จิ้งพาร่างโซเซลากติ้งมาอยู่ชิดกับเจ้านายทั้งสอง อย่างน้อยก็พอได้มีไออุ่นจากร่างกาย ที่เริ่มจะเย็นบ้างแล้ว จิ้งใช้วิชาความรู้ที่ถูกฝึกมาจากเหล่าปีศาจเหลียง หาเชื้อไฟและไม้ที่พอจะหาได้แถวนั้นมาก่อไฟ แม้มันจะมีความชื้นอยู่บ้าง แต่ชายหนุ่มก็หาได้ละความพยายามที่จะก่อกองไฟไม่จิ้งพยายามอย่างหนัก ที่จะใช้สายตาเพ่งหาหินขนาดพอดีมือเพื่อมาจุดไฟ อากาศที่ชื้นจากละออกน้ำและน้ำค้าง ทำให้ยากนักที่จะหาฟืนได้ ชายหนุ่มจุกไปทั้งอกเมื่อเขาต้องเร่งหาสิ่งที่พอจะเป็นเชื้อไฟชายหนุ่มใช้เวลาอยู่พอสมควร ก่อนจะได้สิ่งที่ต้องการ ก่อนจะรีบใช้หินกระทบกัน จนเกิดประกายไฟขึ้น ชายหนุ่มถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อไฟติดแล้ว แม้เขาจะหาไม้ที่แห้งพอจะเป็นฟืนมาได้ไม่มากนักแต่มันยังพอที่จะบรรเทาความเหน็บหนาวได้บ้าง ชายหนุ่มเลือกก่อไฟขนาบคนทั้งสามเอาไว้ แล้วโยนหินก้อนเท่าแตงโมเข้าไปในกองไฟหลายก้อน ดียิ่งนักที่คุณหนูได้เคยพาพวกเขาทำ ในตอนที่หนีเที่ยวในป่ายามค่ำคืนชายหนุ่มจัดแจงให้ทั้งสามนอนใกล้กองไฟที่สุด เพื่อคลายหนาว ก่อนจะปลดผ้าคลุมที่ขาดรุ่งริ่งออกมาผึ่งไฟ แม้ว่าตอนนี้เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผู้เป็นนายและสกายกร
แม้ว่าผู้ติดตามมาในครานี้ เขาคิดว่ามีจำนวนมากแล้ว ทว่ายังน้อยกว่ากลุ่มนักฆ่า ที่ดาหน้ามาราวห่าฝนอยู่ดี และดูเหมือนว่าศัตรูจะรู้ถึงฝีมือของคนสกุลจางดีทีเดียว จึงไม่คิดที่จะส่งคนมากำจัดพวกเขาในแบบตัวต่อตัวได้ ทว่าพวกมันจึงเลือกจะใช้วิถีสุนัขในการลงมือ คงเพื่อให้เสร็จสิ้นในคราเดียว จะได้มิเสียเวลามาเก็บกวาดอีกเช่นนั้นสินะ!“จื่อเว่ย! ข้ารักเจ้า”จางหย่งสือเลือกที่จะตะโกนบอกรักหญิงสาว โดยไม่สนว่านี่คือเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เพราะเขาไม่รู้ว่าจะได้บอกนางไหม หากความช่วยเหลือมาไม่ทันท่วงที“ท่านคือหนึ่งเดียวในใจของข้า หย่งสือ” การตะโกนโต้ตอบของหนุ่มสาว ท่ามกลางเสียงอาวุธกระทบกัน สร้างความขุ่นเคืองให้กับกลุ่มนักฆ่ายิ่งนัก เพราะมันเสมือนพวกเขาถูกมองว่าไม่น่ายำเกรงเอาเสียเลย แน่นอนว่าต่างคนต่างจิตใจ และมันมิใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ สำหรับความคิดของคนสกุลจาง การต่อสู้เหมือนจะดุเดือดขึ้นทุกขณะ ใจของสองหนุ่มสาวพะวงถึงหลานๆ ที่ถูกแยกให้ไปคนละทิศทาง จางหย่งสือภาวนาให้หลงและเงาอีกสองไปถึงที่หมาย และกลับมาก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป ฉึก! จางหย่งสือไม่ส่งเสียงใดออกมา แม้ว่าตอนน
