“ก่อนอื่นข้าต้องตอบข้อสงสัยของเจ้าก่อน ที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรก็เป็นข้าที่ดึงดวงจิตของเจ้าเข้ามาเด็กน้อย และสถานที่นี้เรียกว่ามิติอนุบาลดวงวิญญาณ”
“ดึงมาทำไมคะ คงไม่ใช่เพราะอยากให้ฉันพักผ่อนหลังความตายอยู่ที่นี่แบบสบาย ๆ ใช่ไหม? แล้วมิติอนุบาลดวงวิญญาณมีไว้เพื่ออะไรคะ”
“ประการแรกเจ้าเข้าใจถูกแล้ว ข้าไม่ปล่อยเจ้านอนสบายอยู่ที่นี่แน่ ๆ ส่วนประการที่สอง...”
“ถ้ามันตอบยากไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ” เว่ยซือหงกล่าวเมื่อเห็นท่านเทพตรงหน้าไม่พูดต่อ จากที่คิดว่าตัวเองโชคดีที่เจอเทพตอนนี้หญิงสาวไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด ทั้งยังสังหรณ์ใจในบางอย่าง
“เพ้ย ได้อย่างไรเล่า ถามมาแล้วก็ต้องตอบสิ มิติอนุบาลวิญญาณ มีไว้เพื่อรองรับเหล่าดวงวิญญาณที่มีชะตายิ่งใหญ่ ไม่อาจเข้าสู่วัฏสงสารจนกว่าจะบรรลุเงื่อนไขพิเศษ หรือก็คือข้า”
หญิงสาวคิดเล็กน้อยพลางว่า “หมายความว่าไม่ได้มีแค่ฉันที่มาที่นี่ใช่ไหมคะ เงื่อนไขที่ว่าคือท่าน อย่าบอกนะว่ามายื่นข้อเสนอ”
แปะ แปะ แปะ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกต้อง เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ฉลาดจริง ๆ คิดไม่ผิดที่พาเจ้ามา”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน จากที่ฟังเธอพอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ไม่มั่นใจเล็กน้อย “สรุปคือที่นี่มีไว้เพื่อรองรับดวงวิญญาณที่มีชะตายิ่งใหญ่ ส่วนท่านมาเพื่อยื่นเงื่อนไขหรือข้อเสนอ หากตกลงรับเงื่อนไข ดวงวิญญาณก็ต้องทำสิ่งที่รับปากมา แล้วถ้าไม่ตกลงล่ะคะจะเกิดอะไรขึ้นกับดวงวิญญาณที่ปฏิเสธ”
ท่านเทพยิ้มชอบใจตอบอย่างใจดี “ไม่เกิดอะไรขึ้น ข้าก็แค่ส่งดวงวิญญาณเข้าสู่วัฏสงสาร อย่างที่บอกเงื่อนไขพิเศษคือข้า ข้าคือผู้กำหนด เหล่าดวงวิญญาณคือผู้เลือก ทีนี้เข้าใจแล้วหรือยัง”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี ในเมื่อเข้าใจแล้วก็มาเข้าเรื่องกันเถอะ อ้อ ข้าลืมบอกไปว่าไม่ใช่ดวงวิญญาณทุกดวงที่มีชะตายิ่งใหญ่จะมีโอกาสมาที่นี่หรอกนะ ทุกอย่างล้วนมีเงื่อนไขทั้งสิ้น ซึ่งเจ้าโชคดีที่อุปนิสัยของเจ้าตรงกับเงื่อนไขที่ข้าต้องการทุกอย่าง”
“เงื่อนไขอะไรคะ”
“ไม่ดำไม่ขาว อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ เข้มแข็งแต่ไม่แข็งกร้าว มีความเด็ดขาด คิดอ่านเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด เหมาะสมยิ่งนัก ตรงกับเงื่อนไขที่ข้าตั้งไว้พอดียิ่งอย่างไรเล่า”
