“คุณนายกับคุณหนูรอสักครู่ ผมไปเอารถมาจอดหน้าตึกนะครับ”
“อืม”
หลินเหยาซื่อพยักหน้ารับ ดูชีวิตเธอตอนนี้สิ มีคนรับใช้ติดตามข้างกาย มีคนขับรถให้ หรือสวรรค์มองเห็นว่าเธอลำบากมาหลายปี ตอนนี้จึงชดเชยให้เธอได้ใช้ชีวิตที่ไม่กล้าคิดฝัน
“คุณแม่ขา/ครับ”
แรงกระตุกจากมือน้อยๆ ทำให้หลินเหยาซื่อได้สติ เธอส่งยิ้มให้ลูกฝาแฝด
“มีอะไรเหรอ”
เด็กสองคนมองหน้ากันแล้วส่ายหน้าไปมา
“อ้าว ...มีอะไรก็พูดมาสิคะ ถ้าไม่พูดแม่ก็ไม่เข้าใจน่า” เธอหัวเราะเบาๆ
“หย่งหย่งตื่นเต้นจะได้ไปเจอคุณพ่อที่ทำงานค่ะ” จางลี่รีบพูดขึ้น
“ลี่ลี่ต่างหากล่ะ” จางหย่งยื่นปากใส่จางลี่
“เอาล่ะๆ แม่ก็ตื่นเต้นเหมือนกัน”
เธอกระชับมือน้อยๆในอุ้งมือทั้งซ้ายขวาแน่นขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือเจ้าลิงน้อยที่เป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุดในชีวิตใหม่ของโลกนี้.
สายตาหลายคู่จับจ้องมาทางหลินเหยาซื่อและลูกแฝดชายหญิงทั้งสองคน บริษัทหลินกรุ๊ฟใหญ่โตกว่าที่คิดไว้มาก เธอเดินจูงมือลูกมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แจ้งความต้องการพบกั๋วคังเหรินโดยไม่ได้นัดหมายไว้ก่อน
“หลินเหยาซื่อค่ะ” เธอพูดชื่อตัวเองอีกครั้ง “เป็นภรรยาค่ะ”
“คะ? ภรรยาท่านประธานกั๋ว!” พนักงานหน้าตาแตกตื่นตกใจ รีบกดโทรศัพท์แจ้งไปยังเลขาหน้าห้อง แล้วเอ่ยกับหลินเหยาซื่อ “กรุณารอสักครู่นะคะ”
“ค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับ ลูกสองคนดูตื่นเต้นมาก ใช้นิ้วเล็กๆ ชี้ไปทางโน้นทางนี้แต่อีกมือก็ยังจับมือของมารดาไม่ยอมปล่อย
“บริษัทของคุณพ่อใหญ่จัง” จางลี่พูดออกมา “มีที่ให้วิ่งเล่นเยอะแยะเลย”
“เล่นที่นี่ไม่ได้ นี่ที่ทำงานคุณพ่อ” จางหย่งพูดเลียนแบบผู้ใหญ่แล้วเงยหน้ามองมารดา “ใช่ไหมครับคุณแม่”
“ใช่จ๊ะ หย่งหย่งฉลาดมากที่ทำงานเล่นไม่ได้”
จางลี่เบ้ปากใส่ “ลี่ลี่จะช่วยคุณพ่อทำงาน”
“หย่งหย่งก็จะทำงานด้วย”
“ไม่ต้องแย่งกันได้ทำอยู่แล้ว ก็นี่เป็นบริษัทที่คุณตาบุกเบิกมา”
เด็กฝาแฝดได้เห็นคุณตากับคุณยายแค่ในรูปถ่าย แต่ก็ผูกพันมากเพราะแม่เล่าให้ฟังเสมอ คงเหมือนกับพ่อที่แม้เพิ่งได้พบกัน แต่ทั้งสองก็ผูกพันมานาน
ครู่หนึ่งเลขาฯ หน้าห้องท่านประธานกั๋วก็เดินออกมาจากลิฟต์ ท่าทางเหนื่อยหอบเล็กน้อยแล้วเชื้อเชิญให้ทั้งหมดขึ้นไปรอกั๋วคังเหรินที่ห้องทำงานของท่านประธาน
“ประธานกั๋วติดประชุมอยู่ค่ะ คุณผู้หญิงกับคุณหนูและคุณชายเชิญรอที่ห้องทำงานท่านก่อนได้นะคะ ฉันเรียนให้ท่านทราบแล้ว”
“ฉันมาไม่ได้บอกก่อน ทำให้ทุกคนลำบากแล้ว”
“อย่าพูดแบบนั้นสิค่ะ” เลขาหลี่ยิ้มแล้วขยับแว่นตาชิดใบหน้า “เชิญทางนี้ค่ะ”
เด็กแฝดอยากรู้อยากเห็น แต่ก็กลัวว่าคุณแม่จะดุแล้วไม่ได้ออกมาเที่ยวอีกจึงจับมือแม่เข้าลิฟต์และเดินตามพี่สาวคนสวยที่แนะนำตัวเองว่าเป็นเลขาของคุณพ่อไปที่ห้องทำงาน
“ประเดี๋ยวจะให้คนเอาเครื่องดื่มมาให้นะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะเลขาหลี่” หลินเหยาซื่อผงกศีรษะขอบคุณอีกครั้ง เมื่อประตูปิดลงก็ปล่อยให้เด็กๆ เดินสำรวจในห้องทำงานกว้างขวางของกั๋วคังเหริน
