เฉียวซีอวิ๋นรู้สึกตื่นเต้นเต็มดวงใจในขณะนี้ หลังจากเฝ้ารอมานาน ในที่สุดชายที่อยู่ตรงหน้าเธอก็กลายเป็นของเธอโดยสมบูรณ์ถ้าฮั่วจิ้นเฉิงเสนอขอแต่งงานกับเธอตอนนี้ เธอจะรีบตอบตกลงทันทีฮั่วจิ้นเฉิงซึ่งตกเป็นศูนย์กลางของหัวข้อสนทนา ไม่ได้ขยับยกแก้วขึ้นแต่อย่างใด ใบหน้าของเขามืดมน และมีสีหน้าหดหู่อย่างเห็นได้ชัดผ่านทางหว่างคิ้ว เอาแต่เม้มริมฝีปากแน่นโดยที่ไม่พูดอะไรร่างของหลีเกอเดินที่จากไปด้วยท่วงท่าสง่างามยังคงฉายซ้ำอยู่ในใจของเขา ไม่เลือนหายแม้ผ่านมาเป็นเวลานานเมื่อเห็นว่าทุกคนค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน ฮั่วซินจึงพูดว่า “พี่ชาย ทำไมไม่พูดอะไรสักสองสามคำหน่อยล่ะคะ! ถ้าพี่ไม่พูดอะไร บรรยากาศจะยิ่งแย่ลงไปอีก!”“ใช่แล้ว จิ้นเฉิง ตอนนี้นังขวากหนามนั่นโดนถอนทิ้งไปแล้ว ลูกควรจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดด้วยซ้ำ แต่ทำไมตอนนี้ลูกถึงได้ดูอารมณ์ไม่ดีเอาซะเลย?”หลี่ซูฉินมองเฉียวซีอวิ๋นอีกครั้งด้วยสีหน้าพึงพอใจ “แม่ไม่อยากคิดถึงเรื่องอื่นในตอนนี้เลย แค่อยากให้ลูกรีบแต่งงานกับซีอวิ๋นโดยเร็วที่สุด เพื่อที่เราจะได้รับขวัญหลานชายของเรา!”ใบหน้าของเฉียวซีอวิ๋นเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อเล็กน้อย “คุณป้าคะ จิ้นเฉิ
“ฉันเคารพการตัดสินใจของเธอ” จู้หว่านอี้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของปลายสายพูดอย่างเฉียบขาด และไม่ลืมทิ้งท้าย “ถ้ามีอะไรก็ติดต่อหาฉันได้ตลอดนะ”“ขอบคุณมาก”ทันทีที่หลีเกอวางสายจากจู้หว่านอี้ เจี่ยงอีอีก็ขยับเข้ามาใกล้พลางพูดว่า “ที่รัก งั้นเธอคิดจะทำอะไรล่ะ นังชาเขียวนั่นชักจะน่ารำคาญเกินไปแล้ว!”“คืนพรุ่งนี้ พี่ใหญ่ของฉันจะพาฉันไปงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยหอการค้าปินเฉิง ตระกูลเศรษฐีทั้งหมดของปินเฉิงทั้งหมดน่าจะไปรวมตัวกันอยู่ที่งานนั้น ฉันแน่ใจว่านังชาเขียวนั่นจะไม่มีที่ให้แทรกแผ่นดินหนี!”เจี่ยงอีอีเชียร์หลีเกอ “ที่รัก ให้มันได้อย่างนี้สิ! ตบหน้าพวกมันเลย!”…ค่ำคืนวันงานเลี้ยงห้องโถงเต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากมายในชุดราตรีราคาแพงระยับ แสงไฟสาดส่องพร่างพรายทั่วบริเวณในขณะที่แขกกำลังดื่มและพูดคุยสังสรรค์หลีเกอมาถึงช้ากว่ากำหนดการ เธอสวมชุดปักเพชรอันหรูหรา ทำให้รูปร่างสะโอดสะองประณีตของเธอสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ออร่าเต็มไปด้วยความหรูหราและมีเกียรติ ความแพรวพราวบนร่างกายทำให้คนที่มองไม่สามารถละสายตาจากไปได้อยู่นานการแต่งหน้าส่งเสริมให้เธอสวยงามราวกับภาพฝัน แฝงความเยือกเย็นและสง่างามในเวลาเดียว
