ชายในชุดธรรมดาคนนี้ เป็นลูกชายคนโตของกวงฉินโหว กวนหลางสือ ตอนนี้มีตําแหน่งเป็นจางวางกรมหรมสอบสวนเรื่องนี้จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเรื่องของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยตั้งแต่สมัยวัยสาวแล้วซ่งชิงเหยียนเกิดในจวนติ้งกั๋วโหว ในเวลานั้นพี่สาวของนางได้แต่งงานกับฮ่องเต้ต้าฉู่ซึ่งตอนนั้นยังเป็นองค์รัชทายาทอยู่ แน่นอนว่านี่เป็นสถานะที่ดีที่สุดในเมืองหลวงแล้วซ่งชิงเหยียนกับลูกชายคนโตของกว่างฉินโหวโตมาด้วยกันเป็นคู่หมายกันมาตั้งแต่เด็ก ชาวเมืองหลวงต่างก็รู้กันดีแต่ในเวลานั้นกว่างฉินโหวไม่มีตําแหน่งขุนนางแล้ว ดังนั้นแล้วจะว่าไปก็ไม่เหมาะสมกับตระกูลติ้งกั๋วโหวเท่าไหร่ แต่ครอบครัวติ้งกั๋วโหวกลับไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก ทั้งสองครอบครัวก็เข้ากันได้ดีมากซ่งชิงเหยียนตามพ่อและพี่ชายไปสนามรบตั้งแต่เล็ก ตอนนั้นเพราะไปออกรบอยู่ข้างนอกหลายปี เลยทำให้เรื่องความรักของทั้งสองต้องล่าช้าพอกลับเมืองหลวงซ่งชิงเหยียนอายุ 20 ปีแล้วตอนนั้นกวนหลางสือก็อายุ 23 ปีแล้วแม้ว่าจะอายุจะไม่น้อยแล้ว แต่นางก็ยังปฏิเสธที่เชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลอื่น และเฝ้ารอให้ซ่งชิงเหยียนกลับมาเมืองหลวงเพื่อจะได้แต่งงานกันเพียงแต่ในปีนั้นซ่งชิงหย่
พูดจบก็ไม่รอให้กวนหลางสือตอบ แต่พาสาวใช้ขึ้นไปบนที่นั่งผู้ชมที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอยู่เลยตอนนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปหมดแล้ว เหลือไว้เพียงคนรับใช้ที่ใกล้ชิดไม่กี่คน จิ่นซินกําลังประคบยาให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมีคนส่งสารมาจากข้างล่างว่า แม่นางต้วนจากจวนจางวางกรมกรมสอบสวนมาขอพบพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแม้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะประหลาดใจในใจ นางก็ไม่รู้จักจางวางกรมกรมสอบสวนและไม่เคยเจอแม่นางต้วนที่ไหนด้วย แต่ก็ยังเชิญให้เข้ามาตามมารยาทแม่นางต้วนทำความเคารพฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเสร็จแล้วก็เอ่ยปากว่า "สามีของข้าน้อยคือจางวางกรมกรมสอบสวนกวนหลางสือ ข้าน้อยพื้นเพเป็นคนหยุนโจว เห็นว่าพระสนมได้รับบาดเจ็บจึงนำยาสมานแผลมาถวายเพคะ"แวบแรกที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยฟังชื่อกวนหลางสือ นางก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าต่อมาจะรู้ว่าเหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด แต่ชีวิตมันก็กลับย้อนไปไม่ได้อีกแล้วตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่ค่อยสืบข่าวเกี่ยวกับตระกูลกว่างฉินโหวแล้วจึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้กวนหลางสือได้เป็นจางวางกรมกรมสอบสวนแล้วแต่แค่ไม่กี่อึดใจนางก็ได้สติกลับมาและตอบด้วยรอยยิ้