“ห้ามรื้อค้นข้าวของในห้องนี้นะคะ เป็นเด็กดีต้องไม่ดื้อนะ”
“ทราบแล้วค่ะ/ครับ” เสียงใสๆ สองเสียงดังขึ้นพร้อมกันแล้ววิ่งไปเกาะหน้าต่างที่เป็นกระจกใสมองเห็นทิวทัศน์ตึกน้อยใหญ่เต็มไปหมด
“สูงจัง” จางลี่ทำตาโต
“สูงกว่านั่งชิงช้าสวรรค์อีกนะ”
“คุณพ่อเก่งจัง ทำงานที่สูงๆได้” จางลี่ชื่นชมด้วยแววตาแววใส
“คุณพ่อเก่งที่สุด” จางหย่งพูดน้ำเสียงภูมิใจ
แต่คนเป็นแม่ได้แต่ยิ้มแหย ‘ลืมแม่ไปกันหมดเลยสินะ’ หลินเหยาซื่อส่ายหน้าไปมาแล้วเดินสำรวจดูห้องทำงานที่ค่อนข้างเรียบง่ายแต่เน้นวัสดุแข็งแรงคงทน ดูเหมือนจะเป็นของเก่าตั้งแต่ประธานหลินยังคงอยู่ ปลายนิ้วสัมผัสโต๊ะไม้เนื้อแข็งพลันเกิดภาพในหัว หลินเหยาซื่อในวัยเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของบิดา หญิงสาวถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะหัวเราะออกมาจนลูกๆ หันมามอง ก็แหม... ‘หลินเหยาซื่อ’ กำลังอิจฉา ‘หลินเหยาซื่อ’ อยู่นะสิ
เอกสารบนโต๊ะเรียกสายของหญิงสาว เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนนั่งลงที่เก้าอี้แล้วพลิกอ่านดูคราวๆ ‘คงไม่เป็นไรหรอกนะ ยังไงก็กิจการของเธอด้วยเหมือนกัน’
เสียงประตูเปิดดังขึ้นทำให้เด็กฝาแฝดหันมามอง กั๋วคังเหรินยกถาดเครื่องดื่มเข้ามาบริการคนในห้องด้วยตัวเอง
“คุณพ่อ!”
หลินเหยาซื่อเพิ่งได้สติ เธอเงยหน้าขึ้นเห็นกั๋วคังเหรินถือถาดเครื่องดื่มเข้ามา เขาสวมเสื้อเชิ้ตเรียบง่ายแต่พับแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอก หญิงสาวลุกขึ้นแล้วไปรับแก้วเครื่องดื่มจากเขา
“เอามาให้เองเลยหรือคะ” เธอยิ้มแล้วส่งแก้วโกโก้ร้อนให้จางลี่กับจางหย่ง ทั้งสองอยากกอดคุณพ่อแต่เห็นว่าพ่อยุ่งอยู่จึงรับแก้วเครื่องดื่มมาช่วยกันเป่าก่อนค่อยๆ จิบ
“แค่ยกโกโก้ร้อนมาให้ลูกก็ไม่ได้ลำบากอะไร” กั๋วคังเหรินยกมือขึ้นเกี่ยวไรผมทัดใบหูให้หลินเหยาซื่อ “ผมดีใจที่เห็นคุณกับลูกมาหา”
“มาดามหวังชวนให้พาเด็กๆไปลองชุดที่จะวางขายเร็วๆนี้ค่ะ ลูกๆได้ลองเป็นนายแบบนางแบบกันด้วยนะคะ”
“จริงหรือนี่”
เขายิ้มแล้วหันไปมองลูกทั้งสองเต็มตา จางหย่งใส่เสื้อปกทหารเรือกับกางเกงขาสั้น ส่วนจางลี่ใส่ชุดกระโปรงน่ารัก ลายผ้าของชุดที่พวกเขาสวมเป็นรูปวาดด้วยสีไม้เป็นรูปมะเขือเทศสีแดงสดใสหลายลูก ไม่น่าเชื่อเลยว่า รูปวาดที่เขาเห็นเธอวาดแล้ว วาดอีก แก้ไข้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะกลายเป็นลายผ้าน่ารักสวยงามเช่นนี้
“จริงค่ะ/ครับ” เด็กๆ พูดขึ้นพร้อมกัน
“พวกเราทำตามที่คุณลุงช่างภาพสอนค่ะ แบบนี้ แบบนี้” จางลี่ทำท่าหมุนตัวไปมาเหมือนตอนที่คุณลุงช่างภาพสอน
“แบบนี้ด้วยครับ” จางหย่งคล้องแขนจางลี่แล้วยิ้ม
“ลูกไม่กลัวเวลาเจอคนแปลกหน้าเหรอ” เขาถามเด็กแฝดทั้งสอง
“มีคุณแม่อยู่ด้วยค่ะ/ครับ” ทั้งสองตอบพร้อมกัน
หลินเหยาซื่อนึกขึ้นได้ หยิบกล้องถ่ายรูปจากกระเป๋าสะพายขึ้นมา
“คุณค่ะ ถ่ายรูปกับลูกๆหน่อยค่ะ”
“ครับ?”
