“นายมองดูอะไรครับ” อินซอฟเดินเข้ามาถามเจ้านายหนุ่ม พร้อมมองตามไป แต่ได้เห็นเพียงหลังไวๆ ของสาวน้อยที่ทำให้ฟารฮานติดใจเป็นหนักหนา จนต้องให้รีบสืบหาข้อมูล
“ไม่มีอะไร ว่าแต่นายได้ข้อมูลอะไรหรือยัง” ฟารฮานเอ่ยถามด้วยใจกระชุ่มกระชวย ถ้าคืนนี้เขาได้แม่สาวน้อยนั่นมาอยู่ในอ้อมกอดก็ดีซินะ แต่...คงไม่หรอก เพราะยังไงซะอินซอฟจะต้องเช็กข้อมูลทุกอย่างให้มั่นใจเสียก่อน ไม่ใช่คนที่จ้องจะทำร้ายเขาและพี่ชาย เรื่องแบบนี้ประมาทไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงหายนะมาเยือนพร้อมความตาย!
“ยังเลยครับ ผมต้องขอโทษนายด้วย” ร่างหนาใหญ่ค้อมตัวลงด้วยรู้สึกผิด
“ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้ว่านายเองก็ทำงานหนัก อีกทั้งคืนนี้ก็มีเรื่องให้เราต้องคอยกังวลใจมากพออยู่แล้ว นายจะมีเวลาไปสืบหาข้อมูลให้ฉันได้ไงกัน” มือใหญ่ตบบนบ่ากว้างของลูกน้องคนสนิท อินซอฟเป็นทั้งเพื่อนรักและลูกน้องคนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน ไม่ว่าเขาจะไปไหนก็จะต้องมีชายคนนี้คอยตามระวังหลังให้ตลอดเวลา จนไม่ต้องกลัวภัยอันตรายใดๆ
“ในงานเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรผิดปรกติหรือเปล่า” ฟารฮานเอ่ยถามสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนพี่ชายถูกลอบโจมตี ดีว่าจับตัวคนร้ายได้หนึ่งคน ถึงไอ้เจ้านั่นจะปากแข็ง ไม่ยอมซัดทอดถึงผู้บงการใหญ่ แต่ก็ได้กล่าวคำอาฆาตมาดร้ายว่าให้ระวังตัวให้ดี...เราจะกำจัดทั้งแกและน้องให้ได้ ที่ทำให้พี่ชายไม่อยากให้เขามาร่วมงานในวันนี้
“เรียบร้อยดีครับนาย ตั้งแต่องค์ประมุขนาสเซอร์ส่งข่าวมา ผมก็ให้ลูกน้องคอยจับตาดูว่ามีใครมีพฤติกรรมน่าสงสัยบ้างหรือเปล่า และยังคอยตรวจสอบคนที่เข้ามาร่วมงานลับๆ ด้วยครับ” อินซอฟรายงานอย่างละเอียด แต่แม้จะป้องกันไว้อย่างดีแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ควรตกอยู่ในความประมาท เพราะพวกคนร้ายที่จ้องทำร้ายเจ้าชายฟารฮานและองค์ประมุขนาสเซอร์ดูจะมีพิษสงรอบตัวและกล้าหาญชาญชัย ถึงขนาดส่งระเบิดปลอมมาวางหน้าประตูบ้านเพื่อเป็นการขู่ขวัญ
“ดีแล้ว บอกคนของเราให้ระวังตัวด้วย เพราะศัตรูอยู่ในที่มืดและเราอยู่ในที่สว่าง การที่จะทำอะไรย่อมต้องมีความระมัดระวังหลายเท่านัก แล้วฉันก็ไม่อยากให้พวกมันหัวเราะเยาะลับหลัง ว่าเจ้าชายฟารฮานน้องชายองค์ประมุขนาสเซอร์ อัสสิยามีย์ ยา อูซาหมัด แห่งแคว้นซัลจาร์บาเมียขลาดเขลา จนต้องยกเลิกกำหนดการ”
“ครับ” ชายร่างสูงใหญ่โค้งคำนับเป็นการรับคำสั่ง พร้อมเดินเคียงข้างเจ้าชายฟารฮานเข้าไปในงาน แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับสาวสองนางที่กำลังยืนหัวเราะคิกคัก มือก็ตักเอาอาหารใส่จาน เพราะจำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือแม่สาวที่เจ้าชายฟารฮานให้สืบหาข้อมูล
ความคิดหนึ่งพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าคมที่ซุกซ่อนอยู่ใต้หน้ากากจอมโจรอันใหญ่ยิ้มอย่างมาดหมาย ดวงตาพราวระยับ จะว่าไปเขาก็ร้างหญิงข้างกายมานานพอสมควรแล้วเหมือนกัน นับตั้งแต่ย้ายตัวเองมาพำนักอยู่ที่ประเทศไทย ถึงตอนนี้ก็สองปีกว่าแล้วนี่นา ถ้าหากภายในไม่กี่วันนี้จะได้สาวไทยสักคนมาเคียงข้างกายก็คงจะดีไม่น้อย คิดได้ดังนั้นเรือนกายหนุ่มก็กระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างประหลาด
