อสูรวารีตรงหน้าพลังอยู่ในระดับจอมยุทธ์ พละกำลังการต่อสู้จริงย่อมอยู่ที่ขั้นปราชญ์ ทั้งตัวเขาและน้องชายน่าจะรับมือได้ไม่ยากไม่ทันตั้งตัว คลื่นน้ำขนาดใหญ่สาดซัดเข้าหาฝั่งหมายกวาดมนุษย์ตรงหน้าจมสู่ใต้ธารา คนตระกูลเว่ยรออยู่แล้วจึงหลบการโจมตีนี้ได้ ทว่าพอคลื่นน้ำหายไปกระสุนวารีพลันถูกยิงเข้าใส่พวกเขาอย่างต่อเนื่องต้นไม้ที่ถูกใช้เป็นที่กำบังชั่วคราว เมื่อถูกกระสุนน้ำยิงเข้าใส่ หากไม่เป็นรูกว้างล้วนหักโค่นอย่างน่าสงสาร“ถึงอสูรวารีจะตัวใหญ่ แต่การโจมตีของมันไม่ได้รุนแรงมากนัก เรารับมือได้เพียงต้องวางแผนให้ดี” เว่ยซือหลางกล่าวด้วยความใจเย็น ในขณะที่พลิ้วกายหลบกระสุนน้ำที่ยังโจมตีมาไม่เลิก“อสูรวารีแพ้ทางธาตุไฟ ในกลุ่มเรานอกจากข้าและหลิงจู คนอื่นล้วนมีธาตุไฟกันหมด หากเราผลัดกันโจมตีน่าจะทำให้มันสิ้นท่าได้ง่ายนะขอรับ” เว่ยซือเหลียงเอ่ยบ้าง “ได้ ข้าจะเริ่มก่อน คนอื่น ๆ หาจังหวะดี ๆ แล้วโจมตีสวนกลับไป ขอเพียงร่วมมือร่วมใจกัน เราเอาชนะเจ้าอสูรวารีตัวใหญ่นี้ได้แน่”“ขอรับ”คนอื่นที่ได้รับการปลุกใจจากเว่ยซือหลางพลันรู้สึกฮึกเหิม ไม่ได้หวาดกลัวจนไม่กล้าปะทะเว่ยซือหลางเริ่มโจมตีก่อน เขาส่งพลังธา
“เสิ่นเถา เตียวฝาน” เว่ยซือเหลียงเอ่ยชื่อคนทั้งสองที่เข้ามาขวางทางพวกเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เว่ยซือหลางมองดูบุรุษจากดินแดนเบื้องบนด้วยความนิ่งเฉยเช่นกันแต่ไม่ลืมระวังตัว จากที่น้องชายและน้องสาวเคยเล่าให้ฟัง คิดว่าสองคนตรงหน้าไม่ได้มาดีแน่ ไหนจะบิดาของอีกฝ่ายที่มีปัญหากับตระกูลเว่ยของเขา ดูอย่างไรนี่มันคือการพบศัตรูบนทางแคบชัด ๆ“ดูเหมือนว่าคุณชายทั้งสองและผู้ติดตามทั้งหกจะมีพรสวรรค์ไม่เลวเลยนะ” เตียวฝานเอ่ยชมหากในใจรู้สึกไม่พอใจเป็นแค่คนจากดินแดนเบื้องล่างแท้ ๆ กล้าดีอย่างไรมีพลังบ่มเพาะเท่าพวกเขา!“ขอบคุณที่เอ่ยชม พวกเจ้าก็มีพรสวรรค์ไม่เลวเช่นกัน” เว่ยซือหลางตอบหลังตรวจสอบระดับพลังของแขกไม่ได้รับเชิญแล้วว่าอยู่ในระดับเดียวกับตัวเอง จึงวางใจได้บางส่วน“อย่ามัวแต่โยกโย้ พวกเจ้ามาขวางทางพวกข้าด้วยเหตุใด” เว่ยซือเหลียงไม่ชอบหน้าคนทั้งคู่อยู่แล้วไม่คิดสวมหน้ากากเสิ่นเถาแสยะยิ้มร้าย สีหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่าง ยักคิ้วอย่างยียวน “ก็อย่างที่บอก มีสมบัติดี ๆ อะไรก็แบ่งมาให้พวกข้าชมบ้างสิ”“เจ้า!” เว่ยซือเหลียงกรุ่นโกรธ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเดือดดาล สมบัติแต่ละชิ้น ทรัพยากรแต่ละอย่างพวกเขา