“เขาอยู่ที่ใด! อย่าเพิ่งหลับบอกข้าก่อนน้องชาย”"ป่าเปลี่..ย...ว นะ...นักฆ่ามา..ก...พรู๊ดด!"พูดได้เท่านั้นชายหนุ่มก็สิ้นสติไปในทันที ลมหายใจแผ่วเบาของชายหนุ่มผู้มีป้ายคำสั่ง ทำให้เฟยต้องเร่งให้พาคนเจ็บเข้าไปภายในหมู่บ้าน“บอกท่านจินอู่ว่าห้ามเขาตาย พวกเจ้ารวมพลเร็วเข้า”ใช้เวลาเพียงมิถึงครึ่งการธูป ชายฉกรรจ์ครึ่งร้อยควบม้ามุ่งสู่ทิศทางที่คนเจ็บบอก ใจของเฟยในตอนนี้ร้อนรนยิ่งนัก ใครกันที่อาจหาญแตะต้องนายของเขาหากว่านักฆ่าชั้นต่ำพวกนั้น ไม่เล่นแมวไล่หนูกับเจ้าหนุ่มนั่น แล้วสังหารไปก่อนที่จะทันได้เรียกหาพวกเขา นายท่านของเขาจะเป็นอย่างไรเล่า ยิ่งคิดความร้อนใจยิ่งทวีขึ้นอีกหลายเท่าตัว เฟยเร่งม้าให้เร็วเท่าที่ใจเขาต้องการ แม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตามทีอีกเพียงแค่ชั่วยามจะฟ้าสางแล้ว จางหย่งสือดวงตาแดงก่ำ เมื่อการต่อสู้ที่คล้ายจะไร้เวลาสิ้นสุดยังดำเนินต่อไป โดยที่ฝั่งเขาล้มตายแทบจะไม่เหลือแล้ว ผู้ติดตามของเขาไม่ได้มากพอ ที่จะรับศัตรูจำนวนมากกว่าหลายเท่าตัวได้“นายท่าน”ในขณะที่คนทั้งห้าตกในวงล้อม เสียงเรียกราวสวรรค์มาโปรดได้ดังขึ้น พร้อมแสงจากคบไฟจำนวนมากปรากฏในครรลองสายตา จางหย่งสือได้พ่
ริมน้ำตกจิ้งที่รู้สึกตัวตื่น ด้วยเสียงเพ้อของผู้เป็นนาย ชายหนุ่มรีบถลึงตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจ ไฟเกือบจะมอดดับ จิ้งก่นด่าตนเองที่เผลอหลับไป ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปดูคุณชายน้อย ที่ครางออกมาคล้ายคนละเมอมือหยาบวาบทาบหน้าผากของผู้เป็นนาย ก่อนจะรีบวิ่งไปหาไม้มาเติมเชื้อไฟ และทำการบดสมุนไพรที่ยังมีอยู่ หยดลงไปในปากของคุณชายน้อย ที่ตอนนี้กำลังตัวร้อนราวกับไฟชายหนุ่มทำกับอีกสองคนเช่นเดียวกัน แม้ว่าตอนนี้ตัวเขาเองก็ร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้าด้วยพิษไข้ จิ้งนำผ้าเปียกน้ำวางไว้บนศีรษะของคนทั้งสาม ก่อนที่เขาจะกลับมาคอยควบคุมไฟมิให้ดับทั้งความชื้นและน้ำค้างที่ราวละอองฝน ทำให้เขาต้องคอยเฝ้ากองไฟอย่างใกล้ชิด หากเมื่อครู่เขาไม่รู้สึกตัวขึ้นมาด้วยเสียงของคุณชายน้อย เห็นทีพวกเขาทั้งสี่ คงต้องนอนหนาวตายด้วยพิษไข้เป็นแน่ในขณะที่กำลังบดยาเพิ่ม จิ้งจำต้องชะงักนิ่ง เมื่อเสียงการเคลื่อนไหวจากอีกฝั่งของลำธาร ชายหนุ่มรีบวางทุกอย่างแล้วโกยดินจากร่างของผู้เป็นนายดับไฟ แม้จะรู้ว่าเสี่ยงต่ออากาศที่เหน็บหนาวแต่จะเป็นอันตรายมากกว่า หากเสียงการเคลื่อนไหวเหล่านั้น คือศัตรูที่ติดตามลงมาจากด้านบน ชายหนุ่มพาร่างของคุณชายน้อยไป
