญธรรม เมื่อสามเดือนก่อน จนถึงวันนี้ ความโกระแค้นที่เขามีต่อหรงจิ่ง หาได้ลดน้อยลงไม่ฟงทอดสายตามองไปที่กระท่อม ด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย จนแสงเทียนส่องสว่างได้ดับลง ชายหนุ่มจึงได้ก้าวเข้าไปในบริเวณกระท่อม ก่อนจะนั่งลงยังท่อไม้ที่พิงอยู่ข้างเสาเรือนชายหนุ่มสะบัดผ้าคลุมห่มกาย ก่อนจะหลับตาลงอย่างช้า ๆ ทว่าประสาทสัมผัสทั้งหมดยังคงเปิดรับทุกความเคลื่อนไหว‘ได้อยู่ใกล้เท่านี้ ข้าก็ดีใจมากแล้ว’ยามเช้า ณ กระท่อมชายป่าเมืองชีเป่ยหยางเจี่ยนยืนมองคนจากจวนของบิดา ที่นำยามาส่งให้แก่มารดา สายตาที่คนพวกนั้นที่มองไปรอบบริเวณกระท่อม เหมือนกำลังหาพวกเขาพี่น้องอยู่ เด็กหนุ่มหันไปสบตากับน้องสาวฝาแฝด ก่อนจะหันกลับไปหาลุงสือที่เพิ่งเดินมาถึง“ท่านฟงมาถึงแล้วขอรับ”“เร็วดีนี่! พบกันที่น้ำตก ขอข้าดูคนพวกนี้อีกสักหน่อย”หยางเจี่ยนมองกลับไปที่ลานกระท่อม สิ่งที่เห็นคือบ่าวรับใช้จากจวนสกุลหรงหาได้ยำเกรงต่อมารดาของเขาแม้แต่น้อย ในเมื่อยุคนี้ยึดคนมีอำนาจและฐานะ เขาก็จะใช้มันให้คุ้มค่า“จะไห
“พี่ติ้ง ช่วยข้าผูกไท้เอ๋อร์ไว้บนหลังที”ติ้งไม่เอ่ยสิ่งใด ชายหนุ่มทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว เวลานี้จะมามัวทัดทานให้มากความมิได้เป็นอันขาด แม้ว่าคนร้ายจะล้มตายจนสิ้น แต่แว่วเสียงต่อสู้ห่างออกไป อาจทำให้มีนักฆ่าโผล่มาอีกก็เป็นได้หยางเจี่ยนรวบขาน้องชายให้แนบสองข้างเอว ก่อนจะพากันก้าวไปยังทิศทางที่จิ้งเดินไปก่อนหน้าแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะไปช่วยจิ้งเก็บสมุนไพร“คุณชายรอตรงนี้สักครู่นะขอรับ ข้าน้อยจะไปช่วยจิ้งเก็บสมุนไพร”ติ้งเลือกให้ผู้เป็นนายยืนอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ เพราะอย่างน้อยด้านหลังก็มีต้นไม้เป็นเกราะกำบัง หากเกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายขึ้น ก็ยังพอรับมือได้ทัน ชายหนุ่มรีบเร่งไปช่วยสหายเก็บสมุนไพรด้วยความร้อนใจ“พี่ใหญ่ข้าขอโทษ” หยางไท้พูดอู้อี้อยู่กับบ่ากว้างของพี่ชาย“พี่ต่างหากที่ต้องขอบใจเจ้า และพี่ต้องขอโทษที่ทำอะไรไม่รอบคอบ จนทำให้ทุกคนต้องมาเสียเลือดเนื้อ เพียงเพราะพี่ชายเจ้ามั่นใจในตนเองจนเกินไป”หยางเจี่ยนไม่คิดโทษใครนอกจากตนเอง หากเขาระแวดระวังมากกว่านี้ ทุกคนคงไมต้องมาตกอยู่ในสภาพสาหัสสากันเช่นนี้เป็นแน่ แต่เพราะเขาคิดมาโดยตลอดว่าสกุลหรง คงไม่เ
