ดูซิแค่แตะต้องเพียงนิดหน่อย กายก็ร้อนผ่าวอยากที่จะเร่งรุดให้ไปถึงจุดหมายปลายทางปรารถนาที่มาพร้อมความเสียดาย ถ้าให้อินซอฟเปิดห้องให้ก็ดีนะซิ จะได้มีความสุขกับมัดหมี่เสียในคืนนี้เลย กายแกร่งขยายใหญ่เสียจนปวดร้าว ด้วยต้องการเข้าไปพำนักในความอบอุ่นและฉ่ำร้อน แต่ฟารฮานก็ต้องจำต้องอดทนไว้ก่อน ถือคติอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
“บะ...บัญชีค่ะ” ปิยาพัชรตอบกลับเสียงสั่น อย่างไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ทำไมถึงยอมให้ชายหนุ่มที่ไม่เคยรู้จักมากก่อนแสดงความสนิทชิดเชื้อถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ ถ้าพี่มัดหวายรู้เข้ามีหวังโกรธเป็นไฟแน่ เพียงแค่นึกถึงพี่สาว เรือนกายที่กำลังอ่อนระทวยและพร้อมจะเดินทางไปในทุ่งกว้างก็พลันมีสติขึ้นอย่างรวดเร็ว สองมือเล็กที่จิกทึ้งดึงเสื้อตัวใหญ่ รีบผลักกายหนาใหญ่ให้ออกห่าง มือเล็กเรียวเงื้อขึ้นสูงหมายจะตอบแทนคนที่อุกอาจ
“โอ๊ะโอ่!! มัดหมี่กล้าทำร้ายฉันหรือ” ฟารฮานถามสีหน้าและน้ำเสียงยิ้มๆ ปลายนิ้วยาวใหญ่ลากไล้ไปตามใบหน้าขาวเนียน ที่ถึงแม้จะอยู่ในความมืดเพราะแสงไฟส่องมาไม่ถึง แต่กระนั้นก็ยังได้รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าขาวสวยแปรเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ ริมฝีปากอิ่มเต็มเริ่มบวมและแดงช้ำจากแรงกดทับ
ปิยาพัชรยังไม่ทันได้ทำอะไรตามความต้องการ มือเล็กก็ตกอยู่ในมือใหญ่ อีกทั้งโดนจับไพล่หลังไว้เสียอีก สองมือแกร่งดันเอาร่างบอบบางที่มีเสื้อผ้าติดกายอย่างหมิ่นเหม่ จมหายไปบดเบียดกับกายแกร่งที่ไม่รู้ว่ากระดุมเสื้อสูทตัวใหญ่และเสื้อเชิ้ตอีกตัวที่อยู่ภายในหลุดออกจากร่างตั้งแต่เมื่อไหร่ สองกายบดเบียดเสียดสีสร้างความปวดร้าวและก่อเกิดไฟปรารถนาอย่างรวดเร็ว
“คุณ...ปล่อยมัดหมี่นะ ไม่งั้นมัดหมี่จะร้องให้คนช่วย”
“อืม...มัดหมี่กล้าร้องจริงหรือ ถ้ากล้าก็เอาซิ แต่ฉันไม่รับประกันนะว่าตอนที่คนอื่นมาเห็นเธอจะอยู่ในสภาพแบบไหน จะมีเสื้อผ้าติดกายหรือว่าไม่มี เลือกเอาเองนะสาวน้อย” อย่างที่บอกให้รู้ว่าเอาจริง มือใหญ่ลากไล้วนเวียนรอบๆ แผ่นหลังเนียนนุ่มบริเวณที่ซิปแยกอยู่แล้ว ปลายนิ้วยังซุกไซ้เข้าไปใต้เนื้อผ้า ลูบไล้ผิวกายและสะกิดเอาที่ตะขอชั้นใน
ปิยาพัชรหน้าซีดเผือด ดวงตากลมโตเบิกกว้างไหวระริกด้วยความตกใจและหวาดกลัว หัวใจเต้นอ่อนแรงและเกือบจะหยุดเต้นอยู่แล้ว ริมฝีปากสั่นระริกจนต้องรีบขบกัดเอาไว้ มือเล็กเรียวเย็นเฉียบเหมือนกับน้ำแข็งรีบจับรั้งมือใหญ่ให้หยุดกับที่ อีกมือก็รีบจับเสื้อผ้าไม่ให้ร่วงลงจากกาย ได้แต่พยายามข่มความกลัวเอาไว้ภายใน ดึงเอาความกล้าที่มีน้อยนิด และพยายามถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“คะ...คุณเป็นใคร แล้วต้องการอะไรจากมัดหมี่กันแน่?”
