เฌอปรางเดินกลับเข้ามาในแผนกบัญชีด้วยสีหน้าเครียดจัด ใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอนั้นไร้รอยยิ้มดวงตากลมโตดูขุ่นมัวเพราะเจ้าตัวกำลังคร่ำเคร่งคิดอะไรบางอย่าง
“น้องหนูปราง... ปราง!”
“อุ้ย... โอย ปรางตกใจหมดเลยค่ะพี่ลิลลี่” เฌอปรางอุทานอย่างตกใจเมื่อพี่ลิลลี่เอื้อมมือมาแตะบ่าเธอพร้อมกับเรียกเสียงดัง
“เป็นอะไร หน้าตาไม่ดีเลย”
“ปละ เปล่าค่ะ แค่รู้สึกเหนื่อย วันนี้งานเยอะเหลือเกิน”
“จ้ะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้วคืนพรุ่งนี้เราก็จะได้สนุกกันสุดเหวี่ยง” พี่ลิลลี่ บอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพลางนึกถึงงานในคืนวันพรุ่งนี้ที่จะต้องสนุกสนานแน่นอน ในขณะที่เฌอปรางหน้าจืดเจื่อนไม่รู้สึกสนุกเลยสักนิด เพราะหลังจากพรุ่งนี้ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปตลอดกาลไม่ว่าผลมันจะออกมาแบบไหน...
“อาปรางกลับมาแล้ว พวกเราเตรียมของเสร็จแล้วครับ” น้องปิง หรือเด็กชายปริวัตร วัยสิบสองเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกกะละมังผักที่ล้างและหั่นเรียบร้อยแล้วไปตั้งบนโต๊ะทำกับข้าวในครัวเล็กๆ โดยมีกับ น้องปาน หรือเด็กหญิง ปานรวี วัยสิบขวบกำลังล้างจานอยู่ หลานชายและหลานสาวของเธอเป็นลูกๆ ของ พี่ปั่น หรือ ประวิช พี่ชายซึ่งไปทำงานอยู่ที่ประเทศแถวตะวันออกกลางตั้งแต่สี่ปีที่แล้วโดยพาลูกๆ มาฝากเธอกับ นางปิ่น ผู้เป็นมารดาให้ช่วยเลี้ยงให้และให้เงินไว้ใช้จ่ายจำนวนหนึ่งแต่ก็ไม่มากพอจะส่งเสียให้เด็กๆ เรียนในระดับที่สูงกว่าชั้นประถมศึกษาเป็นแน่ ซึ่งเงินก้อนนั้นมันก็หมดไปตั้งแต่เปิดเทอมปีแรกที่หลานๆ มาอยู่กับเธอ และหลังจากนั้นพี่ชายของเธอก็ขาดการติดต่อ ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ถามบริษัทที่ส่งตัวพี่ชายไปทำงานก็เงียบไม่มีคำตอบที่กระจ่างให้ ทำให้เธอกับมารดาคิดปลงไปว่าพี่ปั่นอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นเพราะช่วงนั้นแถบตะวันออกกลางก็มีสงครามกลางเมืองและเกิดจลาจลบ่อยๆ เธอเฝ้าคอยดูรายชื่อคนที่ทางรัฐบาลช่วยเหลือให้กลับบ้าน แต่ก็ไม่มีรายชื่อพี่ชายของตนเลยสักครั้ง
เฌอปรางยิ้มให้หลานๆ แล้วรีบทำกับข้าวเพื่อไปขายในตลอดตอนเย็นซึ่งหลานๆ ได้เตรียมหั่นผักและเนื้อหมู เนื้อไก่พร้อมกับเครื่องปรุงต่างๆ ไว้แล้ว เธอแค่มาทำให้เสร็จเท่านั้น ก่อนจะไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ที่รีสอร์ตตอนสองทุ่ม