อัก! ตุบ! ร่างสูงของหยางไท้ร่วงลงกระแทกพื้นดินอย่างแรง เรียกสายตาของสองผู้คุ้มกันและหยางเจี่ยน เด็กหนุ่มเจ็บแปลบปลาบไปทั่วร่าง ในจังหวะที่พี่ชายกำลังโรมรันอยู่นั้น เขาได้เห็นนักฆ่าที่ติดตามมาใหม่ เล็งหน้าไม้มาที่ผู้เป็นพี่ชาย จึงรีบเข้าขัดขวางควับ! แส้ในมือทำงานได้อย่างรวดเร็วและดุดัน โทสะที่ก่อตัวขึ้น ทำให้รอบกายของหยางเจี่ยนระอุร้อน ราวเปลวไฟที่โหมกระพือขึ้น ดวงตาที่เคยดำสนิท บัดนี้กลายเป็นแดงฉานราวสีเลือด โทสะที่พวยพุ่งเป็นสิ่งกระตุ้นให้พลังแฝงตามตำราโบราณ ปรากฏต่อหน้าของทุกคนจิ้งที่อยู่ใกล้คุณชายน้อยมากสุด รีบช้อนอุ้มร่างของผู้เป็นนายออกมาจากรัศมีของพลังอย่างทุลักทะเล เพราะตัวของเขาในตอนนี้แทบจะสิ้นสติอยู่รอมร่อแล้วนั่นเอง“ต่อให้ข้ามีเมตตาดั่งเทพเซียน ก็คงให้อภัยสวะต่ำช้าเช่นพวกเจ้าไม่ได้ อ๊าก!”สิ้นคำเปลวเพลิงสีส้ม ได้ปรากฏขึ้นรอบกายของหยางเจี่ยน สร้างความตื่นตะลึงให้แก่กลุ่มนักฆ่า พลังโบราณนี้หายากนัก ทว่าตรงหน้าของพวกเขา คือหนึ่งในอัคคีเทวะและหากผู้ครอบครองคุ้มสติมิได้ เรียกว่ารอบกายจะถูกแผดเผาจนสิ้นแส้ในมือมีประกายสีส้มอาบจนถึงปลาย การเคลื่อนไหวราวมันมีชีวิต ก่อนทีแส้เพลิง
หยางเจี่ยนสะบัดแส้ทั้งหนักหน่วงและรวดเร็ว เข้าใส่ร่างของเหล่านักฆ่า สายตาคมกริบมองเห็นแล้วว่าตอนนี้ ขบวนของเขาแตกกระจายไปคนละทิศทาง ขวับ! ชายหนุ่มหันกลับไปยังด้านหลัง “ไท้เอ๋อร์!” น้องชายของเขากำลังถูกแยกออกห่างไปไกล หยางเจี่ยนขบกรามแน่น หากเขาติดตามช่วยน้องชาย แม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ยคงยากจะรอดชีวิต “คุณชายใหญ่!” ติ้งพุ่งเข้าช่วยผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว ส่วนจิ้งวิ่งติดตามคุณชายน้อยไปอีกด้าน “ไปช่วยพวกเขา!” ไม่มีคำว่าลังเลหรือทัดทาน ติ้งรีบติดตามจิ้งไปในทันที ส่วนหยางเจี่ยนคำรามก้อง พร้อมพุ่งเข้าช่วยแม่ทัพหนุ่มอย่างรวดเร็วและดุดัน “ทางนี้ข้าจัดการเอง โปรดช่วยฮวาเอ๋อร์” หยางเจี่ยนที่หลังชนอยู่กับว่าที่น้องเขย เอ่ยกึ่งร้องขอกับแม่ทัพหนุ่ม เพื่อให้ติดตามช่วยน้องสาว คำตอบรับใดออกจากปากของจ้าวหมิงเยี่ย แม่ทัพหนุ่มทำเพียงตวัดดาบในมืออย่างดุดัน ก่อนจะชิงจังหวะออกจากวงล้อมติดตามรถม้าของคาหมั้นไป ทางด้านหยางจี่ยนตวัดแส้ด้วยพลังขั้นสูง จนแขนที่รับพลังและสะบัดแส้อย่างหนักหน่วง ถึงกับเจ็บร้าวจนแทบ