“อยากรู้จริงๆ เหรอมัดหมี่ ฉันไม่ต้องการอะไรมากมายหรอก ก็แค่...” และถึงแม้จะมีมือเล็กจับมือใหญ่เอาไว้ แต่ก็ขัดขวางไม่ให้ปลายนิ้วยาวใหญ่ขยับไล้ผิวเนื้อขาวนวลเนียนได้ อีกทั้งใบหน้าคมโน้มลงไป ริมฝีปากอุ่นร้อนขบเม้มปลายติ่งหูนุ่ม
“ฉันต้องการตัวเธอไง สาวน้อย”
เท้าเรียวยาวก้าวถอยไปด้านหลัง แต่แขนใหญ่กลับดึงรั้งเอาไว้ และรัดด้วยแขนแข็งแกร่งเหมือนกับคีมเหล็ก ร่างหนาดันร่างบางแนบชิดผนังห้อง ขาแข็งแกร่งข้างหนึ่งแทรกระหว่างลำขาเรียวยาวที่พยายามจะยกเท้าขึ้นประทุษร้าย พร้อมเสียงหัวเราะหึหึในลำคอ
“คิดทำร้ายกัน...ไม่กลัวโดนเอาคืนหรือไงมัดหมี่” ใบหน้าคมซบซุกกับลำคอระหง ขบเม้มผิวเนื้อขาวเนียนเบาๆ พอให้เป็นรอยเหมือนกับโดนใครจูบมาเพื่อตีตราจอง “จำไว้นะมัดหมี่ ต่อไปนี้ห้ามให้ใครมาทำแบบนี้กับเธออีก ถ้าไม่เชื่อรับรองได้ว่าฉันจะขังเธอไว้บนเตียงทั้งคืนแน่สาวน้อย”
ปากหนาอุ่นประกบลงบนเรียวปากนุ่ม บดคลึงเต็มๆ แรง ก่อนปลายลิ้นจะซอกซอนเข้าไปควานหาความหวานปานน้ำผึ้งภายในโพรงปากนุ่ม มือใหญ่ลากไล้วนเวียนจิกทึ้งดึงเอาชุดสวยหล่นไปกองที่เอวคอดกิ่ว ส่วนชั้นในตัวเล็กก็ตกลงไปกองอยู่ปลายเท้า มือใหญ่ฟอนเฟ้นปทุมถันอวบอิ่มตั้งแต่ฐานรากจนถึงปลายยอดเม็ดบัวสีเข้ม กดคลึงจิกทึ้งตามแรงอารมณ์ที่ปะทุออกมา
ปิยาพัชรถึงกับเขาอ่อน ร่างน้อยไร้เรี่ยวแรงและสั่นไหวเหมือนกับสนต้องลมพายุร้าย สองมือจิกทึ้งเสื้อตัวใหญ่ ลมหายใจหอบแรงเหมือนกับคนที่กำลังจะจมน้ำ ปากอวบอิ่มอ้าออกเพื่อสูดเอาลมหายใจเข้าปอด แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ฟารฮานใกล้ชิดยิ่งกว่าเดิม
ริมฝีปากหนาร้อนประทับจุมพิตเคลื่อนไปตามจมูกโด่ง ดวงตากลมโต ขบเม้มติ่งหู ปลายลิ้นสากร้อนซอกซอนเข้าไปในช่องหนูนุ่ม ซุกไซ้ขบเม้มไปตามผิวกายเนียนหอมและอย่างไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะมีใครมองมัดหมี่ของเขา
ริมฝีปากหนาประทับไปบนบัวตูมเต่งตึง ปลายลิ้นตวัดไล้ปลายยอดถันสีเข้มเต็มแรงอารมณ์ปรารถนาที่ลุกโชติ ขบเคลื่อนไปประทับบนเรียวปากนุ่มบดคลึงแรงๆ อยู่สองสามครั้ง จึงได้ยอมปล่อยร่างน้อยให้เป็นอิสระ แต่ก็ยังไม่คลายอ้อมแขนใหญ่ เพียงแค่คลายออกเล็กน้อยให้ปิยาพัชรได้หายใจหายคอสะดวกขึ้นเท่านั้นเอง
“คุณ...ปล่อยมัดหมี่นะ!” ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ปิยาพัชรจึงได้แต่ขอร้องเสียงแผ่ว ด้วยเกรงกลัวภัยจากหนุ่มร่างใหญ่ที่ยังคงอิงแอบแนบชิด อีกทั้งปลายนิ้วยาวใหญ่ยังลากไล้วนเวียนบริเวณเนินทรวงสล้าง ใบหน้าสวยรีบเบือนหนีเมื่อจมูกโด่งคมกดลงบนแก้มนุ่ม
“อยากให้ฉันปล่อยเธอจริงๆ หรือมัดมี่ ฉันว่าไม่ใช่มั้ง เพราะตัวเธอ...” มือใหญ่ลากไล้แผ่วเบาไปตามเรือนกายสั่นไหวระริก
“ปะ...ปล่อยมัดหมี่นะคะ...”
“ก็ได้”
สิ้นเสียงทุ้มแหบห้าวปิยาพัชรแทบจะถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วริมฝีปากอวบอิ่มก็ต้องอ้าออก ดวงตาเบิกกว้าง
“แต่คืนนี้เธอต้องไปต่อกับฉันนะสาวน้อย...”
