ขบวนสินค้าของหลิวหย่งมาถึงเมืองหลวงได้สามวันแล้ว หากเว่ยซือหงกลับยังไม่หายป่วย นางซึ่งอยากไปดูการเพาะปลูกที่ไร่ แต่ครอบครัวต้องการให้นางพักผ่อน จึงจำต้องอยู่จวนต่อไป“หลิงจูเล่าเรื่องเมืองตงไห่ให้อาหงฟังหน่อยสิเจ้าคะ” การที่ต้องอยู่เฉย ๆ มันทรมานจริง ๆ สิ่งจรรโลงใจมีเพียงเรื่องเล่าของหลิงจูเท่านั้น ฟังเท่าไรก็ไม่เคยเบื่อหลิงจูเองไม่คิดว่าการที่ต้องเล่าเรื่องที่ไปเจอมาซ้ำ ๆ ให้คุณหนูฟังเป็นเรื่องใหญ่อันใด หนำซ้ำนางกลับชอบ จึงเอ่ยเล่าอย่างไม่ติดขัด มีเพียงหลิงอิงเท่านั้นที่ทำตัวประหนึ่งว่าตนเองเป็นอากาศธาตุ หากไม่คอยเติมน้ำชาให้เว่ยซือหงน่ะนะ“ที่เมืองตงไห่ครึกครื้นมากเจ้าค่ะคุณหนู ชาวต่างถิ่นที่มาทำการค้าในแคว้นของเราก็มีลักษณะแตกต่างกันไป ที่เห็นได้ชัดกว่าคนอื่น ๆ เห็นจะเป็นชาวโพ้นทะเล พวกเขาตัวใหญ่บึกบึนสีตาก็ช่างประหลาด แต่ละคนมีสีตาไม่เหมือนกันเลยเจ้าค่ะ ยังมีชาวไท่กั๋ว(ไทย) ที่ดูตัวเล็กและผิวกร้านแดดกว่าชาวเรา ทั้งพวกเขายังมีอาหารการกินแปลก ๆ ด้วยนะเจ้าคะ เรียกว่าอันใดนะพี่หลิงอิงที่มันเหม็น ๆ” เอ่ยถามสาวใช้คู่กันเพราะจำไม่ได้“ชาวไท่กั๋วเรียกว่าปลาร้าเจ้าค่ะ เป็นของหมักดอง พวกเข
จากที่ต้องใช้เวลาร่วมเดือนผักจึงจะโตสามารถเก็บเกี่ยวได้ ยามนี้กลับเจริญเติบโตเขียวขจีแน่นขนัดอยู่ในแปลง ถึงจะรู้คุณภาพและผลลัพธ์ของค่ายกลดีอยู่แล้ว แต่การมาเห็นด้วยตาตัวเองนี่มันอดทึ่งไม่ได้จริง ๆผักหลายชนิดถูกคนงานมากกว่าร้อยคนช่วยกันถอนใส่ตะกร้า บางคนรับหน้าที่แบกตะกร้าที่มีผักเต็มแล้วออกมาจากแปลงผัก เว่ยซือหงอดตื่นตะลึงไม่ได้ เมื่อหันไปมองตะกร้าผักทั้งหลายที่วางตั้งไว้หน้าโรงครัว ผักของนางมากมายปานนี้เชียวหรือเพราะถูกสั่งให้อยู่ในจวน จึงไม่รู้ว่าบิดาตนเองสั่งให้คนเพาะปลูกผักทั้งหมดบนที่ดินร้อยหมู่ เท่านั้นยังไม่พอ ที่ดินส่วนของสมุนไพรร้อยห้าสิบหมู่ก็ถูกบิดานำมาใช้ปลูกผักเช่นเดียวกัน ในส่วนของต้นผลไม้ต่างก็ติดดอกออกผล“จวี๋จื่อลูกใหญ่มาก!”ผลส้มกลมโตมันวาวที่อยู่ในตะกร้าดึงดูดให้เว่ยซือหงเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์โชยเข้าจมูก“ท่านพ่อได้ต้นส้มจากที่ไหนมาปลูกหรือเจ้าคะ”“ฝ่าบาททรงมอบมันให้พ่อ ตอบแทนที่เราเอาเห็ดฟางไปมอบให้พระองค์อยู่บ่อย ๆ อย่างไรเล่า”“อ้าว ไหนท่านพ่อบอกว่าฝ่าบาทซื้ออย่างไรเล่าเจ้าคะ ยังเอาหีบตำลึงทองมาให้อาหงดูอยู่ทุกครั้งเลย”“ฮะ ๆ นั่นสินะ สงสัยพ่
ท้องพระโรงของวังหลวงแคว้นโจวขุนนางในราชสำนักต่างมารวมตัวกันในท้องพระโรง เหล่าขุนนางน้อยใหญ่จับกลุ่มคุยเป็นทอด ๆ ดูเหมือนว่าหัวข้อการประชุมครั้งนี้จะทำให้ผู้คนสนใจไม่น้อย“วันนี้ดูเหมือนแม่ทัพใหญ่ของเราจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องราวดี ๆ อันใดเกิดขึ้นหรือ พอจะบอกพวกเราได้บ้างหรือไม่” หนึ่งในตัวแทนขุนนางเอ่ยถามเว่ยซือซานอมยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวอย่างมีลับลมคนใน “ประเดี๋ยวก็จะได้รู้เอง ไม่ต้องรีบร้อน