“ท่านแม่อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ การที่ทุกคนยังไม่มาพบท่านแม่ ย่อมเป็นเพราะพี่ใหญ่ อยากให้เราสามคนแข็งแกร่งมากกว่านี้ พี่ใหญ่ไม่อยากให้ท่านแม่ ทนเห็นความลำบากในการฝึกฝนของพวกเราเจ้าค่ะ” “ขอบใจพวกเจ้ามากนะลูกรัก” เหลียนฮวาสวมกอดมารดาเอาไว้แน่น นางไม่คิดที่จะเล่าทุกอย่างออกมาหมดเสียหน่อย หากมารดารู้ว่าตนเองคือคนที่ต้มยาป้อนลูก ๆ จนตาย สตรีในอ้อมแขนของนางจะมิเสียสติไปเลยหรืออย่างไร เรื่องละเอียดอ่อนพวกนี้ ข้ามได้ให้ข้ามไปเสียไม่จำเป็นต้องพูดออกมาให้คนฟังช้ำใจกระท่อมชายป่าหลังจากกลับมาถึงบ้าน หยางเจี่ยนได้สั่งความไว้กับลุงสือ เรื่องการจัดเตรียมข้าวปลาอาหารและยา ก่อนจะกลับเข้าห้องเพื่อพักร่างกาย หากจะว่าตามความเป็นจริงแล้ว พ่อบ้านของบิดามีฝีมืออยู่ไม่น้อยเลยหากตอนนั้นเขาใช้อาวุธเดียวกันกับพ่อบ้านคนนั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะบาดเจ็บหนักอยู่มิน้อย แต่เพราะเขาตัดสินใจใช้แส้ประจำกาย จึงจบการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว“พี่ใหญ่ ข้าเข้าไปได้หรือไม่ขอรับ”หยางเจี่ยนที่เพิ่งนั่งลงยังขอบเตียง หันมองไปที่ประตูห้อง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งรอน้องชายที่โต๊ะน้ำชา“เข้ามาสิ”เมื่อได้รับอนุญา
“อ้ากกก!”เพียงก้าวพ้นประตูกระท่อมออกมา หยางเจี่ยนจำต้องชะงักค้าง เมื่อภาพที่เห็นนั้นทำให้เขารู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาทันที เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้บุกรุก ไม่ได้ทำให้เขาสนใจเท่ากับคนที่ลงมือต่อชายชุดดำท่านกลางแสงจากเปลวไฟที่กำลังลุกโซน ชุดสีขาวบริสุทธิ์เคลื่อนไหวดั่งมีชีวิตยามต้องสายลม แค่เพียงด้านหลังเขาก็จดจำได้ว่าคือผู้ใด เพราะแบบนี้นี่เองทำไมลุงสือถึงดูลำบากใจ คงถูกสั่งมิให้บอกเขาว่าใครอยู่ด้านนอกกับน้องชาย “ท่านลุง” หยางเจี่ยนพึมพำเบา ๆ สายตาคมมองหาน้องชาย ที่กำลังอยู่ในวงต่อสู้ หยางไท้ในตอนนี้ดูเหมือนนักรบเลยก็ว่าได้ หยางเจี่ยนหันไปมองลุงสือ ที่ได้ก้าวออกมายืนเคียงข้างเขา “ท่านหย่งสืออยากให้คุณชายใหญ่พักให้มากขอรับ ตอนที่ท่านหย่งสือมาถึงได้เข้าไปดูอาการของคุณชายมาแล้วรอบหนึ่งขอรับ” “ข้าหลับสนิทเพียงนั้นเลยรึ หากคนที่เข้าไปมิใช่ท่านลุง เห็นทีลมหายใจของข้าคงมิหลงเหลือแล้วเป็นแน่” หยางเจี่ยนตั้งมั่นในใจทันที เขาจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก สำหรับทหารการไร้สติรับรู้ จนถึงขั้นมีคนเข้าหายังมิรู้ตัว คือความลมเหลวทางอาช