“มะ...ไม่นะคะ มัดหมี่ไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่คุณคิดนะคะ”
“ฉันก็ไม่ได้คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงแบบนั้น แค่คืนนี้ฉันอยากอยู่กับเธอนี่นา” ถึงแม้ปากจะพูดไป แต่มือใหญ่ก็ยังคงทำงานอย่างไม่ยอมให้สองปทุมถันอวบอิ่มได้อยู่อย่างสบาย ปลายนิ้วยาวใหญ่ลากไล้กดคลึงปลายยอดถันสลับซ้ายและขวา ในขณะที่อีกมือก็ลากไล้ลงไปบีบนวดลำขาเรียวยาว
ปิยาพัชรพยายามครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ แล้วคำพูดพี่สาวก็แว่วเข้าหูมา แล้วถึงจะไม่แน่ใจว่าคำพูดหวานๆ และท่าทางเอียงอายมีจริตที่พี่สาวแนะนำนั้นจะใช้ได้กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าหรือเปล่า แต่ยังไงก็ดีกว่าไม่ได้ลองดูใบหน้าสวยค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากตื่นตระหนกและซีดเผือดเป็นยิ้มหวานและเอียงอาย มือเล็กค่อยๆ ลากไล้ไปตามแขนใหญ่อย่างกึ่งกล้ากึ่งกลัว หัวใจเต้นแรงและเร็วเหมือนกับจะทะลุออกจากอก ริมฝีปากขบเม้มจนแทบจะห้อเลือด ในดวงตาเปล่งประกายเหมือนเป็นมีดแหลมคมบาดลงไปบนกายใหญ่“อยากอยู่กับมัดหมี่ ทำไมคุณถึงไม่ยอมแนะนำตัวและก็คุยกันดีๆ ล่ะค่ะ ทำแบบนี้มัดหมี่ตกใจ...อาจถึงขั้นเกลียดและกลัวคุณไปเลยก็ได้นะคะ”คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นสูง เมื่อเห็นสาวน้อยที่เคยหวาดกลัวเปลี่ยนท่าทีกะทันหัน แต่ด้วยความจัดเจนก็ให้รู้ว่าหญิงสาวข่มความอายและกลัวไว้ภายใน ดึงเอาความกล้ามาต่อสู้กับเขา ปลายนิ้วยาวใหญ่ลากไล้ไปตามใบหน้าเนียนนุ่ม และหยุดบนเรียวปากอิ่มเต็ม“เอาไว้เราค่อยไปรู้จักกันตอนที่อยู่ในห้องแล้วไม่ได้หรือไง ถึงตอนนั้นฉันชื่ออะไรเธอคงจะไม่ค่อยอยากสนใจก็ได้มั้ง ในเมื่อ...” ฟารฮานทอดเสียงยาวนุ่มทุ้ม ป
“มีอะไรให้ฉันช่วย บอกได้นะมัดหมี่” ฟารฮานถามยิ้มๆ แขนใหญ่กอดรัดร่างบอบบางและดึงเข้ามาแนบชิดและช่วยดึงตัวผ้าออกจากซิปเบาๆ แต่ริมฝีปากก็ยังวนเวียนหากำไรประพรมจุมพิตจากบ่ากว้าง ขึ้นไปตามลำคอระหง และประทับบนเรียวปากนุ่มที่กำลังจะส่งเสียงร้องห้ามริมฝีปากหนานุ่มขบเม้มริมฝีปากอิ่มเต็ม ปลายลิ้นสากระคายค่อยๆ ลากไล้และซอกซอนเข้าไปในเรียวปากนุ่มอิ่มเต็ม มือใหญ่จับแขนเรียวยาวที่พยายามดันร่างกายหนาแกร่งให้ออกห่างไพล่หลัง ปลายนิ้วไล้วนข้อมือสลับกับสะโพกกลมมน อีกมือขยับเคลื่อนไปตามลำขาเรียวยาว ขยำบีบต้นขาเสลา ความร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนต้องรีบระงับอารมณ์ปรารถนาที่กำลังปะทุเหมือนไฟกำลังเผาไหม้ให้คงที่ ก่อนที่จะทนไม่ไหวจนต้องรักปิยาพัชรเสียตรงนี้แขนใหญ่โอบรัดรอบเรือนกายบอบบาง ขบกัดฟันจนได้ยินเสียงดังกรอด ใบหน้าซบกับซอกคอระหง ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจลมหายใจหอบแรงเข้าออกอย่างช้าๆ จนกลับเป็นปกติ“รีบเข้าไปในงานดีกว่ามัดหมี่ ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวรักเธอตรงนี้เลย แล้วอย่างลืมนะสาวน้อยคืนนี้เจอกันหลังงานเลิก” สองมือใหญ่ดันร่างบอบบางเดินออกจากมุมอับ แต่ตัวเองยังคงยืนอยู่ตรงนั้นมองสาวน้อยปิยาพัชรเดินแกมวิ่งลับหา
ริมฝีปากอวบอิ่มอ้าออก เป็นผลให้คนที่รอคอยอยู่ก่อนแล้วส่งปลายลิ้นสากระคายเข้าไปแต่งแต้มซอกซอนหาความหวานภายในโพรงปากนุ่มอย่างถนัดถนี่ ปลายลิ้นเล็กที่พยายามผลักดันและขับไล่ลิ้นสากร้อนที่ล่วงล้ำเข้าไปให้ปลายลิ้นใหญ่ได้เกาะเกี่ยวดูดกลืนหาความหวานได้มากยิ่งกว่าเดิมเสียอีกมือใหญ่ละจากปลายคางมน ลูบไล้ลำคอระหงไพล่ไปด้านหลัง ลูบไล้ผิวกายเนียนนุ่มที่อยู่เหนือขอบเสื้อ แล้ววกมาด้านหน้ากอบกุมเนินเนื้อถันอวบอิ่มและเต่งตึง แต่ตัวเสื้อสีเหลืองทองจับพลีทจากฐานอกยาวลงไปถึงเท้าเป็นปราการขัดขวางให้ต้องอารมณ์เสีย ปลายนิ้วยาวใหญ่ลากไล้ผิวกายเนียนวกกลับไปด้านหลังอีกครั้งและควานหาตัวซิปและรูดลงเบาๆจันฑีราเบิกตากว้าง เมื่อรับรู้ถึงความเย็นของอากาศที่พัดไหวมาแตะต้องเรือนกาย พยายามดึงมือออกจากการจับกุม แต่ก็ไม่สำเร็จ ถึงแม้ว่าจะเคลิบเคลิ้มไปกับจุมพิตหวานเชื่อมที่กำลังสูบเอาวิญญาณออกจากร่าง แต่ด้วยความรักนวลสงวนตัวก็ทำให้เธอต้องรีบดึงสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมา สองมือสองเท้าสั่นระริก กายบางอ่อนระทวยเอนตัวอิงร่างกำยำถึงแม้จะคุ้นเคยกับมารยาร้อยเล่มเกวียน แต่เพราะประมาทอีกทั้งสุขใจที่สาวน้อยในอ้อมกอดตอบสนองจุมพิตก