เธอต้องวางเรื่องราวทุกข์ใจไว้ชั่วขณะเพราะคิดมากไปก็ไม่สามารถทำอะไรให้มันดีขึ้น เฌอปรางคิดในใจ
เมื่อวานนี้เธอเหนื่อยกับกองเอกสารที่ถูกเจ้านายใหญ่ขอดูย้อนหลัง เพื่อประเมินการทำงานของพนักงานทุกแผนก ซึ่งแผนกบัญชีดูจะเป็นพนักแผนกที่เหนื่อยที่สุด โดยเฉพาะพัชดานั้นดูกังวลและเครียดกว่าใครๆ งานสำคัญๆ พัชดาจะดูแลจัดการเองวันนี้ใครก็เข้าหน้าเธอไม่ติดพากันหลบพายุอารมณ์ของพัชดากันหมดด้วยการไปรอรับเจ้านายสุดหล่อที่มาพร้อมคณะผู้บริหารจากโรงแรมทุกสาขาของเขารวมไปถึงหัวหน้าแผนกจากทุกบริษัทเครือข่ายของฟ็อกซ์ กรุ๊ป ที่มีจำนวนเกือบพันคน พนักงานหลายร้อยคนในรีสอร์ตต่างก็ทำงานกันตัวเป็นเกลียว อีกส่วนหนึ่งก็ต้องมาประจำอยู่ที่แผนกเพื่อจัดหาเอกสาร ทำงานแทนคนที่เข้าร่วมประชุม เรียกได้ว่าวันนี้เหนื่อยกว่าทุกวัน
เธอก็ไม่มีโอกาสเห็นหน้าเจ้านายใหญ่อดีตดาราดังเลยแม้แต่เส้นผมเพราะขลุกอยู่กับพัชดาและพนักงานอีกสิบเก้าคนในแผนกช่วยกันจัดการเรื่องเอกสารย้อนหลัง ซึ่งเธอก็มีหน้าที่ถ่ายเอกสาร เย็บเล่มค้นหาเอกสารเก่าๆ จากตู้เอกสารหลังใหญ่ ทำอยู่อย่างนี้ทั้งวันจนหัวหมุน ทำให้เธอสงสัยว่าทำไมต้องวุ่นวายกับเอกสารกันถึงเพียงนี้ หากมีการจัดเก็บเป็นระบบก็คงไม่เหนื่อยกันทั้งแผนก และเธอรู้สึกว่าพัชดาจงใจให้เป็นแบบนั้น หรือเธออาจจะคิดไปเอง สาวน้อยสะบัดศีรษะเบาๆ อย่างสลัดความฟุ้งซ่านออกไป แล้วรีบจัดการทำงานตรงหน้าเสร็จโดยเร็วดีที่ว่าเธอจะเลิกงานตอนบ่ายสองทำให้มีเวลากลับมาทำอาหารได้ทัน แต่ถึงแม้จะมีเวลาแค่ชั่วโมงเดียวกับข้าวทุกอยางก็สามารถทำเสร็จทันไปขายเพราะหลานๆ จะเตรียมทุกอย่างไว้จนพร้อมแล้วนั่นเอง
“วันนี้อาปรางจะไปงานเลี้ยงไม่ใช่หรือคะ แบบนี้ก็ไม่มีเวลาแต่งตัวสวยสิคะ อย่าเครียดเลยค่า” น้องปานถามอาสาวอย่างใคร่รู้ พิจารณาผู้เป็นอาอย่างเอาจริงเอาจังก็เห็นว่าอาสาวทำหน้าเคร่งเครียดกว่าทุกวัน
“นั่นสิครับอาปราง น่าจะให้พวกเราทำกันเอง ปิงน่ะทำกับข้าวได้หลายอย่างแล้วนะครับ วันนี้อาต้นหลิวก็จะมาช่วยเราขายกับข้าวด้วย” เด็กชายกล่าวถึง พี่ต้นหลิว หรือ สุรัตนา เพื่อนรักของเฌอปรางนั่นเอง
“ไม่เป็นไรจ้า อาไปทันถ้าต้นหลิวมาก็ดีสิ จะได้ซิ่งมอเตอร์ไซค์อีแก่ไปส่งอาได้ทันเวลา”
“มาแล้วจ้า ใครน้า บ่นถึงอาต้นหลิว”
เสียงใสๆ ของต้นหลิวดังขึ้นพร้อมกับร่างอวบอิ่มขาวผ่อง เรือนร่างสาวน้อยวัยยี่สิบในแบบที่เรียกว่าเนื้อนมไข่เยื้องกรายเข้ามาในครัวเล็กๆ นั้นอย่างคุ้นเคย ใบหน้าขาวอมชมพูกับดวงตาเรียวเล็กตามแบบสาวไทยเชื้อสายจีนนั้นแวววาวเปล่งประกายเช่นคนอารมณ์ดี ทำให้ต้นหลิวดูน่ารักสดใส
