[4/2]“สรุปคือมึงทะเล่อทะล่าเดินขึ้นมาหากูเอง?”“ใช่ดิ”“แล้วมึงไม่โทรมาก่อนวะ?”เหตุการณ์ก่อนหน้านี้คือผิงกรีดร้องลั่นดังเข้าไปถึงด้านในห้องนอนของเพื่อนสนิท จนแฟนท์ต้องหน้าตาตื่นรีบวิ่งออกมาดูต้นตอของเสียงแฟนท์เห็นสภาพพี่ชายคนโตและเพื่อนสนิทยืนอยู่หน้าห้อง โดยที่มีมือของพี่ชายกำลังพยายามห้ามเสียงแปดหลอดของผิงเอาไว้อยู่ ทว่ากลับไม่เป็นผลเมื่อแฟนท์ได้ออกมาถึงหน้าห้องแล้วตอนนี้ทั้งสามคนเข้ามาอยู่ในห้องของแฟนท์ และกำลังโดนสืบสวนชุดหนักอยู่ เนื่องจากกล้ามากที่ทำให้แฟนท์ตื่นขึ้นมาได้ในช่วง 7 โมงเช้าแบบนี้“กูก็นึกว่าใครเป็นอะไร เฮ้อ! คนกำลังจะนอนหลับสบายๆ” แฟนท์ยืนกอดอกจ้องเอาเรื่องกับคนทั้งสองไม่เว้นแม้แต่พี่ชายของตัวเอง ที่ทะลึ่งออกมาจากห้องตัวเองโดยตัวแทบจะไม่เหลือเสื้อผ้าสักชิ้นอยู่แล้วเฮียเฟยพี่ชายคนโตอาศัยอยู่ชั้นเดียวกันกับน้องสาว และเป็นคนที่กวนตีนใช้ได้เลยล่ะ ถ้าได้เห็นตอนสมัยยังเรียนมัธยมอยู่โรงเรียนด้วยกันกับแฟนท์และผิง จะได้รู้ถึงความแสบซ่าของพี่ชายคนนี้แล้วที่เฮียเฟยต้องออกมาเจอกับผิงในตอนเช้าด้วยสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก สำหรับการเจอกันในรอบหลายปีได้ทว่าที่เขารีบเปิดปร
[4/3]“ไอ้แฟนท์!! ลุกเดี๋ยวนี้โว้ย!” ขนมผิงยังไม่ลดความพยายามปลุกเพื่อน ทำให้คนที่นอนคลุมโปงอยู่ถึงกับเริ่มรำคาญเพื่อนสนิทมากแล้ว จนต้องยอมออกมาจากผ้าห่มของตัวเองแฟนท์ขยี้หัวตัวเองแรงๆ เนื่องจากความหงุดหงิดที่โดนรบกวนตั้งแต่เช้า แต่กระนั้นก็ยอมลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนขนมผิงก็นอนเล่นโทรศัพท์รอเพื่อนที่เตียงนอนแกร่ก!!“อ้าว! เฮียมีอะไรอีก?” เสียงเปิดประตูดังมาถึงหูคนนอนเล่นโทรศัพท์อยู่ จึงต้องหันหน้าไปดูว่ามีแขกที่ไหนมาห้องเพื่อนสนิท ปรากฏว่าเป็นแขกคนเดิมที่เพิ่งจะเจอหน้าไม่กี่นาทีที่แล้วนี่เอง“สั่งน้ำเขาไว้แล้วไม่ลงมาเอาสักที เสียของหมด”คราวนี้เฮียเฟยแต่งตัวใหม่ในชุดพร้อมทำงาน เสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มกับกางเกงสแล็คสีดำช่างดูไม่เข้ากับนิสัยกวนตีนของเฮียเฟยเลยสักนิดและจากนั้นก็เดินถือแก้วโอเลี้ยงมาวางไว้ให้ตรงโต๊ะหนังสือของแฟนท์ วางเสร็จแล้วก็หมุนตัวเตรียมออกจากห้องด้วยท่าทางเร่งรีบปังงง!!“ขอบคุณนะเฮีย!” ผิงคิดว่าเฮียน่าจะรีบไปทำงาน ถึงได้ไม่ต่อปากต่อคำด้วยกันอย่างเคย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณเขาที่อุตส่าห์ยกขึ้นมาให้ถึงชั้น 3 ของบ้านเฮียเฟยเพิ่งออกไปจากห้องได้ไม่นา