กั๋วคังเหรินงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นหลินเหยาซื่อหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาก็เข้าใจ เขากลับมาอยู่บ้านได้ระยะหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ได้ถ่ายรูปกับลูกๆ เลย เขานั่งที่โซฟามุมหนึ่งของห้องทำงาน จางลี่และจางหย่งเห็นแม่ถือกล้องถ่ายรูปก็ไปนั่งขนาบข้างพ่อทันที หลินเหยาซื่อกดชัตเตอร์แล้วลดกล้องลงทำหน้ามุ่ย
“คุณ... ยิ้มหน่อยค่ะ รีแลกซ์หน่อย ไม่ได้ถ่ายรูปติดบัตรนะคะ”“ผม...ผมต้องทำยังไง” เขาเก้อเขินและทำอะไรไม่ถูก เคยถูกถ่ายรูปแต่เพราะเรื่องงาน แต่แทบไม่เคยถ่ายรูปครอบครัวเลยเพราะเขาไม่เคยถูกนับเป็นสมาชิกของครอบครัวหลินเหยาซื่อเห็นท่าทางอับจนหนทางของกั๋วคังเหรินแล้วก็นึกสงสาร ผู้ชายคนนี้แบกอะไรไว้เต็มบ่า ชีวิตสาหัสกว่าเด็กกำพร้าอย่างเธอมาก หญิงสาวส่งสายตาไปทางลูกลิงแฝด แค่ขยิบตาให้ เด็กๆ ก็เข้าใจความหมาย“โจมตี!” สองลิงพูดขึ้นพร้อมกัน“โจมตี?”กั๋วคังเหรินทำหน้างงก่อนจะเข้าใจความหมายก็เมื่อจางลี่กับจางหย่งกระโดดปล้ำหอมแก้มเขา หลินเหยาซื่อรีบกดชัตเตอร์ทันที เสียงเด็กๆ หัวเราะสนุกสนานปีนป่ายขึ้นตัวผู้เป็นพ่อ ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังก่อนยกมือขอยอมแพ้ หลินเหยาซื่อแอบเสียดาย ถ้าเป็นสมาร์ทโฟนคงกดไปได้หลายร้อยรูปแล้ว แต่ในมือของเธอคือกล้องฟิล์ม เหลือให้ถ่ายภาพได้อีกแค่สองภาพเท่านั้น“คุณแม่มาถ่ายรูปกันค่ะ/ครับ” เด็กๆ กวักมือเรียก หลินเหยาซื่อลองตั้งกล้องบนโต๊ะทำงานแล้วปรับโฟกัส เธอเงยหน้าขึ้นแล้วพูด“นั่งนิ่งๆก่อน เดี๋ยวแม่ตั้งเวลาถ่ายรูปแป๊บ”คราวนี้ลูกลิงนั่งสงบเสงียมแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลิ
“คังเหรินกลับมาแล้ว ต่อไปห้ามแตะต้องเขาอีก” เดซี่พูดแล้วยื่นแก้วไวน์ที่ดื่มหมดคืนให้ ช่วงที่กั๋วคังเหรินหายตัวไป เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ที่แน่ๆ เธอไม่เชื่อว่าเขาจะมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่น เพราะกับเธอเองเขายังไม่แตะต้อง ให้เกียรติและทะนุถนอมจนเธออ่อนใจ ทั้งที่อยากมีความสัมพันธ์ทางกาย ยิ่งตอนที่เขามาบอกเลิกเพราะต้องไปแต่งงานกับหลินเหยาซื่อ เขาก็แสดความรู้สึกผิดกับเธอมาก โดยที่เขาไม่เคยรู้ว่า ระหว่างที่เขาคบกับเธอ เธอเองไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียวเมื่อก่อนนั้น กั๋วคังเหรินมีดีแค่หน้าตาดีและเรียนเก่ง แต่ฐานะทางการเงินไม่ดีนัก เรียนก็ต้องขอทุนเรียน ที่สำคัญเขาถูกนินทาอยู่เสมอที่เป็นลูกนอกสมรส เธอก็ไม่ได้อยากคบกับผู้ชายที่หล่อแต่จนนักหรอก แต่กั๋วคังเหรินเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แม้ตอนนั้นเธอเรียนได้แค่2ปีก่อนไปใช้ชีวิตต่างประเทศ แต่ก็ช่วงเวลาที่คบกับเขานั้นเขาดูแลเธอดีมาก และเมื่อเธอกลับมาในฐานะ เดซี่ จาง เขาก็ไม่เคยคิดเปิดเผยเรื่องของเธอ ซึ่งตอนนั้นเขาเองก็เพิ่งเข้าไปทำงานที่บริษัทหลินกรุ๊ฟหลังจากเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ ถ้าให้พูดตาม