เสื้อคลุมที่พวกเขาถอดออกยกขึ้นเหนือน้ำติดตามนายมา ได้ถูกส่งมอบให้เพื่อคลุมกายให้แก่คุณชายและผู้ติดตามทั้งสอง ก่อนที่ทุกคนจะเร่งหาไม้ต่อแพแบบหยาบๆ พอให้นำร่างของคนทั้งสี่กลับไปยังอีกฝั่ง เพราะหากให้ลุยน้ำอีกครั้ง เกรงว่าจะทำให้อาการของทั้งสี่ทรุดเร็วกว่านี้อีกนับเท่าตัว รองหัวหน้าหมู่บ้านรีบส่งยาให้แก่ผู้เป็นนาย เพื่อป้อนบรรเทาอาการให้แก่คนเจ็บ ทุกอย่างได้เสร็จสิ้นลงในเวลาชั่วครู่เท่านั้น แพเล็กพาร่างของคนเจ็บทั้งหมดข้ามฝั่ง ซึ่งความแรงและความเย็นเยียบทำให้การข้ามฝั่งนั้นล่าช้าไปบ้าง หรืออาจเป็นที่ใจของทุกคนกำลังร้อนรน ด้วยความเป็นห่วงคนเจ็บ จึงคิดว่าการข้ามฝั่งนั้นช้ากว่าที่ใจคิดก็เป็นได้ คนที่รออยู่ฝั่งนี้เองก็ได้ทำเปลหามไว้รอท่าแล้วเช่นกัน จางหย่งสือหามเปลด้วยตนเอง เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บที่เกรงจะมีการแตกหักของร่างกาย รองหัวหน้าหมู่บ้านจำต้องห่อตัวของคนทั้งสี่เอาไว้ให้แน่น เพื่อมิให้มีส่วนใดเคลื่อนจากเดิมไปมากกว่านี้ภายในถ้ำหลังเถาไม้อีกฝากของป่า เสียงการต่อสู้ที่อยู่ไม่ไกล ทำให้แม่ทัพหนุ่มและฉินชีรู้สึกตัวในทันที ทั้งคู่ไม่เอ่ยสิ่งใด
แค่ก ๆ เสียงไอถี่ ๆ ของคนในอ้อมแขน ทำให้เฟยอดไม่ได้ที่จะก้มลงมอง ภายนอกนั้นหญิงสาวแทบไม่ค่อยมีร่องรอยบาดแผล ทว่านางกลับไอออกมาเป็นเลือด นางกำลังบอบช้ำภายในและสาหัสอยู่พอตัว เฟยยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง และดูเหมือนว่าท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ยเอง จะรู้ว่าไม่อาจรอช้าได้ แม้บาดเจ็บสาหัสแต่ทว่ากลับเดินได้เร็วเยี่ยงคนปกติ ทั้งหมดต่างเร่งฝีเท้า เพื่อกลับไปยังถนนหลักให้เร็วที่สุด เพราะคนเจ็บต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ไม่มีการพูดคุยใดๆ ทุกคนต่างทำตามหน้าที่กันอย่างเคร่งครัด ผู้นำทางคนคุ้มกันต่างระแวดระวังภัยรอบด้านเป็นอย่างดี ทั้งหมดใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม จึงออกมาถึงถนนหลัก รถม้าได้จัดเตรียมรออยู่ก่อนแล้ว จ้าวหมิงเยี่ยรีบพาหญิงสาวก้าวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยฉินชีและเงาสาวทั้งสอง ก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเฟยได้สอบถามถึงผู้เป็นนาย ก่อนจะได้ความว่าตอนนี้ ท่านหย่งสือพาคุณชายทั้งสองและผู้ติดตาม ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับไปยังหมู่บ้านแล้วแสงแรกกำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า เฟยได้สั่งการให้ทุกคนเร่งพาคนสกุลจางกลับไปยังหมู
กุ๊บ! กั๊บ! เสียงม้าหลายสิบตัว ดังมาจากทิศทางของหน้าหมู่บ้าน นั่นทำให้สองหนุ่มสาว รีบคลายอ้อมกอด และวิ่งออกไปรอยังหน้าเรือนรถม้าคันใหญ่วิ่งตรงเข้ามาอย่างเร่งรีบ ใจของสองหนุ่มสาว เต้นมิเป็นส่ำด้วยลุ้นว่าคนในนั้น จะปลอดภัยดีหรือไม่ ยิ่งไม่เห็นคนสนิทอยู่บนม้าตัวใด ใจของชายหนุ่มยิ่งชาหนึบ ขนาดฉินชียังหายไป แล้วหลานสาวของเขาเล่า จะเป็นเยี่ยงไร"ฮวาเอ๋อหลานรัก!"หย่งสือรีบถลาไปที่ประตูรถม้า ก่อนจะเปิดออกด้วยความร้อนใจ ภาพตรงหน้าทำให้ชายหนุ่ม แทบสิ้นไร้เรี่ยวแรง มิใช่ที่หลานสาว นอนในอ้อมกอดของจ้าวหมิงเยี่ยแต่อาการไร้สติรับรู้ของนางต่างหาก ที่ทำให้เขากลัวจนชาหนึบไปทั้งกาย ไหนจะสภาพของคนสนิทและเงาสาวทั้งสอง ล้วนดูไม่ดีทั้งสิ้น"เร็วตามหมอมาดูหลานสาวข้า! ฮวาเอ๋อลุงขอโทษ ที่ปกป้องเจ้าไม่ได้"จางหย่งสือตะโกนเสียงดัง รอมร่อจะขาดสติเสียให้ได้ ยิ่งเห็นรอยบวมช้ำบนใบหน้าของนาง ใจลุงเยี่ยงเขาแทบจะหยุดเต้น ชายหนุ่มยื่นแขนออกไปรับร่างที่แน่นิ่ง จากแม่ทัพหนุ่มมาอุ้มไว้ ก่อนจะหมุนกายสาวเท้ายาวๆ กลับเข้าไปในเรือนจ้าวหมิงเยี่ยขบกรามแน่น เพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวด ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกเท่าตัว หลังจากที่เขา
“ทุกคนปลอดภัยดีเจ้าค่ะ นายท่านใหญ่ ให้ข้าน้อยมาช่วยดูคุณหนู อ๊ะ! ข้าน้อยลืมไปเลย นายท่านใหญ่สั่งไว้ว่า หากคุณหนูฟื้นแล้วให้รีบไปแจ้ง เช่นนั้นอีกประเดี๋ยว ข้าน้อยมานะเจ้าคะ”“ดะ...เดี๋ยว”ตึก! ตึก! ไม่มีคำว่าหยุด หรือการรับรู้อื่นใด นอกจากเสียงวิ่งประหนึ่งเรือนจะพัง หายออกไปนอกห้อง ก่อนที่เสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่ง จะมุ่งตรงมาที่ห้องของนาง“หลานรัก!”จางหย่งสือ พุ่งเข้าสวมกอดหลานสาว ด้วยอารามดีใจ ก่อนจะรีบผละออกห่างเล็กน้อย เมื่อนึกขึ้นได้ว่า หลานสาวยังบาดเจ็บอยู่“ท่านลุง ท่านป้า”หญิงสาวคลี่ยิ้มละมุน แม้ว่าจะยังอ่อนแรงอยู่ แค่นางได้ตื่นขึ้นมา เห็นทุกคนอีกครั้ง นับว่าสวรรค์ยังเมตตามากแล้ว“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ยังเจ็บมากหรือไม่”จื่อเว่ยเอ่ยถามหลานสาว มือบางลูบกลุ่มผมชื้นเหงื่ออย่างเบามือ“ยังมีบ้างเจ้าค่ะท่านป้า ว่าแต่พี่ใหญ่ กับทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่เจ้าคะ”จางหย่งสือ เงยหน้าสบตากับคนรัก ด้วยมิรู้จะบอกแก่หลานสาวอย่างไรดี เกี่ยวกับพี่ชายน้องชายของนาง รวมถึงหลงที่ตอนนี้อาการหนัก จนเรียกได้ว่าขาข้างหนึ่ง เหยียบความตายไปแล้ว“เจี่ยนเอ๋อร์ยังมิได้สติ ไท้เอ๋อร์ก็เช่นกัน รวมถึงหลงด้วย ส่วน