Chapter 5[5/1]แฟนท์พาผิงมาเดินหาที่ทำเลสำหรับเอาไว้ค้าขาย เดิมทีคิดจะเช่าแบบตึกพาณิชย์เล็กๆ สักคูหา ทว่ายังติดขัดเรื่องต้นทุน เพราะทั้งคู่ก็มีเงินกันไม่มากนัก ดังนั้นความเป็นไปได้ในการเปิดร้านของทั้งคู่จึงเป็นที่ตลาดแทน ตลาดบางพระเป็นตัวเลือกที่ใกล้กับบ้านของทั้งคู่ที่สุดแล้ว แถมราคาค่าเช่าก็ไม่แพงมากนัก ถ้าหากจะค้าขายอย่างที่วางแพลนไว้ก็คงจะเหมาะเจาะเอาการอยู่ ทุกอย่างดูราบรื่นดีในวันนี้ เพียงแต่อย่างเดียวที่ยังติดขัดกันอยู่ในตอนนี้ก็คือเจ้าของตลาดแห่งนี้นี่แหละ ที่ทำเอาทั้งคู่ยังยืนลังเลอยู่“ที่นี่ถูกสุดแล้วนะมึง ทำเลก็ดี ...เอาไงดีวะ?” แฟนท์ถามความเห็นเพื่อน“กูก็อยากได้นะแต่ว่า...”“ที่นี่ของพี่ชายเฮียฉี ไม่ใช่ของเฮียฉีสักหน่อย กูว่าเอาเถอะว่ะ”“นี่หนูสองคนน่ะ ตกลงว่าไง? จะเช่าเลยไหม เจ๊จะได้พาเข้าไปคุยกับเจ้าของในออฟฟิศ และก็ทำสัญญาให้เลย” ป้าอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันชักเริ่มหงุดหงิดกับเด็กสองคนตรงหน้าแล้ว เพราะเห็นทั้งคู่ยืนตัดสินใจกันนานเกินไป “เจ้าของเค้ามาทำงานที่นี่ทุกวันเลยหรอจ๊ะเจ้”“ก็ใช่น่ะสิ อาซานอ่ะนะอีเป็นเจ้าของที่นี่แล้วก็เป็นเจ้าของตลาดหลายที่ทั่วเมืองชลฯ นี่แหละ
[5/2]ทางด้านฉีก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างเช่นทุกวันของตัวเองไป การตื่นนอนขึ้นมาเปิดร้านในทุกๆ เช้า มันคือหน้าที่ของเขาจนเริ่มชินแล้ว โชคดีที่มีลูกน้องคู่ใจอย่างจ๋อมและต๋อง ทั้งคู่เป็นเหมือนมือข้างที่ 3 และ 4 ให้กับเจ้านายอย่างฉีได้ดีเสมอ แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ซื่อจนสั่งงานไม่ได้ดั่งใจอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วทั้งคู่ก็ทำงานใช้ได้มากกว่าคนอื่นๆ ในอู่นี้วันนี้เป็นวันทำงานของแฟนสาวอย่างอิ้งค์ ดังนั้นฉีจึงไม่ต้องเสียงานเสียการขับรถไปหาเจ้าตัวไกลถึงบางแสน ไม่เช่นนั้นรถที่รถซ่อมอีก 3-4 คันคงไม่เสร็จแน่นอนถ้าหากวันนี้เป็นวันหยุดของอิ้งค์“เฮีย มาสแตงคันนั้นต๋องยกให้เฮียกับไอ้จ๋อมเลยนะ เดี๋ยวต๋องไปดูคันนั้นเอง”“เออ แล้วแต่มึงเถอะ”“คันไหนราคาแพงนี่มึงไม่อยากจับเลยนะ ไอ้เหี้ย” จ๋อมลูกน้องมือขวาของฉีบ่นให้เพื่อนที่อุตส่าห์จัดแจงวางแผนการทำงานในวันนี้ให้ ส่วนฉีนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ลูกน้องหัวหมออย่างต๋องจากนั้นก็แบ่งทีมกันลงงานตามที่วางแผนเอาไว้ในเช้าวันนี้ ลูกน้องฉีก็ไม่ได้มีแค่ต๋องกับจ๋อมสองคน แต่ยังมีอีก 10 คน ชายฉกรรจ์ ร่างบึกบึนในอู่นี้หน่วยกร้านงานดีใช้ได้และตามที่ฉีได้คัดเลือกมาแล้ว ลูกน้องของเข
[5/3]18.00 น.อาหารมื้อกลางวันผ่านพ้นไปแล้วนับหลายชั่วโมงได้ จนถึงตอนนี้ก็ได้ฤกษ์ทานมื้อเย็นแล้ว วันนี้ลมฝนลมหนาวหรือพายุลูกไหนก็ไม่รู้ที่นำพาคนอย่างฉีมานั่งร่วมโต๊ะอาหารที่บ้านตัวเองได้ปกติแล้วชายหนุ่มจะใช้ชีวิตที่อู่ของตนเองเป็นส่วนใหญ่ แต่เพราะวันนี้ได้ข่าวจากพี่ชายคนโตว่าคุณนายของบ้านไม่สบายนอนซมไข้มาหลายวันแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นมีหรือที่ลูกชายคนเล็กอย่างเขาจะเมินเฉยได้“นี่ถ้าม๊าไม่ป่วยนะแกคิดจะกลับมานอนบ้านบ้างไหม ห๊ะ?” ชายวัยกลางคนผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยถามลูกชายคนเล็กของบ้านออกไปเชิงตำหนิ พร้อมกับทิ้งลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างเบื่อหน่าย“ช่วงนี้งานยุ่งๆ นะป๊า” ฉีตอบทั้งยังเอื้อมมือไปตักกับข้าวใส่จานให้คนป่วยที่นั่งข้างๆ ตัวเองคุณนายของบ้านอย่างเพลงพินณ์แค่เป็นไข้หวัดธรรมดา ที่หายช้าก็เพราะว่าอายุมากแล้ว ร่างกายมันเลยไม่ค่อยฟื้นฟูได้เท่าสมัยยังสาว แต่พอรู้ว่าลูกชายคนเล็กจะมานอนบ้านในวันนี้ จากที่นอนซมอยู่บนห้องก็รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว บอกคนใช้ให้รีบเตรียมตั้งโต๊ะกับข้าวไว้รอลูกชายสุดที่รักเลย เพราะนานทีจะได้เห็นหน้า“เปิดอู่ทุกวันไม่เหนื่อยบ้างหรอลูก? พักบ้างก็ได้ จะขยันหาเงินไป
ตอนที่ 6[6/1]“หะ... ห้าววว~”“จิ! เดินเหมือนคนปกติหน่อยซิมึงอ่ะ!”“เฮียนะเฮีย นึกคึกอะไรวะ มาเก็บค่าเช่าแผงแทนเฮียซานเนี่ย” เอาเวลานอนของจ๋อมคืนมาจะได้ไหม แค่ตื่นขึ้นมาทำงานที่อู่ได้แต่ละวันก็ดีเท่าไหร่แล้ว นี่ยังต้องเจียดเวลาอันมีค่ามาทำอะไรแบบนี้นี้ด้วยเหรอฉีไม่ตอบลูกน้องแถมยังเดินเก็บค่าแผงต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่สายตาหลายคู่ของแม่ค้าพ่อค้าทั้งตลาดต่างมองมายังเขา เพราะปกติแล้วเห็นก็แต่เฮียซานหรือไม่ก็คุณนายเพลงพินณ์เท่านั้นที่จะผลัดกันมาเก็บ แต่วันนี้ฝนฟ้าคงตกหนักเมื่อเห็นทายาทคนเล็กของเศรษฐีบางพระมาทำหน้าที่ตรงนี้แทนพี่ชาย“เมื่อวานขายดีไหมเจ้?” ฉีเดินมาหยุดที่แผงคนคุ้นเคยพร้อมกับกล่าวทักทาย แม้จะไม่ได้มาที่นี่บ่อยนักแต่ร้านนี้ก็ยังไม่หายไปไหน“ไม่ค่อยเท่าไหร่เลย แล้วนี่อาซานไปไหนหรอ? วันนี้ลื้อถึงได้มาแทนน่ะ?”“เฮียไม่ค่อยสบายนิดหน่อยน่ะเจ้ เลยให้มาแทน” อันที่จริงไม่ใช่อย่างที่เขาพูดเลยสักนิด เพราะเมื่อคืนเขาเป็นคนขอเฮียซานเองว่าจะมาเก็บค่าแผงให้แทน โดยหาข้ออ้างเรื่องเพลงพินณ์ไม่สบายนั่นแหละ เพื่อให้ซานเป็นคนอยู่ดูแลคนป่วยที่บ้านแทน“อ่า... งั้นหรอ ดีแล้วๆ ช่วยๆ
[6/2]ตั้งแต่เช้ามืดแล้วที่ฉีกับอิ้งค์เดินทางออกมาจากที่อู่ เพื่อไปยังงานแต่งงานเพื่อนสนิทของอิ้งค์ เพื่อนคนนี้ฉีเองก็รู้จักดีเพราะเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน งานนี้เห็นทีว่าคนรู้จักของทั้งคู่จะมาร่วมงานกันเยอะมากทีเดียวภายในงานวันนี้ช่างหรูหราสมฐานะของฝ่ายเจ้าบ่าวเอามากๆ ซึ่งเขาแอบได้ยินมาว่าเจ้าบ่าวของงานเป็นถึงทายาทนักธุรกิจชื่อดังเลย แม้จะยังไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้งแต่ชื่อเสียงกลับดังมาถึงหูของฉีได้ เพราะมีแฟนสาวอย่างอิ้งนี่แหละที่พูดให้ฟัง“ฉีจัดเนกไทดีๆ หน่อยสิ” ว่าพลางเอื้อมมือมาจัดการกับเนกไทส์เจ้าปัญหาให้เพราะอิ้งค์เป็นผู้หญิงที่เห็นความไม่เรียบร้อยของสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะการแต่งตัวเซอๆ ของแฟนหนุ่ม นี่ถ้าเธอไม่สั่งจองชุดสำหรับมางานในวันนี้ให้ ป่านนี้ฉีคงลากแตะและใส่กางเกงยีนส์ขาดๆ ของเขามาแน่นอน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเธอคงขายหน้าเพื่อนๆ หลายคนในงานนี้เป็นแน่“นี่ฉี นาฬิกาที่อิ้งค์เอามาให้เมื่อวานทำไมไม่หยิบมาใส่ ห๊ะ?”“ฉีลืม” ที่จริงเขาไม่ได้ลืมหรอก เพียงแต่ไม่อยากใส่มันก็เท่านั้นเอง นาฬิกาหลักล้านเรือนนั้นเขาไม่ชอบใส่มันนักหรอก“ทีหลังอย่าลืมแบบนี้อีกรู้ไหม
[6/3]ภายหลังจากงานแต่งงานของฝ้ายเสร็จสิ้นลง ฉีและอิ้งค์ก็เตรียมตัวเดินทางกลับ ทั้งคู่ขึ้นมาในรถได้สักพักแล้ว ทว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นสาระถียังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ไร้วี่แววสตาร์ทเครื่องอิ้งค์รู้ว่าตอนนี้แฟนหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ และเธอเองก็ไม่คิดจะแก้ตัวเลยสักนิด แบบนี้ฉีเลยไม่พอใจเข้าไปกันใหญ่“รีบกลับกันเถอะ เดี๋ยวถึงบ้านมันจะมืดค่ำเอา พรุ่งนี้อิ้งค์มีงานเลี้ยงกับผู้ใหญ่อีก” เพราะเห็นคนที่พามาเอาแต่นั่งเงียบไม่ออกรถสักที จึงต้องรีบออกคำสั่ง ทว่าฉีก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนเดิม“...”“ฉี... ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องมางอนอิ้งค์ด้วยเนี่ย!?”หญิงสาวเริ่มออกอาการไม่พอใจแฟนหนุ่มขึ้นมาบ้างแล้ว วันนี้แทนที่เขาจะดีใจที่เธอเอ่ยปากชมเขาต่อหน้าเพื่อนตัวเองไม่หยุดทั้งที่กำลังพูดเอาหน้าเอาตาของเขาไว้แท้ๆ แต่ดูผลตอบรับสิ และเกือบทั้งวันที่อยู่ในงาน เขาเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงและไม่ค่อยเออออตามที่เธอพูดเลยด้วยซ้ำ“เหอะ... นี่ฉีจะทำห้างฯ หรอ? ทำตอนไหนฉียังไม่รู้เลย?” ชายหนุ่มตอบแฟนสาวพลางหันหน้าเข้ากระจกฝั่งคนขับ อิ้งค์เอาเรื่องของเขาไปโพนทะนา ให้คนทั้งงานฟังว่าเขากำลังจะมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เป็นของตนเองลูก
ตอนพิเศษ 1[เฮียฉี × น้องผิง]“เฮียว่าชุดนี้มันรัดเกินไปนะ”“หือ? ไม่นะ ผิงใส่แล้วมันพอดีเป๊ะเลย”“แต่เฮียว่ามันโป๊ไป ดูสิแบบนี้มันต่างจากใส่บิกินี่ตรงไหน?” ว่าพร้อมส่งสายตาก้มลงต่ำชวนให้คนตัวเล็กได้มองตาม“ชุดเจ้าสาว มันก็ต้องเห็นอก เอว สะโพกชัดๆ สิ อีกหน่อยม๊าผิงบอกว่าถ้ามีลูกแล้ว จะใส่ชุดเข้าทรงแบบนี้อีกคงลำบากน่าดู อีกอย่าง… นี่ก็งานแต่งงานแค่ครั้งเดียวในชีวิตผิงนะเฮีย ผิงก็ต้องสวยกว่าใครๆ สิ”ว่าที่เจ้าสาวโต้เถียงให้กับว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเองอย่างไม่ยอมลงให้ง่ายๆผิงตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเลือกชุดเจ้าสาวแบบเดียวกับที่เธอใส่อยู่ตอนนี้เพียงเท่านั้น