ฮั่วจินเฉิงรู้สึกอึดอัดใจกับคำถามวาทศิลป์ของหลีเกอเขายืนเคียงข้างหลี่ซูฉินและฮั่วซินมาตลอดจริง ไม่เคยฟังในสิ่งที่หลีเกอพูดเลยนี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เธอยืนกรานจะหย่าร้างให้ได้สินะ?เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ความรู้สึกตำหนิตัวเองที่ไม่อาจบรรยายได้ก็ผุดขึ้นในใจเต็มไปหมด“ขอโทษเธอซะ” ฮั่วจิ้นเฉิงหันไปพูดกับฮั่วซินด้วยใบหน้าเศร้าหมองฮั่วซินแสดงสีหน้าเหยเก แต่ไม่ยอมปริปากพูด“ชีวิตแต่งงานแสนอัปยศอดสูสามปี ไหนจะการโดนปล่อยข่าวลือหลังหย่า แค่พูดขอโทษจะไปแก้ไขอะไรได้”หลีหานเดินมาหาหลีเกอ แสดงความโกรธออกมาอย่างไม่ปิดบัง ใบหน้าที่หล่อเหล่าสง่างามเย็นชา เมื่อรู้ว่าน้องสาวของเขาถูกรังแกแค่ไหนเมื่อครั้งยังอยู่กับตระกูลฮั่ว เขาก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจ เมื่อเห็นหน้าสมาชิกตระกูลฮั่วเขาเหลือบมองเฉียวซีอวิ๋น พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “เรื่องบทความใส่ร้ายโจมตีจนติดเทรนด์การค้นหามาแรง ผมสืบพบแล้วว่าใครคือคนปล่อยข่าว”เฉียวซีอวิ๋นถูกจ้องเขม็ง มองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยออร่าของหลีหาน มือทั้งสองขยำกระโปรงตัวเองโดยไม่รู้ตัวเพราะหวาดกลัวความผิดไม่มีทาง ไม่มีใครสืบหาจนเจอว่าเป็นเธอแน่ภาพถ่ายเหล่านั้นถูก
“จิ้นเฉิง ยังต้องประนีประนอมอะไรกับนังตัวซวยคนนี้อีก?”หลี่ซูฉินก้าวไปข้างหน้า คว้าแขนของฮั่วจิ้นเฉิง เธอไม่เคยเห็นลูกชายใช้น้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้ต่อหน้าหลีเกอมาก่อน ไม่เคยวางตัวเป็นฝ่ายขอความเห็นใจพวกเขาไม่เคยเป็นคนที่เรียกร้องขอความเมตตาจากใคร อีกอย่างผู้หญิงคนนี้เคยตกอยู่ใต้อาณัติพวกเขามาโดยตลอด เพียงแต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเธอพุ่งตัวเข้าหาหลีเกอด้วยสีหน้าถมึงทึง แล้วพูดอย่างเย่อหยิ่ง “กับอีแค่สาดน้ำสกปรกใส่แกแล้วยังไง? คิดว่าตัวเองมีชื่อเสียงเสียงมากขนาดไหนกัน? ก่อนหน้านี้ตอนที่คนตระกูลฮั่วชี้นิ้วสั่งและดุด่าสารพัดสารพัน ไม่เห็นแกจะติดใจเอาความเลยสักครั้ง!”หลี่ซูฉินตะคอก แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นว่าใบหน้าของฮั่วจิ้นเฉิงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มคล้ำลงเรื่อย ๆ ถึงตระหนักว่าตัวเองเผลอเปิดโปงทัศนคติที่มีต่อหลีเกอในช่วงสามปีที่ผ่านมาจนหมดเปลือกหลีหานทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเหลือบมองหลีเกอที่อยู่ด้านข้างแล้วถามว่า “นี่คือแม่สามีและน้องสามีที่เธอทุ่มเทรับใช้สุดหัวใจตลอดสามปีที่ผ่านมาเหรอ? ดูคนที่เธอเคยมอบหัวใจและจิตวิญญาณให้ซิ!”เมื่อนึกถึงน้องสาวที่ต้องผันตัวไปอยู่ในตรอกสล