ยิ่งฟังยิ่งสงสัย ท่านเทพตรงหน้าคงไม่ใช่กำลังหาภาระโยนใส่บ่าเธอกระมัง “เพื่ออะไรคะ ที่พูดมาทั้งหมดท่านคงไม่ได้กำลังหมายความว่าจะส่งฉันไปกู้โลกหรอกใช่ไหมคะ”
แปะ ๆ ๆ เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมเสียงชื่นชม “ถูกต้อง เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ฉลาดจริง ๆ คนเช่นเจ้าหาได้ไม่ง่ายหรอกนะจะบอกให้”
ใบหน้าของหญิงสาวมืดครึ้ม จากที่อารมณ์ดี ๆ เพราะอากาศของที่แห่งนี้กลับกลายเป็นบึ้งตึง ไหน ๆ เธอก็ตายแล้วแทนที่จะได้อยู่อย่างสงบหรือไม่ก็ไปชดใช้กรรมที่ทำมา ทำไมจู่ ๆ เทพที่ไหนไม่รู้จะส่งเธอไปกู้โลกเสียได้เล่า
“เจ้าใจเย็นก่อน ใจเย็น ๆ” ท่านเทพรับรู้อารมณ์ของหญิงสาวเร่งพูดคลายอารมณ์ของเธอทันที ราวกับกลัวว่าเธอจะไม่ตอบตกลง
“ฟังข้อเสนอของข้าก่อนเป็นไร ที่ที่ข้าจะส่งเจ้าไปเกิดหาใช่โลกที่เจ้าจากมา แต่เป็นมิติคู่ขนาน โลกใบนั้นไม่มีเทคโนโลยี แต่เป็นยุคเทพเซียนจีนโบราณ ที่เต็มไปด้วยพลังปราณ พลังธาตุ และสัตว์อสูร ซือหง ความจริงข้าไม่ต้องมาพบเจ้าแต่ส่งเจ้าไปที่นั่นเลยก็ได้ แต่เป็นเพราะข้านึกเอ็นดู และอยากพูดคุยกับเจ้า ข้าถึงได้ดึงดวงจิตเจ้ามาที่นี่”
เว่ยซือหงไม่ตอบแต่ก็ไม่ได้เอ่ยค้าน ท่านเทพจึงกล่าวต่อว่า
“ที่แห่งนั้นกำลังเผชิญกับความเลวร้าย ข้าวยากหมากแพง บ้านเมืองแห้งแล้ง อยู่ในสภาวะแร้นแค้นอย่างหนัก สิ่งที่ผู้คนกำลังเผชิญอยู่มันไม่ใช่เพราะฤดูกาล แต่เป็นความชั่วร้ายที่กำลังกัดกินทุกสิ่งอย่างทีละเล็กละน้อย หากมิตินั้นไม่ได้รับความช่วยเหลือและป้องกัน คงได้ถึงคราวล่มสลาย เพราะเหตุนี้ข้าจึงจะส่งคนมีความสามารถเช่นเจ้า ซึ่งตรงกับเงื่อนไขที่ข้าตั้งเอาไว้ไปที่นั่น”
“ทำไมฉันต้องทำล่ะคะ มันไม่เกี่ยวกับฉันเลยนี่ ทำไมฉันต้องสนใจผู้คนที่ไม่ได้รู้จักด้วย”
ท่านเทพยกยิ้ม “เจ้าแน่ใจหรือ ด้วยนิสัยอ่อนโยนของเจ้า เจ้าจะทำใจมองผู้คนตกทุกข์ได้ยากได้จริง ๆ หรือเว่ยซือหง”
“...” หญิงสาวไม่ตอบ เพราะรู้ดีว่าเธอเป็นแบบไหน ตอนยังมีชีวิตอุปการะเด็กยากไร้รวมถึงคนชราไปก็มาก ทำบุญช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากก็หลาย หากว่าเธอต้องไปที่แห่งนั้นจริง เกรงว่า... แม้ไม่อยากช่วยเหลือก็ต้องช่วยเหลือเพราะห้ามความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจไม่ได้
หญิงสาวนิ่งคิดไปครู่ใหญ่ ตรองดูแล้วไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายเธอก็ต้องไปมิติที่ว่านั่นอยู่ดี ต่อต้านไปก็เหนื่อยเปล่า ไม่แน่ว่าที่แห่งนั้นอาจมีคนที่เธอเฝ้ารออยู่ก็เป็นได้ หญิงสาวถอนหายใจแล้วมองสบกับท่านเทพด้วยสายตาจริงจัง