ชุดอื่นๆ ที่ฉีเลือกเอาไว้ให้ใส่วันงาน เธอได้ลองใส่มันแล้ว และไม่เห็นด้วยกับรสนิยมของเขาอย่างยิ่งร่างบางช้อนตามองตามชุดที่ถอดกองเอาไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมกับลมหายใจเฮือกใหญ่เสียงดังชัด ซึ่งมันแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างมาก เพราะชุดเหล่านั้นที่มันยังกองอยู่ภายในร้านชุดแต่งงาน มันคือชุดที่ฉีเป็นคนเลือกให้เธอเองบางตัวเป็นชุดไทยเดิมที่บิดมิดตั้งแต่ลำคอไปจนถึงตาตุ่ม ผิงลองใส่แล้วและคิดได้ว่ามันไม่เหมาะกับอากาศที่ร้อนอบอ้้าวในบ้านเรานัก ส่วนอีกชุดก
[END/2] วันนี้หลังจากที่ตะคอกใส่หน้าเขาไปเมื่อช่วงเย็น ผิงก็กลับไปนอนคิดแล้วว่าสิ่งที่ตนเองทำมันมากเกินไป อีกทั้งยังรู้สึกผิดต่อเขาที่เผลอพูดใส่ไปแบบนั้น ถึงได้รีบออกจากบ้านมาตามหาร้านเค้กอร่อยๆ รสชาติที่เขาชอบทานมันประจำ แล้วก็มายืนอยู่ในบ้านของเขาตอนนี้อย่างไรล่ะ ต่อให้เตี่ยจะหาว่าผิงโง่ที่ยอมยกโทษให้ฉีง่ายๆ ก็พร้อมน้อมรับแล้ว ขอแค่ที่ฉีบอกจะไปเมืองนอกนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง และขอแค่ได้ให้โอกาสกับเขาอีกครั้งหนึ่ง อย่างน้อยต่อให้เจ็บอีกครั้ง เธอก็ได้ลองเปิดใจเรียนรู้มันแล้ว “ผิงอุตส่าห์มาหาแล้ว... ฮึก และเฮียจะไปไหนอีก?” “เฮียรักผิงนะ แต่ว่า...” “แต่ว่าขี้ขลาดเกินไปงั้นหรอ!? ถึงต้องหนี” “ขอโทษ” ฉีก้มหน้าตอบ เมื่อไม่สามารถสบสายตาของคนตัวเล็กได้อีกต่อไปแล้ว เขายอมรับว่าเขามันขี้ขลาดตาขาว ยอมแพ้เรื่องนี้ง่ายๆ โดยที่ไม่ทันได้รับรู้ถึงความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดก่อน แต่ก็เพราะว่าเขารู้ตัวแล้ว เขารู้แล้วว่าเขาคงไม่เหมาะกันความรักของผิง ที่ผ่านมาผิงผิดหวังให้ตัวของเขามามาก มันถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยให้เธอเป็นอิสระได้สักที สิ่งที่เขาคิดมันก็มีแค่นี้ เท่าที่ทำได้ “ถ้ารักแล้วทำไมไม่อยู่ด
[END/1] 19.30 น. ฉีกลับบ้านมาพร้อมกับความเงียบไม่ยอมพูดจากับใครหลายคนที่อยู่ร่วมฉลองวันเกิดของเขา คนในบ้านที่รอลุ้นเอาช่วยอยู่เมื่อเห็นฉีกลับมามือเปล่าแบบนี้ก็รู้คำตอบดีกันอยู่แล้ว จึงไม่ได้ถามจี้จุดให้เจ้าของวันเกิดเสียอารมณ์กันไปอีก คุณนายเพลงพิณอุตส่าห์ทำอาหารจัดเลี้ยงคนในงานอย่างสุดฝีมือ และแต่ละเมนูที่เธอทำก็ล้วนเป็นคำสั่งของลูกชายตัวเองทั้งนั้น ทั้งที่ไม่ใช่ของโปรดของลูกชายตัวเองเลยแม้แต่จานเดียว ทว่าฉีก็ยังยืนยันว่าอยากให้เธอทำมันอย่างสุดฝีมือ เพราะทั้งหมดบนโต๊ะนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดผิงทั้งนั้น ขวดคริสตัลชั้นดีที่บรรจุน้ำเมาดีกรีแรงอย่าง ซิงเกิ้ลมอลท์วิสกี้ ปี 1920 ในราคาขวดละสามแสนกว่าบาท ตอนนี้มันกำลังถูกรินใส่ลงแก้วเป็นครั้งที่สามแล้วสำหรับค่ำคืนนี้โดยเจ้าของงานเอง