น้ำเสียงเข้มดุและแข็งกร้าวที่ดังจากปากหนาใหญ่ สร้างความตื่นตระหนกให้จันฑีราจนขาเรียวยาวสั่นเทาแทบรับน้ำหนักตัวไว้ไม่ได้ ใบหน้าขาวสวยที่แดงด้วยความโกรธกลับซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจสั่นหวิวเหมือนคนกำลังจะเป็นลมอยู่รอมร่อ “ฉะ...ฉันไม่ด่านายก็ได้ แต่นายช่วยขยับตัวออกไปห่างๆ หน่อยได้ไหม อยู่แบบนี้มัดอึดอัดหายใจไม่ออก”ในเมื่ออยากให้เปลี่ยนสรรพนามก็จะเปลี่ยนให้ แต่ให้เรียกยังไงล่ะ ในเมื่อชื่อก็ไม่รู้จัก หน้าตาหรือก็ไม่เคยเห็นเลยสักนิด เข้ามาถึงก็ลวนลามเอาจนตัวอ่อนระทวยลูกเดียว ดวงตาคมพยายามที่จะสอดส่ายหาทางหนีทีไล่ แต่มองไปทางไหนก็ยังไม่มีหนทางที่จะรอดจากน้ำมือผู้ชายตรงหน้าได้เลย“ไม่ละ ฉันชอบที่จะอยู่แบบนี้มากกว่า” ไม่พูดเปล่าปลายนิ้วยาวเรียวยังลากไล้บนลำคอระหง เรื่อยลงมาตามเนินทรวงขาวผ่องจันฑีรากลืนน้ำลายลงคอ เสื้อผ้าที่เลือกใส่ในวันนี้ด้วยเพราะชอบในความสวย ถึงจะดูเปรี้ยวนิดๆ ด้วยสีที่เลือกแต่ก็กระชับรูปร่าง แต่กลับกลายเป็นอาวุธที่หันมาทำร้ายตัวเองให้ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก สองมือที่ตอนนี้ไม่ถูกตรึงไว้พยายามจับรั้งให้มือใหญ่หยุดนิ่งกับที่“เธอชื่ออะไรสาวน้อย” อินซอฟเอ่ยถามชิดผิวกายเนียนห
“อือ...” กายบอบบางสั่นไหวระริก เมื่อถูกโจมตีอย่างช่ำชองและจัดเจน ศีรษะทุยที่พยายามส่ายหนีหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจสั่นไหวและเต้นแรงเร็ว เรียวปากอิ่มเต็มที่พยายามจะขบรั้งเอาไว้อ้าออกอย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้ปลายลิ้นสากร้อนที่รออยู่ก่อนแล้วล่วงล้ำเข้าไปซอกซอนหาความหวานอย่างอิ่มเอมริมฝีปากหนาตามติดเรียวปากนุ่ม มือใหญ่ฟอนเฟ้นสองบัวตูมสลับลากไล้ผิวเนื้อขาวเนียน พยายามดึงทึ้งเอาเสื้อผ้าเนื้อหนาออกจากกายบาง เพื่อให้มือใหญ่ได้สัมผัสกับเนินดอกรักอย่างถนัดถนี่ ปลายนิ้วยาวใหญ่กรีดไล้รอยแยกกลีบกุหลาบนุ่ม สลับกับกดคลึงเกสรดอกรักความใหม่สดของเรือนกายสาวสร้างความปวดร้าวให้กับอินซอฟเป็นอย่างมาก ริมฝีปากหนาอุ่นร้อนเลาะเล็มริมฝีปากอวบอิ่ม ขบเม้มไปทั่วใบหน้างาม เคลื่อนไหวแผ่วเบาและนุ่มนวลไปขบเม้มติ่งหู ปลายลิ้นสากระคายกระเซ้าเย้าแหย่ไปในช่องหูนุ่ม แล้วขยับเคลื่อนไปตามลำคอระหง แอ่งชีพจรและประทับระหว่างทรวงอกสล้างหอมกรุ่นถึงคราวนี้จันฑีราต่อต้านอารมณ์ปรารถนาที่ลุกเป็นเพลิงไฟไม่ได้อีกแล้ว กายบอบบางอ่อนระทวยอิงซบกับร่างหนาใหญ่ ลมหายใจหอบกระเส่า ดวงตากลมโตฉ่ำเยิ้ม หน้าท้องแบนราบเรียบขยับเป็นลอน ใบหน้
“เปล่าๆ แต่ฉันกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับแกและฉันน่ะซิ” จันฑีรารีบบอก ถึงแม้จะอยู่ไกลแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอกลับมองเห็นสายตาคมดุที่มองมา และรู้สึกเหมือนกับว่าร่างหนาใหญ่นั้นเดินเข้ามาอยู่ใกล้ๆ มือใหญ่ลูบไล้ตามเรือนกายให้สั่นไหวและวาบหวิวด้วย“แกพูดเหมือนกับว่าเกิดอะไรขึ้นกับแกอย่างนั้นแหละจันตี” ดวงตากลมโตละจากร่างใหญ่ที่เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มาใหม่ ลับหายไปยังห้องด้านหลังด้วยใบหน้าบึ้งตึง แต่ก่อนที่ร่างหนาจะลับหายไปยังไม่วายหันมาส่งสายตาวาววับและเรียกร้อง จนร่างบอบบางถึงกับสั่นสะท้านไหววูบไปถึงหัวใจ“เปล่าๆ แต่ป้องกันไว้ก่อนไง ไม่รู้ซิ ฉันกลัวๆ ไงก็ไม่รู้ แกโทรหาพี่มัดหวายให้มารับได้หรือเปล่า”“แต่รถอยู่ที่ฉันนะ จะให้พี่มัดหวายมารับเราได้ไงล่ะ อีกอย่างพี่มัดหวายก็ป่วยด้วย” ถึงแม้ปากจะไม่เห็นด้วยแต่สมองกลับเห็นสมควร มือเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋าใบเล็ก ก่อนจะนึกออกว่าแบ็ตเตอร์รี่หมด“ฉันลืมไปจันตี โทรศัพท์ฉันโทรไม่ได้ แกโทรหาซิ”“เออ...” ถึงคราวนี้จันฑีราก็ไม่อิดออด รีบควานหาโทรศัพท์จากกระเป๋าใบเล็กมากดหาพี่สาวเพื่อนรักได้ทันที และอย่างรวดเร็วทันใจเหมือนกันที่กัญญาพัชรก็รับสายเหมือนกับกำลั