“มีอะไรหรือเปล่าอินซอฟ” ฟารฮานเองแม้จะมองไปยังสาวน้อยที่เขาให้การช่วยเหลือเมื่อครู่ แต่ตาก็ยังไวพอที่จะเห็นพฤติกรรมของเพื่อนสนิท รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากด้านหนึ่ง จะว่าไปตอนนี้อินซอฟเองก็อายุหลายปีแล้วเหมือนกัน แต่ยังไม่มีหญิงเคียงข้างกายเลยนี่นา คงจะเป็นเพราะเอาตัวและใจผูกติดไว้กับเขา ถ้าเพื่อนรักจะมีคนรู้ใจสักคนก็ไม่เลวเหมือนกัน
“สนใจแม่สาวนั่นหรือไงอินซอฟ ระวังหน่อยล่ะ แม่สาวนั่นท่าทางดุไม่ใช่น้อยเลยน่ะ ถ้านายคิดจะพามานอนเคียงข้างกายละก็...ระวังให้เยอะหน่อยนะเพื่อน กลัวจะต้องตื่นเอาตอนกลางดึก” ฟารฮานพูดน้ำเสียงยิ้มๆ และเกือบจะเดินไปหาปิยาพัชรแล้ว แต่นึกขึ้นมาได้ ถ้าเปิดเผยตัวในตอนนี้อาจไม่เป็นการดีกับตัวเองสักเท่าไหร่ หากคาดผิดไป แม่สาวน้อยนามมัดหมี่เป็นเหมือนกับหญิงคนอื่นๆ ที่เห็นแก่เงิน เขาก็จะเสียอารมณ์เปล่าๆ
“ได้เวลากล่าวเปิดงานหรือยังอินซอฟ คนที่เราเชิญมาเป็นประธานมาถึงหรือยัง”
“ยังอีกไม่กี่นาทีครับ”
“อืม...” แม้ปากจะตอบอินซอฟไป แต่ตากลับมองตามร่างบอบบางที่ตอนนี้วางจานอาหารลงบนโต๊ะแล้วก้มกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับแม่สาวชุดเหลืองทองที่พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปทางด้านประตูด้านข้างของห้อง
“นายอยู่นี่แป๊บนะอินซอฟ หรือถ้าให้ดีก็ลองไปตีสนิทกับแม่สาวชุดเหลืองทองนั่นก็ได้นะ เผื่อได้อะไรดีๆ กลับมาบ้าง”
“แต่นายครับ...”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงหรอก” มือใหญ่ตบลงบนบ่ากว้างแรงๆ และรีบเดินตามร่างบอบบางไปอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับมัดหมี่ เราเจอกันอีกแล้วนะครับ” ฟารฮานเอ่ยทักใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตากวาดมองร่างบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางแสงไฟเรียบร้อยแล้ว แต่ในตอนนี้แม่สาวมัดหมี่กลับมีหน้ากากสีฟ้าเป็นประกายระยิบระยับด้วยเกร็ดเพชรปกปิดใบหน้าอยู่ ทำให้มองเห็นไม่ชัด
“คะ...คุณทักมัดหมี่หรือคะ แล้วเอ่อ...ไม่ทราบว่า เรารู้จักกันหรือคะ?” ปิยาพัชรถามตรงๆ เพราะชายหนุ่มตรงหน้าก็ปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากสีดำสนิท ดวงตาที่อยู่ใต้หน้ากากดูน่ากลัวด้วยเหมือนกับซุกซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ ทั้งแข็งกร้าวและเรียกร้องแปลกๆ
“จำผมไม่ได้จริงๆ หรือสาวน้อย...” ฟารฮานทอดเสียงนุ่ม กลิ่นเนื้อกายสาวและกลิ่นเครื่องประทินผิวที่ใช้ผสมผสานกันจนหอมจรุงใจ เท้าแข็งแกร่งค่อยๆ เดินเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า เหมือนกับราชสีห์จ้องตะครุบเหยื่อแสนโอชะ ใบหน้าคมเข้มมีรอยยิ้มเล็กน้อยตรงมุมปาก มือใหญ่ยื่นปลายนิ้วไปหวังเกลี่ยเอาหน้ากากอันใหญ่ออกจากใบหน้าสาวน้อย เพื่อที่เขาจะได้ยลโฉมแม่สาวน้อยมัดหมี่ถนัดๆ เสียที
ปิยาพัชรใจสั่นไหว ดวงตาเบิกกว้าง เท้าเรียวยาวพาเอาร่างบอบบางถอยไปจนชิดผนังห้อง รู้สึกหวาดกลัวกับอำนาจบางอย่างที่แผ่ซ่านมาจากกายใหญ่ โอบล้อมเรือนกายบอบบางเหมือนกับราชสีห์ตัวใหญ่ยักษ์กับหนูตัวน้อยนิด ใบหน้าสวยหันรีหันขวางมองหาทางเอาตัวรอดจากชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เข้ามาทัก ริมฝีปากขบเม้ม พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ
“จะ...จำไม่ได้ค่ะ ระ...เราเคยเจอกันที่ไหนหรือคะ?”
น้ำเสียงใสดุจระฆังทองแต่สั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด สร้างความพึงพอใจให้กับฟารฮานเป็นอย่างมาก อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้รู้และมั่นใจแล้วว่าแม่สาวมัดหมี่ยังไม่มีแมลงใดๆ ไต่ตอม แต่ถ้าให้ดีก็ขอลองลิ้มชิมรสจูบจากริมฝีปากอวบอิ่มนั่นสักหน่อยก็แล้วกัน ดูท่าทางจะหวานดีใช่หยอก“ว้า...น่าเสียดายจังที่มัดหมี่จำผมไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทบทวนความจำให้ดีกว่านะ” มือใหญ่คว้าเอวเล็กคอดและดึงอย่างรวดเร็ว จนเรือนกายบอบบางถลาเข้าไปซุกอยู่ในอ้อมกอดหนาและแข็งแกร่ง อีกมือจับปลายคางมนพร้อมกับก้มหน้าลงไปหาอย่างรวดเร็วริมฝีปากหนาอุ่นร้อนประทับลงไปบนเรียวปากนุ่มอิ่มเต็ม บดคลึงด้วยแรงปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ในเรือนกายตั้งแต่เมื่อแรกที่ได้เห็นแม่สาวน้อยมัดหมี่ถลาเข้ามาซบอกอุ่น มือใหญ่จับรั้งแขนเรียวยาวที่พยายามยกขึ้นประทุษร้ายกายแกร่งไพล่หลัง อีกมือก็รัดร่างน้อยจนลอยจากพื้นและพาไปยังมุมหนึ่งใกล้ห้องบอลลูม ซึ่งเป็นมุมอับลับจากสายตาคน“อื้อ...อื้อ...” ปิยาพัชรเบิกตากว้าง ความกลัวแผ่ซ่านคลุมกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สองมือสองเท้าเย็นเฉียบ หัวใจเต้นโครมครามเหมือนกับมีใครเอากลองใบใหญ่มาตีอยู่ แต่ความโกรธเพราะถูกล่วงเกินจากชาย
ดูซิแค่แตะต้องเพียงนิดหน่อย กายก็ร้อนผ่าวอยากที่จะเร่งรุดให้ไปถึงจุดหมายปลายทางปรารถนาที่มาพร้อมความเสียดาย ถ้าให้อินซอฟเปิดห้องให้ก็ดีนะซิ จะได้มีความสุขกับมัดหมี่เสียในคืนนี้เลย กายแกร่งขยายใหญ่เสียจนปวดร้าว ด้วยต้องการเข้าไปพำนักในความอบอุ่นและฉ่ำร้อน แต่ฟารฮานก็ต้องจำต้องอดทนไว้ก่อน ถือคติอดเปรี้ยวไว้กินหวาน“บะ...บัญชีค่ะ” ปิยาพัชรตอบกลับเสียงสั่น อย่างไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ทำไมถึงยอมให้ชายหนุ่มที่ไม่เคยรู้จักมากก่อนแสดงความสนิทชิดเชื้อถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ ถ้าพี่มัดหวายรู้เข้ามีหวังโกรธเป็นไฟแน่ เพียงแค่นึกถึงพี่สาว เรือนกายที่กำลังอ่อนระทวยและพร้อมจะเดินทางไปในทุ่งกว้างก็พลันมีสติขึ้นอย่างรวดเร็ว สองมือเล็กที่จิกทึ้งดึงเสื้อตัวใหญ่ รีบผลักกายหนาใหญ่ให้ออกห่าง มือเล็กเรียวเงื้อขึ้นสูงหมายจะตอบแทนคนที่อุกอาจ“โอ๊ะโอ่!! มัดหมี่กล้าทำร้ายฉันหรือ” ฟารฮานถามสีหน้าและน้ำเสียงยิ้มๆ ปลายนิ้วยาวใหญ่ลากไล้ไปตามใบหน้าขาวเนียน ที่ถึงแม้จะอยู่ในความมืดเพราะแสงไฟส่องมาไม่ถึง แต่กระนั้นก็ยังได้รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าขาวสวยแปรเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ ริมฝีปากอิ่มเต็มเริ่มบวมและแดงช้ำจากแรงกดทับปิยา
ปิยาพัชรพยายามครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ แล้วคำพูดพี่สาวก็แว่วเข้าหูมา แล้วถึงจะไม่แน่ใจว่าคำพูดหวานๆ และท่าทางเอียงอายมีจริตที่พี่สาวแนะนำนั้นจะใช้ได้กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าหรือเปล่า แต่ยังไงก็ดีกว่าไม่ได้ลองดูใบหน้าสวยค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากตื่นตระหนกและซีดเผือดเป็นยิ้มหวานและเอียงอาย มือเล็กค่อยๆ ลากไล้ไปตามแขนใหญ่อย่างกึ่งกล้ากึ่งกลัว หัวใจเต้นแรงและเร็วเหมือนกับจะทะลุออกจากอก ริมฝีปากขบเม้มจนแทบจะห้อเลือด ในดวงตาเปล่งประกายเหมือนเป็นมีดแหลมคมบาดลงไปบนกายใหญ่“อยากอยู่กับมัดหมี่ ทำไมคุณถึงไม่ยอมแนะนำตัวและก็คุยกันดีๆ ล่ะค่ะ ทำแบบนี้มัดหมี่ตกใจ...อาจถึงขั้นเกลียดและกลัวคุณไปเลยก็ได้นะคะ”คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นสูง เมื่อเห็นสาวน้อยที่เคยหวาดกลัวเปลี่ยนท่าทีกะทันหัน แต่ด้วยความจัดเจนก็ให้รู้ว่าหญิงสาวข่มความอายและกลัวไว้ภายใน ดึงเอาความกล้ามาต่อสู้กับเขา ปลายนิ้วยาวใหญ่ลากไล้ไปตามใบหน้าเนียนนุ่ม และหยุดบนเรียวปากอิ่มเต็ม“เอาไว้เราค่อยไปรู้จักกันตอนที่อยู่ในห้องแล้วไม่ได้หรือไง ถึงตอนนั้นฉันชื่ออะไรเธอคงจะไม่ค่อยอยากสนใจก็ได้มั้ง ในเมื่อ...” ฟารฮานทอดเสียงยาวนุ่มทุ้ม ป