เหล้าขวดนี้ฉีไม่ได้ซื้อมาเองเขาจึงกล้ากระดกมันเต็มที่ โดยที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องราคามากนัก ถ้าเขาจำไม่ผิดขวดนี้น่าจะเป็นของเสี่ยชัชชาติที่ซื้อมาตุนไว้ แต่วันนี้เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของพ่อตัวเองเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเขาจะถือว่ามันคือของขวัญสำหรับวันเกิดจากบุพการีผู้ที่ไม่มีเวลาว่างมางานของเขาในคืนนี้ “อ่า... เ
[24/3] ในเมื่อคนทางบ้านของผิงปิดเครื่องหนีไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องคิดหาทางเลือกอื่น เพื่อที่จะกลับบ้านให้ทันก่อนที่ฝนจะได้กระหน่ำลงมาเสียก่อน และแล้วตัวเลือกต่อมาของผิงจึงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรถมอเตอร์ไซต์รับจ้าง เพราะถ้าจะให้เธอโทรหาแฟนท์ตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับพ่อแม่ตัวเอง รายนั้นก็กลัวเกินเหตุหนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน พวกเขาคงลืมไปว่าบนโลกนี้มี นวัตกรรมที่วิเศษอยู่อย่างหนึ่งที่เรียกติดปากกันว่าสายล่อฟ้า และซึ่งต่อให้ผิงจะพูดหรืออธิบายไปจนคอแห้งก็จะเปล่าประโยชน์ เพราะสำหรับบางคนแล้วถ้ามีเรื่องฝังใจมากๆ ก็จะยังกลัวอยู่แบบเดิม เช่นเดียวกับแฟนท์เพื่อนของเธอ ที่เคยมีเหตุการณ์ไม่ดีกับเรื่องฝนฟ้าอากาศในสมัยเด็ก ผิงเดินมาทางฝั่งหน้าตลาดโดยที่ทิ้งรถของตนเองเอาไว้ที่ลานจอดนั่นก่อน เพราะตอนนี้เธอคงต้องพึ่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างก่อนแล้ววันนี้ ทว่าพอเดินไปถึงจุดรับส่งผู้โดยสารกลับกลายเป็นว่างเปล่า ไร้รถและไร้เงาคนขับ ไม่มีผ่านตาเธอเลยสักคน ผิงเลยต้องยืนหน้างอคอตกอยู่แบบเดิม “เวรกรรม เฮ้ออ!” อาจจะเป็นเพราะฝนฟ้าไม่เป็นใจ คนแถวนี้ก็เลยทยอยกลับบ้านช่องกันหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่รถโดยสารหลากหล
[24/2] ผิงยอมจำนนต่อคำขอร้องของพัศกรอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งในใจเธอเองก็ไม่อยากอยู่ในงานนี้เหมือนกัน ดังนั้นการได้ออกไปรับลมของนอกบ้างก็อาจจะช่วยให้หายลืมความวุ่นวายในงานได้บ้าง เธอหวังเอาไว้แบบนั้น ก่อนที่จะเดินไปยังลานจอดรถที่พัศกรเป็นคนพาไป แต่ก่อนที่จะได้สตาร์ทรถวิ่งออกไปยังเส้นถนนใหญ่ พัศกรได้ยื่นขวดน้ำเปล่าส่งมาให้คนข้างหน้าได้ดื่ม เพราะเห็นเธอบ่นว่าหิวตั้งแต่ตอนที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งแล้ว “นี่ครับน้ำดื่ม เห็นผิงบอกหิวน้ำ โชคดีนะที่ในรถพี่มี” “เอ่อ... ค่ะ” มือบางรับขวดน้ำมาจากด้านฝั่งคนขับ ก่อนที่จะเปิดมันขึ้นมาดื่ม เพื่อให้เขาได้เห็นว่าที่เธอพูดก่อนหน้านี้ไม่ได้โกหก ทั้งที่จริงๆ เธอไม่ได้หิวน้ำเลยสักนิด เพียงแต่หาข้ออ้างกลับเข้าไปในงาน เพราะไม่อยากไปกับเขาเท่าไหร่นัก หากงานเลิกแล้วทางบ้านเธออาจจะรอนาน “งั้นไปกันเถอะครับ จะได้กลับมาทันเวลา” “ค่ะ” หลังจากที่เก็บค่าเช่าครบทุกแผงแล้ว ทั้งเจ้านายกับลูกน้องก็ต้องกลับมาตั้งต้นกันใหม่ที่ร้านขายน้ำล็อกหนึ่งในตลาด จากเดิมแผนการที่เฮียฉีบอกกับพวกเขาเอาไว้คือ จะล่อให้ผิงไปร่วมงานวันเกิดของเขาให้ได้ แต่กลับต้องล่มเสียก่อนงานจะเร