เมื่อต้วนหยุนอี้กลับไปที่กวนหลางสือ กลับเห็นกวนหลางสือนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์นางจึงรีบเดินเข้าไปหา "ท่านพี่ ข้าว่า..."แต่กลับถูกกวนหลางสือขัดจังหวะ "ข้าไมรู้เลยนะว่าเจ้าพูดจาเก่งขนาดนี้ ถึงขนาดกล้าเล่นลิ้นกับฮ่องเต้"ต้วนหยุนอี้ได้ยินกวนหลางสือพูดแบบนี้ แสดงว่าเขารู้เรื่องเมื่อกี้แล้วจึงรีบเอ่ยปากอธิบายว่า "ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แค่อยากให้พระสนมรู้ว่าท่านยังคงคำนึงถึงนางอยู่""ทําไมข้าต้องคำนึงนางด้วย " กวนหลางสือเงยหน้ามองต้วนหยุนอี เหมือนกําลังถามนางอยู่ และก็เหมือนกําลังถามตัวเองด้วยหลังจากนั้นไม่นานกวนหลางสือก็พาภรรยาต้วนหยุนอีออกจากสนามขี้ม้าตีคลีไปส่วนทางด้านพระสนมเฉินกุ้ยเฟย แม้ว่าเมื่อกี้จะถูกรบกวนจิตใจอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับมาสงบดังเดิมตอนไปออกรบอยู่ในค่ายทหาร ท่านพ่อก็เคยกล่าวไว้ว่า ตั้งแต่โบราณมาในสนามรบมีทั้งแพ้ทั้งชนะ ถ้าแพ้ก็แค่สรุปมาเป้นประสบการณ์ก็พอแล้ว อย่าติดอยู่กับอารมณ์จากความล้มเหลว ทุกอย่างต้องมองไปข้างหน้าเมื่อพิจารณาดูแล้วว่าไทเฮาเพิ่งจะหายเป็นปกติ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงบอกฮ่องเต้ต้าฉู่แล้วมาหาไทเฮา"ไทเฮา ฝ่าบาททรงเป็น
หลังจากกลับบ้านไปก็โดนท่านแม่สั่งสอน บอกว่าหานซีเยว่เป็นลูกสาวของแม่ทัพใหญ่ทหารม้า เป็นคนที่ตระกูลเสิ่นของนางไม่อาจไม่มีเรื่องด้วยได้ต่อมาในงานเลี้ยงที่พระราชวัง หลังจากที่หานซีเยว่ได้รับพระราชทานสมรสให้กับองค์รัชทายาท เสิ่นเป่าซวงก็กลับบ้านไปอาละวาดยกใหญ่ฮูหยินเสิ่นก็สอนนางอีกว่า ในเมื่อตำแหน่งพระชายาเอกขององค์รัชทายาทไม่มีหวังแล้ว สู้ไปสนใจอย่างอื่นดีกว่าเพียงแต่ชาวเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าเสิ่นเป่าซวงคนนี้ชอบองค์รัชทายาทมาเป็นเวลาหลายปี นางประกาศกร้าวว่าถ้าชีวิตนางไม่สามารถแต่งงานกับองค์รัชทายาทได้ สู้โกนผมไปเป็นแม่ชีจะดีเสียกว่าฮูหยินเสิ่นจนใจ เลยต้องออกความคิดให้นางไปตีสนิทกับคุณหนูหาน เผื่อจะได้มีโอกาสได้พบกับองค์รัชทายาทบ่อยๆต่อไปภายหน้าถ้าได้แต่งตั้งเป็นชายารองขององค์รัชทายาท เมื่อใดที่ที่เขาเสด็จขึ้นครองราชย์นางได้เป็นผินเฟยก็ยังดีนางถึงยอมแบกหน้ามาเกาะแกะหานซีเยว่เมื่อเห็นหานซีเยว่ไม่ตอบ เสิ่นเป่าซวงก็พูดต่อว่า "ครั้งที่แล้วที่ข้าไปก่อกวนท่านที่หน้าร้านขายเสื้อผ้าสําเร็จรูป ท่านพี่หานยังโกรธข้าอยู่หรือ? "หานซีเยว่หยุดเดินแล้วมองเสิ่นเป่าซวง คุณรองตระกูลเสิ่นแห่งเม