“จางรึ ไยมิใช่หรง”“อีกไม่นานหลานข้าจะเป็นคนสกุลจางโดยสมบูรณ์แบบ สกุลหรงไม่คู่ควรที่จะได้ชื่นชมหลานชายข้า”“ท่านลุงอย่าได้มีโทสะไปขอรับ มากินขนมกับข้าดีกว่า มีหลายอย่างที่ข้าไม่รู้ว่ามันคือขนมอะไรขอรับ แต่อร่อยทุกอย่างเลยขอรับท่านลุง”หยางไท้รีบเปลี่ยนบรรยากาศในทันที เขาจดจำที่พี่สาวมักพาทำเสมอ ยามใดที่ท่านแม่จะเข้าสู่ความโศกเศร้า เขากับพี่สาวมักทำให้มันกลายเป็นความครื้นเครงแทน“ไหนมีอะไรที่เจ้าไม่รู้จัก หากเจ้าชอบลุงจะสั่งให้คนเอามาส่งให้อีกเยอะ ๆ จะให้อร่อยต้องฝีมือของท่านตา นี่ก็เป็นท่านตาทำให้เจ้าเองกับมือเลยนะ”“ท่านตาหรือขอรับ”หยางเจี่ยนหันไปสบตากับลุงสือ ก่อนจะมองเลยไปที่เงาทั้งหมด ที่ยืนยิ้มเจื่อน ๆ“ใช่แล้ว!”“ไยมิใช่ท่านยายเล่าขอรับ”“เอ่อ…เจ้าไม่น่าถามเลยนะ คำตอบนี้เจ้าน่าจะได้จากฮวาเอ๋อร์แล้วมิใช่หรือ”“อ่อ…ข้าเข้าใจแล้วขอรับ แต่ท่านลุงเชื่อข้าเถอะขอรับ ว่าในภายหน้าพี่รองจะเหนือกว่าสตรีใดอย่างแน่นอน”เด็กหนุ่มกัดขนมคำโต ก่อนจะยิ้มจนตาปิด ส่วนจางหย่งสือก็ทำเพียงเออออไปกับหลานชาย พร้อมรินชาหยิบขนมยื่นส่งให้หลานมิขาดปาก ส่วนหยางเจี่ยนกับคนที่เหลือทำได้เพียงยิ้มแบบฝืน ๆ กับคว
ทว่ามารดาเช่นนางกลับไม่สามารถช่วยอะไรลูกได้เลย สิ่งเดียวที่บุตรสาวร้องขอจากนาง คือรักษาลมหายใจเอาไว้เพื่อรอกอดลูก ๆ นี่คือคำที่เหลียนฮวาบอกแก่นาง นางรู้ดีว่านี่คือคำปลอบโยนจากบุตรสาวเท่านั้น อีกด้านภายในรถม้า ป้าโจวเองก็กอดกับหลานสาวแน่น ทั้งสามไม่อาจส่งเสียงใด ๆ แม้แต่คิดจะถอนหายใจยังมิกล้า พวกนางซ่อนตัวอยู่ใต้คมดาบของศัตรูโดยแท้ นางไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ บุตรสาวได้ย้ายฟงกับสั่งให้นางและสาวใช้มาหลบอยู่ในนี้ ทว่าพอตอนนี้นางเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว รถม้าที่จอดทิ้งอยู่ข้างเรือนไม่ใช่เป้าหมาย เพราะหากใครคิดจะตามหาพวกนาง จะต้องพุ่งตรงไปที่เรือนพักหลังต่าง ๆ มากกว่า “คุณหนู!” ฉึก! จิ้งเจ็บแปลบที่ต้นขา ทว่ามันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวเท่าตอนนี้ ที่ร่างของคุณหนูถูกซัดลอยห่างจากตัวเขาไปไกล เหลียนฮวาหลับตาลงแน่น นางทำใจเอาไว้แล้ว ว่านี่อาจเป็นแค่ช่วงเวลาที่เหลือของชีวิตที่สอง นางก็ไม่นึกเสียดายแม้แต่น้อย เพราะนางได้ทำหน้าที่ลูกและพี่อย่างเต็มกำลังแล้ว หมับ! แต่ทว่า… “คุณหนูใหญ่!” เหลียนฮวาในตอนนี้ อยากที่จะลืมตาขึ้นมอง