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจปรากฏตัวที่หน้าล็อบบี้ หลังจากยืนยันสถานที่ที่จะดำเนินการจับกุมได้แล้ว พวกเขาก็เดินเข้าไป“คุณฮั่วซิน คุณเฉียวซีอวิ๋น เชิญไปที่สถานีตำรวจกับพวกเราด้วยครับ”เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะถูกพาตัวออกไป หลี่ซูฉินก็วิ่งไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบเพื่อหยุดเขา แต่บังเอิญเหยียบชายกระโปรงตัวเองซะก่อนจนล้มลงกับพื้น หัวฟาดเป็นลมตำรวจพาฮั่วซินและเฉียวซีอวิ๋นออกไป ขณะที่ฮั่วจิ้นเฉิงช่วยแบกร่างหลี่ซูฉินที่เป็นลมออกไปเช่นเดียวกันทั้งหมดนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องน่าขบขันเมื่อเห็นว่าทุกคนในงานเลี้ยงอยู่กันอย่างพร้อมหน้าแล้ว หลีหานจึงพาหลีเกอไปที่กลางห้องบอลรูม แล้วเริ่มแนะนำเธอ“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน คุณหลีเกอได้ลาออกจากตำแหน่งเลขานุการของประธานบริษัทฮั่วกรุ๊ปแล้ว ตอนนี้เธอดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปประจำบริษัทตี้เซิ่ง สาขาปินเฉิงของเรา หวังว่าเธอจะมีโอกาสได้ร่วมงานกับพวกคุณในอนาคต”ก่อนที่เขาจะพูดจบ คนทั้งหลายก็เริ่มกระซิบกระซาบพูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา“คุณหลีได้รับการเลื่อนตำแหน่งรวดเร็วขนาดนี้เชียว เธอเพิ่งจะลาออกจากฮั่วกรุ๊ปได้ไม่นาน ก็ย้ายไปทำงานที่บริษัทตี้
เวลานี้ ตระกูลฮั่วเหมือนปกคลุมไปด้วยเมฆดำครึ้มฮั่วจิ้นเฉิงนั่งบนโซฟาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน เขาเพิ่งกลับมาจากสถานีตำรวจ พาเฉียวซีอวิ๋นออกมาจากสถานีตำรวจด้วยการประกันตัวเท่านั้นแม้ว่ามูลค่าความเสียหายของช็อปอินช็อปจะได้รับการชำระทันที แต่เนื่องจากจำนวนเงินค่อนข้างมาก อีกทั้งฝ่ายหลีเกอปฏิเสธที่จะประนีประนอมความผิดที่ฮั่วซินได้กระทำ จากการประมาณการเบื้องต้นของทนายความ คือเธอต้องถูกคุมขังเป็นเวลาสามปีหลี่ซูฉินเพิ่งตื่นขึ้นมา หล่อนตะลึงลานทันทีเมื่อได้ยินว่าลูกสาวตัวเองกำลังจะโดนจับเข้าคุกเป็นเวลาสามปี“จิ้นเฉิง ฟังแม่นะ ลูกต้องไม่ปล่อยให้น้องสาวตัวเองเข้าคุกเด็ดขาด!” น้ำเสียงของหลี่ซูฉินสั่นเครือ แสดงความไม่เชื่อ “เธอยังเด็กอยู่เลย จะปล่อยให้ไปกินอยู่ร่วมกับคนเลวพวกนั้นได้ยังไง? ชีวิตเธอต้องไม่เหลือชิ้นดีแน่!”“ลูกรัก ลูกลองไปเจรจากับผู้หญิงที่ชื่อหลีเกอนั่นดู สิ่งที่แย่ที่สุดที่ลูกทำได้ คือพยายามควบคุมอารมณ์ให้ดี ยอมทนให้หล่อนบ่นหน่อยสักสองสามวันจนกว่าหล่อนจะยอมคืนดี เข้าใจไหม?”น้ำเสียงของหลี่ซูฉินเกือบกลายเป็นขอร้อง ตอนนี้รู้แล้วว่าการยอมแพ้เป็นวิธีเดียวที่ทำได้