เห็นเสิ่นเป่าซวงที่อยู่ไกลๆ เป็นแบบนี้ หานซีเยว่ก็ถอนหายใจอีกครั้ง "นางตามเกาะแกะข้า จะตามข้าไปเฝ้าฮ่องเต้ด้วยกัน นางคิดอะไรอยู่ ทําไมข้าจะไม่รู้ ข้าล่ะอารมณ์เสียมากจริงๆ"หรงเหวินเมี่ยวกลับเข้าใกล้หานซีเยว่ด้วยท่าทางอารมณ์ดี "ตอนนี้พี่เยว่ของเราเป็นว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทแล้ว คนที่สูงสง่าเช่นองค์รัชทายาทต้องเป็นหมายปองของสาวๆ หลายคนอยู่แล้ว ต่อไปคงยังต้องรับมืออีกเยอะ"พวกเขาหัวเราะต่อกระซิกกันอยู่พักใหญ่ จึงลบความอารมณ์เสียเมื่อกี้ไปได้เห็นว่าหานซีเยว่กําลังจะไปเข้าเฝ้าพระสนมเฉินกุ้ยเฟย หรงเหวินเมี่ยวนึกถึงที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเคยช่วยเหลือในงานเลี้ยงที่วังเมื่อครั้งก่อน จึงก็เอ่ยปากขอไปเข้าเฝ้าด้วยกันเหออวี่เหยาเดิมกําลังจะกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง แต่ถูกหรงเหวินเมี่ยวพามาที่ที่นั่งของฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยกัน"ถวายพระพรแด่ฝ่าบาท ถวายพระพรแด่พระสนม" ทั้งสามทำความเคารพตามมารยาทอย่างเรียบร้อย พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ก็รีบบอกให้พวกนางลุกขึ้น"ตอนนี้พวกเด็กๆ ก็โตกันหมดแล้ว ข้าชักจำไม่ค่อยได้แล้วสิ" ฮ่องเต้ต้าฉู่ยิ้มใจดี แต่นั่นกลับทำให้คนรอบข้างประหลาดใจฮ่องเต้ต้าฉู่เป็
ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับหัวเราะนาง "ตอนนี้เจ้าก็ยังสาวอยู่ อย่าหาข้ออ้างให้ตัวเองหน่อยเลย"เสียงหัวเราะของพวกเขาดังมา ลู่ซิงหว่านยืดตัวบิดขี้เกียจและตื่นขึ้นมา[ท่านแม่ก็เหนื่อยอยู่ในวังหลังของท่านนั้นแหละ แม้ว่าตอนนี้จะอายุยังไม่สามสิบ แต่ผมหงอกก็ขึ้นมามากแล้ว]ฮ่องเต้ต้าฉู่เคยชินกับ "การไม่เคารพ" ของลู่ซิงหว่านแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจเมื่อเห็นลู่ซิงหว่านตื่นขึ้นมาแล้ว หรงเหวินเมี่ยวก็รีบชะโงกหน้ามาดู "นี่คือองค์หญิงหย่งอันใช่ไหมเพคะ"นางเป็นคนที่นิสัยไม่เคร่งครัดตามกฎระเบียบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จากครั้งที่แล้วที่นางหาเรื่องเต๋อเฟย ก็พอจะรู้ได้ แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ชอบนิสัยแบบนี้ของนางมากพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอุ้มลู่ซิงหว่านมานั่งบนตักตัวเองและตอบด้วยรอยยิ้มว่า "ใช่แล้ว"หรงเหวินเมี่ยวยิ่งอยากรู้อยากเห็นกว่าเดิม "ได้ยินว่าเมื่อองค์หญิงหย่งอันประสูติ บังเอิญฝนตกหนักช่วยแก้ปัญหาความแห้งแล้งของแคว้นต้าฉู่เราที่ดำเนินมาต่อเนื่องหลายเดือน"หานซีเยว่ก็เอ่ยปากว่า "แล้วยังมีคนบอกอีกนะว่าฮ่องเต้ทรงเห็นดอกบัวสีทองอร่ามตกลงมาในตำหนักชิงอวิ๋นด้วยพระเนตรของพระองค์เอง และองค์หญิงน้อยก็มีดอกบัวที่แขนด้วย"หลังจาก
