ลู่เหิงจือไม่ได้ยินเสียงซุบซิบของฝูงชนก่อนหน้านี้ขณะที่เขาปลอมตัวออกไปสำรวจนอกเมือง ก็ได้พบกับกลุ่มคนเร่ร่อนเหล่านี้แล้วหางเต๋อโย่วพยายามจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเขา จึงสั่งให้ไล่ขอทานทั้งหมดออกไปนอกเมืองหังโจว และสั่งให้ทหารที่เฝ้าประตูเมืองไม่ให้ปล่อยให้คนเร่ร่อนเข้าเมืองโชคดีที่ยามนั้นหางเต๋อโย่วยังคงสั่งให้คนไปต้มข้าวแจกจ่ายให้แก่ราษฎรนอกเมืองทุกวัน เขาจึงยังไม่ได้ทำการใดทว่าปีนี้เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน ราคาข้าวก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วคาดว่าหางเต๋อโย่วคงไม่มีข้าวที่จะแจกจ่ายให้แก่คนเร่ร่อนอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหวังเหลียงฮั่นคอยกดดันอยู่ด้วยยามนี้คนเร่ร่อนเข้ามาในเมืองอย่างกะทันหัน ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าต้องเป็นแผนการของหวังเหลียงฮั่นแน่นอนกองทัพก้านโจวจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ แต่คนเร่ร่อนก็ไม่รู้ว่าอดอาหารมานานแค่ไหน หลายคนจึงทนไม่ไหวแล้วซูชิงลั่วลงจากรถม้าตามลู่เหิงจือไปฝูงชนก็เงียบสงบลงทันทีกลุ่มคนเร่ร่อนห้อมล้อมทั้งคู่แบบหลวมๆ กล้าๆ กลัวๆ และมองมาที่สามีภรรยาคู่นั้นด้วยสายตาที่ทั้งขอร้องและคาดหวัง เพียงหวังว่าจะได้อาหารสักคำไกลออกไป ใต้กำแพง มีหญิงผอมโซคนหน
คนของหางเต๋อโย่วได้เร่งสร้างโรงทานชั่วคราวขึ้นมาในบริเวณใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว และหลังจากสร้างเสร็จก็รีบไปสร้างที่อื่นต่อทันทีผู้คนที่มาขอรับข้าวต้มมีจำนวนมากจนมองไม่เห็นปลายแถวฉางกุ้ยแม้จะยุ่งอยู่ก็ยังไม่ลืมอธิบายให้ซูชิงลั่วฟังว่า “ก่อนหน้านี้เคยเกิดกบฏของชาวบ้านเร่รอนใกล้ๆ เมืองหลวง ใต้เท้าอาจกังวลจึงออกตรวจตราด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า มองดูสถานการณ์ตรงหน้าพลางพูดว่า “บอกให้คนที่พาเด็กน้อยมาด้วยแทรกแถวรับก่อนได้เลย”เนื่องจากคนเร่ร่อนมีจำนวนมาก คนที่คอยตักข้าวต้มจึงไม่เพียงพอ ซูชิงลั่วหลังจากสำรวจบริเวณโดยรอบแล้ว จึงเริ่มช่วยตักข้าวต้มร่วมกับจื๋อหยวนนาวไม่ถือตัวเลยแม้แต่น้อย เมื่อไม่มีฟืนก็ไปตัดฟืนมาเติม เมื่อข้าวหมดก็ช่วยจื๋อหยวนแบกถุงข้าว เมื่อข้าวต้มสุกแล้วก็แบ่งปันให้กับทุกคนด้วยตัวเองไม่นานชาวบ้านเร่ร่อนจำนวนมากก็หลงรักท่านฮูหยินอัครมหาเสนาบดีผู้นี้ แม้จะมีรูปโฉมที่ไม่งดงาม แต่กลับเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์และจิตใจดีงามอย่างยิ่งโชคดีที่ฝนตกไม่หนัก ซูชิงลั่วยืนอยู่ที่โรงทานข้างเตาไฟก็ไม่รู้สึกหนาวเลย กลับรู้สึกเหงื่อออกเพราะทำงานหนักเกินไปด้วยซ้ำฝนและเหงื่อเปียกชุ