“หากเจ้ายินยอมแต่โดยดี ข้าจะมอบตำแหน่งที่คู่ให้” “กระบี่เจ้า! ควบคุมมันมิให้สั่นได้เสียก่อน ค่อยคิดสิ่งอื่นดีกว่าไหม…” หญิงสาววางถ้วยชาลง บนโต๊ะอย่างใจเย็น พรึ่บ! ปึก! เคร้ง! รวดเร็วจนชายหนุ่ม ขาสั่นจนแทบยืนไม่อยู่ กระบี่ในมือร่วงลงพื้น ก่อนที่เขาจะเบนสายตา ไปมองยังหญิงสาว ซึ่งตอนนี้กลับไปนั่งยังที่เดิม เสมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อครู่ มันมิใช่ฝีมือของนาง “จะลงมือกับใครก็ตาม เจ้าต้องศึกษาอีกฝ่ายให้แจ่มแจ้ง หึๆ ยังดีที่ตรงนี้เป็นข้า ถ้าเป็นผู้ติดตามของข้าทั้งสอง เจ้าคงไม่ได้ยืนต่อคำ เกินชั่วอึดใจ...” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าถอดสี เขาไม่คิดว่าแผนการที่แยบยล จะถูกล่วงรู้จนหมดสิ้นเช่นนี้ “ผู้ใดอยู่ข้างนอก เข้ามานี่เร็ว!” อ๋องน้อยโหว ตะโกนเรียกเหล่าองครักษ์ ทว่ากลับไร้ซึ่งวี่แวว ชายหนุ่มรีบย่อกายลงเก็บกระบี่ โดยที่สายตา หาได้ละไปจากร่างงาม ที่นั่งดื่มชาอย่างเพลิดเพลิน ราวกับเขาที่อยู่ร่วมห้อง เป็นเพียงอากาศธาตุ “หึๆ มิใช่เจ้าสั่งห้ามใครมารบกวนหรอกหรือ แต่คนของข้าอยู่ข้างนอกนะ เรียกได้...” “หญิงแพศยา! สตรีมีคู่หมาย
ยิ่งไม่เคยรู้ถึงฝีมือของคู่ต่อสู้ เขายิ่งต้องรีบเผด็จศึก ให้ได้โดยไว จึงมิคิดที่จะลีลาให้ตนเอง กลายเป็นฝ่ายเสียท่า สิ้นคำของชายหนุ่ม เงาร่างในชุดสีดำสองคน ก้าวออกจากหลังฉากกั้น ซึ่งเป็นส่วนด้านหลังห้องที่มีหน้าต่าง “อือๆ” เจ้าของจวนทำได้แค่...ส่งเสียงทัดทานในลำคอ ทว่ากลับไม่สามารถต่อต้านการกระทำใดๆ ของชายชุดดำได้เลย อาภรณ์เนื้อดีถูกถอดออก จนแหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า ก่อนที่ชายชุดดำจะดึงมีดเล่มเล็กออกมา “นายหญิง โปรดพักผ่อนรอสักครู่ขอรับ” ชายผู้ถือมีดเอ่ยกับผู้เป็นนาย จินอู่หันหลังให้ พร้อมสะบัดมือเล็กน้อย เพื่อให้คนของเขา ลงมือได้แล้ว หากไม่ติดว่าที่นี่ คือถิ่นศัตรู...คำว่าเงียบเสียง จะไม่มีเลยสำหรับเขา ความเจ็บปวดของศัตรู ควรประกาศให้โลกรู้ แต่เมื่อสถานที่ไม่อำนวย เขาก็ไม่ติดที่จะลงมืออย่างเงียบๆ โหวอ๋องดวงตาเหลือกลาน แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เมื่ออาวุธคู่กายของเขา กำลังถูกเฉือดเฉือนประหนึ่งหนูถูกถลกหนัง แม้มันจะไม่รู้สึกเจ็บ ทว่าใจของบุรุษแท้เยี่ยงเขา มันแหลกละเอียดจนมิเหลือชิ้นดี “สกุลโหว ควรสิ้นสุดที่เจ้าสองพ่อลูก อย่าได้สร้าง
“คุณหนูเฉินเป็นอย่างไรบ้าง” เป็นสาวใช้อาวุโส ที่เอ่ยถามกับสาวใช้สกุลเฉิน และผู้ติดตามหนุ่ม “คุณหนูดื่มยาแก้เมา และหลับอยู่เจ้าค่ะ” เจินจู ตอบสาวใช้สูงวัย ก่อนจะเหลือบตามองไปยัง สาวใช้ของอนุหรู สตรีผู้เพียรพยายามรั้ง ให้คุณหนูของนางพักในจวน “ข้าจะมาเชิญคุณหนูเฉิน กลับเข้าพักยังเรือนรับรอง ด้วยตอนนี้เฉินฮูหยิน ได้พักผ่อนรออยู่แล้ว” “หากไม่มีคำสั่งใดจากปากของฮูหยิน ข้าคงมิอาจปล่อยให้คุณหนูห่างสายตา เอาเป็นว่าข้าจะให้เจินจู ติดตามท่านเข้าไปพบฮูหยินของเราก็แล้วกัน” “นี่เป็นประสงค์ของท่านอ๋อง ที่มิอยากให้ผู้ใดตำหนิ ว่าดูแลแขกไม่ดี” หญิงชราตวัดสายตาดุใส่ชายหนุ่ม ผู้ไร้ความยำเกรงในอายุและฐานะของนาง ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบเฉย แม้เพียงครึ่งเสี้ยงของใบหน้า นางก็รู้ดีว่าคนผู้นี้ ไม่ได้สะท้านต่อคำของนางเลย “งานเลี้ยงกับคนเมามาย ย่อมเป็นของคู่กัน และมิใช่ทุกคนที่ต้องการพักในจวนของเจ้าภาพ คุณหนูอยู่ในรถม้าแล้ว รอเพียงฮูหยินกลับออกมา เราก็พร้อมกลับจวน” จากความอ่อนน้อม พลันเป็นดุดัน จนทำให้ชายหนุ่มหลายคน ที่ยืนอยู่เบื้องหลังส
“สามหาว! เจ้ากล้าข่มขู่ท่านอ๋องเยี่ยงนั้นรึ!” “ทำไมข้าต้องขู่ผู้ใดด้วย อีกอย่างถ้าท่านบริสุทธิ์ใจจริง จะเป็นเดือดเป็นร้อนไปไย แค่คุณหนูเฉินจะกลับบ้านตนเอง หรือมีสิ่งใดเป็นนอกในอย่างนั้นรึ! ดูรั้งนางจนออกหน้าเยี่ยงนี้” ชายหนุ่มเอียงหน้าช้า พร้อมมุมปากบิดขึ้นน้อยๆ การกระทำนั้นชวนให้อนุคนงาม หนาวสะท้านไปทั้งกาย บุรุษที่น่ากลัวย่อมเป็นคนที่มีหลากหลายบุคลิก ซึ่งปกติแล้วหรงเล่อถงสุขุมนุ่มลึก ทว่าตอนนี้...เขายิ่งกว่าคนจิตวิปลาสอย่างไรอย่างนั้น “นอกในอันใดกัน นางเป็นแขกของสามีข้า การดูแลเอาใจใส่ ย่อมเป็นเรื่องที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว” “เช่นนั้นหลีกทางข้าเถิด อนุหรู” หรงเล่อถง กดน้ำเสียงให้ลึก และชัดเจนว่าเขาพร้อมขัดขวางเรื่องนี้ อย่างไม่คิดยินยอมปล่อยผ่าน ต่อให้สตรีที่กำลังตกที่นั่งลำบาก มิใช่พี่น้อง เขาก็คงปล่อยให้สตรีเหล่านั้น แปดเปื้อนจากคนโสมมได้เป็นอันขาด ถึงเขาจะมิใช่คนดีไปเสียทุกเรื่อง แต่เขามีพี่สาวน้องสาว พวกนางจะเป็นเช่นหากต้องอยู่อย่างอดสู แบกรับความอัปยศไปทั้งชีวิตเฉินหนิงฮวาในตอนนี้ ดวงตาปรือจนแทบจะปิดแล้ว ชายหนุ่มพอจะเดาได้ ว่าเกิดจากสาเ
“หยุดนะ! เจ้าจะทำอะไรลูกข้า!” เจียงชูเหนียง รีบผลักร่างของคนสนิทออก ก่อนจะหันไปหาบุตรชาย มือบางหมายจะเอื้อมไปแตะ ที่ข้างแก้มของผู้เป็นลูก ทว่าร่างสูงกลับเบี่ยงกายหลบ “อย่าล้ำเส้นข้าอีก มิเช่นนั้น...ข้าจะไม่ใจดีเช่นครั้งก่อน” “ครั้งก่อน...” เจียงชูเหนียง ถึงกับเซถอยหลัง คนของนางไม่เคยลงมือกับบุตรชาย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่ทั้งคู่เคยปะทะกัน เมื่อปีก่อนที่อารามบนเขา แววตาแตกตื่นทำได้เพียง มองตามแผ่นหลังของบุตรชาย ที่กลืนหายไปในความมืด “ไหนเจ้าบอกว่า เขาไม่เห็นเจ้าอย่างไรเล่า แล้ว...หรือเจ้าทำนอกเหนือจากที่ข้ารู้” “เขาก็แค่หยั่งเชิงเรา เจ้าอย่าได้เผยพิรุธจะดีกว่า เลือดในกายเขามีของเจ้าแค่ครึ่งเดียว อย่าคาดหวังให้มาก ว่าเขาจะเหมือนเจ้า เพราะขนาดพ่อแท้ๆ เขายังไม่เหมือนเลย กลับไปได้นิสัยของยายแก่ แม่สามีเจ้ามาแทบทั้งสิ้น” “พูดเรื่องนี้ก็ดี เจ้าหานางพบรึยัง!” “ยัง! หรงเล่อถงไม่เคยเผยร่องรอย ให้ข้าตามไปจนถึงตัวยายแก่นั้นได้เลย” “อย่าช้า! นางรู้เรื่องมากเกินไป หากปล่อยไว้ เล่อถงต้องคิดแปรพักตร์” “เหม