เหออวี่เหยาคิดว่านางไม่ได้ติดต่อกับลูกพี่ลูกน้องมาตั้งหลายปีแล้ว น้องน่าจะไม่สนใจนาง ไม่คิดว่าเขาจะจำวันครบรอบของท่านแม่ได้ จึงรีบเอ่ยปากว่า "ที่อารามหมิงจิ้ง"ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักหน้า "เป็นสิ่งที่สมควร อันกั๋วกงตายเพื่อแคว้นต้าฉู่ ข้าก็ควรแสดงน้ำใจ จิ่นเหยา เดี๋ยวถึงวันนั้นเจ้าก็ไปกับฉู่เยี่ยนด้วยสิ"องค์รัชทายาทรีบลุกขึ้นตอบรับองค์ชายสองก็ลุกขึ้นตามไปด้วย "เสด็จพ่อ พวกเขาไปกันหมดแบบนี้ ให้กระหม่อมไปด้วยนะพะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นลูกชายคนที่สองชอบตามติดองค์รัชทายาท เขามีท่าทางเชื่อฟังองค์รัชทายาทเอามากๆ เขาชอบพี่น้องสองคนนี้รักใคร่กลมเกลียว จึงตอบตกลงเหออวี่เหยาซาบซึ้งใจ นางรีบคุกเข่าลงขอบพระทัยหรงเหวินเมี่ยวและหานซีเยว่ที่อยู่ข้างๆ ก็มองหน้ากัน ทั้งคู่สบตากัน แน่นอนว่ากำลังดีใจแทนอวี่เหยาลู่ซิงหว่านเห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มพึมพำ[ดูผู้มีความสามารถคู่นี้สิ พี่ชายรัชทายาทและพี่สาวตระกูลหาน ตอนนี้ได้รับพระราชทานสมรสจากเสด็จพ่อแล้ว เดี๋ยวหลังจากพี่สาวตระกูลหานครบสิบห้าแล้ว ไม่นานก็คงจะแต่งงานกัน][ตามในหนังสือนิทาน หรงเหวินเมี่ยวก็ช่วยพี่สองต่อสู้เพื่อความถูกต้อง หลังจาก
หรงเหวินโจวหันมองท่านแม่และลองหยั่งเชิงว่า "ท่านแม่ขอรับ ข้าไปนะขอรับ""ไปเถอะๆ คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าควรรวมตัวกันเล่นสนุกดีแล้ว" ฮูหยินหรงย่อมรู้ความคิดของหรงเหวินโจวแม้ว่านางจะไม่ชอบใต้เท้าเหอและนางหลินภรรยาปัจจุบันของเขา แต่เมื่อสมันสาวๆ นางเคยได้พบกับเผยเสียนลูกสาวของอันกั๋วกงอยู่หลายครั้ง เผยเสียนมีชื่อเสียงดีงามในหมู่เพื่อนสนิทของนาง แต่ไม่รู้ทําไมนางถึงแต่งงานกับคนตระกูลเหอนั่นได้ทุกวันนี้ลูกสาวของนางแม้จะโดนนางหลินกดขี่ข่มเหง แต่ก็เด็กคนนั้นเป็นเด็กสาวที่มุงมั่น ตัวเองชอบนางมากฟังนางหลินพูดก็รู้ว่านางคิดอะไร นางอยากจะจับคู่กับพี่โจวและเหออวิ๋นเหยาลูกสาวแท้ๆ ของนางมากกว่า แต่แน่นอนว่านางก็ไม่เต็มใจตัวนางก็เข้าใจความหมายของลูกสาวเช่นกัน ดังนั้นพอสาวใช้ของลูกสาวมา นางก็รู้ทันทีว่าคิดจะทำอะไรมองพวกองค์ชายคนเดินไปจากระยะไกล นอกจากเสิ่นเป่าซวงแล้ว คนที่ไม่พอใจก็ยังมีเหออวิ๋นเหยาด้วยไม่รู้ว่าพี่สาวของตัวเองไปกล่อมพี่เหวินโจวยังใง เขาถึงมาช่วยในการแข่งขันขี้ม้าตีคลีวันนี้ ทำให้นางต้องพ่ายแพ้ตอนนี้ก็ไปเกี่ยวข้องกับพวกองค์รัชทายาทอีก มันน่าหงุดหงิดจริง ๆตอนนี้นางจึงไม่ได
คิดในใจ ลู่ซิงหว่านจึงใช้ทั้งมือและเท้าเดินกลับไปหาหานซีเยว่อีกครั้ง แล้วประคองโต๊ะเล็กให้ลุกขึ้นตอนนี้หานซีเยว่เปิดกล่องนั้นแล้ว เป็นกําไลหยกที่โปร่งใสซ่งชิงเหยียนถึงยิ้มแล้วพูดต่อ “ไม่ถือว่าเป็นกําไลที่ดีอะไรหรอก แต่เป็นของฮองเฮาองค์ก่อนทิ้งเอาไว้”ลู่ซิงหว่านเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามือของหานซีเยว่ที่ถือกําไลนั้นถึงกับสั่นนางวางกําไลนั้นกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วผลักไปตรงหน้าซ่งชิงเหยียน “พระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ หม่อมฉันไม่กล้ารับไว้จริงๆ”ซ่งชิงเหยียนกลับยิ้มพลางยืนขึ้น หยิบกําไลหยกนั้นไว้ในมือ เดินไปตรงหน้าหานซีเยว่ แล้วสวมแทนนาง “การแต่งงานของเจ้ากับองค์รัชทายาท พวกข้าพอใจมาก ฮองเฮาองค์ก่อนก็ต้องพอใจมากเช่นกัน”ตอนนี้เมื่อซ่งชิงเหยียนพูดถึงซ่งชิงหย่าอีกครั้ง นางก็รู้สึกสงบมากขึ้นกว่าเดิม“กําไลวงนี้เป็นของฮองเฮาองค์ก่อนทิ้งเอาไว้ บอกว่าจะมอบให้ว่าที่ลูกสะใภ้ “น่าเสียดายที่นางเองไม่มีโอกาสได้มอบมันให้กับเจ้าด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงต้องให้น้องสาวอย่างข้าทําแทน”“เดิมทีจะมอบให้เจ้าในพิธีปักปิ่นของเจ้า แต่วันที่เจ้าเข้าพิธีปักปิ่นนั้น ข้าเกรงว่าจะมีธุระไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้ ดังนั้นจึ
หลังจากได้ยินคําพูดของซ่งชิงเหยียน ฉยงหัวก็เหม่อลอยไปชั่วขณะ“จะได้หรือ?” คําพูดของฉยงหัวแฝงความหมายหยั่งเชิงอยู่บ้าง นางย่อมยินยอมไปหลายวันมานี้นางก็คิดได้แล้ว ดีชั่วตอนนี้ตนเองสูญเสียพลังจิตวิญญาณไปแล้ว แทนที่จะมัวยึดติดกับการตามหาหวานหว่าน สู้สงบจิตสงบใจ เสพสุขกับชีวิตในตอนนี้จะดีกว่าบางทีหลังจากที่อาจารย์ของหวานหว่านออกจากการเก็บตัวแล้ว เห็นว่าตัวเองก็ไม่อยู่แล้ว ย่อมมาช่วยเองอยู่แล้ว“แน่นอน ข้าจะไปถามความหมายของฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”“คิดว่าฝ่าบาทคงไม่ปฏิเสธแน่ ฝีมือการรักษาของแม่นางฉยงหัวยอดเยี่ยมมาก หากได้แม่นางฉยงหัวมาอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วย นั่นคงจะดีไม่น้อย”แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างของซ่งชิงเหยียนเท่านั้น ที่นางอยากพาฉยงหัวออกไปก็เพราะหวานหว่านหวานหว่านชอบพี่ฉยงหัวขนาดนี้ ย่อมต้องอยากอยู่กับนางตลอดไปอยู่แล้วจิ่นซินและจิ่นอวี้เก็บข้าวของเกือบทั้งคืน พวกนางเอาเข้าไป ซ่งชิงเหยียนเอาออกมา แบบนี้ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็ทิ้งกล่องใหญ่สองใบไว้ซ่งชิงเหยียนประนีประนอมแล้วนางพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ให้คนขับรถม้าของฝ่าบาทเหนื่อยหน่อยละกัน!ก่อนออกเดินทาง นางยังมีเรื่องสําคั
ต้องบอกว่าของข้างนอกอร่อยกว่าของในวังจริงๆในนิทานล้วนบอกว่าชีวิตของพระสนมหวงกุ้ยเฟยในวังนั้นงดงามและสบายแค่ไหน แต่ลู่ซิงหว่านกลับรู้สึกว่า ไม่ได้สบายอยู่ข้างนอก[ถ้าได้ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกก็คงดีไม่น้อย ยังไงก็มีเงิน อยากซื้ออะไรก็ซื้อเลย][อยากกินอะไรก็ซื้อได้เลย สามารถกินอาหารที่พ่อครัวทําได้มากมาย พ่อครัวทำขนมในวังเหล่านี้ ข้ากินจนเบื่อแล้ว][เสด็จย่ากินมาตั้งหลายปี ยังกินไม่เบื่ออีกหรือ?]