[24/1] 2 สัปดาห์ต่อมา...., ตื่นเช้าวันใหม่มาผิงเดินทางกลับมาขายของที่ร้านเฉกเช่นทุกวัน ภายหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นเธอได้ปิดร้านไปหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ก่อนที่จะกลับมาเปิดอีกครั้ง จนตอนนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เธอกลับมาขายของตามปกติอีกครั้ง แม้ว่าคนที่บ้านลั่นวาจาสั่งแล้วก็ตามที โอยเฉพาะเฮียส้งยืนกรานอยากให้ลูกสาวปิดกิจการนี้ไปแบบถาวรให้ได้ แต่เธอมองว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับงานที่ตนเองทำเลยสักนิด ดังนั้นแล้วเรื่องที่ผ่านมาเธอจะลืมมันไป และเริ่มต้นใหม่จริงๆ ได้สักที ไม่ใช่เพราะ ทว่าเพราะตัวเธอเองทั้งนั้น ส่วนเรื่องฉี ...นับตั้งแต่วันนั้นที่เกิดเรื่องขึ้น ผิงก็ไม่ได้เจอกับเขาอีกเลย ตลาดระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผิงให้ความสำคัญกับเรื่องงานและแยกแยะออกว่าอันไหนเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าเฮียฉีจะต้องมาตามวอแวเธอถึงที่อย่างแน่นอน แต่กระนั้นใครจะสน ในเมื่อกิจการของเธอยังเป็นไปได้ด้วยดีอยู่ หากจะให้ย้ายร้านไปที่อื่นตอนนี้ก็กลัวว่าจะเสียลูกค้า เพราะที่นี่ก็ถือได้ว่าเป็นที่ทำเลที่ดีที่สุดแล้ว เธอคงไม่ยอมเสียโอกาสนี้ไปง่ายๆ แน่ “เป็นไงบ้าง เมื่อวานกล
[23/3]“ผิง! …ตื่นสิผิง”“อื้มมม ~”“ผิงลุกขึ้นไหวไหม!? ...”“อื้ม... ใครหรอ? เฮีย?”ราวกับว่ามีใครกำลังเรียกเธออยู่ในห้วงของความฝันอย่างไงอย่างงั้นเลย ตอนนี้ผิงคิดว่ามันคงจะใช่แบบนั้น เพราะความรู้สึกของตัวเองมันหวิวราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างเชื่องช้า เสียงเบาหวิวที่ขึ้นเข้ามาในหัวของเธอ ถ้าจำไม่ผิดมันคือเสียงที่คือคุ้นเคยอย่างดีที่สุดแม้กระทั่งในความฝันเธอยังไม่อาจหนีพ้นคนอย่างฉีได้เลยอย่างนั้นหรือ กี่ครั้งแล้วที่ฝันเห็นเขา กี่ครั้งแล้วที่แอบเผลอใจอ่อนให้กับฉีในเวอร์ชันของความฝัน ที่เขาปฏิบัติต่อตัวเธออย่างอ่อนโยน ซึ่งมันแตกต่างจากในชีวิตจริงเป็นอย่างมาก“อื้ออ.... พาไปไหน?”เพราะในห้วงของความฝันที่คิดว่าตนเองพอจะรับรู้ได้ คือตอนนี้ฉีกำลังอุ้มเธออยู่ ทว่าไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังอุ้มเธอออกไปที่ไหน และทำไมสีหน้าของคนที่อุ้มเธออยู่กลับแลดูกังวลใจ ราวกับมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นอยู่เลย‘เฮียจะพาผิงไปไหน? ขอนอนต่ออีกนิดไม่ได้เหรอ ง่วงเกินทนแล้ว....’ปัจจุบัน@โรงพยาบาลผิงถูกพาตัวออกมาจากโรงแรมแห่งหนึ่งได้อย่างปลอดภัย โดยคนที่พามาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฉีเอง ก่อนหน้านี้มันมีเหตุการณ