มือเล็กดันไหล่เขา เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นก่อนค่อยขยับเอวถอนแก่นกายออกช้าๆ น้ำรักขาวขุ่นไหลล้นเปื้อนเปรอะ ร่วมรักกันมาหลายครั้งแล้ว แต่เธอยังเขินอายอยู่ดี และเขาก็ช่างดุดันตรงข้ามกับรอยยิ้มอ่อนโยนเหลือเกิน จู่ๆ หญิงสาวก็นึกขึ้นได้เธอก้มมองท่อนล่างของตนแล้วมองไปที่แก่นกายของเขา กั๋วคังเหรินเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เพราะปกติเธอไม่กล้ามองส่วนนั้นของเขาด้วยซ้ำ“มีอะไรเหรอ คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”เธอส่ายหน้าแล้วก็พยักหน้า และนึกอีกทีก็ส่ายหน้า สับสนงุนงงไปหมด“เรา...เราไม่ได้คุมกำเนิด” ในปีค.ศ. 2023 รัฐบาลผ่อนปรนเรื่องการมีลูก แต่ในปี ค.ศ. 1979 รัฐบาลโดยการนำของเติ้งเสี่ยวผิงริเริ่ม ‘นโยบายลูกคนเดียว’ เพื่อควบคุมจำนวนประชากรไม่ให้เพิ่มขึ้นมากเกินไป เพราะยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูประเทศ และเพิ่งผ่านสงครามภายในและภายนอกประเทศ กั๋วคังเหรินยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้าของภรรยาตัวน้อย “ไม่เป็นไร ผมจัดการได้ แต่ถ้าคุณท้องอีกครั้ง ขอให้ผมอยู่ข้างๆคุณชดเชยที่ไม่ได้อยู่กับคุณท้องที่แล้ว”“คุณตั้งใจอยู่แล้วสินะ ถึงไม่ได้เตือนฉันเรื่องคุมกำเนิด” ก็บอกแล้วว่าถูกเขาจูบทีไร เธอก็ลืมเรื่องอื่นไปหมดทุกที“ผมติดค้
ใช้เวลาราวๆชั่วโมงเศษก็เดินทางมาถึงที่หมาย กั๋วคังเหรินไม่ได้บอกใครว่าจะมาดูสถานที่เพราะเป็นการมาส่วนตัว เว่ยฉือจอดรถเรียบร้อยแล้วจึงเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้ผู้เป็นนาย ชายหนุ่มก้าวลงมาแล้วจึงยื่นมือไปช่วยประคองให้หลินเหยาซื่อออกมาจากรถ “ฉันไม่ได้เปราะบางขนาดนั้นเสียหน่อย” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วกวาดตามองไปโดยรอบ ที่นี่เป็นพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมที่ทางรัฐบาลให้โยกย้ายเข้าไปเขตอุตสาหกรรมใหม่ พื้นที่ตรงนี้จะกลายเป็นชุมชนแห่งใหม่ ตอนที่เธอจำความได้ก็อยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กแล้ว ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดไปแต่ละวันทำให้เธอไม่ได้สนใจนักว่า เดิมที่พื้นที่ที่เคยอยู่ บริษัทไหนประมูลได้ทำโครงการนี้ “ระวังด้วย ตอนนี้กำลังขนย้ายเครื่องจักรกันอยู่” “ฉันไม่เดินเข้าไปด้านในหรอกค่ะ แค่ดูรอบๆก็พอ” เธอหันมายิ้มให้เขาแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ ใครจะเชื่อว่าเธอจะได้กลับมาเยือนสถานที่ก่อนที่เธอจะเติบโต เพราะเป็นเด็กที่ไม่มีใครรับอุปการะ เธอจึงทำงานพิเศษตั้งแต่เข้าเรียนมัธยมปลาย หลังจากเรียนจบสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็ย้ายออกไปอยู่ห้องเช่าราคาถูก แม้จะได้ทุน
หลินเหยาซื่อถูกแรงกระแทกทำให้ผวาตื่น เธอหันซ้ายแลขวาอย่างตื่นตระหนก รถยนต์ส่ายไปมาอย่างน่ากลัว ความทรงจำสุดท้ายก่อนจะมาฟื้นในปี1980คือรถบัสที่ส่ายไปมาและพุ่งตกเขา เธอตื่นตระหนกด้วยคิดว่าตัวเองกลับไปสู่เหตุการณ์ในปี2023 แต่มือที่กุมมือแน่นอยู่นั้นทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในปี1980กับผู้ชายที่ชื่อกั๋วคังเหริน“เกิดอะไรขึ้นคะ”“เชื่อใจผม” เขาโอบเธอไว้ในอ้อมกอดกดศีรษะเธอให้ซุกกับแผ่นอกของเขา“เว่ยฉือ”“พวกมันมากันหลายคน ผมจะพยายามสลัดพวกมันให้หลุด อ๊ะ!”