ซ่งชิงเหยียนบ่นในใจว่า เบื่อสิ แน่นอนว่านางกินจนเบื่อแล้ว ขนมที่องค์หญิงใหญ่นํามาจากหอฝูหม่านครั้งที่แล้ว ไทเฮาพูดตรงๆ เลยว่าอร่อยตอนนี้ซิงรั่วเกือบจะส่งคนมาส่งที่วังทุกสองวันก็ถือว่ามีใจแล้วจริงๆ เมื่อซ่งชิงเหยียนกําลังยุ่งอยู่ ฉยงหัวก็มาหานางมองท่าทางของจิ่นซินและจิ่นอวี้ที่กําลังยุ่งอยู่ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง"พระสนมหวงกุ้ยเฟยนี่คือ..."คําพูดที่เหลือฉยงหัวไม่กล้าพูดออกมา ถูกโจรปล้นหรือ?“พี่ฉยงหัว!” ลู่ซิงหว่านพูดพลางพลิกตัวลงจากเตียง แล้ววิ่งไปหาฉยงหัวซ่งชิงเหยียนมองท่าทางคล่องแคล่วของลู่ซิงหว่านแล้วก็ตกตะลึงนางรู้ว่าหวานหว่านชอบพี่สาวฉยงหัวคนนี้มาก แต่เตียงนุ่มที่สูงขนาดนี้ น
คิดถึงตรงนี้ องค์หญิงหกก็เงยหน้ามองไปยังทิศทางของฮ่องเต้ต้าฉู่อีกครั้ง ในใจเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นณ ตําหนักข้างของตําหนักเหวินอิงในเวลานี้ สนมเยว่กุ้ยเหรินก็กําลังพบท่านแม่ของตนเช่นกัน“เดิมคิดว่าเจ้าเป็นเพียงกุ้ยเหรินเล็กๆ ข้าไม่มีโอกาสเข้าวัง” ตอนนี้ฮูหยินเจิ้ง แม่ของสนมเยว่กุ้ยเหรินกําลังอยู่ในตําหนักของสนมเยว่กุ้ยเหริน มองสิ่งของในวังของนางไปๆมาๆ สัมผัสไปๆมาๆ ในใจรู้สึกน่าทึ่งเป็นมาก“ของในวังนี้ดีจริงๆ ทุกชิ้นประณีตขนาดนี้”เพราะรู้พฤติกรรมของแม่ตัวเอง สนมเยว่กุ้ยเหรินจึงไล่สาวใช้ข้างกายออกไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้นางแค่นั่งอยู่บนตั่งนุ่ม มองใบหน้าละโมบของแม่ตัวเองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เดิมทีนางก็ไม่อยากเจอแม่ของตัวเองอยู่แล้วแม่ของคนอื่นๆ เข้าวังด้วยความห่วงใยและสงสารลูกสาวของพวกเขาแล้วแม่ของตัวเองล่ะเอาแต่โทษตัวเองที่ไร้ประโยชน์ โทษตัวเองที่แย่งความรักไม่เป็น โทษตัวเองที่ให้กําเนิดลูกไม่ได้เมื่อสนมเยว่กุ้ยเหรินคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินเจิ้งพลันหันหน้ามา เดินมาข้างกายนางอย่างลึกลับ ล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของตัวเอง แล้วยัดใส่มือสนมเยว่กุ้ยเหริน“เจ้าเป็นคนที่ไม่เอาไห
เดิมคิดว่าเสด็จพ่อจะให้รางวัลตัวเอง แต่การไปเรียนหนังสือจะถือเป็นรางวัลอะไรได้เมื่อก่อนนางเคยได้ยินลู่ซิงยุ่นบ่นว่าอาจารย์คนนี้เข้มงวดขนาดไหน ยังต้องทําการบ้านอีก นั่นไม่แตกต่างจากการคัดลอกพระคัมภีร์ในตําหนักเหยียนหัวของนางหรอกหรือนางไม่อยากไปหรอก!เมื่อเห็นท่าทางของลู่ซิงหุย ลู่ซิงหว่านก็อดหัวข้าะคิกคักไม่ได้[เสด็จพ่อ ดูเหมือนว่าลูกสาวของท่านดูเหมือนจะไม่ชอบเรียนหนังสือนะ][แต่ก็ใช่ เด็กบ้านไหนชอบเรียนหนังสือกัน เดิมคิดว่าเสด็จพ่อจะให้รางวัลอะไรแก่นาง การเรียนหนังสือนี้นับเป็นรางวัลอะไรได้]ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ไม่สนใจ ในฐานะที่เป็นองค์หญิง ไม่เรียนหนังสือย่อมไม่ได้อยู่แล้วองค์หญิงทุกคนล้วนถูกส่งไปที่ห้องเรียนเมื่ออายุหกขวบ แม้ว่าจะแตกต่างจากเหล่าองค์ชาย แต่ก็มีอาจารย์สอนพิเศษฮ่องเต้ต้าฉู่หันไปมองพระสนมเหวินเฟยอีกครั้ง “ตอนนี้ซิงเหยียนอยู่ข้างกายเจ้า รู้สึกสบายใจกว่าเมื่อก่อนมากนะ”“เพียงแต่ตอนนี้ต้องพาเด็กตัวเล็กๆ แบบนี้มาด้วย ลําบากเจ้าแล้วจริงๆ”เด็กๆ มีความสุขหรือไม่นั้น มักจะมองปราดเดียวก็รู้แล้วลู่ซิงเหยียนเป็นเพียงเด็กอายุสามขวบเท่านั้น เมื่อก่อนสนมซูผินดูแลเองไม่มาก