รุ่งสาง จวนสกุลเฉินรถม้าสองคันได้จอดเทียบหน้าประตูบานใหญ่ ก่อนที่ฉินชีจะรีบลงจากม้า เพื่อรับผู้เป็นนาย จางฮุ้ยเหมยได้ลงจากรถม้า เพียงเท้าถึงพื้นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงของพี่ชายก้าวออกจากประตูจวน “พี่ใหญ่!” จางฮุ้ยเหมยวิ่งเข้าสู่อ้อมแขนของพี่ชาย พร้อมสะอื้นไห้ด้วยความดีใจ นานแค่ไหนแล้ว ที่นางห่างจากอ้อมแขนนี้ ซึ่งปกป้องนางมาตั้งแต่ยังเล็กจนโต “ขวัญมาน้องรัก พี่อยู่นี้แล้ว อย่าได้กลัวไป” จางหย่งสือ กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น น้ำตาของน้องสาวคือสิ่งที่เขาไม่ปรารถนาจะเห็นมัน จางหย่งสือนึกโทษตัวเอง น้องสาวเพียงคนเดียวเขากลับไม่สามารถปกป้องนางได้ “ข้าขอโทษนะเจ้าคะ ที่เป็นต้นเหตุของทุกอย่าง” “เจ้าไม่ผิด! หากจะโทษก็โทษพี่เพียงผู้เดียว ที่มัวแต่ออกเดินทาง จนไม่มีเวลามาดูเจ้ากับหลาน ๆ” “ท่านแม่ขอรับ” หยางไท้เรียกมารดา ก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้ผู้เป็นแม่ด้วยความดีใจ จางหย่งสือขยิบตาให้หลานชาย เป็นอันรู้กันดีของลุงหลาน ว่าร่องรอยบาดเจ็บนั้น อย่าได้ให้สตรีในอ้อมกอดของเขาได้เห็นเป็นอันขาด “พ
“ท่านแม่ขอรับ” ทว่าเพียงไม่กี่ก้าวที่นางเดินห่างออกมา เสียงเรียกจากบุตรชายได้ดังขึ้นเสียก่อน จางฮุ้ยเหมยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับบุตรชาย “ยาของท่านน้ามิใช่หรือขอรับ ท่านแม่ไยมิเข้าไปด้านในเล่าขอรับ” “เอ่อ! พอดีแม่ลืมน้ำผึ้งน่ะ ยานี่ขมมาก” “ท่านแม่เข้าไปป้อนยาท่านน้ารอข้าก่อนนะขอรับ ข้าจะไปเอาน้ำผึ้งมาให้เอง” หยางเจี่ยนเดินมาดันร่างมารดาเข้าไปด้านในห้อง ที่นี่คือจวนสกุลเฉินไม่มีสิ่งใดจะทำให้มารดาของเขาเสียหาย พี่น้องดูแลกันไม่มีสิ่งใดผิด แต่เมื่อใดที่มารดาของเขาได้เป็นอิสระ เมื่อนั้นสถานะของทั้งคู่ เขาจะลงมือเปลี่ยนมันด้วยตนเอง จางฮุ้ยเหมยไม่ทันจะได้อ้าปากปฏิเสธ ตัวของนางก็มายืนอยู่ภายในห้องของฟงเสียแล้ว พอหันกลับไปก็เห็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น หยางเจี่ยนก้าวช้า ๆ ตรงกลับไปที่เรือนของเขา ตอนนี้ตลอดทั้งร่างยังคงร้าวระบมอยู่มาก หากไม่เพราะคิดว่าน้องสาวกำลังอยู่ในอันตราย เขาคงไม่ออกมาเดินทรมานตนเองอยู่เช่นนี้เป็นแน่ แต่เมื่อนึกถึงสีหน้าท่าทางของน้องชาย หยางเจี่ยนอดใจหาย
“ท่านหย่งสือคงมีวิธีขอรับ” “เย็นนี้ข้าจะต้องคุยกับเจ้าสองแสบนั่นสักหน่อย เพราะใครก็ตามคิดจะเปลี่ยนใจท่านลุงได้ คงต้องสองหลานรักนั่นล่ะ” “นายท่านรอง ก็รักคุณชายใหญ่ไม่แพ้กันนะขอรับ” หลงเกรงว่าคุณชายจะเข้าใจนายท่านของตนผิด จึงรีบแก้ต่างให้ในทันที “ข้ารู้พี่หลง ท่านลุงแค่แยกออกว่าข้านั้นโตแล้ว ส่วนเจ้าสองแสบนั้นโตแค่ไหน ท่านลุงก็จะมองเป็นเด็ก ซึ่งมันคือความสุขของท่านลุง ข้ามิได้คิดมากอันใดเลย” ทั้งหมดพากันเดินไปศาลาพักผ่อน เพื่อหารือเรื่องการเดินทาง ปล่อยทิ้งให้เสียงหัวเราะของสามลุงหลาน สร้างสีสันให้กับคนทั้งบ้าน หยางเจี่ยนยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกโล่งใจ เพราะอย่างน้อยการเดินทางของมารดา ก็มีคนของผู้เป็นลุงติดตามกลับไปด้วยหลายคน สามวันต่อมาก่อนรุ่งสาง ขบวนรถม้าได้เคลื่อนตัวออกสู่เหวิ่นชี การเดินทางใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็ถึงที่หมาย เพื่อไม่ให้เป็นที่จับตาของผู้ใด จางหย่งสือจึงเลือกที่จะพักยังนอกเมืองเหวิ่นชีในคืนสุดท้าย ในค่ำคืนนี้หยางไท้ขอนอนกับมารดา เพราะรุ่งเช้าก็ต้องห่างกันไกลนับพันลี้ จางฮุ้ยเห