ตัดกลับมาที่เว่ยซือเหลียง ดวงตาของเขาแดงก่ำทอประกายโหดเหี้ยม เปลวไฟแห่งโทสะแผดเผาหัวใจเต็มไปด้วยความเดือดดาล“ฮ่าฮ่าฮ่า โกรธหรือ หากไม่อยากให้พวกมันตายก็ส่งลูกแก้วธาตุน้ำมา!”“ฝันไปเถอะ เจ้ามันไม่คู่ควร”“ดี! ดียิ่งนัก เป็นเช่นนี้ข้ายิ่งชอบ รับมือให้ได้ก็แล้วกัน” จบคำพูด เสิ่นเถาก็พุ่งเข้าใส่เว่ยซือเหลียงทันทีพร้อมพลังลมปราณที่ถูกเรียกใช้ฝั่งการต่อสู้ของเว่ยซือหลางและเตียวฝานทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ต้นไม้หักโค่นล้มระเนระนาด เนื่องจากชายหนุ่มทั้งสองไม่คิดกักเก็บพลังปราณเลยแม้แต่น้อย“ฝีมือเจ้าไม่เลวเลย ข้าสนุกมาก” เตียวฝานเอ่ยชม“...” เว่ยซือหลางไม่ได้ตอบเขามองคนตรงหน้าด้วยสายตาระวัง“แต่แม้ว่าข้าจะชอบในฝีมือของเจ้ามากเพียงใด ข้าก็ไม่คิดอ่อนข้อให้หรอกนะ”“ข้าไม่เคยขอ” เว่ยซือหลางตอบกลับอีกฝ่าย มีดสั้นในมือถูกปาออกไปเตียวฝานพลิ้วกายหลบได้อย่างดงาม มุมปากได้รูปกระตุกยิ้มชอบใจ หัวใจเต้นรัวแรง เลือดในกายร้อนระอุ ดาบที่นอนแน่นิ่งอยู่ในแหวนมิติตั้งแต่แรกถูกเรียกใช้ เขาพุ่งเข้าไปฟาดฟันต่อสู้กับเว่ยซือหลางจนกลายเป็นภาพติดตาปัง!พลังปราณของทั้งคู่ปะทะกัน ร่างกายของพวกเขากระเด็นไปคนละทาง หา
ในเมื่อเสิ่นเถาคิดได้ แล้วเตียวฝานที่มีความเจ้าเล่ห์มากกว่าจะคิดไม่ได้ได้อย่างไร ชายหนุ่มลอบส่งสายตาให้กัน ทว่าก่อนที่พวกเขาทั้งคู่จะได้ลงมือ ร่างแน่งน้อยที่อยู่ในความคิดของทุกคนตลอดมาพลันปรากฏอย่างกะทันหันตุบ!“คุณหนู!” หลิงจูเอ่ยขึ้นมาก่อนใคร แววตามีความยินดีและกังวลระคนกัน“นึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณหนูน้อยเว่ยนี่เอง ข้ากำลังคิดถึงอยู่เชียว” เสิ่นเถาเอ่ยด้วยความยินดี ตามหาตั้งนานไม่เจอ บทจะเจอก็เจอง่าย ๆ“หงเอ๋อร์รีบหนีไปจากที่นี่”“ใช่แล้วน้องเล็ก เชื่อฟังพี่ใหญ่ รีบออกไปจากที่นี่” เว่ยซือเหลียงห่วงน้องสาวไม่ต่างจากพี่ชายเอ่ยย้ำ“เหอะ คิดว่าข้าจะยอมให้จากไปง่าย ๆ หรือไร” เตียวฝานเอ่ยขึ้นบ้างคนตระกูลเว่ยทั้งหมดมองสบตาคนพูด ราวกับมีประกายไฟแล่นผ่าน เมื่อทั้งสองฝ่ายฟาดฟันกันเว่ยซือหงไม่ได้สนใจคนอื่นนัก สายตาของนางหยุดอยู่ที่สมบัติธาตุน้ำซึ่งยังอยู่ในมือของเสิ่นเถา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายประมาทหรือว่ามั่นใจว่าตนแข็งแกร่งจนไม่กลัวใครแย่งไปได้กันแน่ ถึงไม่เก็บลูกแก้วทรงกลมนั้นเข้าแหวนมิติเป็นเช่นนี้ก็ดีนางจะได้แย่งคืนกลับมาให้พี่ชายง่าย ๆ หน่อยก่อนหน้านี้เว่ยซือหงตามหาพี่ชายมาตลอด โชคดีที่นางม
“ตั้งสติหน่อยเสิ่นเถา” เตียวฝานเอ่ยเรียกสติสหายเมื่อเห็นว่าเขาถูกเว่ยซือหงปั่นหัวเสิ่นเถาเมื่อถูกสหายเรียกชื่อ เขาก็ดึงสติกลับมาได้ สายตามองเว่ยซือหงเต็มไปด้วยความพินิจพิเคราะห์ อายุเพียงสิบปี แต่รับมือเพลงกระบี่ของเขาได้ นับว่ามีความสามารถเกินอายุ ลอบสังเกตสีหน้าคนเด็กกว่าไม่พบอาการเหนื่อยอ่อนหัวคิ้วของเขาพลันขมวดยุ่งเป็นไปไม่ได้!นางจะไม่เหนื่อยล้าเลยได้อย่างไร ประมือกันมาหลายกระบวนท่า เรียกใช้ลมปราณทุกครั้งทั้งยังไม่ออมแรง หากไม่ใช่คนเก็บอาการได้เก่งก็ต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายมีพลังระดับเดียวกันกับเขา...เป็นไปไม่ได้!เขาไม่เชื่อ นางเพิ่งอายุสิบขวบจะไปมีพลังระดับนั้นได้อย่างไร ทว่าความสามารถของนางเป็นของจริง หรือนางจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกปราณด้วย?คงจะใช่สินะ อย่างไรก็เป็นถึงบุตรแห่งโชคชะตา จะธรรมดาสามัญเช่นคนอื่นได้อย่างไรใบหน้าของเสิ่นเถายุ่งตลอด เมื่อตกตะกอนความคิดได้ ชายหนุ่มจึงเริ่มระมัดระวัง เขาไม่คิดว่าเด็กหญิงตรงหน้าเป็นมือสมัครเล่นอีกแล้วอายุยังน้อยแต่มีความสามารถเทียบเท่าผู้ใหญ่ อนาคตของอีกฝ่ายคงไม่ต่างอันใดกับนกเฟิ่งหวง โบยบินอยู่บนฟ้าแล้วมองผู้อื่นต่ำกว่าตนเอง มีแต
กลุ่มคนจากขุมอำนาจดินแดนเบื้องบน ดินแดนเบื้องล่าง ผู้อาวุโสจากสถาบันสำนักศึกษาทั้งสี่แห่ง รวมถึงผู้ฝึกยุทธิ์อิสระ ยังคงปักหลักอยู่ในป่าจินหลินชั้นใน ตรงบริเวณประตูทางเข้าดินแดนลับที่ตอนนี้ปิดไปแล้วหลังผู้เยาว์เข้าไปในดินแดนลับหมดทุกคน และประตูทางเข้าปิดลง โดมทรงกลมสีใสพลันครอบคลุมพื้นที่ของป่าจินหลินชั้นในทั้งหมดเลยทันที สัตว์อสูรระดับสูงถูกพลังของดินแดนลับกักตัวไว้ยังมิติแยกส่วนขนาดเล็กต่างหากสมาคมอักขระเตรียมรับมือกับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว เพื่อความไม่ประมาท ยันต์อักขระป้องกันภัยทั้งหมดถูกเปิดใช้งาน กินพื้นที่ครอบคลุมป่าจินหลินชั้นในเช่นกัน ต้นไม้ใหญ่ทุกต้นถูกผู้มีพลังธาตุพฤกษาดัดแปลงให้ขยับขยายกลายเป็นเก้าอี้เชื่อมต่อกันเป็นวงกลม โดยยึดบริเวณที่ประตูทางเข้าดินแดนลับปรากฏเป็นจุดศูนย์กลางเก้าอี้ต้นไม้เชื่อมต่อกันตัวแล้วตัวเล่า ซ้อนขึ้นไปเป็นชั้น ๆ มองดูแล้วคล้ายอัฒจันทร์ยิ่ง จากนั้นเสริมแกร่งด้วยการลงอักขระจากคนของสมาคมอักขระพลันนั้นพื้นที่ชั้นในของป่าจินหลินถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นอัฒจันทร์ธรรมชาติ ผู้คนเดินไปนั่งจับจองพื้นที่อย่างรวดเร็วพื้นที่ว่างเปล่าตรงกลางที่ถูกเว้นว่างไว้ จู
เว่ยซือหลิวและเสิ่นเถาเก็บสายตาและพลังปราณกลับคืน หันมานั่งดูภาพลูกหลานของตนเองด้วยอารมณ์ขุ่นมัวทว่าครั้งนี้ดูเหมือนสถานการณ์จะพลิกผัน เมื่อทั้งสองกลับมาดูบุตรหลานอีกครั้ง กลายเป็นว่าคนที่ได้เปรียบในสถานการณ์นี้เป็นคนของตระกูลเว่ยเสียอย่างนั้นทั้งคนที่พลิกหมากกระดานยังเป็นเด็กอายุสิบขวบผู้หนึ่ง!น่าตกใจอะไรเช่นนี้!หลายคนที่ยังไม่หนีไปจากเหตุการณ์เมื่อครู่ กลายเป็นพยานความเก่งกาจของเว่ยซือหง หลายครั้งที่สายตาหลายคู่จับจ้องมายังที่นั่งตระกูลเว่ยเว่ยซือหลิวที่อารมณ์ไม่ดีในตอนแรกยิ้มกริ่ม เว่ยซือซาน หลินซือเหยา หลิวลี่หง พ่อบ้านและผู้ติดตามคนอื่นต่างโล่งใจไปตาม ๆ กันที่สถานการณ์ในดินแดนลับเริ่มคลี่คลายแล้วก่อนจะนึกได้ว่าตอนนี้ความสามารถของเว่ยซือหงได้ปรากฏสู่สายตาผู้คนแล้ว ความกังวลใจเกิดขึ้นมาจนตระกูลเว่ยเริ่มเครียดอีกครั้ง“ไม่ต้องกังวลหรอกขอรับ หงเอ๋อร์รู้ขอบเขตดี” เว่ยซือซานเอ่ยขึ้นเพื่อให้ทุกคนผ่อนคลาย“นั่นสินะ หงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด นางต้องรู้ตัวอยู่แล้วว่าทำอะไรอยู่” หลินซือเหยาพูดบ้างหลิวลี่หงมองบุตรสาวต่อสู้กับเสิ่นเถานิ่งนานพลันเอ่ยขึ้นมาบ้าง “ต่อให้คนอื่นสงสัยจริงก็ทำอะไรไ