ครั้งนี้ลู่ซิงหว่านเดาผิดแล้วที่ลู่ซิงหุยพูดประจบด้วยเป็รเรื่องจริง นางกลัวที่จะไปคัดลอกหนังสือธรรมมะที่ตําหนักเหยียนหัวแล้วจริงๆ จึงไม่กล้าทะเลาะกับพี่น้องของตนอย่างโจ่งแจ้งอีกแล้วเพราะพอเสด็จพ่อทรงกริ้วขึ้นมา มันน่ากลัวมากเลยเพราะว่าเมื่อก่อนสนมซูผินปฏิบัติต่อองค์หญิงเจ็ดเพียงแค่เป็นของเล่นเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจนางมากนักพูดตามคําพูดขององค์หญิงรอง เสด็จแม่ของพวกนางเลี้ยงดูพวกนางสองพี่น้อง ก็ไม่มีอะไรมากไปแค่ให้มีกินมีใส่ ขอเพียงไม่อดตายก็พอแล้วดังนั้นหลังจากที่องค์หญิงเจ็ดมาถึงข้างกายของพระสนมเหวินเฟยแล้ว จึงสามารถไปเที่ยวที่อุทยานหลวงได้บ่อยๆ และแน่นอนว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นลู่ซิงหุยนางชี้ไปที่ลู่ซิงและพึมพําว่า"พี่สาวคนสวย"[ตาบอดตั้งแต่อายุยังน้อย][ฮึ่ม ข้าจะไม่เล่นกับเจ้าอีกแล้ว เจ้าเด็กขี้ประจบ]ประโยคนี้ขององค์หญิงเจ็ดทําให้ลู่ซิงหุยพอใจจริงๆ ลู่ซิงหุยจึงย่อตัวลงทันทีและเข้าไปใกล้หน้าองค์หญิงเจ็ด “ซิงเหยียนเป็นเด็กดี”เป็นเด็กดีมากเมื่อเทียบกับไอ้เด็กเหลือขอลู่ซิงหว่านนั่นต้องบอกว่าวันนี้ลู่ซิงหุยโชคดีมาก ในขณะที่นางเล่นกับลู่ซิงเหยียน ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เดินผ่านส
[ว้าว ชิงช้า]ทันทีที่ลู่ซิงหว่านเห็นชิงช้า ดวงตาของนางก็เปล่งประกาย นางวิ่งไปที่ชิงช้าทันทีขณะที่กําลังจะเดินไปข้างชิงช้านั้น กลับถูกเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าขวางทางไว้ก็คือองค์หญิงเจ็ดลู่ซิงเหยียนนั่นเองลู่ซิงเหยียนไม่ถือว่าสูงนักไม่รู้ว่านางเตี้ยเกินไปหรือลู่ซิงหว่านสูงเกินไป เด็กสองคนที่อายุห่างกันแค่สองสามขวบกลับสูงห่างกันแค่ครึ่งหัวเท่านั้นในเวลานี้ ลู่ซิงเหยียนมองลู่ซิงหว่านที่น่ารักตรงหน้าแล้ว ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กอดหัวนางไว้ แล้วจุ๊บแก้มนางทีหนึ่งลู่ซิงหว่านถอยหลังไปสองก้าวแล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นจิ่นอวี้กลั้นยิ้มแล้วก้าวเข้าไปประคององค์หญิงของตนให้ลุกขึ้น ส่วนพระสนมเหวินเฟยและสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ทางนั้นก็รีบเดินเข้ามา“หวานหว่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” พระสนมเหวินเฟยถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากองค์หญิงเจ็ดเห็นพระสนมเหวินเฟยแล้ว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มกว้าง “เสด็จแม่ น้องหญิงหอมจังเลยเพคะ”ลู่ซิงหว่านมองคนตรงหน้าอย่างหมดคําพูด ที่จริงในใจรู้สึกรังเกียจมาก[คนดีๆ ที่ไหนจู่ๆ ก็มาหอมคนอื่นกลางทางแบบนี้][คนไม่รู้ว่าสงสัยคงนึกว่าเป็นเด็