“ข้าจะตัดเงินเดือนเจ้า โทษฐานไม่ฉลาด ปลาน่ะรู้จักกินเข้าไปเยอะ ๆ หน่อยจะได้คิดเรื่องซับซ้อนได้ทันคนอื่นเขา” “ข้าน้อยผิดหรือขอรับ” “ใช่เจ้าผิด! ผิดที่ไม่รู้จักเสแสร้งเพื่อข้า” “เจ้าด้วยฟง” ฟงได้แต่อ้าปากค้าง เขาเพิ่งเดินมาถึง ยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ พี่ชายบุญธรรมก็ทำเสียงฮึดฮัดใส่ แล้วรีบจ้ำอ้าวจากไปทันที นี่หากเขาเดาไม่ผิด คงหนีไม่พ้นเรื่องศิษย์พี่ของเขาอย่างแน่นอน ไม่มีใครในโลกจะทำให้พี่ชายของเขา เสียอาการได้มากถึงขนาดนี้ นอกจากศิษย์พี่จื่อเว่ยเท่านั้น จะว่าไปแล้วสองคนนี่! ก็ปากแข็งด้วยกันทั้งคู่ “เรื่องศิษย์พี่อีกแล้วใช่ไหม” “ขอรับ ข้าน้อยผิดเองที่ไม่ได้ถามนาง” “ฮ่า ๆ เจ้านี่น่า ข้าบอกแล้ว ว่าบางครั้งให้รู้จักหน้าด้านหน้าทนแบบข้าบ้าง ต่อให้ศิษย์ด่ามายาวดั่งสายน้ำ สำหรับท่านพี่หย่งสือแล้วนั่นคือคำบอกคิดถึงจากนางรู้ไหม” “ก็ท่านฟงเป็นศิษย์น้องนางเพียงแค่ด่า แต่ข้าเล่านางอาจฝากรอยแผลมาบอกคิดถึงท่านหย่งสือแทนก็เป็นได้นี่ขอรับ แถมข้ามิอาจตอบโต้นางได้ด้วยนะขอรับ” “ต่อไปเจ้า
สามพี่น้องคลี่ยิ้มกับแขกในงานตามมารยาท หลายสกุลเริ่มค้นหาตัวตนของทั้งสาม เพราะข่าวที่ได้ยินมานั้นคุณชายใหญ่ในท่านเสนาบดี ทำตัวราวอันธพาล น้องสาวฝาแฝดมากด้วยตัณหาทำตัวเหลวแหลกกับบุรุษมากหน้า บุตรชายคนเล็กในฮูหยินใหญ่สติปัญญามิเต็มเท่าใดนักทว่าในเวลานี้สามพี่น้องไร้ซึ่งลักษณ์ที่ถูกกล่าวอ้าง ทั้งยังไร้วี่แววของสติปัญญาอันอ่อนด้อยอย่างที่เป็นข่าวแผ่กระจาย ตรงกันข้ามทั้งสามดูสูงค่าสมสายเลือดของบิดามารดายิ่งนัก“ยินดีกับท่านราชครูขอรับ ที่คุณชายคุณหนูทั้งสามกลับสู่เมืองหลวงแล้ว ช่างเป็นนิมิตรหมายอันดียิ่งนักขอรับ”หนึ่งในขุนนางอาวุโสได้ลุกขึ้นเอ่ยขึ้นเสียงดัง คล้ายดังหมัดมือชกสามพี่น้องอยู่ในที ซึ่งทั้งสามยังคงความสงบนิ่งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี“ย่อมต้องเป็นวันดีสิท่านเจ้ากรม หลาน ๆ ของข้าที่ติดตามสะใภ้ข้าไปรักษาตัวนานหลายปีกลับมาทั้งที คืนนี้เรามาร่วมฉลองกันเต็มที่ เชิญทุกท่านดื่ม”สาวใช้ได้ยกถาดใส่จอกสุรายื่นส่งให้สามพี่น้อง เพื่อร่วมดื่มอวยพร ตามคำเชื้อเชิญของเจ้าบ้าน หยางเจี่ยนรับมาอย่างว่าง่าย ก่อนจะช้อนสายตามองน้องสาวและน้องชายกลิ่นที่เจือจางอาจไม่สร้างความแคลงใจต่อผู้อื่น แต่มิใช่เขาส