กัญญาพัชรตวาดแว้ดดังมาตามสาย มันน่านักเชียว นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะหยิกให้เนื้อเขียวเชียว ทั้งบอกทั้งเตือนก็แล้วว่าให้ชาร์ตๆ แต่กลับพูดว่าเดี๋ยวๆ เป็นไงล่ะ ศีรษะทุยได้รูปส่ายไปมา ถึงว่าทำไมพยายามโทรหาตั้งหลายครั้งไม่ติด ตอนแรกก็คิดว่าอยู่ในช่วงอับสัญญาณ“มัดหมี่ขอโทษนะคะ พี่มัดหวายอย่าโกรธนะคะ”“จะไม่ให้โกรธได้ไงยัยตัวดี พี่บอกพี่เตือนแล้วใช่ไหม แต่เราน่ะซิ”ขืนยังคุยต่อไปพี่สาวต้องเทศนาอีกยาวยืดแน่นอน “พี่มัดหวายจ๋า งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ แล้วพี่สาวคนสวยรีบมานะคะ น้องจะรอ จุ๊บ” มือเรียวกดวางสายอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปเลิกคิ้วให้กับเพื่อนรัก แต่แล้วคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัย เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักไม่ได้มองหรือสนใจการคุยโทรศัพท์ของเธอ แต่สายตากลมโตคู่นั้นกลับกวาดมองไปทั่วๆ งานอย่างคนใช้ความคิด“จันตี” ปิยาพัชรลองเรียกเพื่อนสาวดู เห็นว่าไม่ตอบกลับ มือเล็กยื่นไปจับแขนเรียวและเขย่าเบาๆ “จันตี มองอะไรนะ”“ปะ...เปล่า ว่าแต่แกมีอะไรหรือเปล่า”“เปล่า แต่เห็นแกท่าทางแปลกๆ มองอะไรอยู่ นั่นแน่...” นิ้วเรียวยาวยกขึ้นชี้ใบหน้าเพื่อน “อย่าบอกนะว่างานนี้แกเกิดปิ๊งใครหรือว่าใครมาปิ๊งแกเข้าให้แล้ว บอกม
กัญญาพัชรพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้น แต่ในใจก็เหมือนมีอะไรค้างคาอยู่ มือเรียววางกรอบรูปไว้ที่เดิม สะบัดความคิดวางทุกอย่างลง แล้วรีบเดินเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปรับน้องสาวและจันฑีรา ทว่าปัญหาก็มีมาให้คิดอีก ปิยาพัชรเอารถเต่าไป แล้วเธอจะเอาอะไรไปรับล่ะมือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าสะเอว อีกข้างยกขึ้นเกาศีรษะที่เมื่อครู่หวีผมไว้อย่างเรียบร้อยจนยุ่งเหยิง เท้าเรียวเดินไปเดินมาแล้วไปสะดุดขาตัวเอง ร่างโปร่งบางคะมำไปด้านหน้าจนใบหน้าเกือบจะชนกับขอบเตียง แต่ก็เป็นการดีเพราะได้เห็นกุญแจรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าถึงแม้จะโปเกบ้าง แต่ก็ยังใช้การได้ดีวางอยู่ใกล้ๆ กับเสาเตียงด้านใน“เฮ้อ...หาเสียนาน มาตกอยู่ที่นี่เอง”กัญญาพัชรรีบคลานเข้าไปหยิบกุญแจ จากตอนแรกที่เห็นว่าอยู่ใกล้ๆ แต่พอเอื้อมมือไปกลับปรากฏว่าเอื้อมไม่ถึง “อื้อ...ทำไมเอื้อมไม่ถึงหว่า แล้วอย่างนี้จะทำยังไงดี” หญิงสาวถอยกลับออกมานั่งขัดสมาธิบนพื้นกระเบื้อง มือยกขึ้นเกาศีรษะอย่างคนใช้ความคิด แล้วคิ้วคมเข้มก็เลิกขึ้นสูง พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นวิ่งออกไปจากห้องนอน คว้าไม้กวาดที่แขวนไว้ข้างผนังห้องครัวมา แต่ระหว่างทางที่เดินมา...“โอ๊ย!!” มือเรี