“มีอะไรให้ฉันช่วย บอกได้นะมัดหมี่” ฟารฮานถามยิ้มๆ แขนใหญ่กอดรัดร่างบอบบางและดึงเข้ามาแนบชิดและช่วยดึงตัวผ้าออกจากซิปเบาๆ แต่ริมฝีปากก็ยังวนเวียนหากำไรประพรมจุมพิตจากบ่ากว้าง ขึ้นไปตามลำคอระหง และประทับบนเรียวปากนุ่มที่กำลังจะส่งเสียงร้องห้ามริมฝีปากหนานุ่มขบเม้มริมฝีปากอิ่มเต็ม ปลายลิ้นสากระคายค่อยๆ ลากไล้และซอกซอนเข้าไปในเรียวปากนุ่มอิ่มเต็ม มือใหญ่จับแขนเรียวยาวที่พยายามดันร่างกายหนาแกร่งให้ออกห่างไพล่หลัง ปลายนิ้วไล้วนข้อมือสลับกับสะโพกกลมมน อีกมือขยับเคลื่อนไปตามลำขาเรียวยาว ขยำบีบต้นขาเสลา ความร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนต้องรีบระงับอารมณ์ปรารถนาที่กำลังปะทุเหมือนไฟกำลังเผาไหม้ให้คงที่ ก่อนที่จะทนไม่ไหวจนต้องรักปิยาพัชรเสียตรงนี้แขนใหญ่โอบรัดรอบเรือนกายบอบบาง ขบกัดฟันจนได้ยินเสียงดังกรอด ใบหน้าซบกับซอกคอระหง ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจลมหายใจหอบแรงเข้าออกอย่างช้าๆ จนกลับเป็นปกติ“รีบเข้าไปในงานดีกว่ามัดหมี่ ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวรักเธอตรงนี้เลย แล้วอย่างลืมนะสาวน้อยคืนนี้เจอกันหลังงานเลิก” สองมือใหญ่ดันร่างบอบบางเดินออกจากมุมอับ แต่ตัวเองยังคงยืนอยู่ตรงนั้นมองสาวน้อยปิยาพัชรเดินแกมวิ่งลับหา
ริมฝีปากอวบอิ่มอ้าออก เป็นผลให้คนที่รอคอยอยู่ก่อนแล้วส่งปลายลิ้นสากระคายเข้าไปแต่งแต้มซอกซอนหาความหวานภายในโพรงปากนุ่มอย่างถนัดถนี่ ปลายลิ้นเล็กที่พยายามผลักดันและขับไล่ลิ้นสากร้อนที่ล่วงล้ำเข้าไปให้ปลายลิ้นใหญ่ได้เกาะเกี่ยวดูดกลืนหาความหวานได้มากยิ่งกว่าเดิมเสียอีกมือใหญ่ละจากปลายคางมน ลูบไล้ลำคอระหงไพล่ไปด้านหลัง ลูบไล้ผิวกายเนียนนุ่มที่อยู่เหนือขอบเสื้อ แล้ววกมาด้านหน้ากอบกุมเนินเนื้อถันอวบอิ่มและเต่งตึง แต่ตัวเสื้อสีเหลืองทองจับพลีทจากฐานอกยาวลงไปถึงเท้าเป็นปราการขัดขวางให้ต้องอารมณ์เสีย ปลายนิ้วยาวใหญ่ลากไล้ผิวกายเนียนวกกลับไปด้านหลังอีกครั้งและควานหาตัวซิปและรูดลงเบาๆจันฑีราเบิกตากว้าง เมื่อรับรู้ถึงความเย็นของอากาศที่พัดไหวมาแตะต้องเรือนกาย พยายามดึงมือออกจากการจับกุม แต่ก็ไม่สำเร็จ ถึงแม้ว่าจะเคลิบเคลิ้มไปกับจุมพิตหวานเชื่อมที่กำลังสูบเอาวิญญาณออกจากร่าง แต่ด้วยความรักนวลสงวนตัวก็ทำให้เธอต้องรีบดึงสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมา สองมือสองเท้าสั่นระริก กายบางอ่อนระทวยเอนตัวอิงร่างกำยำถึงแม้จะคุ้นเคยกับมารยาร้อยเล่มเกวียน แต่เพราะประมาทอีกทั้งสุขใจที่สาวน้อยในอ้อมกอดตอบสนองจุมพิตก
น้ำเสียงเข้มดุและแข็งกร้าวที่ดังจากปากหนาใหญ่ สร้างความตื่นตระหนกให้จันฑีราจนขาเรียวยาวสั่นเทาแทบรับน้ำหนักตัวไว้ไม่ได้ ใบหน้าขาวสวยที่แดงด้วยความโกรธกลับซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจสั่นหวิวเหมือนคนกำลังจะเป็นลมอยู่รอมร่อ “ฉะ...ฉันไม่ด่านายก็ได้ แต่นายช่วยขยับตัวออกไปห่างๆ หน่อยได้ไหม อยู่แบบนี้มัดอึดอัดหายใจไม่ออก”ในเมื่ออยากให้เปลี่ยนสรรพนามก็จะเปลี่ยนให้ แต่ให้เรียกยังไงล่ะ ในเมื่อชื่อก็ไม่รู้จัก หน้าตาหรือก็ไม่เคยเห็นเลยสักนิด เข้ามาถึงก็ลวนลามเอาจนตัวอ่อนระทวยลูกเดียว ดวงตาคมพยายามที่จะสอดส่ายหาทางหนีทีไล่ แต่มองไปทางไหนก็ยังไม่มีหนทางที่จะรอดจากน้ำมือผู้ชายตรงหน้าได้เลย“ไม่ละ ฉันชอบที่จะอยู่แบบนี้มากกว่า” ไม่พูดเปล่าปลายนิ้วยาวเรียวยังลากไล้บนลำคอระหง เรื่อยลงมาตามเนินทรวงขาวผ่องจันฑีรากลืนน้ำลายลงคอ เสื้อผ้าที่เลือกใส่ในวันนี้ด้วยเพราะชอบในความสวย ถึงจะดูเปรี้ยวนิดๆ ด้วยสีที่เลือกแต่ก็กระชับรูปร่าง แต่กลับกลายเป็นอาวุธที่หันมาทำร้ายตัวเองให้ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก สองมือที่ตอนนี้ไม่ถูกตรึงไว้พยายามจับรั้งให้มือใหญ่หยุดนิ่งกับที่“เธอชื่ออะไรสาวน้อย” อินซอฟเอ่ยถามชิดผิวกายเนียนห