ทุกคนจำต้องถอยหลังไปหลายก้าวหนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยิน พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะชิงอาหารหรอก แต่ว่าพวกเราอดอาหารมาสองสามวันแล้ว ข้าวก็จะหมดแล้ว ท่านจะให้พวกเราเข้าแถวก็มิใช่เอาชีวิตของพวกเราไปหรอกหรือ”“ถูกต้อง ถูกต้องเลย”“ใครว่าข้าวหมด” ซูชิงลั่วพูดเสียงดัง “หลี่ว์เผิงเทียน เถ้าแก่ของเมืองหังโจวเป็นพี่ชายบุญธรรมของข้า เขากำลังจะขนข้าวมาให้ทุกคนโดยเร็ว ทุกคนรอได้เลย”สถานการณ์คับขัน นางจึงแสล้งทำเป็นว่าหลี่ว์เผิงเทียนเป็นพี่ชายบุญธรรมของนาง เพื่อให้สถานการณ์สงบลงชั่วคราวนางไม่พูดถึงชื่อของหลี่ว์เผิงเทียนก็ยังดี แต่พอพูดถึงก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีก“หลี่ว์เผิงเทียน? คนตระหนี่ที่ผัดผักใส่เนื้อยังต้องนับจำนวนชิ้นน่ะหรือ”“เขา? จะให้ข้าวพวกเรา?”“เป็นไปได้อย่างไร ฮูหยิน อย่ามาหลอกพวกเราเลย”“ถูกต้อง......”สถานการณ์ที่เพิ่งสงบลง ก็ดูเหมือนจะวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้งเวลานี้เอง รถม้าคันหนึ่งก็แล่นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะชะลอความเร็วลงเมื่อเห็นจากระยะไกล“ดู คือหลี่ว์เผิงเทียนจริงๆ ด้วย!”“ข้าวสาร ท่านนำข้าวสารมาด้วย!”“ข้าวสารจำนวนมาก สิบกว่าคันรถ!”“มีข้าวสารจริงๆ ด้วย ฮูหยินอั
"นี่ นี่คือฮูหยินอัครมหาเสนาบดีรึ""โอ้สวรรค์ ข้ายังไม่เคยเห็นหญิงใดงดงามเพียงนี้มาก่อนเลย ไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดอย่างไรดี""ใบหน้าของนางขาวผ่องราวกับผ้าไหม""ดวงตาคู่นั้น แค่เหลือบมองมา ข้าก็พร้อมถวายชีวิตให้กับนาง.......""ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีกับท่านอัครมหาเสนาบดีเหมาะสมกันมากเลย!"“……”แย่แล้ว ครื่องสำอางบนใบหน้าฉันโดนฝนชะล้างออกหมดแล้วซูชิงลั่วเผลอเอามือลูบใบหน้า มองลู่เหิงจือด้วยความงงงวย ไม่รู้จะทำอย่างไรดีโชคดีที่มีเขาอยู่ด้วย นางไม่จำเป็นต้องรู้ว่าควรทำอย่างไรเขาก็คือความมั่นใจของนางลู่เหิงจือเพียงยิ้มอย่างสบายใจ และพูดอย่างเปิดเผยว่า “งดงามมากจนข้าไม่อยากให้ใครเห็นเลยล่ะ”“……”ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ ลู่เหิงจือพูดออกมาได้อย่างไรทำให้ฝูงชนเดือดพล่านเพราะคำพูดของเขาด้วยลู่เหิงจือและซูชิงลั่วเป็นศูนย์กลาง ผู้คนรอบข้างก็ขยายวงออกไปเรื่อยๆ ราวกับวงน้ำที่ขยายออกไปเป็นวงๆ“โอ้! ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีเป็นหญิงงามล่มเมืองจริงๆ ด้วย! ทุกคนรีบมาดูเร็ว!”“รอยปานบนใบหน้าของฮูหยิน ท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นคนสั่งให้วาดเองเพราะความหึงหว
หวังเหลียงฮั่นและหวังซูพูดขึ้นพร้อมกัน "ยังมีเรื่องอะไรอีก"เสนาธิการตอบว่า "ก่อนหน้านี้นางโลมที่ท่านอัครมหาเสนาบดีพักค้างคืนที่โรงเตี๊ยมด้วย ก็คือฮูหยินอัครมหาเสนาบดี ระหว่างที่ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีแจกข้าวต้มกลางสายฝน บ่าวในโรงเตี๊ยมก็จดจำฮูหยินได้”หวังซู๋ฉินเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความอิจฉา แล้วหันหลังเดินจากไปหวังเหลียงฮั่นทำสีหน้างุนงง “ลู่เหิงจือมีอะไรผิดปกติหรือไม่”ยังไม่ทันพูดจบ ก็มีบ่าวรับใช้วิ่งมาอย่างเร่งรีบ แล้วมอบจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ บอกว่าส่งมาจากเมืองหลวงโดยใช้ม้าเร็วหวังเหลียงฮั่นอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างรวดเร็วใต้แสงไฟในระเบียง“เยี่ยมมากลู่เหิงจือ เล่ห์เหลี่ยมชั้นเลิศ ตรวจสอบบัญชีภาษีได้โดยไม่ให้ใครรู้”เขาหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา “ลี่หลูล่ะ รีบไปตามลี่หลูเร็ว! ลู่เหิงจือเจ้าเล่ห์เหลือเกิน เราต้องรีบแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่รู้ว่ามีอะไรรอพวกเราอยู่ข้างหน้าอีก”*เมื่อขึ้นรถม้าแล้ว ซูชิงลั่วก็ปล่อยให้ลู่เหิงจือโอบกอดตลอดทาง โดยไม่กล้าสบตาเขาเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ใบหน้าของนางก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง และพยายามปลอบใจตัวเองว่านางกับลู่เหิงจือ
ซูชิงลั่วรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้แช่น้ำอุ่น ร่างกายอบอุ่นและความเมื่อยล้าก็หายไปปัญหาเดียวคืออ่างอาบน้ำเล็กเกินไปสำหรับสองคนร่างกายของทั้งคู่สัมผัสกันอยู่ตลอดเวลา แล้วก็แยกออกจากกันทันทีลู่เหิงจือไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปกว่านั้น เพียงแค่ตั้งใจอาบน้ำ และช่วยนางราดน้ำที่หลังเป็นระยะๆหลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน นางรู้สึกเมื่อยล้าไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะน่องที่ปวดเมื่อยมาก จนไม่มีแรงอยากจะอาบน้ำลู่เหิงจือมองออก จึงค่อยๆ ราดน้ำอุ่นลงที่หลังของนาง อาสาช่วยนางอาบน้ำซูชิงลั่วรู้สึกเพลิดเพลินกับการถูกปรนนิบัติ ถึงขั้นมีความคิดว่า “การอาบน้ำกับเขาก็ไม่เลวนะ” “ต่อจากนี้ก็อาบได้อีกหลายรอบเลย”นางพิงอกของลู่เหิงจือ อ้าปากหาวเบาๆ แล้วพูดว่า “น่าเสียดายที่อ่างเล็กไปหน่อย อึดอัดมาก”ลู่เหิงจือขณะที่กำลังถูแขนให้นาง ก็โอบเอวนางจากด้านหลังแล้วพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “พอเรากลับเมืองหลวง ค่อยทำอ่างอาบน้ำใบใหญ่กัน”“……”แผ่นหลังถูกผิวของเขาสัมผัสอย่างฉับพลัน ซูชิงลั่วอดที่จะเกร็งไหล่ไม่ได้ ความรู้สึกเสียวซ่านวิ่งจากศีรษะลงมาตามหลังของนางมือของน่งเกร็งเล็กน้อยและจับขอบถังไม้ไว้"ไม่ ไม่เป็นไร"ความหม
เขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของซูชิงลั่ว แล้วปลอบโยนว่า “เจ้าวางใจได้ เรื่องที่นี่ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้าย”ซูชิงลั่วมักจะเชื่อฟังเขาเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอม“หากท่านไม่เก็บโฉวกว่างไว้ ข้าก็จะไม่ไป" นางสะบัดมือเขาออก “พี่สามบอกแล้วว่าที่นี่ไม่มีอันตราย”ก็ไม่มีอันตรายจริงๆ แต่นางอยู่ด้วยเขาจะเสียสมาธิลู่เหิงจือถอนหายใจอย่างจนใจซูชิงลั่วมองเขาอีกครั้งแล้วพูดว่า “พี่สาม เป้าหมายของพวกเขาคือท่าน ไม่ใช่ข้า”ลู่เหิงจือตอบว่า “แต่พวกเขาจะใช้เจ้าเล่นงานข้า”ซูชิงลั่วโกรธมากจนพูดว่า “อย่างนั้นข้ากลับไเมืองหลวงเลยดีกว่า”ลู่เหิงจือมองนางยู่นาน และพูดเสียงเรียบว่า “ได้”ทั้งสายตาและน้ำเสียงบอกให้นางรู้ว่าต่อรองไม่ได้แล้วซูชิงลั่วโกรธจนหันหลังให้เขา ไม่ยอมพูดอะไรอีกลู่เหิงจือยืนอยู่ที่หัวเตียงคนเดียว ผิงผมจนแห้ง ดับเทียน แล้วขึ้นนอนท่ามกลางความมืดมิด ได้ยินเพียงเสียงหายใจเบาๆ ของทั้งสองคนผ่านไปนานมากก็ไม่มีใครพูดอะไรเลยไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ลู่เหิงจือก็ถามขึ้นมาว่า “หลับแล้วหรือไม่”ไม่มีเสียงตอบรับจากซูชิงลั่วลู่เหิงจือเอนต
เรื่องที่ซูชิงลั่วพูดออกมานั้นช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป แม้แต่ลู่เหิงจือที่พบเจอเรื่องราวใหญ่โตมานักต่อนักก็ยังต้องนิ่งไปครู่หนึ่งผ่านไปพักใหญ่ เขาถึงค่อยเอ่ยว่า "ดังนั้น ที่เจ้าพบว่าลู่เหยียนแอบนัดพบคนอื่น และขอถอนหมั้นกับเขา เพราะเจ้าได้ฝันถึงเรื่องนั้นใช่หรือไม่""ใช่แล้ว"ลู่เหิงจือหลุบตาลงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรซูชิงลั่วพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน "ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก แต่พี่สาม ท่านต้องเชื่อข้านะ...""ข้าเชื่อเจ้า" ลู่เหิงจือดึงนางเข้ามากอดฉับพลันฝ่ามือของเขาลูบไล้เส้นผมดำขลับของนางอย่างแผ่วเบา กอดนางแน่น ราวกับนางเป็นสมบัติล้ำค่าในอ้อมแขนของเขาฝ่ามือของเขาหยุดลงตรงแผ่นหลัง ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า "ตอนนั้นเจ้ากลัวหรือไม่?"ซูชิงลั่วนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงตอนที่นางฝันว่าตายทั้งกลมในฝันนั้น กลัวหรือไม่หัวใจของนางรู้สึกปวดหนึบ น้ำตาแทบจะไหลลงมานางเล่าเรื่องความฝันของตัวเองให้เขาฟัง เขาเชื่อโดยไม่ถามถึงเหตุผลว่าทำไมนางถึงอยากให้โฉวกว่างอยู่ด้วย หรือนางฝันเห็นอะไรเกี่ยวกับเขา เขาจะมีอันตรายอะไร แต่กลับห่วงเพียงว่านางกลัวหรือไม่ซูชิงลั่วโอบก