“พาหม่อมฉันกลับมาอีกทำไม หม่อมฉันไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้าย คนหลอกลวง”“ถ้าไม่ใจร้ายและหลอกลวงอีก จะอยู่ด้วยไหมล่ะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มและเว้าวอนทำเอาคนที่พยายามจะใจแข็งถึงกับสั่นระรัว ด้วยรู้ชะตาตัวเองดีตั้งแต่ถูกจับได้นั่นแหละว่าอาจหนีไม่พ้นอ้อมแขนใหญ่นี้ไปตลอดชีวิต“จะรู้ได้ไง พระองค์จะไม่หลอกหม่อมฉันอีก ทั้งพี่ทั้งน้องช่างวางแผนและเจ้าเล่ห์เหลือเกินนี่”“ใช้หัวใจแลกหัวใจไง”“เชอะ...คนอย่างองค์นาสเซอร์ ประมุขผู้ครองแคว้นซัลจาร์บาเมีย ชายหนุ่มที่มีผู้หญิงนับสิบอ๋อ...นับร้อยมากกว่าคอยถวายตัวเป็นข้ารองบาทน่ะหรือจะยอมหยุดอยู่ที่ผู้หญิงอย่างหม่อมฉันเพียงคนเดียว เชื่อตายละ” กัญญาพัชรยังคงปากแข็งแม้ใจจะยอมผ่อนตามไปเกือบจะครึ่งแล้ว“อ้าว...ทำไมล่ะ เราแตกต่างกับชายหนุ่มคนอื่นอย่างไร ถึงจะหยุดอยู่ที่ผู้หญิงเพียงคนเดียวไม่ได้น่ะ ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไปในชีวิตนะมัดหวาย สำหรับเราเมื่อเราพบคนที่ใช่ เราก็พร้อมที่จะหยุดทุกอย่างไว้ที่เธอคนนั้นเพียงคนเดียว และตอนนี้เราก็คิดว่าเราพบนางคนนั้นของเราแล้ว”หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักๆ ไม่เป็นจังหวะ นาสเซอร์หมายถึงเธอใช่ไหม ‘ไม่นะมัดหวาย แกอย่าลืมซิว่าเขาหลอกลว
“ไม่ใช่หรอกมัดหมี่ ถ้าเพียงแค่ความต้องการของผู้ชายคนหนึ่ง ฉันว่าเขาไม่ทำถึงขนาดนี้หรอก” ใบหน้าคมคร้ามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม มือใหญ่จับมือเล็กเรียวมาวางบนแผงอกกว้างตรงที่มีหัวใจกำลังเต้นอยู่“สิ่งที่ฉันทำด้วยความเจ้าเล่ห์และร้ายกาจก็จริง แรกเริ่มมาจากเพียงแค่ความปรารถนาก็จริง แต่สิ่งหนึ่งนับจากวันแรกที่ฉันได้ครอบครองความบริสุทธิ์ของสาวน้อยคนนั้น มันเป็นคำสั่งมาจากหัวใจทั้งสิ้น” สองมือใหญ่จับรั้งใบหน้าขาวสวยให้จ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบ“ฉันอยากจะบอกให้มัดหมี่รู้เหมือนกัน ฉัน...รัก...มัดหมี่”ปิยาพัชรแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง หากว่าไม่ถูกจับรั้งไว้ศีรษะทุยคงจะส่ายบอกว่าไม่เชื่อและไม่จริง แต่คำพูดที่หนักแน่น ดวงตาที่มั่นคงดุจดังภูเขาหินที่ไม่อาจพังทลายลงมาได้ ไม่ว่าจะเจอพายุร้ายเพียงใดเป็นคำตอบที่ชัดเจน และที่สำคัญคือหัวใจของเธอมันก็เลือกที่จะเชื่อคำพูดนั้นซะด้วยสองแขนเรียวโอบรอบกายแข็งแกร่ง “จริงๆ นะคะ คุณฟารฮานพูดจริงๆ นะคะ ไม่ได้หลอกให้มัดหมี่ดีใจเล่นนะคะ”“จริงซิ ฉันจะโกหกมัดหมี่ทำไมล่ะ เพราะรัก ฉันเลยต้องวางแผนการร้ายทุกอย่าง เพื่อส่งแม่สาวจอมหว
“แสดงว่าพวกนายรู้แผนการของเราทุกอย่างเลยใช่ไหม แล้วรู้ได้ยังไง รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมถึงไม่ขัดขวางตั้งแต่ต้น”“เอาเป็นว่าฉันจะเล่าให้เธอฟังวันหลังนะ แต่วันนี้ขอฉันลงโทษคนที่ทำให้ใจเสียก่อนละกัน”ใบหน้าขาวสวยแย้มยิ้ม ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ สองแขนเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง “เสียใจด้วยนะอินซอฟ เผอิญว่าวันนี้เครื่องซักผ้ามันดันเกิดแอ๊กซิเดนท์ ทำงานไม่ได้อ่ะ”จันฑีราหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ ยิ่งได้เห็นใบหน้าเสียอารมณ์ของอินซอฟก็ยิ่งอยากแกล้งยั่วเย้าให้หนักขึ้นอีก แต่รู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เธอหายจากสิ่งที่เป็นอยู่ ย่อมจะต้องถูกเขาเอาคืนจนอาจจะลุกจากเตียงไม่ได้เพราะความเพลียมือเล็กจับแขนใหญ่วางยาวแนบไปกับพื้นเตียง พร้อมกับวางศีรษะลงไปนอนหนุน อีกมือก็จับแขนใหญ่มาพาดรอบเรือนกายเล็ก กายบางขยับจนแนบชิดกับเรือนกายใหญ่ นับจากวันนี้ชีวิตที่เคยมีเคยอยู่คนเดียวได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาเติมเต็มด้วยความรักและความอบอุ่น“ขอบใจนะอินซอฟที่รักฉัน เมื่อก่อนที่ฉันเคยทำร้ายและทำไม่ดีกับนายไว้ ขอให้นายยกโทษและให้อภัยฉันด้วยนะ ฉันสัญญาว่าต่อไปนี้ฉันจะทำตัวดีๆ และรักนายให้มากที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำ
“จะไปไหนล่ะมัดหมี่...” แขนแข็งแกร่งสอดเข้าระหว่างเอวเล็กคอดและดึงเข้าหาตัว ศีรษะทุยโน้มลงกระซิบเบาๆ ข้างใบหูนุ่ม น้ำเสียงกึ่งกระเซ้าและยั่วเย้า“รู้ไหมว่าโทษของคนที่คิดหนีฉันน่ะมันร้ายแรงมากนะ”“ปล่อยน้องสาวฉันนะนายฟารฮาน” แม้จะห้อยต่องแต่งอยู่บนร่างสูงใหญ่ แต่กัญญาพัชรก็ไม่วายส่งเสียงแว้ดๆ ใส่ฟารฮาน สองมือยันแผ่นหลังกว้างเพื่อจะได้นำเอาตัวเองลงไปขัดขวาง“ฉันว่าเธอเอาตัวให้รอดพ้นจากพี่ชายฉันก่อนดีกว่านะมัดหวาย ก่อนที่จะมาช่วยเหลือคนอื่นเขาน่ะ” ฟารฮานตอบกลับด้วยน้ำเสียงยิ้มๆ คิ้วคมเข้มข้างหนึ่งเลิกขึ้นสูงเป็นจังหวะ“ไปกันเถอะมัดหมี่ เรามีเรื่องที่จะต้องคุยเหมือนกัน”“ว้าย!!” สองแขนเรียวโอบรอบลำคอแกร่งอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายลอยขึ้นจากพื้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว “ทำอะไรก็ไม่รู้คุณฟารฮานน่ะ”“ก็พาคนที่กล้าหนีฉันไปลงโทษไง” ใบหน้าคมโน้มลงจนจมูกโด่งคมประชิดติดแก้มนุ่ม“บ้า...” ปิยาพัชรส่งค้อนให้คนพูดวงโตด้วยความอบอุ่นในหัวใจ เพราะฟังจากน้ำเสียงฟารฮานไม่ได้โกรธเคืองเธอแม้แต่น้อยนิด อาจมีน้อยใจบ้าง แต่ถ้าอธิบายให้ฟังเขาก็พร้อมที่จะเข้าใจ“โว้ย...ปล่อยฉันนะคนบ้า คนเฮ็งซวย ไอ้ผู้ชายเส็งเคร็ง รัง
ยามราตรีที่ท้องฟ้ามีแสงดาวส่องนำทาง สามร่างเดินตามกันไปอย่างรีบเร่ง โดยมีร่างสูงโปร่งเดินนำและร่างบอบบางอีกสองร่างเดินตามไปติดๆ ศีรษะทุยสอดส่ายเหลียวซ้ายแลขวา ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้จะรู้ว่าคืนนี้นาสเซอร์ ฟารฮาน และอินซอฟกำลังอยู่ร่วมการประชุมในการกำหนดนโยบายของแคว้นว่าจะให้เดินไปในทิศทางใดหลังจากนี้ แต่ใครจะรู้เล่าเกิดว่าคนหนึ่งคนใดเกิดสงสัยในพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ และกระซิบกระซาบที่เธอและน้องๆ ทั้งสองคนมีมีหลายครั้งที่ร่างโปร่งบางหยุดยืนและหันไปจะเอ่ยปากถามสองสาวที่ตามมาด้วยว่าตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมที่จะตามเธอไปน่ะ แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใยของสองสาวก็ทำให้พูดไม่ออก ใจจริงกัญญาพัชรไม่ได้อยากชวนปิยาพัชรและจันฑีราหนีไปด้วย แต่เพราะความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของสองสาว ที่ไม่รู้ว่าจะต้องโดนหางเลขจากคนที่ไม่หวังดีด้วยเมื่อไหร่ มันก็ทำให้เธอต้องคะยั้นคะยอชักแม่น้ำทั้งห้าให้สองสาวเดินทางหลบหนีกลับบ้านด้วย อีกทั้งเมื่อน้องสาวทั้งสองคนรู้ว่าเธอจะหนีกลับ ทั้งสองก็ไม่ยอมให้เธอต้องเดินทางเพียงลำพังปิยาพัชรและจันฑีราเดินตามกัญญาพัชรไปด้วยใจที่เจ็บปวดและหวาดกลัว
“อ้าว...พี่มัดหวายหลับแล้วละแก” ปิยาพัชรที่เล่าเรื่องของตัวเองจ๋อยๆ ด้วยความดีใจและสุขล้นหยุดอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตแปรเปลี่ยนเป็นหมองเศร้าลง เธอเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่สาวฟังแทบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องที่เธอตกเป็นของฟารฮานแล้วและเรื่องถูกปองร้ายหมายเอาชีวิต“ใจเย็นๆ นะแก ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานอินซอฟจะต้องหาคนที่คิดร้ายกับแกเจอ” จันฑีรายกมือขึ้นตบบ่ากว้างของเพื่อนรักเบาๆ เธอเองก็เป็นกังวลไม่น้อยไปกว่าปิยาพัชร แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่ากัญญาพัชรมีอาการดีขึ้น ความเหนื่อยจากการเดินทางไกลก็เริ่มประท้วง ริมฝีปากอวบอิ่มอ้าหาวหวอดๆ ดวงตาก็เริ่มที่จะหรี่ลง“ฉันไม่ไหวแล้วแก ขอนอนกอดพี่มัดหวายก่อนนะ” ร่างบอบบางคลานขึ้นไปบนเตียงนอนใหญ่ เอนตัวนอนแนบชิดร่างกัญญาพัชร“เฮ้ย...ไม่เอาซิแก ฉันนอนด้วย” ปิยาพัชรบอก เพราะเธอก็เหนื่อยและเพลียเหมือนกัน ร่างบอบบางรีบเอนตัวลงอิงแอบแนบซบกับร่างพี่สาว แขนเรียวยาวพาดไปโอบร่างโปร่งไว้ แต่ด้วยความไม่ระมัดระวังทำให้ปลายมือไปถูกเอาที่บาดแผล ทำให้คนที่หลับอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ และเจ็บปวดเล็กน้อย“ขอมัดหมี่นอนด้วยนะพี่มัดหวาย คิดถึง อยากนอนกอดพี่” ปิยาพัชรบอกเสียงหว