“อือ...” กายบอบบางสั่นไหวระริก เมื่อถูกโจมตีอย่างช่ำชองและจัดเจน ศีรษะทุยที่พยายามส่ายหนีหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจสั่นไหวและเต้นแรงเร็ว เรียวปากอิ่มเต็มที่พยายามจะขบรั้งเอาไว้อ้าออกอย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้ปลายลิ้นสากร้อนที่รออยู่ก่อนแล้วล่วงล้ำเข้าไปซอกซอนหาความหวานอย่างอิ่มเอมริมฝีปากหนาตามติดเรียวปากนุ่ม มือใหญ่ฟอนเฟ้นสองบัวตูมสลับลากไล้ผิวเนื้อขาวเนียน พยายามดึงทึ้งเอาเสื้อผ้าเนื้อหนาออกจากกายบาง เพื่อให้มือใหญ่ได้สัมผัสกับเนินดอกรักอย่างถนัดถนี่ ปลายนิ้วยาวใหญ่กรีดไล้รอยแยกกลีบกุหลาบนุ่ม สลับกับกดคลึงเกสรดอกรักความใหม่สดของเรือนกายสาวสร้างความปวดร้าวให้กับอินซอฟเป็นอย่างมาก ริมฝีปากหนาอุ่นร้อนเลาะเล็มริมฝีปากอวบอิ่ม ขบเม้มไปทั่วใบหน้างาม เคลื่อนไหวแผ่วเบาและนุ่มนวลไปขบเม้มติ่งหู ปลายลิ้นสากระคายกระเซ้าเย้าแหย่ไปในช่องหูนุ่ม แล้วขยับเคลื่อนไปตามลำคอระหง แอ่งชีพจรและประทับระหว่างทรวงอกสล้างหอมกรุ่นถึงคราวนี้จันฑีราต่อต้านอารมณ์ปรารถนาที่ลุกเป็นเพลิงไฟไม่ได้อีกแล้ว กายบอบบางอ่อนระทวยอิงซบกับร่างหนาใหญ่ ลมหายใจหอบกระเส่า ดวงตากลมโตฉ่ำเยิ้ม หน้าท้องแบนราบเรียบขยับเป็นลอน ใบหน้
“เปล่าๆ แต่ฉันกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับแกและฉันน่ะซิ” จันฑีรารีบบอก ถึงแม้จะอยู่ไกลแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอกลับมองเห็นสายตาคมดุที่มองมา และรู้สึกเหมือนกับว่าร่างหนาใหญ่นั้นเดินเข้ามาอยู่ใกล้ๆ มือใหญ่ลูบไล้ตามเรือนกายให้สั่นไหวและวาบหวิวด้วย“แกพูดเหมือนกับว่าเกิดอะไรขึ้นกับแกอย่างนั้นแหละจันตี” ดวงตากลมโตละจากร่างใหญ่ที่เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มาใหม่ ลับหายไปยังห้องด้านหลังด้วยใบหน้าบึ้งตึง แต่ก่อนที่ร่างหนาจะลับหายไปยังไม่วายหันมาส่งสายตาวาววับและเรียกร้อง จนร่างบอบบางถึงกับสั่นสะท้านไหววูบไปถึงหัวใจ“เปล่าๆ แต่ป้องกันไว้ก่อนไง ไม่รู้ซิ ฉันกลัวๆ ไงก็ไม่รู้ แกโทรหาพี่มัดหวายให้มารับได้หรือเปล่า”“แต่รถอยู่ที่ฉันนะ จะให้พี่มัดหวายมารับเราได้ไงล่ะ อีกอย่างพี่มัดหวายก็ป่วยด้วย” ถึงแม้ปากจะไม่เห็นด้วยแต่สมองกลับเห็นสมควร มือเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋าใบเล็ก ก่อนจะนึกออกว่าแบ็ตเตอร์รี่หมด“ฉันลืมไปจันตี โทรศัพท์ฉันโทรไม่ได้ แกโทรหาซิ”“เออ...” ถึงคราวนี้จันฑีราก็ไม่อิดออด รีบควานหาโทรศัพท์จากกระเป๋าใบเล็กมากดหาพี่สาวเพื่อนรักได้ทันที และอย่างรวดเร็วทันใจเหมือนกันที่กัญญาพัชรก็รับสายเหมือนกับกำลั
“พาหม่อมฉันกลับมาอีกทำไม หม่อมฉันไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้าย คนหลอกลวง”“ถ้าไม่ใจร้ายและหลอกลวงอีก จะอยู่ด้วยไหมล่ะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มและเว้าวอนทำเอาคนที่พยายามจะใจแข็งถึงกับสั่นระรัว ด้วยรู้ชะตาตัวเองดีตั้งแต่ถูกจับได้นั่นแหละว่าอาจหนีไม่พ้นอ้อมแขนใหญ่นี้ไปตลอดชีวิต“จะรู้ได้ไง พระองค์จะไม่หลอกหม่อมฉันอีก ทั้งพี่ทั้งน้องช่างวางแผนและเจ้าเล่ห์เหลือเกินนี่”“ใช้หัวใจแลกหัวใจไง”“เชอะ...คนอย่างองค์นาสเซอร์ ประมุขผู้ครองแคว้นซัลจาร์บาเมีย ชายหนุ่มที่มีผู้หญิงนับสิบอ๋อ...