“หลานหนีติดต่อกับโรงพยาบาลในฝรั่งเศสแล้ว เราจะส่งคุณไปต่างประเทศภายในสามวัน”เมื่อเธอได้ยินว่าตัวเองกำลังจะถูกส่งตัวไปอยู่ต่างประเทศ เธอก็ขอร้องเขาเบา ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ “จิ้นเฉิง ฉันไม่อยากไป ฉันอยากอยู่กับคุณที่ปินเฉิง กับลูกของเรา”ใบหน้าที่มืดมนของฮั่วจิ้นเฉิงไม่ได้คลายลงแต่อย่างใด เขายังคงยืนกรานคำเดิมเฉียวซีอวิ๋นก้าวไปข้างหน้า คว้าแขนของฮั่วจิ้นเฉิงด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ต่อให้คุณจะไม่คิดถึงเด็ก แต่ก็ควรคิดถึงเฉียวหร่านน้องสาวฉัน เธอตายก็เพราะความสัมพันธ์ของคุณกับตระกูลฮั่ว คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้…”“เรื่องเฉียวหร่านเป็นความผิดตระกูลฮั่วของเราจริง แต่ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องไป”หลังจากได้ยินคำพูดของฮั่วจิ้นเฉิงแล้ว เฉียวซีอวิ๋นก็ไร้เรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยหมอกควันมาคุ ฮั่วจิ้นเฉิงรู้สึกหดหู่มากเมื่อต้องอยู่บ้านต่อไปทั้งอย่างนี้บังเอิญฉีอวิ๋นเทียนโทรมาพอดี“ไงเพื่อน นายได้อ่านเทรนด์ค้นหาติดอันดับหรือยัง?” ฉีอวิ๋นเทียนถามจากปลายอีกด้านของโทรศัพท์ตอนแรกฮั่วจิ้นเฉิงคิดว่าเป็นบทความใส่ร้ายหลีเกอ “นั่นมันข่าวเท็จ ตำรวจไกล่เกลี่ยเร
เธอนั่นเอง‘สาวงามโลกตะลึง’ บนดาดฟ้าฉีอวิ๋นเทียนหยุดกะทันหันราวกับห้วงเวลาได้หยุดชะงักเสียงอันไพเราะเหมือนไม่มีตัวตนอยู่จริงของเธอดังก้องไปทั่วบาร์ ขับขานบทเพลงดังอย่าง ‘Young and Beautiful’เธอนั่งตัวตรงสง่าบนเก้าอี้บุนวม ลำแสงตกกระทบพวงแก้มสวยงามละเอียดอ่อน เรือนผมสีดำปลิวสยายไปมา ริมฝีปากแดงเรื่อเผยอออก นำพาผู้ชมข้ามผ่านกาลเวลาและห้วงมิติด้วยการร้องเพลงทีปราศจากดนตรี...เพลงนี้ดังกึกก้องอยู่ในหูของเขา ภาพหลีเกอที่ร้องไห้อยู่บนระเบียงพลันแวบขึ้นมาในใจของฉีอวิ๋นเทียนคืนนั้น คิ้วของเธอขมวดมุ่น ดวงตาพร่ามัวเต็มไปด้วยหมอกควันบดบัง ความสวยปนโศกที่แสนจะสะเทือนใจผู้มองปรากฏอยู่บนใบหน้า เธอไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีดวงตาดอกท้อของเขากำลังจ้องมองตรงไปความคิดล่องลอยไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ...“ที่รัก สะเทือนอารมณ์มาก ฉันจะร้องไห้แล้ว! เปลี่ยนไปร้องเพลงที่ชวนให้ร่าเริงกว่านี้หน่อยสิ!” เจี่ยงอีอี ตะโกนจากด้านล่างหลีเกอขยิบตาให้เพื่อนสาวของเธอที่อยู่ด้านล่าง พูดว่า “ไม่มีปัญหา เดี๋ยวเปลี่ยนเพลงให้”จากนั้นจึงเปลี่ยนไปร้องเพลง ‘Les Champs Elysées’ขณะที่เธอร้องเพลง รอยยิ้มบ่งบอกความชาญฉลาดจา