รถยนต์คันนั้นพุ่งเข้าชนจากท้ายรถอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันดันให้ไปด้านหน้า เว่ยซือจะหักพวกมาลัยหลบแต่รถยนต์อีกคันมาขนาบข้าง ดวงตาดำจ้องมองผ่านหน้าต่างรถ กั๋วคังเหรินเห็นปากกระบอกปืนส่องมาตรงมาทางเขาก็รีบกดร่างหลินเหยาซื่อให้หมอบลงไป เว่ยซือเห็นท่าไม่ดีเหยียดคันเร่งหนีให้พ้นวิถีปืน ทว่ารถยนต์เสียหลักออกนอกเส้นทางพุ่งตกลงไปในแม่น้ำ!รวดเร็วจนหลินเหยาซื่อไม่ทันกรีดร้อง เธอรู้สึกว่าร่างกระเด็นกระดอนในรถยนต์ แต่ก็มีกั๋วคังเหรินกอดไว้แน่น เธอหูอื้อไม่ยินเสียงใดทั้งนั้น ราวกับเคยเกิดเรื่องนี้มาก่อน ใช่ ...มันเคยเกิดขึ้นในรถบัสที่เธอนั่งเดินไปเป็น
ทันทีที่ลืมตา ภาพที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาคล้ายกันจนเหมือนพิมพ์เดียวกันนั่งจ้องหน้าด้วยแววตาวิตกกังวล ทำให้เธอยื่นมือไปตั้งใจจะคว้าเอาเด็กสองคนมากอด แต่มีสายน้ำเกลือติดที่แขนทำให้ชะงักไป หลินเหยาซื่อทำหน้างุนงงและสับสนว่าเธออยู่ในปีค.ศ.ไหนกันแน่ “คุณแม่ตื่นแล้ว!” จางลี่กับจางหย่งผสานเสียงขึ้นพร้อมกันเสียงดังจนหลินเหยาซื่อต้องหยีตาและทำให้กั๋วคังเหรินที่ยืนคุยกับคุณหมอรีบสาวเท้ามาข้างเตียงภรรยาสาว “เหยาซื่อ...ได้ยินผมไหม?” กั๋วคังเหรินถามเสียงสั่น เขาเองก็กลัวว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ไม่อาจแสดงความอ่อนแอได้ เพราะลูกยังต้องการเขาอยู่ “เกิดอะไรขึ้น” เธอถามและพบว่าน้ำเสียงแหบแห้งเหลือเกิน “ฉันอยู่ที่ไหน” “โรงพยาบาล...” เขาเอ่ยชื่อออกไป “คุณหลับไปเจ็ดวันเลยทีเดียว” “เจ็ดวัน...” หลินเหยาซื่อยังมึนงงอยู่ แต่เมื่อยื่นมือไปแตะใบหน้าที่โน้มลงมาใกล้สัมผัสไออุ่นที่คุ้นเคยก็ทำให้มั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป “ขอโทษที่หลับไปนานนะคะ” เธอหันไปมองลูกทั้งสองที่ทำตาแดงๆ มองเธอ “แม่หลับไปหลายวัน ดื้อกับคุณพ่อหรือเปล่า
แม้จะไม่ได้อาบน้ำแต่ก็สบายตัวขึ้น หลินเหยาซื่ออารมณ์ดีขึ้น เธอเดินกลับมานั่งบนเตียง ผู้ชายตัวโตบังคับให้เธอลงนอน แต่เธอตีแขนเขาเบาๆ “นอนเยอะแล้วค่ะ ให้นั่งบ้างเถอะ” เธอกวาดตามองเขาแล้วดึงแขนให้เขามานั่งข้างๆ ยื่นมือไปแตะบริเวณที่จำได้ว่าเคยเห็นเลือดไหล “หลังก็มีแผลเป็น หน้าจะมีแผลเป็นอีกไหมนะ” “คุณกลัวเหรอ” เขาถามยิ้มๆ เขาเป็นผู้ชาย แผลเป็นไม่ได้สำคัญกับเลยสักนิด “เปล่าเสียหน่อย ฉันเป็นห่วงคุณต่างหาก คุณให้คุณหมอตรวจร่างกายหรือยังคะ ทุกอย่างโอเค.ไหม” “ผมบาดเจ็บเล็กน้อย คุณต่างหากที่หลับไป หมอก็หาสาเหตุไม่เจอ” “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ” “ผมต่างหากที่ทำให้คุณต้องบาดเจ็บ” “ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของคุณ-เรื่องของฉัน แต่เป็นเรื่องของเราแล้วค่ะ” นอกจากแม่แล้ว เขาก็ไม่เคยมีใครใกล้ชิดแบบนี้ แม้แต่ตอนที่คบกับเดซี่ แม้ภายนอกใกล้ชิดกันแต่ระยะห่างของหัวใจนั้นไกลมาก เสียงประตูห้องเปิดออก กั๋วคังเหรินคิดว่าลูกๆกลับมาแล้ว แต่เมื่อหันไปดูจึงพบว่าเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้