รับรองว่าเรื่องนี้จะทำให้พวกท่านตกใจแน่”“จะมีเรื่องใดทำให้พวกข้าตกใจได้อีก หรือท่านแม่ทัพใหญ่ค้นพบพืชชนิดใหม่ได้อีกแล้ว ช่างมากความสามารถจริง ๆ” เกาฉี เสนาบดีกรมพิธีการเอ่ยพลางจับจ้องแม่ทัพใหญ่ไม่วางตา ในบรรดาตระกูลใหญ่ด้วยกันเขาไม่ชอบตระกูลเว่ยที่สุด “นั่นนะสิ ไม่รู้ว่ารอบนี้เป็นพืชชนิดใด” เสนาบดีกรมโยธา วั่งไฉ กล่าวขึ้นมาบ้าง สายตาที่มองเว่ยซือซานราวกับอสรพิษดี ๆ นี่เอง ตระกูลวั่งของเขาก็ไม่ได้ชอบตระกูลเว่ยเลยแม้แต่น้อย“ประเดี๋ยวก็ได้รู้แล้วจะคาดคั้นหลานข้าด้วยเหตุใด” หลินปิง เสนาบดีกรมกลาโหมเอ่ยปรามขุนนางใหญ่ทั้งสอง“นั่นน่ะสิ อดใจรออีกไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็จะได้รู้แล้ว เ
โจวเฟยหลงฮ่องเต้คิดพลางถอนหายใจพลาง เนิ่นนานจนการประชุมหลักของวันนี้จบลงไป พระองค์จึงถอนความคิดตนเองกลับคืน“แม่ทัพเว่ย เมื่อวานเจ้าเขียนฎีกามาส่งข้า ความในสารนั้นเป็นจริงหรือไม่” จู่ ๆ ฮ่องเต้ก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำผู้คนตกอกตกใจเพราะไม่รู้ว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอันใดกันแน่“จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เคยโกหก” เว่ยซือซานรับคำแน่นหนัก“เช่นนั้นเอาออกมาให้เราดู!”“ประเดี๋ยวก่อนพ่ะย่ะค่ะ ขออภัยฝ่าบาท ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงเอ่ยถึงเรื่องใดอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ ช่วยบอกพวกกระหม่อมได้หรือไม่” จ้าวฝานเอ่ยขัดขึ้นกลางป้อง แม้จะเสี่ยงถูกลงอาญา แต่เขาจะไม่ยอมให้ข้อมูลใด ๆ เล็ดลอดไปจากตนเด็ดขาดโจวเฟยหลงเหลือบมองขุนนางเฒ่าผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมขุนนางอย่างไม่พอใจ “ดูเหมือนเจ้าจะลืมอะไรไปหรือไม่ ข้าจะทำสิ่งใดหรือพูดอันใดต้องบอกพวกเจ้าด้วยเช่นนั้นหรือ”“ขออภัยพ่ะย่ะฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาล่วงเกิน และรู้ดีว่ากระหม่อมต่ำต้อยเกินกว่าที่พระองค์จะสนพระทัย ทว่าที่กระหม่อมเอ่ยขัดขึ้นมา เพราะต้องการตามความคิดพระองค์กับแม่ทัพเว่ยให้ทัน หากว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรงจะได้ช่วยกันแก้ไข
“ได้อย่างไร! ตระกูลท่านปลูกได้ตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดจึงอมพะนำไว้คนเดียวเช่นนี้”“นั่นน่ะสิ นี่มันเรื่องใหญ่นะ ชาวบ้านอดอยากจะตายอยู่แล้ว แต่แม่ทัพใหญ่ที่ตระกูลเพาะปลูกได้กลับปกปิดเรื่องราวเหล่านี้ นี่มันหมายความว่ายังไงท่านแม่ทัพ” เกาฉีที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มพลิกผันเข้าข้างพวกเขาไม่รอช้าตั้งคำถามหวังทำลายความน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายทันทีเขาถึงได้บอก ศึกมาเราร่วมรบ ศึกสงบเรารบกันเอง เว่ยซือซานถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย“หากข้าปกปิดข้าคงไม่เขียนฎีกาถวายฮ่องเต้”“หมายความว่าอย่างไร”“หมายความว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่ทัพเว่ยเขียนรายงานให้เจิ้นตลอดอย่างไรเล่า ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบพืชชนิดใหม่ วิธีการกิน การเพาะเห็ดฟาง รวมถึงการเพาะปลูกในครั้งนี้ เจิ้นล้วนรับรู้ทั้งสิ้น ทำไม เจ้าก็คิดว่าเจิ้นทำไม่ถูกเช่นนั้นหรือที่ปกปิดเรื่องพวกนี้กับเจ้าน่ะ ท่านเสนาบดีกรมพิธีการ”“หะ หาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เป็นกระหม่อมที่เข้าใจผิดคิดน้อยไปเอง โปรดทรงอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เกาฉีแทบทรุด ใครจะรู้ว่าฝ่าบาทรู้เรื่องนี้กันเล่า“ช่างเถอะ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด เจิ้นไม่ถือสา แต่อย่าให้มีอีก มันน่ารำคาญ”“ขอบพระทัยฝ
“หากเป็นเช่นนั้นก็ขอบใจเจ้ามาก”“กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเห็ดฟางเล่า ไหนเจ้าบอกว่าจะขายก้อนเชื้อเห็ดให้เจิ้น ไม่เห็นเจ้าจะพูดถึงเลย” ปัญหาเพาะปลูกคลี่คลาย โจวเฟยหลงก็ถามถึงเห็ดที่เขาชอบทันที“นั่นน่ะสิ ข้ารู้มาว่าตระกูลเว่ยเพาะเห็ดฟางได้นานแล้ว เหตุใดไม่บอกกล่าวหรือแบ่งขายให้พวกเราบ้าง” จ้าวฝานถามท้วง การให้คนของตนเองคอยติดตามดูตระกูลอื่น ๆ อยู่ตลอด แม้ไม่สามารถแทรกซึมเป็นคนวงในได้ แต่แค่สามารถหาข่าวได้ก็ดีแล้ว ดังนั้นข่าวลับ ๆ ที่อีกฝ่ายเพาะเห็ดฟางหรือเห็ดบัวขึ้นมาได้ และทำการค้ากับหอเทพโอสถ จึงถูกพูดถึงอย่างมากในบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลาย“ก้อนเชื้อเห็ดเราก็จะแจกเช่นกันขอรับ เพียงแต่แจกแค่ครอบครัวละหนึ่งก้อนเท่านั้น เหตุผลที่แจกน้อยเพราะก้อนเชื้อเห็ดใช้เวลาเจ็ดวันเห็ดก็โตสามารถเก็บได้แล้ว ทั้งยังเก็บได้ทุกวัน หากต้องการมากกว่านี้ต้องซื้อเพิ่ม”“ได้! เอามาให้เจิ้นเลยหนึ่งพันก้อน ไม่สิสองพันก้อน!”“ขอข้าด้วยพันก้อน”“ข้าพันก้อนเช่นกัน”“ข้าห้าร้อยก้อน”“ข้าด้วย”“ข้าด้วย”เว่ยซือซานยกมือขึ้นปรามให้ทุกคนหยุดพูด ครั้นเห็นว่าทุกคนเงียบฟังแล้วจึงกล่าวว่า “ใครต้องการก้อนเชื้อเห็ดจำนวนเท
ณ ทิศอุดรของทวีปนภาคราม รอยต่อระหว่างแคว้นโจวและแคว้นฮั่น อันเป็นที่ตั้งของหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ สำนักศึกษาพยัคฆ์ทมิฬสำนักพยัคฆ์ทมิฬ นอกจากจะอยู่บนรอยต่อของแคว้นโจวและฮั่นแล้ว ยังกินพื้นที่ชายขอบป่าบรรพกาล ทำให้พื้นที่ของสำนักมีอาณาเขตกว้างขวาง อีกสามสำนักใหญ่เองก็มีพื้นที่กว้างใหญ่ไม่แพ้กัน เนื่องจากบริเวณที่ตั้งของสำนักอยู่ชายขอบป่าบรรพกาลของแต่ละทิศกล่าวได้ว่าศูนย์กลางของดินแดนเบื้องล่างอย่างป่าบรรพกาลนั้นมีสำนักศึกษาทั้งสี่ล้อมรอบ หากเกิดคลื่นสัตว์อสูร คนที่ต้องรับหน้าเป็นกลุ่มแรกก็คือสำนักใหญ่เหล่านี้ ทั้งนี้ทั้งสี่สำนักยังมีความโดดเด่นด้านการเรียนการสอนแตกต่างกันไป ดังนี้สำนักศึกษาพยัคฆ์ทมิฬ โดดเด่นเรื่องทักษะการต่อสู้และวิชาดาบ สีประจำสำนักคือสีน้ำตาล สำนักศึกษามังกรดำ โดดเด่นเรื่องอักขระค่ายกล สีประจำสำนักคือสีดำ สำนักศึกษาหงส์เพลิง โดดเด่นเรื่องการใช้พลังธาตุ สีประจำสำนักคือสีแดงและสำนักศึกษาหมื่นบุปผา โดดเด่นเรื่องการปรุงโอสถ สีประจำสำนักคือสีเขียว เว่ยซือหลางที่มีความชื่นชอบและสนใจด้านการฝึกยุทธและเพลงดาบเป็นพิเศษ จึงตัดสินใจเข้าเรียนที่สำนักศึกษาพยัคฆ์ทมิฬอย่างไม่ล