เว่ยซือหงและพี่ชายทั้งสองรวมผู้ติดตาม เดินทางออกจากจุดที่ต่อสู้กับเสิ่นเถาและเตียวฝานมาไกลมาก ถึงได้หยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง“คุณหนู ไม่เดินทางต่ออีกหน่อยหรือเจ้าคะ เดี๋ยวคนพาลสองคนนั้นจะตามเราทันนะเจ้าคะ” หลิงจูออกความเห็น ถึงจะรู้ว่าคุณหนูของนางเก่งมาก แต่นางไม่อยากให้คุณหนูไปเสียเวลากับคนอันธพาลพวกนั้นเว่ยซือหงจุดรอยยิ้มมุมปากสายตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “ไม่ต้องกังวลหรอกพี่หลิงจู สองคนนั้นออกมาจากจุดนั้นไม่ได้ง่าย ๆ หรอก”“ยันต์อักขระพื้นที่กักขังของน้องจะทนอยู่ได้นานแค่ไหน” เว่ยซือหลางถามเข้าประเด็น ก่อนหน้านี้มัวแต่เร่งเดินทางจึงไม่ได้ไต่ถาม“คงอยู่ได้สองชั่วยามเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเราพักกันสักครู่แล้วค่อยออกเดินทางได้หรือไม่ขอรับพี่ใหญ่ ข้าอยากฟื้นพลังอีกสักหน่อย” เว่ยซือเหลียงบอกความต้องการแต่ก็ยังถามความคิดเห็นพี่ชาย“ได้สิ ข้าก็คิดว่าควรหยุดพักสักครู่เช่นกัน พวกเราไม่ได้พักกันเลยตั้งแต่ต่อสู้กับสัตว์อสูรวารียังต้องมารับมือจากสองคนนั้นอีก”“เช่นนั้นก็พักกันเถอะเจ้าค่ะ อีกสักครึ่งชั่วยามค่อยเดินทางต่อ หาสถานที่เหมาะ ๆ ให้พี่รองได้ครอบครองสมบัติธาตุน้ำสักหน่อย”“นั่นสินะ หากน้องเ
เห็นดังนั้น เว่ยซือหลิวจึงวางใจ ปล่อยให้นางฝึกฝนด้วยตนเอง ส่วนเขาก็กลับไปตั้งใจบ่มเพาะอย่างจริงจัง ตัวเว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงเองก็จากไปบ่มเพาะเช่นกันเว่ยซือหงยังคงฝึกทักษะการต่อสู้ต่อไปแม้จะไม่มีคู่ซ้อม นางไม่คิดไปนั่งบ่มเพาะ เพราะพอใจในระดับพลังตอนนี้ของตนแล้ว ขอแค่อยากเลื่อนระดับ แค่หลับตานางก็สามารถเลื่อนไปยังระดับราชันได้ทันที ดังนั้นการบ่มเพาะสำหรับนางแล้วไม่จำเป็นเลยเด็กหญิงตั้งหน้าตั้งตาฝึกยุทธ์ขัดเกลาฝีมือของตนต่อไปไม่หยุดยั้ง กระบวนท่าของนางก็เฉียบคมและดุดันขึ้นเรื่อย ๆทั้งรวดเร็วและอันตรายมั่นใจได้เลยว่า หากได้ประมือกับพี่ชายทั้งสองอีก ต่อให้ไม่อาจเอาชนะ แต่นางก็ไม่แพ้อย่างแน่นอน พอใจในพัฒนาการของตนยิ่งนักเว่ยซือหงจึงสลับไปศึกษาศาสตร์อักขระและปรุงยาบ้าง สลับสับเปลี่ยนไปเช่นนี้อย่างไม่รู้เบื่อ วันเวลาในมิติผลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนจะมีใบหน้าและอายุเท่าเดิม เพราะเวลาในมิติไม่ส่งผลต่อมนุษย์ ทว่าระดับพลังของพวกเขานั้นคนละเรื่องไปเลย มันพัฒนาอย่างมากชนิดที่ว่าหากพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกฝนในมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเขาก็ไม่อาจคิดฝันว่าตนเองจะมาถึงระดับนี้!เว่ย