น้ำเสียงของชายหนุ่ม ไม่มีคำว่าเสแสร้ง เขาไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมจึงกล้าที่จะพูดความรู้สึกแท้จริงออกมา ทั้งที่เขาไม่เคยให้ใครได้เห็นมันเลยสักครั้ง อาจเพราะนาง เหมือนพี่สาวของเขาก็เป็นได้ “แล้วทำไม จึงไม่ไปหาพวกเขาเล่าเจ้าคะ” “หากข้าทำทุกอย่างได้ตามใจ ก็คงดีไม่น้อย ลูกภรรยารองที่ต้องแบกอนาคตของมารดา แค่หายใจผิดที่ก็คือหายนะแล้ว” “ดูลำบากนะเจ้าคะ” “ใช่!” “แล้วที่คุณชายพูดกับข้า มิกลัวข้าไปเล่าให้ผู้อื่นฟังหรือเจ้าคะ และไม่กลัวจะมีคนแอบฟังรึ!” “หึๆ ข้ามั่นใจว่าจะรู้แค่เราสี่คนเท่านั้น เพราะต่อให้คนที่คิดแอบฟังอยากได้ยิน ก็ไม่อาจเฉียดใกล้ตรงนี้ได้” ชายหนุ่มชำเลืองมองไปที่ ผู้ติดตามของหญิงสาว กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมา ต่อให้เป็นนักฆ่าระดับสูง ก็ยังต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนลงมือ และมิใช่แค่ชายผู้นี้เท่านั้น สาวใช้ของคุณหนูเฉิน ก็หาใช่ธรรมดาไม่... “เรื่องบางเรื่อง หากพูดออกมาแล้วสบายใจ ก็อย่าได้เก็บมันไว้เลยเจ้าค่ะ เว้นแค่เรื่องที่จะนำภัยมาสู่ตนเอง จึงมิควรเอ่ยออกมา คนเราล้วนมีเรื่องที่ยากจะพูดได้ แต่ก็ใช่ว่าบางเรื่องจะระบายออ
ใช้เวลากว่าสองชั่วยาม อาหารมากมายถูกจัดขึ้นโต๊ะ ซึ่งมันเป็นเวลาที่พระอาทิย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเช่นกัน หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว สองย่าหลานก็มานั่งร่วมกินอาหาร รวมถึงสาวใช้ข้างกาย ที่ได้รับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะ กับเจ้านายทั้งสอง“ถงเอ๋อร์ เจ้าได้ข่าวพี่ๆ กับน้องชายเจ้าบ้างหรือไม่”หญิงชราถามถึงหลานชายหญิง ที่ติดตามสะใภ้ใหญ่ของนาง ไปอยู่ไกลถึงเมืองชีเป่ย นางคิดถึงหลานๆ เหลือเกิน ยิ่งเมื่อนึกถึงความต่ำช้าของลูกและสามี นางยิ่งไม่อยากให้หลานชายคนรอง ต้องมีชีวิตมั่วหมองเพราะมีพ่อกับปู่ เป็นคนเห็นแก่ได้ และกระหายในอำนาจ จนมิสนถูกผิด แต่อย่างไร...นางก็มิอาจพูดความจริง บางอย่างออกมาได้ หาไม่แล้วชีวิตของหรงเล่อถง คงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป“พวกเขาก็สุขสบายดีขอรับ เอาไว้เมื่อไหร่ที่พี่ใหญ่ พี่รองและน้องเล็กกลับมาเมืองหลวง ข้าจะพาพวกเขามาพบท่านย่านะขอรับ” “ขอบใจเจ้ามาก อย่างไรเจ้าก็พี่น้อง อย่าให้คำว่าอำนาจมาบังตา จนทำร้ายกันเองเล่า ข้าเชื่อว่าแม่ใหญ่ของเจ้า จะไม่สอนให้พี่น้องของเจ้า ช่วงชิงสิ่งใดและทำร้ายเจ้า นางเป็นคนจิตใจดี และย่าก็เชื่อว่าเจ้า จะมีเลือดของย่า มากที่สุดในกายเช่นกัน”