เมื่อหนุ่มสาวอีกสามคน ได้ก้าวมายืนอยู่สองข้างชายหญิงผู้มาเยือน โดยเฉพาะเจ้าของงานและบุตรชาย ที่แทบเหมือนถูกฟ้าฝ่าลงมากลางแสกหน้าทำได้เพียงยิ้มแกน ๆ ก้าวออกไปต้อนรับแขกใบหน้าที่แทบจะเหมือนกับท่านเสนาบดีหรงจิ่ง ไม่ต้องให้ผู้ใดมาบอกว่าทั้งสามคนคือใคร สกุลหรงทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทั้งสามคือทายาทสายตรง ที่พวกเขาคิดว่าตายไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนเจียงชูเหนียงถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อเห็นชัดตาว่าใครที่ติดตามจางหย่งสือมาร่วมงาน ทุกปีสกุลจางเพียงแค่ส่งตัวแทนมาเท่านั้นทว่าปีนี้คุณชายใหญ่สกุลจางมาด้วยตนเอง ไม่ต้องคาดเดาถึงเหตุผลของการมาร่วมอวยพรในครานี้เลย หากไม่เพราะสามพี่น้องที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วจะมีสิ่งใดจูงใจคนหยิ่งผยองเช่นจางหย่งสือให้มาเหยียบสกุลหรงได้เล่า“คุณชายจาง เอ่อ...”ท่านราชครูหรงแสร้งไม่รู้ว่าหนุ่มสาวด้านข้างของจางหย่งสือคือผู้ใด แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจแล้วก็ตามที รอยยิ้มที่คล้ายจริงใจของเจ้าบ้าน ทำให้สามพี่น้องแอบแอบเยาะหยันเจ้าของงานอยู่ภายในใจ“นี่คือคุณหนูฟางจื่อเยว่ คู่หมั้นของข้า”“จื่อเยว่ข้าคารวะท่านราชครู”จื่อเยว่ย่อกายงดงามราวสตรีในรั้ววัง ทำให้บุรุษหลาย
“อื้อ!” จางหย่งสือกดจูบหนัก ๆ ลงไปอีกครั้ง ก่อนจะถอนใบหน้าออกอย่างรวดเร็ว“ข้ามัดจำเอาไว้ก่อน หลังแต่งงานข้าจะไม่ปล่อยเจ้าให้รอดไปเป็นครั้งที่สอง”จื่อเว่ยทำได้เพียงก้มหน้างุด นางช่างไร้ยางอายนัก กล้าทำเรื่องบัดสีนี้ได้อย่างไรกัน“อย่าได้แม้แต่จะคิดหนีข้าไปอีกเข้าใจหรือไม่ เพราะสิ่งที่เจ้าทำข้าเสียหาย ช่วยรับผิดต่อข้าด้วย”“บ้าไปแล้ว!”จื่อเว่ยไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดได้มากกว่านี้ เพราะรอยยิ้มและแววตาหวานเชื่อมของจางหย่งสือ ทำให้นางแทบละลายกองอยู่เสียตรงนี้เลยทีเดียว“ไปกันได้แล้ว มัวเล่นอันใดกันอยู่”เอ่ยจบมือหนาได้กระชากเอวขอดให้ชิดกาย ก่อนจะพาหญิงสาวเดินออกจากตรงนั้นเพื่อไปขึ้นรถม้า แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าหลาน ๆ และผู้ติดตามล้วนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หยางเจี่ยนหันกลับไปยิ้มให้กับทุกคน เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นลุง แม้ว่าในชีวิตเก่าเขาจะผ่านอะไรมาไม่น้อย แต่เรื่องความรักประสบการณ์ของเขานับว่าเป็นศูนย์ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นอกจากจะเหนือความคาดหมาย ยังเป็นการบอกรักที่หลายคนคงลุ้นจนตัวโก่งมิแพ้คู่รักหมาด ๆ อย่างแน่นอน ว่าจะมีสิ่งใดพลิกผันอีกหรือไม่หยางเจี่ยนพยักหน้าน้อย ๆ พร้