ความจริงแล้วตระกูลเว่ยไม่ได้อาศัยอยู่ในจวน แต่พวกเขามารวมตัวกันอยู่ภายในมิติพฤกษาสวรรค์เว่ยซือหลินกับหลินซือเหยา แม่สามีลูกสะใภ้พากันเดินชมแปลงสมุนไพรพลังปราณระดับเซียนที่เคยเห็นชื่อแค่ในตำราด้วยความตื่นตาตื่นใจเว่ยซือหลิวกับเว่ยซือซานเองพากันศึกษากลยุทธ์ด้านการศึกสงครามในเรือนตำราส่วนสามพี่น้อง เว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียง และเว่ยซือหง พากันนอนกินผลไม้ปราณนิ่ง ๆ เนื่องจากพวกเขาเที่ยวเล่นในมิติจนพอแล้วกระทั่งได้เวลาอาหารกลางวัน ทุกคนก็มารวมตัวรับประทานอาหารพร้อมกันที่จุดเดียว จากนั้นเว่ยซือหลิวก็เอ่ยแจกแจงสิ่งที่แต่ละคนต้องทำขึ้นว่า“หลังจากนี้ข้าคิดว่าให้ทุกคนตั้งใจทำการบ่มเพาะดีกว่า ด้วยความช่วยเหลือจากมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนน่าจะเลื่อนระดับพลังปราณได้ไม่ยาก”“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อนะขอรับ แต่นั่งบ่มเพาะนาน ๆ อย่างเดียวอาจเบื่อได้ เช่นนั้นให้ศึกษาอย่างอื่นที่ตนสนใจด้วยดีหรือไม่ขอรับ” เว่ยซือหลิวเสนอแนะ“จริงด้วยขอรับท่านปู่ ทำเช่นนี้จะได้คลายความเบื่อหน่าย การบ่มเพาะของพวกเราอาจจะก้าวหน้าเร็วขึ้น” เว่ยซือเหลียงเห็นด้วยกับความคิดบิดา“เช่นนั้นก็จัดเวลาด้วยตนเอง ศึกษาสิ่งที่สนใจส
“ได้ เริ่มจากข้าเลยแล้วกัน” หวังไท่หยางเป็นคนตรงไปตรงมาเอ่ยรับคำ ก่อนที่จะเอ่ยถึงข้อเสนอที่ตนเตรียมมาให้พ่อลูกตระกูลเว่ยและคนอื่น ๆ ได้ฟังถัดจากเขาคนอื่น ๆ ก็เริ่มนำเสนอข้อเสนอหรือสิ่งแลกเปลี่ยนของตนเองบ้าง การพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ทั้งเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานเองยังต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจยอมรับข้อเสนอหรือแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายหรือไม่การเจรจาเริ่มตั้งแต่ยามซื่อ(09:00-10:59) จนถึงยามซวี(19:00-20:59) โดยมีการหยุดพักรับประทานอาหารหนึ่งครั้งเท่านั้น การพูดคุยตกลงกันถึงได้สิ้นสุดลงโดยที่แต่ละคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า บ่งบอกว่าการเจรจามันผ่านไปได้ด้วยดี“ยินดีที่ได้ร่วมมือนะน้องเว่ย” หรงเทียนฮ่าว “ยินดีที่ได้ร่วมมือเช่นกันน้องเว่ย” หวังไท่หยาง “หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอีกนะน้องเว่ย” ฉินตงหยาง“หากน้องเว่ยมีของดีอย่าลืมบอกพวกเราด้วยนะ” อิงหลันฮวาจาก ‘นายท่านตระกูลเว่ย’ ปัจจุบันเปลี่ยนคำเรียกขานว่า ‘น้องเว่ย’ ชี้ชัดว่าจากการพูดคุยครั้งนี้ พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์กันไม่น้อยเลยทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นผลมาจากทุกข้อเสนอได้รับการตอบรับอย่างดีนั่นแหละ หากไม่ใช่เช่นนั้น