ต้นหลิวเป็นบุตรสาวของ เฮียหมิง กับเจ๊หยก เจ้าของร้านขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอและไม่มีใครไม่รู้จักเธอ แต่อัธยาศัยของคนในครอบนี้จะเป็นคนเรียบง่ายไม่ถือตัวว่าร่ำรวย ครอบครัวของต้นหลิวมักจะชอบทำบุญทำทานและบริจาคเงินทุนการศึกษาให้เด็กเรียนดีแต่ยากจนในโรงเรียนประจำอำเภอในทุกๆ วันเด็กหรืองานกิจกรรมต่างๆ ที่สำคัญของทางโรงเรียนอีกด้วย
“แหม.. ยังกับรู้ว่ามีคนบ่นถึง” เฌอปรางพูดยิ้มๆ
“อย่างว่าล่ะหลิวน่ะมีญาณวิเศษ หยั่งรู้ได้ว่าใครบ่นถึงหรือนินทา อิอิ”
“เอาล่ะมาแล้วก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ หยิบกะทิให้ที” เฌอปรางถือโอกาสใช้เพื่อนรัก และต้นหลิวก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ สองสาวช่วยกันทำกับข้าวจนเสร็จห้าอย่าง มีกับข้าวพื้นๆ คือพะโล้ พะแนงไก่ ต้มจืดมะระหมูสับ ต้มยำกระดูกหมูและผัดผักรวมกุ้งสด
ตอนที่1.นิโคลัส ฟ็อกซ์ มองหนังสือพิมพ์ในมือย่างเย็นชา ร่างสูงถึงร้อยแปดสิบเก้าเซนติเมตรยืนขึ้นเต็มความสูงเหยียดยิ้มให้กับหนังสือพิมพ์เหล่านั้นอย่างไม่ใยดี นักข่าวพยายามเหลือเกินที่จะเขียนข่าวของเขาทั้งในแง่ดีและแง่ลบ แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นข่าวในแง่ลบมากกว่า เช่นข่าวของเขากับดารานางแบบสาวหลายคน รวมไปถึงข่าวเกี่ยวกับธุรกิจที่มีคนพยายามดิสเครดิตเขาชายหนุ่มมีผิวสีแทนใบหน้าคมเข้มอย่างลูกครึ่งไทย แอฟริกาใต้ ใบหน้าเรียวยาวมีเคราเขียวๆ ขึ้นครึ้มจรดจอนผม ผมหยักศกหนาในแบบฉบับของผู้ชายเลือดผสมตัดเล็มได้รูปรับกับเครื่องหน้าที่ประกอบด้วยคิ้วเข้มดกหนาเหนือดวงตาคมใหญ่สีน้ำเงินเข้มจัด และมันจะแทบกลายเป็นสีดำยามที่เจ้าของดวงตาคมโกรธจัด จมูกโด่งเป็นสันสวยรับกับริมฝีกปากหยักได้รูปสีเรื่อด้วยสุขภาพที่ดีแต่ใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับเรียบเฉยอยู่เป็นนิจ ทำให้บุคลิกของนิโคลัสดูเย็นชาและเย่อหยิ่ง ชายหนุ่มวัยสามสิบสามในปีนี้กอดอกมองผ่านกระจกใสซึ่งเห็นทิวทัศน์ของเมืองกรุงที่เต็มไปด้วยตึกรามมากมายรถราขวักไขว่อยู่ทั้งบนทางด่วนและไม่ด่วน ผู้คนที่เห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆ เบื้องล่างราวกับมดตัวเล็กๆ นั้นขยับเคลื่อนไหวไปมาไม