นับร้อยมากกว่าคอยถวายตัวเป็นข้ารองบาทน่ะหรือจะยอมหยุดอยู่ที่ผู้หญิงอย่างหม่อมฉันเพียงคนเดียว เชื่อตายละ” กัญญาพัชรยังคงปากแข็งแม้ใจจะยอมผ่อนตามไปเกือบจะครึ่งแล้ว“อ้าว...ทำไมล่ะ เราแตกต่างกับชายหนุ่มคนอื่นอย่างไร ถึงจะหยุดอยู่ที่ผู้หญิงเพียงคนเดียวไม่ได้น่ะ ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไปในชีวิตนะมัดหวาย สำหรับเราเมื่อเราพบคนที่ใช่ เราก็พร้อมที่จะหยุดทุกอย่างไว้ที่เธอคนนั้นเพียงคนเดียว และตอนนี้เราก็คิดว่าเราพบนางคนนั้นของเราแล้ว”หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักๆ ไม่เป็นจังหวะ นาสเซอร์หมายถึงเธอใช่ไหม ‘ไม่นะมัดหวาย แกอย่าลืมซิว่าเขาหลอกลว
“ไม่ใช่หรอกมัดหมี่ ถ้าเพียงแค่ความต้องการของผู้ชายคนหนึ่ง ฉันว่าเขาไม่ทำถึงขนาดนี้หรอก” ใบหน้าคมคร้ามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม มือใหญ่จับมือเล็กเรียวมาวางบนแผงอกกว้างตรงที่มีหัวใจกำลังเต้นอยู่“สิ่งที่ฉันทำด้วยความเจ้าเล่ห์และร้ายกาจก็จริง แรกเริ่มมาจากเพียงแค่ความปรารถนาก็จริง แต่สิ่งหนึ่งนับจากวันแรกที่ฉันได้ครอบครองความบริสุทธิ์ของสาวน้อยคนนั้น มันเป็นคำสั่งมาจากหัวใจทั้งสิ้น” สองมือใหญ่จับรั้งใบหน้าขาวสวยให้จ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบ“ฉันอยากจะบอกให้มัดหมี่รู้เหมือนกัน ฉัน...รัก...มัดหมี่”ปิยาพัชรแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง หากว่าไม่ถูกจับรั้งไว้ศีรษะทุยคงจะส่ายบอกว่าไม่เชื่อและไม่จริง แต่คำพูดที่หนักแน่น ดวงตาที่มั่นคงดุจดังภูเขาหินที่ไม่อาจพังทลายลงมาได้ ไม่ว่าจะเจอพายุร้ายเพียงใดเป็นคำตอบที่ชัดเจน และที่สำคัญคือหัวใจของเธอมันก็เลือกที่จะเชื่อคำพูดนั้นซะด้วยสองแขนเรียวโอบรอบกายแข็งแกร่ง “จริงๆ นะคะ คุณฟารฮานพูดจริงๆ นะคะ ไม่ได้หลอกให้มัดหมี่ดีใจเล่นนะคะ”“จริงซิ ฉันจะโกหกมัดหมี่ทำไมล่ะ เพราะรัก ฉันเลยต้องวางแผนการร้ายทุกอย่าง เพื่อส่งแม่สาวจอมหว
“แสดงว่าพวกนายรู้แผนการของเราทุกอย่างเลยใช่ไหม แล้วรู้ได้ยังไง รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมถึงไม่ขัดขวางตั้งแต่ต้น”“เอาเป็นว่าฉันจะเล่าให้เธอฟังวันหลังนะ แต่วันนี้ขอฉันลงโทษคนที่ทำให้ใจเสียก่อนละกัน”ใบหน้าขาวสวยแย้มยิ้ม ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ สองแขนเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง “เสียใจด้วยนะอินซอฟ เผอิญว่าวันนี้เครื่องซักผ้ามันดันเกิดแอ๊กซิเดนท์ ทำงานไม่ได้อ่ะ”จันฑีราหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ ยิ่งได้เห็นใบหน้าเสียอารมณ์ของอินซอฟก็ยิ่งอยากแกล้งยั่วเย้าให้หนักขึ้นอีก แต่รู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เธอหายจากสิ่งที่เป็นอยู่ ย่อมจะต้องถูกเขาเอาคืนจนอาจจะลุกจากเตียงไม่ได้เพราะความเพลียมือเล็กจับแขนใหญ่วางยาวแนบไปกับพื้นเตียง พร้อมกับวางศีรษะลงไปนอนหนุน อีกมือก็จับแขนใหญ่มาพาดรอบเรือนกายเล็ก กายบางขยับจนแนบชิดกับเรือนกายใหญ่ นับจากวันนี้ชีวิตที่เคยมีเคยอยู่คนเดียวได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาเติมเต็มด้วยความรักและความอบอุ่น“ขอบใจนะอินซอฟที่รักฉัน เมื่อก่อนที่ฉันเคยทำร้ายและทำไม่ดีกับนายไว้ ขอให้นายยกโทษและให้อภัยฉันด้วยนะ ฉันสัญญาว่าต่อไปนี้ฉันจะทำตัวดีๆ และรักนายให้มากที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำ
“จะไปไหนล่ะมัดหมี่...” แขนแข็งแกร่งสอดเข้าระหว่างเอวเล็กคอดและดึงเข้าหาตัว ศีรษะทุยโน้มลงกระซิบเบาๆ ข้างใบหูนุ่ม น้ำเสียงกึ่งกระเซ้าและยั่วเย้า“รู้ไหมว่าโทษของคนที่คิดหนีฉันน่ะมันร้ายแรงมากนะ”“ปล่อยน้องสาวฉันนะนายฟารฮาน” แม้จะห้อยต่องแต่งอยู่บนร่างสูงใหญ่ แต่กัญญาพัชรก็ไม่วายส่งเสียงแว้ดๆ ใส่ฟารฮาน สองมือยันแผ่นหลังกว้างเพื่อจะได้นำเอาตัวเองลงไปขัดขวาง“ฉันว่าเธอเอาตัวให้รอดพ้นจากพี่ชายฉันก่อนดีกว่านะมัดหวาย ก่อนที่จะมาช่วยเหลือคนอื่นเขาน่ะ” ฟารฮานตอบกลับด้วยน้ำเสียงยิ้มๆ คิ้วคมเข้มข้างหนึ่งเลิกขึ้นสูงเป็นจังหวะ“ไปกันเถอะมัดหมี่ เรามีเรื่องที่จะต้องคุยเหมือนกัน”“ว้าย!!” สองแขนเรียวโอบรอบลำคอแกร่งอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายลอยขึ้นจากพื้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว “ทำอะไรก็ไม่รู้คุณฟารฮานน่ะ”“ก็พาคนที่กล้าหนีฉันไปลงโทษไง” ใบหน้าคมโน้มลงจนจมูกโด่งคมประชิดติดแก้มนุ่ม“บ้า...” ปิยาพัชรส่งค้อนให้คนพูดวงโตด้วยความอบอุ่นในหัวใจ เพราะฟังจากน้ำเสียงฟารฮานไม่ได้โกรธเคืองเธอแม้แต่น้อยนิด อาจมีน้อยใจบ้าง แต่ถ้าอธิบายให้ฟังเขาก็พร้อมที่จะเข้าใจ“โว้ย...ปล่อยฉันนะคนบ้า คนเฮ็งซวย ไอ้ผู้ชายเส็งเคร็ง รัง
ยามราตรีที่ท้องฟ้ามีแสงดาวส่องนำทาง สามร่างเดินตามกันไปอย่างรีบเร่ง โดยมีร่างสูงโปร่งเดินนำและร่างบอบบางอีกสองร่างเดินตามไปติดๆ ศีรษะทุยสอดส่ายเหลียวซ้ายแลขวา ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้จะรู้ว่าคืนนี้นาสเซอร์ ฟารฮาน และอินซอฟกำลังอยู่ร่วมการประชุมในการกำหนดนโยบายของแคว้นว่าจะให้เดินไปในทิศทางใดหลังจากนี้ แต่ใครจะรู้เล่าเกิดว่าคนหนึ่งคนใดเกิดสงสัยในพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ และกระซิบกระซาบที่เธอและน้องๆ ทั้งสองคนมีมีหลายครั้งที่ร่างโปร่งบางหยุดยืนและหันไปจะเอ่ยปากถามสองสาวที่ตามมาด้วยว่าตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมที่จะตามเธอไปน่ะ แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใยของสองสาวก็ทำให้พูดไม่ออก ใจจริงกัญญาพัชรไม่ได้อยากชวนปิยาพัชรและจันฑีราหนีไปด้วย แต่เพราะความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของสองสาว ที่ไม่รู้ว่าจะต้องโดนหางเลขจากคนที่ไม่หวังดีด้วยเมื่อไหร่ มันก็ทำให้เธอต้องคะยั้นคะยอชักแม่น้ำทั้งห้าให้สองสาวเดินทางหลบหนีกลับบ้านด้วย อีกทั้งเมื่อน้องสาวทั้งสองคนรู้ว่าเธอจะหนีกลับ ทั้งสองก็ไม่ยอมให้เธอต้องเดินทางเพียงลำพังปิยาพัชรและจันฑีราเดินตามกัญญาพัชรไปด้วยใจที่เจ็บปวดและหวาดกลัว
“อ้าว...พี่มัดหวายหลับแล้วละแก” ปิยาพัชรที่เล่าเรื่องของตัวเองจ๋อยๆ ด้วยความดีใจและสุขล้นหยุดอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตแปรเปลี่ยนเป็นหมองเศร้าลง เธอเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่สาวฟังแทบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องที่เธอตกเป็นของฟารฮานแล้วและเรื่องถูกปองร้ายหมายเอาชีวิต“ใจเย็นๆ นะแก ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานอินซอฟจะต้องหาคนที่คิดร้ายกับแกเจอ” จันฑีรายกมือขึ้นตบบ่ากว้างของเพื่อนรักเบาๆ เธอเองก็เป็นกังวลไม่น้อยไปกว่าปิยาพัชร แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่ากัญญาพัชรมีอาการดีขึ้น ความเหนื่อยจากการเดินทางไกลก็เริ่มประท้วง ริมฝีปากอวบอิ่มอ้าหาวหวอดๆ ดวงตาก็เริ่มที่จะหรี่ลง“ฉันไม่ไหวแล้วแก ขอนอนกอดพี่มัดหวายก่อนนะ” ร่างบอบบางคลานขึ้นไปบนเตียงนอนใหญ่ เอนตัวนอนแนบชิดร่างกัญญาพัชร“เฮ้ย...ไม่เอาซิแก ฉันนอนด้วย” ปิยาพัชรบอก เพราะเธอก็เหนื่อยและเพลียเหมือนกัน ร่างบอบบางรีบเอนตัวลงอิงแอบแนบซบกับร่างพี่สาว แขนเรียวยาวพาดไปโอบร่างโปร่งไว้ แต่ด้วยความไม่ระมัดระวังทำให้ปลายมือไปถูกเอาที่บาดแผล ทำให้คนที่หลับอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ และเจ็บปวดเล็กน้อย“ขอมัดหมี่นอนด้วยนะพี่มัดหวาย คิดถึง อยากนอนกอดพี่” ปิยาพัชรบอกเสียงหว