ค่ำคืนในวันถัดมา ณ จวนสกุลหรง คืนนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของท่านราชครูหรงอู่ฉี เหล่าขุนนางต่างก็ต้องประชันอวดความมั่งคั่งของตน เพื่อข่มกันในงานอยู่เนือง ๆ แน่นอนว่าหลานสาวคนโปรดเช่นหรงเหมยเหนียงย่อมต้องทำทุกวิถีทางให้ตนเองโดดเด่น และเหนือกว่าบุตรสาวสกุลอื่น หรงเหมยเหนียงกำลังพิศมองตนเองในคันช่องบนโต๊ะ ชุดสีหวานพลิ้วไหวดั่งต้องมนต์ของนาง งดงามสมกับเป็นช่างมือดีจากร้านผ้าสกุลเฉิน ใบหน้าในวัยแรกแย้มเติมแต่งได้อย่าลงตัวที่สำคัญไปกว่านั้น คืนนี้มารดาของนางจะขยับฐานะจากภรรยารอง ก้าวสู่การเป็นภรรยาเอก นางจะไม่ต้องทนกล้ำให้ใครมองว่าเป็นรองพี่สาวต่างมารดาอีกต่อไป“เรียนคุณหนู นายท่านกับฮูหยินพร้อมคุณชาย ได้รออยู่หน้าจวนแล้วเจ้าค่ะ”“อืม! ไปสิ!”ร่างงามก้าวออกจากเรือนด้วยท่วงท่าราวนางหงส์ คำตราหน้าที่นางแบกรับมาทั้งชีวิต กำลังจะได้รับการปลดปล่อยแล้วในวันนี้ บางครั้งความรักหาใช่สิ่งที่คู่ควรต่ออนาคตเบื้องหน้าเมื่อนึกถึงเรื่องหัวใจ ใบหน้าของใครบางคนได้ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัวราวกลองศึก เมื่อรอยยิ้มของชายหนุ่มผู้อยู่บนหลังอาชาสีดำทมิฬเมื่อหลายวันก่อน ได้ทำให้เรีย
ถนนห่างจากจวนแม่ทัพ คนชุดดำทั้งหกยืนหอบหายใจแรง ๆ ทุกคนล้วนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะพากันหลบหนีออกมา หลังจากฉินชี ซึ่งได้เป็นคนเข้าไปช่วยคุณหนูให้พ้นมือของท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย“เกือบไปแล้วไหมเล่า ฮ่า ๆ”ตัวตนเหตุยังมีหน้ามาหัวเราะร่า เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นเรื่องธรรมดาเสียอย่างนั้น“พี่รองมิกลัวท่านแม่ทัพจะติดตามมาหรือขอรับ”หยางไท้ยังคงหันกลับไปมองทิศทางที่เพิ่งจากมา เขาเองก็ตกใจไม่น้อยในตอนที่เห็นพี่สาวถูกจับได้...ข้างกำแพงจวนแม่ทัพก่อนหน้า หมับ! ติ้งรีบคว้าร่างของคุณชายน้อยเอาไว้ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพุ่งลงจากกำแพง เพื่อที่จะไปช่วยคุณหนูใหญ่ ซึ่งกำลังต่อสู้โรมรันอยู่กับคนในจวนแม่ทัพ“มิได้ขอรับ หากคุณชายเข้าไปอาจเกิดอันตรายนะขอรับ”“แต่พี่สาวของข้าเล่า”“เป็นหน้าที่ขอข้าน้อยเองขอรับ”ติ้งเป็นคนเสนอตัวไปแทนคุณชายน้อย เพราะหากบุกกันเข้าไปหมด จากเรื่องเล็กน้อยจะกลายเป็นใหญ่โตขึ้นมาทันทีอย่างแน่นอนกึก! ติ้งจำต้องหยุดกายในทันที เมื่อมีเงาร่างของใครอีกคนพุ่งออกจากความมืด ตรงไปยังผู้เป็นนายและคนในจวนแม่ทัพ เมื่อเห็นว่าคุณหนูได้ถูกพาตัวออกจากการการต่อสู้ เขาจึงได้พ