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาสั่งและบงการ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นท่านเทพก็ตาม”
“แน่นอน เราไม่สั่งไม่บงการเจ้า หลังส่งเจ้าไปแล้วทุกอย่างเป็นเจ้าลิขิตชะตาชีวิตตนเอง เพียงแต่ขอให้เจ้าระลึกไว้ เมื่อใดที่เจ้ามีความสามารถมากพอ เพียงช่วยเหลือผู้คนในโลกนั้นบ้าง ข้าก็พอใจแล้ว”
ครานี้เว่ยซือหงกลับติดใจมากกว่าเดิม ง่าย ๆ แค่นี้? มันจะง่ายเช่นที่ท่านเทพพูดมาแน่หรือ? หญิงสาวหรี่ตามองจับผิดท่านเทพอย่างคนไม่ไว้ใจ หากไม่เห็นสิ่งผิดปกตินอกจากรอยยิ้มอ่อนโยนและดวงตาเอื้ออารีคู่นั้น
“ท่านเทพบอกว่ามิติโลกที่ฉันกำลังจะไปเกี่ยวกับพลังปราณพลังธาตุ เช่นนั้นฉันคงมีพลังไม่อ่อนด้อยใช่ไหมคะ”“แน่นอน ในเมื่อเราส่งเจ้าไปเกิดจะมีพลังธรรมดาสามัญได้อย่างไร ที่สำคัญเราจะให้พรเจ้าไปด้วย” ท่านเทพพูดอย่างใจดี“แล้วที่บอกว่าความชั่วร้ายกำลังกัดกินผืนแผ่นดิน กัดกินมิติคืออะไรคะ ใช่มารหรือปีศาจที่ฉันเคยอ่านเจอในนิยายหรือเปล่า”ท่านเทพชะงักไปซึ่งหญิงสาวที่มองอยู่ตลอดจับสังเกตได้พอดี ดวงตากลมโตมองกดดันให้คนที่เป็นเทพตอบคำถาม “เว่ยซือหงแม้เราจะส่งเจ้าไปเกิดก็ใช่ว่าจะบอกทุกอย่างแก่เจ้าได้”“แค่ตอบมาว่าสิ่งเหนือธรรมชาติที่ฉันต้องไปรับมือด้วยเป็นอะไร มันไม่ได้ยากเลยไม่ใช่เหรอคะ หากท่านไม่บอกฉันก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร ไม่เคยได้ยินเหรอคะ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”เฮ้อ! ท่านเทพถอนหายใจพลางคิด นางช่างคิดอ่านรอบคอบโดยแท้ เอาเถอะ เช่นไร บอกไปก็มิได้มีอันใดเปลี่ยนแปลง คิดได้ดังนั้นท่านเทพจึงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ“พวกมาร เจ้าจงระวังตัวให้ดี หากยังไม่แข็งแกร่งมากพออย่าได้สืบหาและต่อกรกับพวกมันเด็ดขาด เพราะครานี้ต่อให้เจ้าตายข้าก็ไม่อาจดึงดวงจิตของเ
ในพิภพผู้ฝึกปราณ ถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ดินแดน ได้แก่ ดินแดนเบื้องล่าง ดินแดนเบื้องบน และดินแดนเทพอันเป็นดินแดนในตำนานที่เหล่าผู้ฝึกปราณอยากไปเยือนให้ได้สักครั้งกล่าวถึงดินแดนเบื้องล่าง ถูกเรียกว่าทวีปนภาคราม แบ่งพื้นที่ปกครองเป็น 8 แคว้นย่อยด้วยระบบราชวงศ์ ได้แก่ แคว้นโจว แคว้นฉี แคว้นฮั่น แคว้นเป่ย แคว้นเซี่ย แคว้นหนาน แคว้นปิง และแคว้นสือโดยมีป่าบรรพกาลตั้งอยู่ระหว่างกลาง ล้อมรอบด้วยแคว้นทั้งแปด สิ่งที่กั้นอาณาเขตการแบ่งแคว้น หากไม่เป็นทางน้ำก็เป็นหุบเขานอกจากนี้ยังมี 4 สำนักใหญ่ที่เปิดสอนการฝึกปราณเป็นหลัก ได้แก่ สำนักพยัคฆ์ทมิฬ สำนักหงส์เพลิง สำนักมังกรดำ และสำนักหมื่นบุปผาทั้งนี้ยังมีหอเทพโอสถที่มีอำนาจเหนือราชวงศ์ ขึ้นตรงต่อดินแดนเบื้องบนเป็นหลัก เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางถ่วงดุลอำนาจของทวีปนภาคราม คอยสอดส่องดูแลปกครองอยู่เบื้องหลังราชวงศ์อีกทีปัจจุบันพิภพผู้ฝึกปราณมีอายุมากกว่าพันปีแล้ว เดิมทีเป็นพิภพที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ทว่าราว 500 ปีก่อน ได้เกิดสงครามเทพ-มารขึ้น ทำให้ทั้งสามดินแดนได้รับผลกระทบ เส้นปราณวิญญาณอ่อนแอลง ทำให้ยากต่อการดูดซับเป็นอุปสรรคในการเลื่อนขั้นป
ณ ทิศอุดรของเมืองหลวงอันเป็นทิศตั้งของจวนตระกูลเว่ย ในขณะที่ผู้คนทั่วแคว้นกำลังหมอบกราบตื่นตะลึงกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น บรรยากาศหนักอึ้งที่เคยมีภายในจวนแม่ทัพพลันมลายหายไปสิ้นเมื่อทารกน้อยแผดร้องเสียงจ้าดังออกมา บ่งบอกว่าการรอคอยแสนทรมานของผู้เป็นสามีจบลงแล้ว จบลงพร้อมชีวิตน้อย ๆ ที่ลืมตาดูโลก“ยินดีกับท่านแม่ทัพด้วยเจ้าค่ะ นี่เป็นคุณหนูน้อยบุตรีของท่านเจ้าค่ะ คุณหนูช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก ทั้งยังร่างกายแข็งแรงด้วยเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพหายห่วงได้” หมอตำแยชื่อดังที่มาทำคลอดให้ฮูหยินจวนแม่ทัพกล่าวแสดงความยินดีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนส่งทารกน้อยให้ผู้เป็นบิดาอุ้ม“ขอบคุณท่านหมอมาก แล้วฮูหยินของข้าเล่า”“ฮูหยินปลอดภัยดีเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ยังอ่อนเพลียอยู่มาก อีกสักครู่ท่านแม่ทัพค่อยเข้าไปหาฮูหยินพร้อมคุณหนูน้อยนะเจ้าคะ”“อืม เข้าใจแล้ว”เมื่อได้รับคำยืนยันว่าภรรยารักของตนปลอดภัยสบายดี แม่ทัพใหญ่จึงโล่งอก ก้มหน้ามองบุตรีตัวน้อย พลันได้สบกับดวงตากลมโตใสกระจ่างคู่นั้น น้ำตาที่ไม่เคยคิดว่าจะไหลพลันไหลออกมา“ลูกพ่อ นับจากนี้เจ้าชื่อซือหง ซือที่มาจากชื่อของพ่อ หงมาจากชื่อของแม่เจ้า นามซือหง แซ่เว่ย ดีใจ
เช้าวันใหม่มาถึง สี่ผู้อาวุโสมาเยือนหน้าเรือนเว่ยซือซานอย่างรวดเร็ว ยิ่งทราบข่าวว่าหลานน้อยเป็นทารกเพศหญิงต่างก็อยากเห็นหน้าหลานไว ๆ ทั้งยังไม่ลืมเตรียมของรับขวัญหลานมาด้วยเช่นกัน“คารวะท่านพ่อท่านแม่ขอรับ พวกท่านมากันเร็วไปหน่อยหรือไม่” เว่ยซือซานเร่งเข้าคารวะทั้งสี่ อันประกอบไปด้วยบิดามารดาเขา และบิดามารดาของภรรยา“เร็วอะไรกัน นี่ช้าไปด้วยซ้ำ ไหน หลานแม่อยู่ไหน พาแม่ไปดูก้อนแป้งน้อยเร็ว ๆ” หลินซือเหยา ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเว่ยเอ่ยกับบุตรชาย“ถูกของพี่ซือเหยา นี่ไม่ช้าเลย ลูกเขย เจ้ารีบพาพวกเราไปหาหลานน้อยเร็ว ๆ เถอะ คนแก่ตื่นเต้นจะแย่แล้ว” กู้เยว่ หรือฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหลิวมารดาหลิวลี่หงเอ่ยกับบุตรเขยด้วยท่าทางตื่นเต้นและเร่งเร้าสุดกำลัง“ใช่ ๆ มัวชักช้าทำไมอาซานรีบพาพวกเราไปสิ”“ใช่ ตาแก่เว่ยพูดถูก ไป ๆ พาพวกเราไปหาหลานน้อย”สองเสียงชราตามมาติด ๆ โดยเว่ยซือหลิว หรือนายท่านใหญ่ตระกูลเว่ย และหลิวห้าว นายท่านใหญ่ตระกูลหลิวบิดาหลิวลี่หงนั่นเองเว่ยซือซานหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้อาวุโสทั้งสี่ที่อยากเห็นหน้าหลานน้อยโดยไว ลางสังหรณ์ร้องเตือนว่า เขากำลังจะถูกแย่งลู
7 ปีผันผ่านอย่างรวดเร็วราวสายน้ำไหล ทารกน้อยผู้เปรียบดั่งแก้วตาดวงใจของคนทั้งตระกูลได้เติบโตมาเป็นอย่างดี นางได้รับความรักจนล้นปรี่เพราะเป็นน้องสาว ลูกสาว และหลานสาวเพียงคนเดียวของตระกูลเว่ยเว่ยซือหงเปรียบเสมือนศูนย์รวมความรักของคนในตระกูล ด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูทั้งยังรู้ความ นอกจากได้รับความรักจากทุกคนอย่างเต็มที่แล้ว นางยังถูกตามใจค่อนข้างมาก กระนั้นเด็กน้อยแก้มกลมก็ไม่ได้กลายเป็นเด็กเกเรแต่อย่างใดวันนี้เป็นวันที่สมาชิกทั้งเจ็ดของตระกูลเว่ยรวมตัวกันที่เรือนหลักเพื่อรับอาหารพร้อมกันอันประกอบไปด้วยท่านปู่เว่ยซือหลิว อายุ 57 ปี ท่านย่าหลินซือเหยา อายุ 52 ปี ท่านพ่อเว่ยซือซาน อายุ 35 ปี ท่านแม่หลิวลี่หง อายุ 33 ปี พี่ใหญ่เว่ยซือหลางอายุ 17 ปี พี่รองเว่ยซือเหลียง อายุ 14 ปี และก้อนแป้งน้อยเว่ยซือหง ที่พรุ่งนี้ก็มีอายุครบ 7 หนาวแล้วบรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยความชื่นมื่น กลับมีความเสียใจและรู้สึกผิดอยู่เจือจาง ยิ่งมองเด็กน้อยอันเป็นที่รักของพวกเขา ความรู้สึกผิดยิ่งพุ่งทะยานตระกูลเว่ยเป็นตระกูลแม่ทัพที่มีประวัติยาวนานมานับร้อย ๆ ปี ทรัพย์สมบัติที่ตระกูลสะสมมาเนิ่นนานสืบทอดกันจากรุ่นสู
น้ำเสียงก้อนแป้งน้อยทั้งเศร้าและเห็นใจในเวลาเดียวกัน ปรารถนาแรงกล้าที่สุดของนางตอนนี้คือไม่ต้องการให้บิดาหรือคนในครอบครัวเข้าป่า นางไม่อยากให้พวกเขาได้รับอันตรายหากท่านพ่อหรือคนในครอบครัวได้รับบาดเจ็บเพราะต้องการให้นางได้กินผักสด นางคงเสียใจและรู้สึกผิดมากแน่ ไม่มีทางเสียหรอก อย่างไรนางก็ไม่ยอมให้ครอบครัวต้องลำบากเพราะความอยากกินของนาง! ด้านผู้ใหญ่ที่นั่งล้อมโต๊ะอาหารอยู่พลันเอ็นดูเจ้าตัวน้อย มีความสุขและเสียใจไปพร้อม ๆ กันที่ไม่สามารถหาผักสดมาให้นางกินได้ ทั้ง ๆ ที่พรุ่งนี้ก็เป็นวันเกิดอายุครบ 7 หนาวของนางแท้ ๆ “ได้หรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ ห้ามเข้าป่าอีกได้หรือไม่ พวกท่านด้วยนะเจ้าคะห้ามเข้าป่า อาหงรู้ ในป่านั้นอันตรายมาก ไม่ดี ไม่ดี!” หัวกลม ๆ ส่ายไปมาจนก้อนซาลาเปาที่ผูกไว้บนหัวสั่นตาม ใบหน้าน่ารักจริงจังจนคนมองอยู่อดแย้มยิ้มออกมาด้วยความรักและเอ็นดูไม่ได้“ได้ ๆ พ่อรับปากเจ้า พวกเจ้าด้วยใช่หรือไม่” เว่ยซือซานรับปากบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนใช้เสียงเข้มพูดกับบุตรชาย“ขอรับ” เว่ยซือหลางเว่ยซือเหลียงรับคำพร้อมกันเมื่อเห็นว่าทุกคนรับปาก เจ้าตัวน้อยก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดี ราวกับมี
กลางดึกก้อนแป้งน้อยเว่ยซือหงนอนพลิกตัวไปมา ท่าทางกระสับกระส่ายไม่สบาย จนหลิงจูสาวใช้คนสนิทที่หลิวลี่หงมอบให้มาดูแลก้อนแป้งน้อย เร่งรีบออกไปแจ้งข่าวนายหญิงกับนายท่านของตนเอง“มีอะไรหลิงจู เหตุใดจึงมาดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้”“แย่แล้วเจ้าค่ะฮูหยิน คุณหนูเป็นอะไรไม่รู้เจ้าค่ะ นอนดิ้นไปมา ทั้งยังตัวร้อนมากด้วย ปลุกเท่าไหร่ก็ปลุกไม่ตื่นเจ้าค่ะ” หลิงจูกล่าวบอกท่าทางร้อนรน เป็นห่วงเจ้านายตัวน้อยยิ่งนักหลิวลี่หงฟังแล้วชะงักก่อนหันไปมองหน้าสามีแล้วเร่งรีบไปเรือนนอนของบุตรสาวทันทียังไม่ทันจะได้เข้าไปในห้องบุตรสาว เว่ยซือซานและหลิวลี่หงพลันสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่เอ่อล้นออกมาจากภายใน สามีภรรยามองหน้ากันด้วยไม่อยากเชื่อ“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะท่านพี่ หงเอ๋อร์เพิ่งจะเจ็ดหนาวเท่านั้นเองนะเจ้าคะ พลังปราณของลูกจะตื่นขึ้นได้เช่นไร” หลิวลี่หงพูดด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มยิ่ง ด้วยปกติพลังจะตื่นก็ต่อเมื่ออายุ 9 หนาว “พี่ก็ไม่รู้เช่นกัน เรารีบเข้าไปดูลูกกันก่อนเถอะ” เว่ยซือซานเป็นห่วงบุตรสาวที่พลังปราณตื่นก่อนกำหนด ขณะเดียวกันบอกพ่อบ้านอวิ๋นให้ไปตามบิดาของตนมาโดยเร็วสามีภรรยาเร่งเข้าไปในห้องนอนบุตรสาวตัวน้อยอ
ในระหว่างที่ด้านนอกกำลังวุ่นวาย ตัวต้นเหตุอย่างเว่ยซือหงนั้นไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้นางกำลังมึนงงสับสนและหวาดกลัวเล็กน้อย ดวงตากลมโตกวาดมองไปทั่วบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลที่นางยืนอยู่ในขณะนี้ด้วยความสนใจ ข้อความมากมายลอยขึ้นมาให้เห็นทันทีที่สายตากวาดผ่านจนลายตาไปหมดทำไมที่นี่มีแต่สีเขียว พืชพรรณมากมาย ทั้งอากาศยังบริสุทธิ์ ครอบครัวของนางเล่าอยู่ที่ใด? “ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าคะ”“ท่านปู่ ท่านย่า”“พี่ใหญ่ พี่รอง”เสียงเล็กเอ่ยเรียกคนในครอบครัวหากไม่มีสักคนที่จะตอบรับ ใจที่ชื้นเพราะสถานที่งดงามแป้วลงอีกครั้ง ดวงตากลมโตรื้นไปด้วยม่านน้ำตา ปากเล็กเบะออกอย่างน่าสงสาร คิดว่าอีกไม่นานต้องร้องไห้แน่ ก่อนที่เจ้าตัวกลมจะคิดมากและร่ำไห้ น้ำเสียงคุ้นเคยที่มาหานางตอนเป็นทารกก็ดังขึ้นเสียก่อน“เสี่ยวหงเอ๋อร์”“ท่านตา!”