“ยานี่จะช่วยให้เจ้าดีขึ้นและหายดีในเร็ววันนะ” แม้จะไม่หมดทั้งถ้วยแต่ยาที่เข้าไปจะทำการขับพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายกัญญาพัชรให้ออกมาอย่างช้าๆ และหมดในที่สุด มือใหญ่ปิดปากเรียวยาวไม่ให้หญิงสาวพ่นยากลับออกมาจนกว่ายาทั้งหมดจะหายเข้าไปในกาย“อือ...” สองมือเล็กเรียวยกขึ้นจิกทึ้งดึงมือใหญ่ออกจากใบหน้า เจ็บจนน้ำตาเล็ดออกมาจากกระบอกตากับเรี่ยวแรงที่ชายหนุ่มกดลงไป และยังฝืดๆ และเหม็นเน่ากับสิ่งที่ได้ไหลเข้าสู่ร่างกาย“อดทนนิดมัดหวาย อีกไม่นานเจ้าก็หายแล้วคนดี ยานี้จะเป็นยารักษาให้เจ้าหายจากอาการบาดเจ็บและพิษร้ายที่เข้าสู่ร่างกายนะคนดี”“พิษร้ายหรือเพคะ หมายความว่า...”“ใช่ คมมีดที่บาดลงไปในเนื้อของเจ้าอาบด้วยยาพิษร้ายแรง ถ้าเป็นเราอาจจะเพียงแค่หมดแรง จนกลายเป็นเหตุให้ถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิตได้ แต่กับเจ้ามันทำให้เจ้าเกือบจะจากเราไปตลอดชีวิต...รู้ไหม”“แต่หม่อมฉันว่ามันก็คงดีกว่าตื่นมาเป็นตัวตลก เป็นผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่งในสายตาของพระองค์ไม่ใช่หรือเพคะ” กัญญาพัชรเอ่ยถามอย่างน้อยอกน้อยใจ หลายครั้งที่เธอลืมตาตื่นมาแล้วก็มีเพียงแค่ความเงียบของห้อง และยังมีคนแปลกหน้าที่คอยทำอะไรกับร่างกายก็ไม่รู้ จับพ
“มัดหมี่ทำใจดีๆ และฟังฉันให้ดีนะ” ร่างหนานั่งลงหน้าปิยาพัชรด้วยร้อนรนกระวนกระวายใจและหวาดหวั่น กลัวหญิงสาวจะรับไม่ได้กับข่าวที่จะได้ยินต่อไปนี้ แต่ถึงจะกลัวเพียงใดเขาก็จำเป็นต้องบอกให้หญิงสาวได้รับรู้ สองมือใหญ่จับรั้งมือเล็กเรียวและบีบเบาๆ“ค่ะ มีอะไรหรือคะคุณฟารฮาน” หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มถึงได้มีสีหน้าเคร่งเครียดเหลือเกิน แล้วเมื่อครู่อินซอฟที่เดินตามหลังมาติดๆ ก็มีสีหน้าไม่แตกต่างกันเลยสักนิด“เราต้องเดินทางไปแคว้นซัลจาร์บาเมียอย่างด่วนที่สุด”“อืม...ก็ไม่เห็นจะแปลกนี่คะ คุณฟารฮานเป็นคนที่นั่น เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านก็ไม่เห็นแปลก”ปิยาพัชรตอบกลับ แม้จะใจหายๆ ที่ต้องจากชายหนุ่มไป แต่ก็เข้าใจว่ากัญญาพัชรอาจจะทำงานเสร็จแล้ว หรือไม่ฟารฮานก็ต้องเดินทางไปเพราะงาน แต่เขาจะต้องกลับมาอีก“ไม่ใช่อย่างนั้นนะมัดหมี่...มัดหวายบาดเจ็บ”“พะ...พี่มัดหวายบาดเจ็บ” สองมือเรียวเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งยื่นไปจับแขนใหญ่และเขย่าแรงๆ“ตอนนี้พี่มัดหวายเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหน ใครเป็นคนทำ และบาดเจ็บได้ยังไง มีใครดูแลพี่มัดหวายอยู่” หญิงสาวถามยาวน้ำเสียงสั่นเทาน้ำตาอุ่นร้อนไหลอา
“แน่ใจหรือองค์ประมุขนาสเซอร์ ว่าพระองค์จะเอาชีวิตรอดจากคนของเราได้น่ะ ในเมื่อตอนนี้คนของเราล้อมสถานที่จัดงานในวันนี้ไว้หมดแล้ว” เจ้ากรมมหาดไทยเอ่ยถาม ถึงแม้แผนการที่วางไว้จะผิดพลาดไปบ้าง แต่ยังไงเขาก็ยังมีไม้ตายซ่อนอยู่และนาสเซอร์ก็คิดไม่ถึงแน่“ได้ซิท่านเจ้ากรมมหาดไทย” ชายหนุ่มที่เข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มหลายคนที่ถูกมัดและลากมาเป็นพรวน“ตอนนี้ข้างนอกนั้น คนที่ท่านวางไว้ถ้าไม่ตายก็หลบหนีไป บ้างก็ถูกจับอย่างเจ้าพวกนี้ไง” กาซิมเอ่ยพูดอย่างหัวเสีย เพราะคนที่หายไปบางคนจะเป็นตัวการใหญ่ๆ นับรองจากเจ้ากรมมหาดไทยและเจ้ากรมการคลังเลยทีเดียว แต่เขาก็ยังเชื่อว่าเจ้าพวกนั้นจะต้องคอยแอบซุ่มอยู่เพื่อที่จะทำให้แผนการสำเร็จลง อาจไม่ใช่วันนี้แต่ก็เชื่อว่าในไม่นานแน่ เพราะถ้าปล่อยให้เนิ่นนานไปเขาและทุกคนที่ยังจงรักภักดีจะต้องตามจับตัวมาลงโทษได้“นาสเซอร์ระวัง...” มือเรียวข้างหนึ่งผลักร่างหนาใหญ่ให้ออกห่างและเอาตัวเองเข้าไปรับปลายมีดแหลมคมที่พุ่งมาจากผู้หญิงร่างอวบอัดซึ่งยืนอยู่ในระยะกระชั้นชิดและอีกมือก็สวนหมัดหลุนๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะหันตัวหลบแล้วแต่ปลายมีดก็ยังถากแขนเรียวยาวไปแต่กัญญาพัชรก็ไม่มี