‘คงมีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะ ที่จะออกไปให้เจ้าบั่นคอ’ เหลียนฮวาเริ่มมองหาทางหนี ขืนนางยังรั้งอยู่ต่อมีหวังคงไม่พ้นต้องปะทะกันเป็นแน่ ต่อให้นางมากด้วยฝีมือ แต่หากเทียบกับจ้าวหมิงเยี่ยนางยังอ่อนหัดนัก หมับ! ในจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะหนีไป มือหนาคว้าไหล่ผู้บุกรุกเอาไว้ได้ทัน เหลียนฮวารีบหมุนตัวพร้อมคว้าจับข้อมือแกร่งเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพลิกข้อมือของแม่ทัพหนุ่มในทันที เพื่อมิให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวทันปึก! หญิงสาวกระแทกกำปั้นเข้าท้องแขนของแม่ทัพหนุ่ม เพื่อผลักอีกฝ่ายให้ออกห่าง พอที่จะทำให้นางหาจังหวะหลบหนี อ๊ะ! แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อมือหยาบของแม่ทัพหนุ่ม กลายเป็นตีนตุ๊กแกไปเสียอย่างนั้น ยิ่งพยายามผลักอีกฝ่ายยิ่งติดหนึบราวกาวดักหนูหญิงสาวได้แต่ด่าทอตนเองอยู่ภายในใจ สลับกับการสรรหาคำมาเปรียบเทียบจ้าวหมิงเยี่ยกับสิ่งต่าง ๆ ยิ่งเสียงหัวเราะในลำคอของเขาเล็ดลอดออกมาให้นางได้ยิน มันเสมือนเขากำลังลงมือกลั่นแกล้งเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้นแม่ทัพหนุ่มได้นึกสนุก ลงมือเย้าแขกที่เขามิได้เชิญสักหน่อย เหลียนฮวาเม้มริมฝีปากแน่น นางรู้ได้ไม่ยากว่าเขาไม่ได้จริงจังกับการต่อสู้ คน
“ขอรับท่านป้า ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ฉินชีจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะแต่ละคนใช่ธรรมดาที่ไหนกัน” หยางเจี่ยนตอบรับคำของผู้เป็นป้า“คนเราต้องรู้จักโลกภายนอก”จางหย่งสือรีบออกตัวแทนสองหลานรัก มีหรือเขาจะไม่รู้วีรกรรมของหลานชายหญิงที่กำลังออกท่องราตรี ใช่เขารักหลานลำเอียง แต่เพราะเขารู้ดีว่าภายหน้าหยางเจี่ยนต้องยืนในจุดใดและนี่คือความภูมิใจอีกหนึ่งอย่างของเขา ที่หลานชายคนโตสุขุมรอบคอบ สมกับตำแหน่งที่เขาจะส่งมอบให้ในอนาคต ส่วนสองแสบนั้นเขาให้สิทธิ์ในการเลือกทางเดินตามใจชอบ แต่ต้องอยู่ในสายตาของเขามิห่างไปไหนหยางเจี่ยนหันไปส่งยิ้มอย่างรู้กันกับผู้เป็นป้า ชายหนุ่มไม่เคยที่จะต้องเสียเวลาคาดเดา กับคำพูดของผู้เป็นลุงเกี่ยวกับน้อง ๆ เขาไม่เคยริษยาที่ทั้งคู่ได้อิสระในการเที่ยวเล่นในโลกใบเดิมนั้น น้องสาวของเขาแทบไม่มีช่วงเวลาของวัยหนุ่มสาว ส่วนหยางไท้ยังเด็กนักหากเทียบกับเด็กหนุ่มในโลกเก่า ฉะนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย ที่ทั้งคู่สรรหาพาผู้ติดตามไปเที่ยวเล่นขอแค่ไม่มีใครเดือดร้อนและตนเองไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย จะเที่ยวเล่นแค่ไหนเขาก็ไม่ติดขัดอันใด เพราะอีกไม่นานความเป็นเด็กของพวกเขาก็จะสิ้