หลังจากมั่นใจว่า ในห้องไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว หลินเหยาซื่อจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน เธอรู้สึกรำคาญสายน้ำเกลืออยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ก็สถานะตอนนี้เป็นคนป่วยนี้นะเธอไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองอีกเมื่อไหร่ เธอจะหลับไปแบบนี้อีกไหม หลับไปยาวนานถึง 7 วัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ แม้กระทั่งหมอ แต่ตัวเธอเอง ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ชีวิตที่ได้มาใหม่นี้ จะใช้ได้ยาวนานเพียงใด แต่ที่สุดแล้ว ก็ยังมีลมหายใจอยู่ โดยเฉพาะในชาตินี้ เธอรู้ดีว่า มีสิ่งที่สำคัญที่สุดรออยู่ นั่นก็คือ ลูกชายหญิงฝาแฝดของเธอ ที่แม้ซนเหมือนลิง แต่เธอก็รักพวกเขามากแม้ไม่มีความทรงจำที่อุ้มท้องพวกเขา แต่เธอก็รู้สึกว่าทั้งสองเป็นลูกของเธอจริงๆหญิงสาว มองไปที่โต๊ะตรงหัวเตียง มีกระเช้าผลไม้ตั้งอยู่ มีผลไม้หลากชนิด เธอเอื้อมมือไปหยิบแอปเปิ้ลสีสวย เห็นแล้วก็คิดถึงงานที่ทำค้างอยู่ Collection ใหม่ครั้งหน้า เธอน่าจะออกแบบลายผ้า เป็นรูปผลไม้เด็กๆชอบผลไม้สีสันสดใส น่าจะทำลายผ้าแล้ว ทำของอย่างอื่นด้วยก็ดีนะหลินเหยาซื่อคิดฝันไปไกลถึงกิจการของตัวเอง และเม็ดเงินที่จะเข้ากระเป๋า เมื่อมีเงินมาก เธอก็สามารถท
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นผูกพันในแววตาคู่นั้น หลินเหยาซื่อไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร ทำไมเธอรู้สึกว่าเขาคือคนที่เคยกุมมือไว้ก่อนที่จะสิ้นใจดวงตาหลังแว่นสายตาตื่นตกใจที่เห็นดวงตาคู่สวยมีหยดน้ำตา “คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า มีอะไรผิดปกติไหม”หญิงสาวใส่หน้าไปมา “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ทำไมตัวเองถึงมีน้ำตา”เธอพยายามหัวเราะเช่นทุกครั้ง เวลามีอะไรเธอมักจะหัวเราะเสมอ กระทั่งครั้งนี้เธอก็หัวเราะทั้งที่มีน้ำตา ชายหนุ่มยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม“สัญญากันแล้วนี่นา ว่าจะไม่หลับไปนานแบบนี้อีก”คราวนี้หญิงสาวตกใจกับคำพูดของเขา“เมื่อกี้คุณหมอพูดว่าอะไรนะคะ”‘คุณหมอ’ ชายหนุ่มยิ้มเศร้า เธอคงจำเขาไม่ได้สินะ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วขยับตัวรักษาระยะห่างระหว่างหมอกับคนป่วย ทั้งที่เขาอยากคว้าเธอมากอดแนบอกเหลือเกิน‘จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เขาจำเธอได้ก็พอ’ชายหนุ่มมองดวงตากลมโตที่ยังมีแววสงสัย เรื่องแบบนี้เล่าไปจะมีใครเชื่อ ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยหลังจากภรรยาตายจากได้ห้าปี เช้าวันหนึ่งเขาก็ตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของร่างนี้ป่ว