จงเหวียนหยิบแหวนมิติออกมาอีกหนึ่งวงยื่นให้เด็กหนุ่ม “ท่านแม่ทัพฝากมาให้ขอรับ ด้านในมีปุ๋ยหมักและก้อนเชื้อเห็ดฟางที่ตั้งใจมอบให้สำนักศึกษาของคุณชาย โดยฝากข้าน้อยมาสั่งความกับคุณชายว่า หากทางสำนักต้องการเพิ่มไปจากที่เรามอบให้ ให้คุณชายเรียกราคาตามสมควรได้เลยขอรับ จะเรียกแพงขึ้นก็ได้ เพราะหากต้องการราคาตลาดต้องรออีกนาน เนื่องจากตอนนี้ลำดับการสั่งจองแค่ที่อยู่ในเมืองหลวงก็มากโขแล้วขอรับ ไหนจะคำสั่งซื้อจากต่างแคว้นอีก”“เข้าใจแล้ว ขอบใจเจ้ามาก หากไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ”“ขอรับ รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยขอรับคุณชาย ข้าน้อยขอตัวก่อน” สิ้นคำคนสนิทของบิดาก็หายวับไปทันทีเว่ยซือหลางวิเคราะห์สถานการณ์พร้อมมองของในแหวนมิติเล็กน้อย ดูเหมือนทางบ้านจะยุ่งกว่าที่คิด การที่ให้จงเหวียนเอาปุ๋ยหมักและก้อนเชื้อเห็ดมาให้แบบนี้คงไม่อยากให้เขาได้รับความกดดันหรือลำบากสินะ ช่างเป็นบิดาที่เอาใจใส่จริง ๆ ชายหนุ่มอ่านความคิดและการกระทำของบิดาออกทั้งหมด ซึ่งดูเหมือนการกระทำของบิดาจะช่วยเขาได้ดีจริง ๆ เพราะ“ศิษย์เว่ยซือหลางท่านเจ้าสำนักเรียกพบเจ้าด่วน” คล้อยหลังจงเหวียนไม่นานคนของเจ้าสำนักก็มาตามเขาทันที ชายหนุ่มถอ
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“
แม้มื้ออาหารจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่คนตระกูลเว่ยก็ยังไม่ได้แยกย้าย พวกเขายังคงต้องการพูดคุยกับเว่ยซือหงให้มากอีกหน่อย ความคิดถึงที่มีมาตลอดหนึ่งเดือนก็ยังไม่เบาบางลงเลย จะให้รีบไปไหนเล่าเว่ยซือเองก็พูดคุยกับครอบครัวด้วยความสนุกสนาน ทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องราวที่ตนเองเผชิญมาให้เว่ยซือหงฟัง เจ้าตัวเล็กก็มีอารมณ์ร่วมไปเสียหมด พาลให้คนเล่ามีใจอยากยิ่งอยากเล่าเพิ่ม ความสุขเรียบง่ายที่มีคุณค่าทางใจยิ่งกว่าของหายากราคาแพงเช่นนี้ คนตระกูลเว่ยหวงแหนมันมาก ครั้นทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องจนครบแล้วพลันถึงตาเจ้าตัวน้อยบ้าง“แล้วเจ้าเล่าน้องเล็ก เก็บตัวฝึกฝนเสียนาน มีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง” เว่ยซือเหลียงเป็นฝ่ายถามน้องสาวเว่ยซือหงเห็นสายตาทุกคนมองมาอย่างรอคอยและคาดหวังได้แต่ระบายยิ้มกว้างก่อนจะยอมเปิดเผยระดับพลังปัจจุบันของตนทันที ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนในครอบครัวต่างแตกตื่นตกใจ โดยเฉพาะพี่ชายคนรองอย่างเว่ยซือเหลียง“พลังปราณระดับนักรบขั้นสูง!”“เจ้าค่ะ” เห็นน้องสาวรับคำยิ้ม ๆ เช่นนี้พี่ชายอย่างเขารู้สึกปวดใจจริง ๆ ให้ตายเถอะน้องเล็กมีระดับเดียวกันกับเขาเลย!“ระดับเท่าพี่เลยน้องเล็ก นี่คือความแตกต่างของคนธรรมด