“ยานี่จะช่วยให้เจ้าดีขึ้นและหายดีในเร็ววันนะ” แม้จะไม่หมดทั้งถ้วยแต่ยาที่เข้าไปจะทำการขับพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายกัญญาพัชรให้ออกมาอย่างช้าๆ และหมดในที่สุด มือใหญ่ปิดปากเรียวยาวไม่ให้หญิงสาวพ่นยากลับออกมาจนกว่ายาทั้งหมดจะหายเข้าไปในกาย“อือ...” สองมือเล็กเรียวยกขึ้นจิกทึ้งดึงมือใหญ่ออกจากใบหน้า เจ็บจนน้ำตาเล็ดออกมาจากกระบอกตากับเรี่ยวแรงที่ชายหนุ่มกดลงไป และยังฝืดๆ และเหม็นเน่ากับสิ่งที่ได้ไหลเข้าสู่ร่างกาย“อดทนนิดมัดหวาย อีกไม่นานเจ้าก็หายแล้วคนดี ยานี้จะเป็นยารักษาให้เจ้าหายจากอาการบาดเจ็บและพิษร้ายที่เข้าสู่ร่างกายนะคนดี”“พิษร้ายหรือเพคะ หมายความว่า...”“ใช่ คมมีดที่บาดลงไปในเนื้อของเจ้าอาบด้วยยาพิษร้ายแรง ถ้าเป็นเราอาจจะเพียงแค่หมดแรง จนกลายเป็นเหตุให้ถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิตได้ แต่กับเจ้ามันทำให้เจ้าเกือบจะจากเราไปตลอดชีวิต...รู้ไหม”“แต่หม่อมฉันว่ามันก็คงดีกว่าตื่นมาเป็นตัวตลก เป็นผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่งในสายตาของพระองค์ไม่ใช่หรือเพคะ” กัญญาพัชรเอ่ยถามอย่างน้อยอกน้อยใจ หลายครั้งที่เธอลืมตาตื่นมาแล้วก็มีเพียงแค่ความเงียบของห้อง และยังมีคนแปลกหน้าที่คอยทำอะไรกับร่างกายก็ไม่รู้ จับพ
“มัดหมี่ทำใจดีๆ และฟังฉันให้ดีนะ” ร่างหนานั่งลงหน้าปิยาพัชรด้วยร้อนรนกระวนกระวายใจและหวาดหวั่น กลัวหญิงสาวจะรับไม่ได้กับข่าวที่จะได้ยินต่อไปนี้ แต่ถึงจะกลัวเพียงใดเขาก็จำเป็นต้องบอกให้หญิงสาวได้รับรู้ สองมือใหญ่จับรั้งมือเล็กเรียวและบีบเบาๆ“ค่ะ มีอะไรหรือคะคุณฟารฮาน” หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มถึงได้มีสีหน้าเคร่งเครียดเหลือเกิน แล้วเมื่อครู่อินซอฟที่เดินตามหลังมาติดๆ ก็มีสีหน้าไม่แตกต่างกันเลยสักนิด“เราต้องเดินทางไปแคว้นซัลจาร์บาเมียอย่างด่วนที่สุด”“อืม...ก็ไม่เห็นจะแปลกนี่คะ คุณฟารฮานเป็นคนที่นั่น เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านก็ไม่เห็นแปลก”ปิยาพัชรตอบกลับ แม้จะใจหายๆ ที่ต้องจากชายหนุ่มไป แต่ก็เข้าใจว่ากัญญาพัชรอาจจะทำงานเสร็จแล้ว หรือไม่ฟารฮานก็ต้องเดินทางไปเพราะงาน แต่เขาจะต้องกลับมาอีก“ไม่ใช่อย่างนั้นนะมัดหมี่...มัดหวายบาดเจ็บ”“พะ...พี่มัดหวายบาดเจ็บ” สองมือเรียวเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งยื่นไปจับแขนใหญ่และเขย่าแรงๆ“ตอนนี้พี่มัดหวายเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหน ใครเป็นคนทำ และบาดเจ็บได้ยังไง มีใครดูแลพี่มัดหวายอยู่” หญิงสาวถามยาวน้ำเสียงสั่นเทาน้ำตาอุ่นร้อนไหลอา
“แน่ใจหรือองค์ประมุขนาสเซอร์ ว่าพระองค์จะเอาชีวิตรอดจากคนของเราได้น่ะ ในเมื่อตอนนี้คนของเราล้อมสถานที่จัดงานในวันนี้ไว้หมดแล้ว” เจ้ากรมมหาดไทยเอ่ยถาม ถึงแม้แผนการที่วางไว้จะผิดพลาดไปบ้าง แต่ยังไงเขาก็ยังมีไม้ตายซ่อนอยู่และนาสเซอร์ก็คิดไม่ถึงแน่“ได้ซิท่านเจ้ากรมมหาดไทย” ชายหนุ่มที่เข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มหลายคนที่ถูกมัดและลากมาเป็นพรวน“ตอนนี้ข้างนอกนั้น คนที่ท่านวางไว้ถ้าไม่ตายก็หลบหนีไป บ้างก็ถูกจับอย่างเจ้าพวกนี้ไง” กาซิมเอ่ยพูดอย่างหัวเสีย เพราะคนที่หายไปบางคนจะเป็นตัวการใหญ่ๆ นับรองจากเจ้ากรมมหาดไทยและเจ้ากรมการคลังเลยทีเดียว แต่เขาก็ยังเชื่อว่าเจ้าพวกนั้นจะต้องคอยแอบซุ่มอยู่เพื่อที่จะทำให้แผนการสำเร็จลง อาจไม่ใช่วันนี้แต่ก็เชื่อว่าในไม่นานแน่ เพราะถ้าปล่อยให้เนิ่นนานไปเขาและทุกคนที่ยังจงรักภักดีจะต้องตามจับตัวมาลงโทษได้“นาสเซอร์ระวัง...” มือเรียวข้างหนึ่งผลักร่างหนาใหญ่ให้ออกห่างและเอาตัวเองเข้าไปรับปลายมีดแหลมคมที่พุ่งมาจากผู้หญิงร่างอวบอัดซึ่งยืนอยู่ในระยะกระชั้นชิดและอีกมือก็สวนหมัดหลุนๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะหันตัวหลบแล้วแต่ปลายมีดก็ยังถากแขนเรียวยาวไปแต่กัญญาพัชรก็ไม่มี