เจ้าตัวกลมร้องเรียกท่านตาที่ชอบโผล่มาตอนกลางคืนและหายไปตอนกลางวันอย่างรวดเร็ว ก่อนเท้าเล็ก ๆ จะวิ่งพรวดไปกอดต้นขาชราเอาไว้ นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน แต่นางจำท่านตาใจดีที่ชอบนำผลน้ำนมมาให้นางดื่มได้! “ท่านตา! อาหงคิดว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วเสียอีก เมื่อครู่อาหงกลัวมาก หากท่านตาไม่อ
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“
แม้มื้ออาหารจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่คนตระกูลเว่ยก็ยังไม่ได้แยกย้าย พวกเขายังคงต้องการพูดคุยกับเว่ยซือหงให้มากอีกหน่อย ความคิดถึงที่มีมาตลอดหนึ่งเดือนก็ยังไม่เบาบางลงเลย จะให้รีบไปไหนเล่าเว่ยซือเองก็พูดคุยกับครอบครัวด้วยความสนุกสนาน ทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องราวที่ตนเองเผชิญมาให้เว่ยซือหงฟัง เจ้าตัวเล็กก็มีอารมณ์ร่วมไปเสียหมด พาลให้คนเล่ามีใจอยากยิ่งอยากเล่าเพิ่ม ความสุขเรียบง่ายที่มีคุณค่าทางใจยิ่งกว่าของหายากราคาแพงเช่นนี้ คนตระกูลเว่ยหวงแหนมันมาก ครั้นทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องจนครบแล้วพลันถึงตาเจ้าตัวน้อยบ้าง“แล้วเจ้าเล่าน้องเล็ก เก็บตัวฝึกฝนเสียนาน มีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง” เว่ยซือเหลียงเป็นฝ่ายถามน้องสาวเว่ยซือหงเห็นสายตาทุกคนมองมาอย่างรอคอยและคาดหวังได้แต่ระบายยิ้มกว้างก่อนจะยอมเปิดเผยระดับพลังปัจจุบันของตนทันที ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนในครอบครัวต่างแตกตื่นตกใจ โดยเฉพาะพี่ชายคนรองอย่างเว่ยซือเหลียง“พลังปราณระดับนักรบขั้นสูง!”“เจ้าค่ะ” เห็นน้องสาวรับคำยิ้ม ๆ เช่นนี้พี่ชายอย่างเขารู้สึกปวดใจจริง ๆ ให้ตายเถอะน้องเล็กมีระดับเดียวกันกับเขาเลย!“ระดับเท่าพี่เลยน้องเล็ก นี่คือความแตกต่างของคนธรรมด
วันเวลาภายในมิติผ่านไปแล้วสิบปี โลกภายนอกก็ผ่านไปนานนับเดือนเช่นกัน ความคิดถึงและความห่วงใยที่มีต่อบุตรหลานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นานแล้วที่เว่ยซือหงเก็บตัวฝึกฝน หากไม่รู้ว่านางเข้าไปในมิติจิตวิญญาณพวกตนคงจะเป็นกังวลและไม่เป็นอันกินอันนอนมากกว่านี้อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่กับเว่ยซือหงทุกวันตั้งแต่นางเกิดจวบจนอายุใกล้จะแปดขวบแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่ต้องห่างกันนานถึงเพียงนี้สักครั้ง