“เราหาที่ซ่อนตัวกันก่อนเถอะ พวกมันอาจส่งคนติดตามมาเพิ่มอีกก็เป็นได้ เพราะหากคนของมันมิได้กลับไปรายงานผล ส่วนเรื่องอื่นเราค่อยว่ากันหลังจากทุกคนปลอดภัยแล้ว”จ้าวหมิงเยี่ยเสนอขึ้น ด้วยตอนนี้พวกเขาทุกคนไม่อาจรับมือซึ่งหน้ากับผู้ใดได้แน่นอน แค่หายใจได้จนถึงที่หมายก็นับว่าเก่งมากแล้ว“ขอรับ” ฉินชีตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มก้าวผ่านคนทั้งสามไป เพียงแผ่นหลังกว้างต้องแสงจันทร์ คนทั้งสามถึงกับสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ บาดแผลด้านหน้าของท่านแม่ทัพว่าสาหัสมากแล้ว ทว่าแผ่นหลังดูจะย่ำแย่กว่าหลายเท่านัก“ระวังเจ้าค่ะ”เจินจูรีบประคองฉินชี ที่เซจนเกือบล้มเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะพากันก้าวตามแม่ทัพหนุ่มไป“รอข้าสักครู่เถิดเจ้าค่ะ”ชิงหลิงเอ่ยขึ้น ทำให้คนทั้งสามที่กำลังก้าวเดิน ได้หยุดหันมองหญิงสาวด้วยความสงสัย ซึ่งตอนนี้นางกำลังวิ่งไปคว้าเอาอาวุธของผู้เป็นนาย แล้ววิ่งตรงไปยังรถม้าที่ล้มห่างออกไปพอสมควร หญิงสาวปีนเข้าไปนำผ้านวมและเสื้อคลุมเท่าที่มี พร้อมกล่องยาวิ่งกลับมาสบทบกับทุกคน“คุณหนูบอกว่าอย่าได้ประมาทต่อทุกสถานการณ์เจ้าค่ะ ยิ่งดึกมากเท่าไหร่อากาศจะยิ่งเหน็บหนาว อีกอย่างเรามิอาจก่อกองไฟไ
กระบี่ในมือพุ่งเข้าหาคนที่บังอาจทำร้ายฉินชี โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ดึงกระบี่ออกพ้นร่างของชายหนุ่มเลยด้วยซ้ำ เสียงคำรามราวพยัคฆ์ของเจินจู สร้างความพรั่นพรึงให้แก่ศัตรูอยู่ไม่น้อยดั่งคำโบราณกล่าวไว้ ว่าอย่าได้ทำให้สตรีมีโทสะ เพราะต่อให้ตรงหน้าคือขุนเขาตั้งตระหง่าน สตรีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงโทสะสามารถที่จะทลายมันลงได้ขนเป็นผุยผงฉินชีกัดฟันปลดสายคาดเอวออก ก่อนจะผูกปิดปากแผลเอาไว้ เพื่อให้เลือดไหลช้าลงอีกสักหน่อย ชายหนุ่มข่มกลั้นทุกความเจ็บปวด แล้วพุ่งเข้าช่วยเหลือเจินจู ที่กำลังห้ำหั่นกับคนร้ายราวคนไร้สติความคุมทางด้านชิงหลิงเวลานี้ได้ฝ่าไปจนถึงตัวผู้เป็นนายแล้ว สองนายบ่าวหันหลังชนกัน เมื่อพวกนางตกอยู่ในวงล้อมอีกครั้ง สถานการณ์ในตอนนี้ บอกได้เพียงว่าสู้สุดใจยังมิรู้จะรอดไปได้หรือไม่"กินยานี่เร็วเข้า"ในจังหวะที่เจินจูถอยร่นมาจนถึงชายหนุ่ม หญิงสาวใช้มือข้างที่ไร้อาวุธยื่นส่งยาให้แก่ฉินชี กำลังของนางต่อให้ยังเหลืออยู่ แต่มิว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางสู้กับบุรุษ ซึ่งมีพลังเหนือกว่านับสิบคนในคราเดียวได้อยู่ดีชายหนุ่มไม่ถามให้มากความ รับยามาเทเข้าปากไปเสียหลายเม็ด ฉินชีได้ถลาเข้ารับร่างของเ