โอหยางจิง ตัวแทนจากหอเทพโอสถโอหยางเจี๋ย ตัวแทนจากสมาคมอักขระหรงเทียนฮ่าว ตัวแทนจากนิกายมังกรสวรรค์อิงหลันฮวา ตัวแทนจากนิกายจากบุปผาสวรรค์หวังไท่หยาง ตัวแทนจากนิกายพยัคฆ์สวรรค์ฉินตงหยาง ตัวแทนจากนิกายวิหคสวรรค์ตัวแทนที่มาจากนิกายทั้งสี่ ฟังจากที่โอหยางจิงที่เคยบอกกล่าวล่วงหน้าล้วนแต่เป็นเจ้านิกาย เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่เขาสองพ่อลูกไม่อาจเสียมารยาทได้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ศึกษาประวัติดินแดนเบื้องบนหรือที่ถูกกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์มาแล้วอย่างคร่าว ๆ ทวีปศักดิ์สิทธิ์ เป็นทวีปที่ปกครองตนเอง ไม่มีราชวงศ์ แบ่งออกเป็น 4 ดินแดน 4 นิกายหรือสำนักศึกษาอันเป็นขุมอำนาจสำคัญ ได้แก่ ดินแดนมังกร ดินแดนพยัคฆ์ ดินแดนวิหค และดินแดนบุปผาดินแดนมังกร เป็นดินแดนที่มีพื้นที่ใหญ่และเฟื่องฟูมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุด จึงถูกจัดให้เป็นเมืองหลวงของทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนมังกรเป็นที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์ โดยตระกูลหรงจัดเป็นตระกูลใหญ่และเรืองอำนาจมากที่สุดในดินแดนนี้ทิศเหนือของดินแดนมังกรคือดินแดนวิหค ที่อยู่บนเทือกเขาสูงไม่อาจเดินทางด้วยวิธีธรรมดา จำต้องขึ้นเรือเหาะหรือเรือบินเท่านั้น ดินแดนวิหคเป็นที่
เพียงสามวันหลังจากกลุ่มผู้เยาว์กลับออกมาจากการสำรวจดินแดนลับ ข้อเสนอที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และหลุมพรางมากมายก็ถูกยื่นตรงเข้าหาพวกเขา หลายคนมีความคิดตื้นเขินเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยก็สูญเสียบางอย่างที่ล้ำค่าไป ทว่ามีอีกหลายคนที่มีความคิดอ่านลึกซึ้ง จึงอยู่ในช่วงเจรจาต่อรอง ตระกูลเว่ยเป็นหนึ่งในคนกลุ่มหลังนี้เพียงแต่ว่าตระกูลเว่ยมีความแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะพวกเขามีแต้มต่อที่เยอะมาก ทั้งยังไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยยังไม่นับรวมการที่เว่ยซือหลิวมีพลังปราณระดับราชัน จากที่คิดว่าอาจถูกกดดัน กลายเป็นว่าตัวตนของตระกูลเว่ยไปกดดันผู้ที่มาเจรจาต่อรองผลประโยชน์แทนแม้จะเป็นเช่นนั้น ประตูของตระกูลเว่ยก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีคนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีข่าวว่าพวกเขาตกลงปลงใจกับขุมอำนาจใด หมายความว่าพวกเขายังมีหวังต่อตระกูลเว่ยอยู่ทรัพยากรที่เด็ก ๆ ตระกูลเว่ยเก็บเกี่ยวมาได้นั้นหอมหวานเกินไป ต่อให้การเจรจาต่อรองจะเป็นไปได้ยาก พวกเขาก็ไม่อาจตัดใจได้ จนกว่าจะมีข่าวว่าตระกูลเว่ยจับมือตกลงผลประโยชน์กับกลุ่มอำนาจใดไปแล้วนั่นแหละ พวกเขาจึงจะถอยในคนเหล่านั้น บา