วันเวลาภายในมิติผ่านไปแล้วสิบปี โลกภายนอกก็ผ่านไปนานนับเดือนเช่นกัน ความคิดถึงและความห่วงใยที่มีต่อบุตรหลานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นานแล้วที่เว่ยซือหงเก็บตัวฝึกฝน หากไม่รู้ว่านางเข้าไปในมิติจิตวิญญาณพวกตนคงจะเป็นกังวลและไม่เป็นอันกินอันนอนมากกว่านี้อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่กับเว่ยซือหงทุกวันตั้งแต่นางเกิดจวบจนอายุใกล้จะแปดขวบแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่ต้องห่างกันนานถึงเพียงนี้สักครั้ง ความอดทนที่เคยมีชักจะมอดลงไปทุกทีถึงคนตระกูลเว่ยยังใช้ชีวิตเช่นเดิม ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำสิ่งนั้น แต่มันขาดความมีชีวิตชีวาและสีสันในชีวิต เสียงเจื้อยแจ้วที่เคยทำให้จวนสดใส เสียงหัวเราะของนางที่เคยทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาผ่อนคลายความเครียดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามไม่มีจึงรู้สึกขาดหายและกระหายถึงสิ่งนั้นมากขึ้นร่วมเดือนที่จวนตระกูลเว่ยเงียบเหงา ยิ่งช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถึงกับขาดความมีชีวิตชีวาจนแม้แต่บ่าวรับใช้ยังรู้สึกได้ พวกตนก็คิดถึงคุณหนูน้อยเช่นกัน อยากให้นางมาสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศแสนสดใสให้จวนตระกูลเว่ยโดยเร็ว เจ้านายในจวนจะได้แช่มชื่นขึ้นมาบ้างความกังวลของบ่าวรับใช้นั้นค่อนข้างมาก ถึงขั้นรวมตัวกันนำเรื
เว่ยซือหงเริ่มเดินพลังในร่างกายอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความติดขัดที่ตนไม่เคยเจอ ภายนอกคิ้วได้รูปของนางขมวดแน่น หากภายในจิตวิญญาณกลับสงบนิ่งมั่นคงอย่างมากเมื่อระดับการบ่มเพาะถูกทำลาย เส้นชีพจรต่าง ๆ จะอุดตันเต็มไปด้วยความสกปรกจากการดูดซับลมปราณ แม้แต่เว่ยซือหงที่ดูดซับลมปราณภายในมิติที่มีความบริสุทธิ์มาตลอดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ด้วยเคล็ดวิชาหยินหยางลมปราณสวรรค์ ปัญหาดังกล่าวจึงถูกจัดการได้อย่างไร้ที่ติเว่ยซือหงเดินพลังด้วยเส้นลมปราณสีทอง ซึ่งมีชื่อว่าเส้นลมปราณสวรรค์ ชักนำมันไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยความวิเศษของตัวเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ ร่วมกับเส้นลมปราณสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมนาง สิ่งต่าง ๆ ที่อุดตันในร่างกายจึงถูกกำจัด ทั้งเส้นเลือดและเส้นชีพจรยังถุกกรุยทางจนโล่ง ความสกปรกถูกชะล้างครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งการเดินพลังไร้การติดขัด เด็กน้อยจึงเริ่มการฝึกในลำดับต่อไปเว่ยซือหงค่อย ๆ ชักนำเส้นลมปราณสวรรค์ไปตามเส้นชีพจรต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ตามความรู้ที่ได้รับจากเคล็ดวิชา ความอุ่นร้อนจนเกือบร้อนลวกอยู่กึ่งกลางหน้าท้อง ตันเถียนที่ถูกทำลายไปเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ซึ่งมาพร้อมความเจ็บปวดเกินหยั่