“เวลาคนเรามีไม่เท่ากันนะขอรับ เมื่อรู้สึกตรงกันก็อย่าได้ปิดโอกาสเสียล่ะขอรับ”หยางเจี่ยนเอ่ยขึ้นในขณะที่ฉินชีก้าวห่างออกไปไม่มากนัก ชายหนุ่มอาจเป็นเพียงหนุ่มน้อยในโลกนี้ แต่ชีวิตเก่านั้นเขามีวัยใกล้เคียงกับฉินชี มีหรือจะมองไม่ออกถึงสายตาแบบชายหญิงเพราะเขาไม่มีโอกาสได้รักใครในชีวิตเก่า เขาเลยไม่อยากให้ใครต้องพลาดการมีความรักสักครั้งในชีวิต มีโอกาสก็ควรรีบคว้าไว้ เพราะคนเราบอกไม่ได้จะอยู่หรือตายตอนไหนฉินชีไม่คิดว่านี้คือการล้อเลียน แต่มันคือความหวังดีของผู้เป็นนาย ซึ่งเขาเองใช่ว่าไม่อยากให้โอกาสตนเอง แต่เพราะชีวิตที่อยู่กับความเสี่ยง เขาจึงไม่อยากดึงใครสักคนมาอยู่ในวงล้อมของอันตรายด้วยก็เท่านั้น เช่นเดียวกับที่ท่านหย่งสือเลือกมองท่านจื่อเว่ยอยู่ห่าง ๆ แทนการเดินเคียงข้างนาง“ไม่ตามไปดูว่าที่น้องเขยสักหน่อยหรือเจี่ยนเอ๋อร์”จางหย่งสือก้าวมายืนเคียงข้างหลานชาย ก่อนจะหัวเราะในลำคอ เขากับหยางเจี่ยนรู้เป้าหมายของสองแสบโดยบังเอิญ และแน่นอนว่างานหนักย่อมตกเป็นของฉินชี“เรายังมีเรื่องต้องทำอีกมิใช่หรือขอรับ อย่าได้ห่วงเจ้าสองแสบเลยขอรับ มีทั้งพี่หลงพี่ฉินชีติดตามไป คนที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นเป
และทุกหน้าที่ผู้ชายคนนี้ทำได้ดีไม่มีที่ติ ขอแค่นายเอ่ยปากเขาจะไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ ไม่แปลกที่ท่านลุงวางใจให้เขาเคียงข้างนางสามพี่น้อง ฉินชีเหมือนพี่ชายใหญ่ที่คอยดูแลพวกนางที่เสมือนปูไม่อยู่นิ่งฉินชีแสร้งไม่รับรู้ถึงสายตาจากคนเบื้องหลัง ทั้งยังคำพดที่ดูจะตดขัดของผู้เป็นนาย เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งย่อมต้องมีหวั่นไหวบ้า ในยามที่มีใครสักคนกล้าที่จะเผยความในใจ จะต่อหน้าหรือลับหลัง หากรู้ขนาดนี้แล้วเขาก็ต้องรู้สึกบ้างปึก! เจินจูกระพริบตาปริบ ๆ เมื่ออยู่ ๆ คนด้านหน้าหยุดลงกะทันหัน จนทำให้นางชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างเต็มแรง ฉินชีสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะหันกลับไปหาผู้เป็นนายกับเงาสาว“เชิญด้านในขอรับคุณหนู”ฉินชีผายมือให้แก่ผู้เป็นนายสาว ก่อนที่ตัวเขาจะขยับหลีกทางให้ เหลียนฮวาคลี่ยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย เป็นการขอบคุณก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังศาลาพักผ่อน ซึ่งครอบครัวของนางนั่งอยู่ส่วนสองหนุ่มสาวที่ต้องรั้งรออยู่ด้านนอก ต่างพากันเบนใบหน้าไปคนละทิศทาง มิใช่รังเกียจแต่มันคือความเก้อเขิน เจินจูถึงกับมือชื้นเหงื่อ เมื่อได้ลมหายใจที่ชายหนุ่มพยายามควบคุมให้มันสงบนิ่ง ดังชัดอยู่ข้างกาย“ท่านลุง ท่านป้า