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ มองตัวเองในกระจก ยกมือขึ้นเปิดเส้นผมที่ปรกหน้าเห็นรอยแผลจากการถูกกระแทกต้องเย็บยี่สิบเข็ม คุณหมอแจ้งว่าถ้าเธอต้องการทำศัลยกรรมเพื่อลบรอยแผลเป็นก็ทำได้ เธอจำได้ว่าตอนนั้นเธอหัวเราะและตอบไปว่า“ไม่เป็นไรค่ะ แผลเป็นนิดเดียว”แต่จริงๆเธอเสียเงินหลายหมื่นหยวน ในปีค.ศ. 2023 นี้ เธอคือผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดา เหลือเงินติดบัญชีอยู่ไม่เท่าไหร่ โชคยังดีที่บริษัทภาพยนตร์ที่เธอรับงานเป็นตัวประกอบเห็นใจให้เงินค่าทำขวัญมาจำนวนหนึ่ง ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้นมาจากประกันอุบัติเหตุ เธอจึงไม่ต้องเป็นหนี้สินล้มละลายเพราะการรักษาตัวเอง แต่ข่าวที่เธอช่วยชีวิตคนอื่นก็ทำให้เธอกลายเป็นที่สนใจ ตอนนี้แม้เธอเป็นแค่ตัวประกอบ แต่ก็มีหลายบริษัทอยากให้เธอไปร่วมเล่นซีรีย์บทเล็กๆ ถึงอย่างไรหน้าตาเธอก็ไม่ได้สะสวยพอจะเป็นถึงนางเอกได้ และยิ่งตอนนี้มีแผลเป็นที่หน้าผากอีก ต่อให้ใช้ make up ปิดบังยังไง ก็ยังเห็นอยู่ดี แผลเป็นไม่ได้น่าเกลียดเท่าไหร่ เห็นแล้วก็อดคิดถึงแผลเป็นของผู้ชายคนนึงไม่ได้ แผลเป็นของเขาใหญ่กว่าเธอมาก ผ่านมาหลายปี แผลเป็นนั้นก็เป็นรอยจางๆหลินเหยาซื่อต้องทำกายภาพบำบัดที่โรงพยา
“ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ พ่อก็รักไม่น้อย ปกว่ากัน แล้วพวกลูกล่ะ จะรักน้อง ไม่ว่าน้องจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือเปล่า”“แน่นอนครับค่ะ พวกเรารักน้อง อยากให้น้องออกมาเร็วๆ จะช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องและเล่นกับน้อง” คนเป็นแม่หัวเราะเสียงใส จะช่วยแม่เลี้ยงน้องหรืออยากเล่นกับน้องก็ไม่รู้เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว ละลายความหม่นเศร้าที่เคยปกคลุมในบ้านหายไปหมดสิ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปตรงหน้า“เข้าบ้านเถอะเย็นแล้ว อากาศเย็น เดี๋ยวคุณจะไม่สบายเอา”หญิงสาวมองมือใหญ่แข็งแกร่งที่ยื่นมาตรงหน้า เธอรู้ว่ามือคู่นี้จะคอยประคองเธอไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกับเธอที่สัญญาไว้กับเขาว่าจะจับมือเขาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบางที...นี่อาจเป็นเหตุผลที่โชคชะตาส่งเธอมาในปีนี้ 1980 เพื่อได้รับใครสักคน และเพื่อให้หัวใจได้ถูกรัก.จบ.ลืมตาอีกครั้งหญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วพบว่า ตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ต้องตั้งสติอยู่นานกว่าจะรู้ว่า ตัวเองตื่นมาในปีค.ศ. 2023 เธอคือผู้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ในอุบัติเหตุรถบัสตกเขาลงแม่น้ำหลินเหยาซื่อจำได้ว่าตอนที่ฟื้นขึ้นมา เธอสบตากับดวงตาคู่หนึ่งแม้เขาจะสวมหน้ากากอนา
คราวนี้เห็นทีจะจบเรื่องแล้วจริงๆ หลินเหยาซื่อถอนหายใจอย่างหอบเหนื่อย เธอถึงกับหมดแรงนั่งลงไปกับพื้น สามีเห็นแล้วก็รีบเข้าไปประคองอุ้มเธอขึ้นมาไว้บนเตียง เขาสั่งการกับเว่ยฉือให้จัดการเรื่องทั้งหมดแทนเขา เมื่อในห้องไม่มีคนนอกแล้ว ลูกทั้งสองคนก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาหาแม่ได้“คุณแม่เกิดอะไรขึ้นครับ/ค่ะ”เด็กน้อยสองคน ปีนขึ้นเตียงรีบเข้ามากอดแม่ เด็กฝาแฝดคนแย่งกันพูดเสียงดัง บรรยากาศกลับสดใสอีกครั้ง หลินเหยาซื่อส่ายหน้าไปมา บทเรียนต่อไปเธอต้องสอนให้ลูกพูดเสียงให้เบาลงกว่านี้ แต่เอาเถอะ เวลานี้เสียงของลูก ไพเราะที่สุดแล้ว“ขอแม่หอมแก้มเพิ่มพลังหน่อยสิ” หญิงสาวพูดขึ้น