ความอดทนที่เคยมีชักจะมอดลงไปทุกทีถึงคนตระกูลเว่ยยังใช้ชีวิตเช่นเดิม ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำสิ่งนั้น แต่มันขาดความมีชีวิตชีวาและสีสันในชีวิต เสียงเจื้อยแจ้วที่เคยทำให้จวนสดใส เสียงหัวเราะของนางที่เคยทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาผ่อนคลายความเครียดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามไม่มีจึงรู้สึกขาดหายและกระหายถึงสิ่งนั้นมากขึ้นร่วมเดือนที่จวนตระกูลเว่ยเงียบเหงา ยิ่งช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถึงกับขาดความมีชีวิตชีวาจนแม้แต่บ่าวรับใช้ยังรู้สึกได้ พวกตนก็คิดถึงคุณหนูน้อยเช่นกัน อยากให้นางมาสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศแสนสดใสให้จวนตระกูลเว่ยโดยเร็ว เจ้านายในจวนจะได้แช่มชื่นขึ้นมาบ้างความกังวลของบ่าวรับใช้นั้นค่อนข้างมาก ถึงขั้นรวมตัวกันนำเรื
เว่ยซือหงเริ่มเดินพลังในร่างกายอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความติดขัดที่ตนไม่เคยเจอ ภายนอกคิ้วได้รูปของนางขมวดแน่น หากภายในจิตวิญญาณกลับสงบนิ่งมั่นคงอย่างมากเมื่อระดับการบ่มเพาะถูกทำลาย เส้นชีพจรต่าง ๆ จะอุดตันเต็มไปด้วยความสกปรกจากการดูดซับลมปราณ แม้แต่เว่ยซือหงที่ดูดซับลมปราณภายในมิติที่มีความบริสุทธิ์มาตลอดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ด้วยเคล็ดวิชาหยินหยางลมปราณสวรรค์ ปัญหาดังกล่าวจึงถูกจัดการได้อย่างไร้ที่ติเว่ยซือหงเดินพลังด้วยเส้นลมปราณสีทอง ซึ่งมีชื่อว่าเส้นลมปราณสวรรค์ ชักนำมันไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยความวิเศษของตัวเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ ร่วมกับเส้นลมปราณสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมนาง สิ่งต่าง ๆ ที่อุดตันในร่างกายจึงถูกกำจัด ทั้งเส้นเลือดและเส้นชีพจรยังถุกกรุยทางจนโล่ง ความสกปรกถูกชะล้างครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งการเดินพลังไร้การติดขัด เด็กน้อยจึงเริ่มการฝึกในลำดับต่อไปเว่ยซือหงค่อย ๆ ชักนำเส้นลมปราณสวรรค์ไปตามเส้นชีพจรต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ตามความรู้ที่ได้รับจากเคล็ดวิชา ความอุ่นร้อนจนเกือบร้อนลวกอยู่กึ่งกลางหน้าท้อง ตันเถียนที่ถูกทำลายไปเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ซึ่งมาพร้อมความเจ็บปวดเกินหยั่