แต่สาวใช้ของนางกลับไม่กล้าส่งเสียงใดๆ เพียงแค่ฟังเจ้านายของตนบ่น ส่วนนางเองก็เก็บเศษซากที่ตกแตกอย่างเชื่อฟังอาจเป็นเพราะฝ่าบาททรงเมตตา เพราะพระสนมหวงกุ้ยเฟยและสนมเยว่กุ้ยเหรินต้องเดินทางไกล ดังนั้นก่อนออกเดินทางจึงอนุญาติให้พบครอบครัวได้เป็นกรณีพิเศษทางด้านจวนติ้งกั๋วโหว แน่นอนว่าฮูหยินติ้งกั๋วโหวนางเซียวมาด้วยตัวเอง และครั้งนี้ก็เช่นกัน ข้างกายนางมีคนมาด้วยคนหนึ่งแต่สิ่งที่ซ่งชิงเหยียนคาดไม่ถึงก็คือ คนนี้ไม่ใช่พี่สะใภ้ของนาง แต่เป็นอาสะใภ้รองของนาง กัวหยูหลังจากทั้งสองทําความเคารพซ่งชิงเหยียนด้วยความเคารพแล้วซ่งชิงเหยียนก็ให้ทั้งสองนั่งลงนางเซียวนั้นนั่งลงไปแล้วแต่กัวหยูกลับเดินไปข้างหน้าและคุกเข่าลงด้วยเสียงดัง"ตุบ"ทําให้ซ่งชิงเหยียนตกใจ แม้ว่านางจะไม่ชอบอาสะใภ้คนนี้ แต่พูดไปแล้ว หลายปีที่ผ่านมา นางเองก็ไม่ง่ายเลยเพราะเข้าใจความยากลําบากของนาง ดังนั้นนางจึงไม่ได้ถึงขั้นรังเกียจอะไรดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นและช่วยพยุงนางขึ้น แต่กัวหยูกลับยืนกรานที่จะคุกเข่าอยู่ที่นั่นและพูดว่า "หม่อมฉันขออภัยต่อพระสนมหวงกุ้ยเฟยและองค์รัชทายาทแทนพี่ชายของหม่อมฉันด้วยเพคะ"หลายวันก่อนได้
ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมมีเรื่องจะกําชับฮองเฮาเช่นกัน “หลังจากข้าจากไปแล้ว งานแต่งงานของจิ่นเหยาต้องพึ่งพาเจ้าให้มาก หากต้องการความช่วยเหลือ เจ้าก็ไปหาหลานเฟยให้ช่วยเจ้าได้เลย ไม่จําเป็นต้องแบกรับไว้คนเดียว”“เรื่องอื่นๆ ในวัง เจ้าก็สามารถปรึกษากับเสด็จแม่หรือหลานเฟยได้”“นางสนมคนอื่นๆ ในวังที่ตั้งครรภ์ก็ต้องรบกวนเจ้าดูแลให้มากๆ ด้วย”พูดจบฮ่องเต้ต้าฉู่ก็หันไปมองไทเฮาอีกครั้ง “สําหรับเรื่องการคัดตัว เสด็จแม่กับฮองเฮาก็จัดการกันเองเถอะ ดูหญิงคัดตัวว์ล่วงหน้าบ้างก็ดี”เพื่อปลอบขวัญฮองเฮา คืนนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงไปเสวยพระกระยาหารที่ตําหนักจิ่นซิ่ว และค้างคืนที่ตําหนักจิ่นซิ่วหลังจากจบการร่วมรัก เสิ่นหนิงก็พลิกตัวลงจากเตียง เยว่หรานรีบเข้ามาทำความสะอาดให้พระมเหสีของตนนายบ่าวมองหน้ากันโดยปราศจากคำพูดใดๆเสิ่นหนิงมองผ่านกระจกทองแดงไปยังฮ่องเต้ต้าฉู่ที่กําลังหลับสนิทอยู่บนเตียง ให้เยว่หรานแนบหูมา พูดด้วยน้ำเสียงที่ที่ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น “บอกเขาว่า แผนการทั้งหมดหยุดชั่วคราว ข้ามีแผนการอื่น”ในเมื่อฮ่องเต้ต้าฉู่จะเสด็จลงใต้ เช่นนั้นก็สามารถวางแผนอื่นได้แล้วเรื่องที่ฮ่องเต้ต้าฉู่จะพาพ