“สุราดีนะเจ้าคะ” หนิงฮวาเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงปนเขินอาย ตามจริตของสตรี“หากคุณหนูใหญ่ชอบ ข้ายินดีมอบให้เป็นของกำนัล”“หนิงฮวา ขอบคุณท่านอ๋องน้อย ที่มีน้ำใจเจ้าค่ะ”“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”ชายหนุ่มเจ้าบ้าน ยังคงเลือกที่จะดื่มสุราอีกหลายจอก กับสองแม่ลูกสกุลเฉิน และนั้นทำให้หญิงสาวอีกคน ซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่ง กำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ ที่คนรักของนาง ให้ความสนใจหญิงอื่นต่อหน้าถึงนางจะเป็นบุตรสาวเสนาบดี แต่นางก็ยังคงเป็นเพียงลูกภรรยารอง ไม่อาจเทียบกับบุตรสาวคนโต สกุลคหบดีที่กำนิดจากภรรยาเอกและเท่าที่สืบรู้มา นายท่านสกุลเฉิน มีเพียงภรรยาเดียว นั่นหมายความว่าทุกอำนาจ อยู่ในมือมารดาของคุณหนูใหญ่สกุลเฉิน นางที่มารดายังเป็นรอง ไหนเลยจะเทียบเคียง“อย่าทำสิ่งใดออกนอกหน้า แค่ลูกพ่อค้า! จะเทียบอันใดเจ้าได้”ฮูหยินรองหรงเอ่ยกับบุตรสาว แม้ว่าในใจจะหวาดหวั่นอยู่มาก แต่นางไม่มีวันแสดงสิ่งใด ให้ศัตรูได้เห็นเด็ดขาด“แต่ท่านอ๋องน้อย”“ท่านอ๋องทำถูกแล้ว ถ้าไม่ไปทักทายพวกนาง จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวตนแท้จริงคือใคร”“เจ้าค่ะ”เมื่อหาข้อโต้แย้งมารดาไม่ได้ หญิงสาวจำต้องยอมนิ่งเงียบ แม้ว่าใบหน้างามจะแสร้งยิ้ม แต่ก็
“นายหญิงน้อยฟาง ตัวแทนสกุลจาง”เป็นเฟยที่ยื่นเทียบเชิญ พร้อมบอกถึงสถานะผู้เป็นนาย หลังจากแม่ลูกสกุลเฉิน ก้าวจากไปแล้ว “เชิญนายหญิงน้อยฟาง ด้านในขอรับ” พ่อบ้านประสานมือโค้งกาย เช่นที่ทำกับแขกคนอื่นๆ ก่อนจะเรียกสาวใช้มานำทาง เพื่อเข้าไปยังลานจัดเลี้ยง จื่อเว่ย เดินตามสาวใช้จวนอ๋องเข้าไป โดยมีชิงหลิงและเฟยก้าวตาม ทั้งสามเดินเข้ามาถึงลานสำหรับจัดเลี้ยง ซึ่งดูเหมือนคืนนี้ จะไม่มีการแยกชายหญิง “นายหญิงฟาง เชิญนั่งเจ้าค่ะ” สาวใช้ผายมือให้แก่ตัวแทนสกุลจาง ก่อนจะเดินจากไป เฟยและชิงหลิง ก้าวเข้าไปยืนอยู่เบื้องหลังของผู้เป็นนาย จื่อเว่ยเหลือบตามองไปยังโต๊ะข้างกัน ก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อย ให้แก่แม่ลูกสกุลเฉิน ซึ่งนับเป็นคู่แข่งทางการค้าคนสำคัญ “ไยวันนี้สกุลจาง จึงได้ให้หญิงงามมาเพียงลำพังเล่า ท่านหย่งสือและหลานๆ ไปที่ใดกัน” เป็นท่านอ๋องน้อยโหว ที่เดินเข้ามาถามจื่อเว่ย คราแรกเขาแอบผิดหวังเล็กน้อย ที่หรงเหลียนฮวาไม่มาด้วย แต่เมื่อครู่นี้...เขาได้ยลโฉมหญิงงามทั้งสอง จากสกุลเฉิน เลยทำให้ความรู้สึกใหม่เข้ามาทดแทน จึงไม่ใคร่จะใส่ใจ ว่าหรงเหลียนฮวาจะมาห