[23/2]“ว้าว.... ไม่ยักรู้เลยนะครับว่าลูกชายผมก็ใจบุญศุลทานกับเขาด้วย ขอย้ำนะครับว่ารายได้ส่วนหนึ่งในคืนนี้ไม่ได้จะเข้าหระเป๋าผมคนเดียว แต่จะนะไปบริบาคให้ทางองค์การบริหารส่วนตำบลของเรา เพื่อใช้ในการพัฒนาสถานที่สาธารณะของชาวตำบลเรา...”“รีบนับเถอะครับพิธีกร ผมเริ่มเมื่อยมือแล้วครับ” ฉีว่าตัดบทผู้เป็นพ่อก่อนที่เขาจะได้พูดจายืดเยื้อไปมากกว่านี้ ทำเอาเสี่ยชัชชาติที่กำลังจะพูดต่อ ถึงกับเสียหน้าให้แขกทั้งงาน“อะ.. อรึ่ม! เอาล่ะครับ ทุกท่าน องค์นี้ขึ้นมาเป็นสามล้านบาทแล้ว ผมจะเริ่มนับแล้วนะครับ”“1”“2”...“โอเคครับ องค์นี้ลูกชายของผมได้ไปเลยครับ ขอเสียงปรบมือหน่อยครับทุกท่าน”แปะๆๆๆแขกเหรื่อในงานต่างปรบมือเสียงความยินดีกับลูกชายเจ้าของงาน ที่ได้ครอบครัวหลวงพ่อองค์ที่หายากได้สำเร็จ โดยมูลค่าที่ได้มาสูงเกินราคาตลาดไปมาก ตลอดทั้งหลายคนยังแอบชื่นชมลูกชายเจ้าของงานกันปากต่อปากเรื่องความใจกล้าของเขา ทว่ากลับไม่ใช่บุคคลที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยกันอย่างเฮียส้งเลย เพราะพระที่เขาอยากได้ตอนนี้มันอยู่ในมือของเด็กเมื่อวานซืนที่เอาเงินมาถลุงปั่นราคาเล่นอย่างฉี“ยินดีด้วยนะหลานชาย ฮ่าๆ ใจบุญใจกุศลจริงๆ เลย
[23/1]การจัดงานประมูลถูกดำเนินไปจนเข้าสู่ช่วงท้ายของงาน ไฮไลต์ภายในค่ำคืนนี้มีพระเครื่องหายากอยู่ทั้งหมด 5 องค์ด้วยกัน ที่จะเริ่มการประมูลขึ้นอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้โดยที่ช่วงดังกล่าวทางเจ้าพระอย่างเสี่ยชัชชาติจะเป็นคนขึ้นดำเนินการเปิดราคาด้วยตนเอง เพื่อที่จะได้มีส่วนร่วมส่งของที่เคยเป็นของเขาเอง ได้มอบมันให้แก่คนที่เสนอราคามาดีที่สุดทั้งยังส่งท้ายรายการทั้งหมดในค่ำคืนนี้ด้วยตนเอง“พระ 5 องค์ต่อจากนี้ที่จะเริ่มการประมูล ผมต้องบอกทุกท่านก่อนนะครับว่า รายได้จากการประมูลส่วนหนึ่ง ผมจะนำไปบริจาคให้กับทางองค์การบริหารส่วนตำบลของเรา เพื่อที่จะนำไปพัฒนาชุมชน และส่วนกลางต่างๆ ภายในชุมชนของเรา ทั้งยังมีโครงการสวนสาธารณะแห่งใหม่ ที่ผมเองเป็นผู้บริจาคอยู่แล้ว .....”“5 องค์ที่เหลือนี้ เฮียส้งมีเล็งๆ ไว้บ้างไหม? ถ้ามีบอกฉันได้นะ เผื่อฉันช่วยได้”ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งฟังทางเจ้าภาพกล่าวอธิบายถึงงานในค่ำคืนนี้อยู่ กำนันชมก็หันหน้ามากระซิบพูดกับเฮียส้ง ทั้งยังขันอาสาช่วยเหลือเพราะถือว่ารู้จักกันในวงการนี้มาอย่างยาวนาน“อั๊วก็มีเล็งๆ ไว้อยู่ แต่อั๊วว่าราคาเปิดมันดูแพงเกินไปไหมอากำนัน บอกตามตรงว่าอั๊วก