เส้นทางกลับสู่จวนสกุลจาง เขตป่าเปลี่ยวท้ายขบวน ตลอดเส้นทางความรู้สึกของแม่ทัพหนุ่ม คล้ายย้ำเตือนให้ระวังภัย นี่คือเมืองหลวงเรื่องเช่นนี้น้อยนักที่จะเกิด แต่ทำไมคืนนี้เขากลับรู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย “ฮวาเอ๋อร์ พี่อยากให้เจ้าอย่าเพิ่งหลับได้หรือไม่ พี่เกรงว่า...คุ้มกันรถม้า!” ฟิ้ว! ฉึก! ฟิ้วๆ ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะเอ่ยจบประโยค เขาจำต้องตะโกนก้องเปลี่ยนเป็นคำสั่งแทน เมื่อเสียงแหวกอากาศของอาวุธดังเฉียดผ่านใบหูไปปักอยู่บนรถม้า ฮี่ๆ เสียงม้าตื่น ทำให้คนในรถม้าคว้าอาวุธประจำกายขึ้นมากระชับไว้แน่น สามนายบ่าวสบตากัน ภายใต้แสงตะเกียงที่แกว่งไกวตามแรงกระทบของรถม้าที่กำลังวิ่งแตกตื่น “คุณหนู!” ชิงหลิงกับเจินจูรีบคว้าจับผู้เป็นนายเอาไว้ เพราะตอนนี้รถม้าวิ่งเร็วจนไม่อาจทรงตัวอยู่ได้แล้ว เจินจูเปิดหน้าต่างออกเพื่อสำรวจด้านนอก สิ่งที่เห็นตอนนี้รถม้าของพวกนาง วิ่งห่างออกจากคณะเข้าป่าข้างทาง แสงไฟจากคบเพลิงที่เคยสว่างไสว บัดนี้มองเห็นเป็นเพียงลูกไฟอยู่ห่างออกไปมากทีเดียว"รถม้าของเรากำลังวิ่งแตกขบวนเจ้าค่ะ"หญิงสาวทั้งสามมั่นใ
“ว่าที่ฮูหยินจาง ช่างงดงามยิ่งนัก” จื่อเว่ยอมยิ้มด้วยความเขินอย นางเคยได้ยินคนกล่าวถึงฮูหยินจ้าว ว่างดงามสูงส่งทั้งยังเป็นสตรีเคียงสามีออกรบ เมื่อได้เห็นใกล้ ๆ ในวันนี้นับว่าไม่มีคำใดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย “ฮูหยินกล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” “หาได้มีสิงใดเกินจริง ถึงว่าท่านพี่หย่งสือมิชายตามองสตรีใดมาก่อนเลย หากพรุ่งนี้ท่านพี่หย่งสือกับคุณหนูฟาง และหลาน ๆ ทั้งสามว่าง ข้าอยากเชิญพวกท่านร่วมมื้อค่ำด้วย จะได้หรือไม่เจ้าคะ” จ้าวฮูหยินอยากที่จะพบหน้าว่าที่สะใภ้แบบใกล้ชิดอีกครั้ง นางจึงตั้งใจเชิญชวนให้ทุกคนไปร่วมมื้อค่ำเป็นการส่วนตัว โดยไม่ต้องถูกคนหมู่มากจ้องมองเช่นคืนนี้ “ย่อมได้ขอรับ เป็นเกียรติยิ่งนักที่ท่านแม่ทัพใหญ่กับจ้าวฮูหยินเชื้อเชิญ” “ยินดียิ่งนักเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้ากับท่านพี่ต้องขอตัวกลับก่อน อ่อ...ข้าได้ให้หมิงเยี่ยติดตามส่งฮวาเอ๋อร์กลับจวนนะเจ้าคะ หวังว่าท่านพี่หย่งสือจะไม่ตำหนิเขา” “ย่อมเป็นการดีมากขอรับ” จางหย่งสือตอบรับคำของสองสามีภรรยา ก่อนจะเดินไปส่งทั้งคู่ขึ้นรถม้า ชายหนุ่มเดินกลับ