“เรื่องที่อาหงสามารถพาทุกคนเข้าไปยังมิติของตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ กล่าวให้ถูกคืออาหงสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองอยู่ในระดับแม่ทัพแล้ว ทว่ามันต้องแลกกับการต้องทำพันธสัญญาเลือดกับทุกคน คล้ายการทำพันธสัญญาทาสที่จะไม่ทรยศหรือหักหลังอาหง”“...”“แต่ทุกคนเป็นครอบครัวของอาหงนะเจ้าคะ อาหงจะทำพันธสัญญาเช่นนั้นกับพวกท่านได้อย่างไร จึงไม่เคยเอ่ยถึงหรือบอกกล่าวความจริงนี้ให้ฟัง ด้วยเหตุนั้นอาหงจึงเริ่มศึกษามิติของตนเองมาเรื่อย ๆ ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะพาทุกคนเข้าไปในมิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญากดขี่เช่นนั้น และอาหงก็ค้นพบ”“...”“นั่นก็คือต้องเพิ่มความเเข็งแกร่งให้ตนเองมาก ๆ อย่างน้อยต้องมีพลังระดับจักรพรรดิเป็นอย่างต่ำ ถึงจะสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญาดังกล่าว เพียงแต่ว่า...” เด็กหญิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่จะเอ่ยส่วนที่เหลือออกไป“เด็กดี ไม่ต้องกังวล เอ่ยออกมาเถิด เป็นเช่นไรเดี๋ยวพวกแม่ตัดสินใจกันเอง เจ้าไม่ต้องคิดมาก” หลิวลี่หงปลอบบุตรสาว ไม่อยากให้นางกังวลเกินไปนัก อายุเพียงเท่านี้ก็คิดทำหลายอย่างเพื่อครอบครัวมากเกินไปแล้ว“เฮ้อ มิติของอาหงมันพิเศษเจ
ณ จวนตระกูลเว่ยเมื่อกลับเข้ามาภายในจวนตระกูลเว่ย ทายาททั้งสามต่างถูกเว่ยซือหลิว หลินซือเหยา เว่ยซือซาน และหลิวลี่หง สลับสับเปลี่ยนกันกอดพวกเขาทีละคน ๆ ก่อนคนในครอบครัวทั้งหมดจะร่วมตระกองกอดกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ถ่ายทอดความคิดถึง รักใคร่ และห่วงใยผ่านอ้อมกอดนั้นเว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียงและเว่ยซือหงซึ่งห่างจากครอบครัวไปนาน ต่างหลับตาซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของทุกคนอย่างยินดี ครั้นเมื่อต้องผละกอดจึงอดรู้สึกเสียดายไม่ได้“ท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ อาหงคิดถึงพวกท่านจังเลยเจ้าค่ะ” เว่ยซือหงเอ่ยบอกความรู้สึกของตน ทั้งยังออดอ้อนคนในครอบครัวนับตั้งแต่ขึ้นรถม้าจวบจนถึงจวนของตนก็ยังเอ่ยเสียงหวานไม่หยุด ทำเอาบิดามารดาและท่านปู่ท่านย่าของนางใจเหลวไปตาม ๆ กัน“พวกเราก็คิดถึงอาหงเช่นกัน ไหนดูสิ เจ้าตัวน้อยของย่าผอมลงบ้างหรือไม่” หลินซือเหยาคว้าตัวหลานสาวเข้ามากอดแล้วจับนางพลิกหมุนไปมา ครั้นเห็นว่าหลานรักยังสมบูรณ์ดีจึงยิ้มออกมา“ท่านย่าไม่ต้องห่วง อาหงกินดีอยู่ดีมากเจ้าค่ะ”“ฮ่าฮ่า พวกปู่เห็นแล้วละ มาเถอะ มานั่งคุยกันดี ๆ ดีกว่า” เว่ยซือหลิวเดินนำเข้าไปยังห้องหนังสือของจวน“อาหลางอาเหลีย