ตอนที่2..“โอย ตายแล้วมาสายๆ คุณดาต้องเล่นงานเราแน่ๆ”สาวน้อยวัยยี่สิบเศษเดินแกมวิ่งกระหืดหระหอบไปตามถนนคอนกรีตซึ่งทอดตัวไปยังอาคารทรงสวยทันสมัยที่ผสมผสานความเป็นไทยไว้อย่างลงตัว ของโรงแรมสไตล์รีสอร์ตสุดหรูชื่อดัง คันทารี ฟ็อกซ์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต เพราะเธอเป็นนักศึกษาฝึกงานของที่นี่เพราะในปีนี้เธอก็จะจบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงจากสถาบันพาณิชยการแห่งหนึ่ง นี่ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วันการฝึกงานก็จะสิ้นสุดลงแล้วร่างเล็กบอบบางรีบเก็บสัมภาระที่มีเพียงแป้งเด็กกระป๋องเล็กๆ สำหรับใช้ทาใบหน้ากับลิปกลอสสำหรับบำรุงริมฝีปากอวบอิ่มค่อนข้างหนาของตนและเงินเพียงสี่สิบบาทในกระเป๋าสำหรับค่าเดินทางและซื้ออะไรกินนิดหน่อย เช่นลูกชิ้นทอดหรือน้ำอัดลมที่อยากจะกินแต่ส่วนใหญ่แล้วเธอไม่เคยซื้ออะไรพวกนั้นเลย เพราะเมื่อเลิกงานแล้วเธอก็ตรงกลับบ้านทันทีเพื่อทำกับข้าวให้มารดาขายตอนเย็นในตลาดนัดใกล้บ้าน “เธอมาสายอีกแล้วนะ เฌอปราง...”เสียงเย็นๆ ของ พัชดา หัวหน้าฝ่ายบัญชีวัยสี่สิบดังขึ้นทำให้ร่างบอบบางของ เฌอปราง นักศึกษาฝึกงานวัยใสที่กำลังก้าวอย่างเร่งรีบไปยังหน้าลอบบี้ของรีสอร์ตเพื่อผ่า
ตอนที่3.“ขอบคุณนะคะพี่ลิลลี่ที่มาช่วยชีวิตปราง”“แหม.. ช่วยชีวิตเลยหรือน้องหนูปรางขา ฮิฮิ”วัชรินทร์ปิดปากหัวเราะอย่างขบขันที่สามารถทำให้คู่ปรับอย่างพัชดาหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้ เขาหมั่นไส้ยายพัชดาตั้งแต่เข้ามาทำงานแล้ว เขาไม่เคยเห็นพัชดาทำงานเป็นชิ้นเป็นอันส่วนใหญ่จะสั่งให้คนโน้นคนนี้ทำเสียมากกว่า แต่เวลาที่รายงานนายใหญ่ คนที่ได้ผลงานได้หน้าก็จะเป็นตัวพัชดาเอง ซึ่งการทำงานกับคนเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าเบื่อและไม่ค่อยมีความสุขนัก แต่ที่เขาทำงานที่นี่ได้นานเพราะเจ้าของโรงแรมนี้เป็นอดีตดาราหนุ่มที่เขาชื่นชอบ เงินดี ที่พักอาหารก็ฟรี เงินเดือนก็เยอะ ทนๆ เอาหน่อยให้ผ่านไปแต่ละเดือนก็อยู่ได้สบายๆ ชายใจสาวคิดอย่างชื่นมื่นขณะถ่ายเอกสารให้สาวน้อยฝึกงานช่วยเย็บเอกสารเข้าชุดให้“วันนี้แม่ของปรางเข้าโรงพยาบาลอีกแล้วค่ะเลยทำให้มาสาย”“จ้า ไม่เป็นไรแล้วแม่เราเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”“ก็อาการทรงๆ อยู่ค่ะ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ หายไม่ขาดเสียทีตอนนี้ก็รอผ่าตัดค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...” เฌอปรางพูดหงอยๆ“ขอให้คุณแม่น้องหนูปรางหายไวๆ นะจ๊ะ” ทั้งสองคุยกันไปขณะที่มือก็ทำงานไปด้วย“ขอบคุณค่ะพี่ลิลล