“ข้าย่อมต้องสนใจสามีตนเองสิเจ้าคะ”หญิงสาวคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะดึงมือกลับเพื่อคีบอาหารส่งให้สามีเป็นการเอาใจ แม้ว่านางอยากที่จะหันมองอดีตคนรัก กับคุณหนูสกุลหรงผู้นั้นยิ่งนัก แต่มันมิใช่ตอนที่สามีของนางกำลังดื่มหนักเช่นนี้ทางด้านเหลียนฮวาที่เอาแต่คลี่ยิ้มละมุน ในยามที่จ้าวฮูหยินตักอาหารมาให้ลองชิม นางไม่เคยรู้ว่าการอยู่ต่อหน้าครอบครัวของว่าที่สามี ตนเองต้องทำสิ่งใดบ้างเพราะนับตั้งแต่ตื่นมาในร่างนี้ เป้าหมายคือการเป็นคนแข็งแกร่ง และมีชีวิตรอดจากน้ำมือของศัตรูเท่านั้น นางไม่เคยเรียนรู้เรื่องการเป็นสามีภรรยา หรือการเอาใจแม่สามีในอนาคต เพราะทุกวันนางเลือกที่จะฝึกอาวุธ มากกว่าจับตะหลิวหรือเข็มเย็บผ้า“กินเนื้อแกะตุ๋นสักหน่อยนะ ฮวาเอ๋อร์” จ้าวฮูหยินตักเนื้อแกะใส่ถ้วยให้แก่ว่าที่ลูกสะใภ้“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านป้า”เหลียนฮวายิ้มละมุน ก่อนจะคีบเนื้อแกะส่งเข้าปากอย่างว่าง่าย ถึงจะรู้สึกขัดใจตนเองอยู่บ้าง ที่ต้องคีบทีละน้อยและทำอะไรช้าๆ ซึ่งปกตินางจะไม่เรียบร้อยอะไรแบบนี้เท่าใดนัก“เจ้าเองก็ควรจะกินอะไรบ้าง มิใช่เอาแต่ดื่มสุรา”จ้าวฮูหยินเอ่ยกับบุตรชาย ทว่ามือยังคงคีบอาหารวางให้กับว่าที่ลูกสะใภ้
“ข้าแค่พูดตามความจริง อึก! แค่กๆ” หรงเหลียนฮวาเพิ่มแรงบีบ พร้อมยกยิ้มหยันกับปากของสตรีเมืองหลวง ไม่แปลกเลยที่ต้วนชิงชิงจะกล้าทำตัวน่ารังเกียจได้โดยไม่รู้สึกกระดากอายต่อฟ้าดิน ทั้งที่สามีของตนเองนั่งอยู่ในห้องจัดเลี้ยง มิได้อยู่ห่างไกลกันเลยแม้แต่น้อย “ต่ำทรามทั้งการกระทำและคำพูด ข้าจะเตือนเจ้าไว้สักหน่อยนะชูฮูหยิน อย่าได้ใช้ปากอย่างไม่รู้คิด หาไม่แล้วมันจะนำภัยมาสู่เจ้าโดยมิรู้ตัว” “อ๊ะ!” ร่างงามถูกสะบัดจนเซล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ก่อนจะเงยหน้ามองตามสองร่างที่ก้าวผ่านนางไปอย่างไม่แยแส ที่น่าเจ็บใจคืออดีตคนรักไม่ออกตัวปกป้องนางแม้แต่น้อย “สารเลว! ข้าต้องทำให้เจ้ารู้ว่าใครเป็นใคร หรงเหลียนฮวา” ต้วนชิงชิงพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น ก่อนจะลุกขึ้นปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า หญิงสาวสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วก้าวเดินไปในทิศทางของห้องจัดเลี้ยง “ฮวาเอ๋อร์ เรื่องนี้...”แม่ทัพหนุ่มเรียกคู่หมั้นเบาๆ ในขณะที่ทั้งคู่เดินใกล้จะถึงเรือนจัดเลี้ยงแล้ว “ข้ามิใช่เด็กอมมือนะเจ้าคะ ที่จะมองว่าสิ่งใดจริงเท