เหตุการณ์วุ่นวายยังไม่ทันจะผ่านพ้น เจ้าเข่ออ้ายสัตว์อสูรตุ่นดินที่ถูกลืมไปชั่วขณะพลันปรากฏออกมาตรงหน้าเว่ยซือหง แม้ว่าตอนมองสัตว์อสูรในพันธสัญญาทั้งสองของนางจะหวาด ๆ อยู่บ้างก็ตามที ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นประเด็นมันอยู่ที่เด็กคนนี้ลืมมัน!“นายหญิง!” สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิแต่ขี้ใจน้อยเอ่ยเสียงดังด้วยน้ำเสียงแง่งอน“อ๊ะ เข่ออ้าย เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีใช่ไหม” เว่ยซือหงไม่ได้ลืม เพียงแต่ยังไม่ได้ทักเฉย ๆ“ฮือ... นายหญิงลืมเข่ออ้าย ไหนนายหญิงบอกว่าหลังกลับออกจากถ้ำจะทำพันธสัญญากับข้าอย่างไรเล่าขอรับ” ไม่พูดเปล่าด้วยความน้อยใจน้ำตาหยดใส ๆ จึงพรั่งพรูออกจากดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นเว่ยซือหงนิ่งงันปรับอารมณ์ “เปล่านะ ข้าไม่ได้ลืม เพียงอยากแนะนำเสี่ยวเฟิ่งกับเสี่ยวไป๋ให้ทุกคนรู้จักก่อน เข่ออ้ายไม่ต้องร้อง ข้าไม่ได้ลืมจริง ๆ”“จริงนะขอรับ”“จริงสิ”“เช่นนั้นเรามาทำพันธสัญญากันเลยดีหรือไม่ขอรับ เข่ออ้ายรอนายหญิงมานานแล้ว” มันเอ่ยอย่างกระตือรือร้น ใจหนึ่งก็กลัวสัตว์อสูรสองตัวของนายหญิงตัวเล็ก แต่มันกลัวไม่ได้ทำพันธสัญญากับคนที่มันหมายปองมากกว่าเว่ยซือหงหลุดเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ก่อนจะทำพันธสัญญากับมันตา
“น้องเล็ก! พี่ใหญ่! ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว รู้หรือไม่ว่าอีกเพียงสามวันจะครบกำหนดที่ดินแดนลับจะปิดตัวลงแล้วนะ พวกท่านหายเข้าไปในถ้ำเป็นเดือน ๆ เชียว!” เว่ยซือเหลียงที่นั่งรอพี่ชายน้องสาวด้วยความกลุ้มใจอยู่นั้น โล่งใจทันทีที่เห็นร่างของทั้งสองเดินออกจากถ้ำ ในขณะที่ปากก็บ่นทั้งสองไม่หยุด“ขออภัยเจ้าค่ะพี่รอง พวกเราอยู่ในถ้ำไม่รู้วันคืนจริง ๆ เจ้าค่ะ ด้านในมีแต่ความมืด พวกเราคาดเดาวันเวลาไม่ได้เลย”“จริงของน้องเล็ก ขอโทษด้วยที่ทำให้เป็นห่วง”“เฮ้อ ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้วขอรับ ข้าเพียงร้อนใจกลัวพวกท่านจะกลับออกมาไม่ทัน แล้วจะถูกขังไว้ในดินแดนลับนี้”ก่อนหน้านี้เขาร้อนใจแทบตาย วันแรก ๆ ก็ไม่เท่าใด ทว่าพอผ่านไปสองอาทิตย์ยังไม่เห็นวี่แววทั้งสองจะกลับออกจากถ้ำ พวกเขาก็เริ่มกระวนกระวาย ภายในหัวคิดไปต่าง ๆ นานา กระทั่งจะเก็บเกี่ยวทรัพยากรในมิติทับซ้อนแห่งนี้ต่อยังไม่มีเรี่ยวแรงหรือจิตใจอยากจะทำ ดีที่ช่วงแรกเก็บเกี่ยวของสำคัญ ๆ มาเยอะแล้ว จึงไม่น่าเสียดายเท่าใดนัก“เอาละ ๆ ตอนนี้พวกข้ากลับออกมาแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็วางใจเถิด”“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วขอรับ” เว่ยซือเหลียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดแง่งอน ส