เด็กน้อยสองคนก็รุมหอมแก้มกันใหญ่สามีถอนหายใจแล้วค่อยยิ้มออกมา ทั้งที่เมื่อครู่เจอเรื่องอันตรายมากแต่เธอก็ยังยิ้มได้ คนที่บ้าที่สุดอาจจะเป็นภรรยาของเขาก็ได้ คิดแล้วเขาก็หัวเราะออกมาหลินเหยาซื่อเสียงสามีหัวเราะ ก็หันไปทำหน้ายู่ใส่“หัวเราะอะไรคะ”“หัวเราะอะไรคะ/ครับ” ลูกสองคนพูดเลียนแบบแม่“ไม่มีอะไรครับ”คนเป็นพ่อพูดแล้วโบกมือไปมา แต่หลินเหยาซื่อสบตากับลูกทั้งสองส่งสัญญาณ คนเป็นสามีรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้ใจแสร้งถอยหลัง แต
ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้ดาราสาวปวดใจแทบเป็นบ้า ยิ่งเห็นกั๋วคังเหรินโอบกอดหลินเหยาซื่ออย่างปกป้องและความห่วงใย ครั้งหนึ่งอ้อมกอดนั้นเคยเป็นของเธอมาก่อน ทำไมมันถึงมาจุดนี้ได้ ทำไมไม่ใช่เธอที่อยู่ในอ้อมกอดเขา ดาราสาวแหงนหน้าหัวเราะ ท่าทางไม่ต่างจากคนเสียสติ โลกไม่ยุติธรรมเสียเลย เธอมองหน้าชายที่เคยรักผ่านม่านน้ำตา“ทำไมคะ ทำไมคุณไม่รักฉัน ทำไมคุณต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น”ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง เขาประคองร่างของภรรยาขึ้น มองเห็นหยดเลือดจากที่เธอกระชากสายน้ำเกลือออกก็ปวดใจ โชคดีที่ลูกสาวลูกชายไม่ได้อยู่ในห้องนี้ เขาไม่อยากให้ลูกๆ ต้องมาเห็นภาพแบบนี้“เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว คุณจะรื้อฟื้นทำไม คุณเองก็ไม่ได้มีผมเพียงคนเดียว ระหว่างที่เราคบกัน ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าคุณมีคนอื่น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ได้ยินดังนี้ ดาราสาวถึงกับหน้าซีดไป เพราะเธอคิดเสมอว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องราวด้านมืดของเธอเลยชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง“ให้มันจบแค่นี้เถอะ คุณมีชีวิตของคุณ ผมมีชีวิตของผม ผมมีภรรยาและลูกที่รักมากและผมต้องดูแลพวกเขา นอกจากหลินเหยาซื่อแล้ว ชีวิตนี้ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว เห็นแก่ควา
หลังจากมั่นใจว่า ในห้องไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว หลินเหยาซื่อจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน เธอรู้สึกรำคาญสายน้ำเกลืออยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ก็สถานะตอนนี้เป็นคนป่วยนี้นะเธอไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองอีกเมื่อไหร่ เธอจะหลับไปแบบนี้อีกไหม หลับไปยาวนานถึง 7 วัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ แม้กระทั่งหมอ แต่ตัวเธอเอง ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ชีวิตที่ได้มาใหม่นี้ จะใช้ได้ยาวนานเพียงใด แต่ที่สุดแล้ว ก็ยังมีลมหายใจอยู่ โดยเฉพาะในชาตินี้ เธอรู้ดีว่า มีสิ่งที่สำคัญที่สุดรออยู่ นั่นก็คือ ลูกชายหญิงฝาแฝดของเธอ ที่แม้ซนเหมือนลิง แต่เธอก็รักพวกเขามากแม้ไม่มีความทรงจำที่อุ้มท้องพวกเขา แต่เธอก็รู้สึกว่าทั้งสองเป็นลูกของเธอจริงๆหญิงสาว มองไปที่โต๊ะตรงหัวเตียง มีกระเช้าผลไม้ตั้งอยู่ มีผลไม้หลากชนิด เธอเอื้อมมือไปหยิบแอปเปิ้ลสีสวย เห็นแล้วก็คิดถึงงานที่ทำค้างอยู่ Collection ใหม่ครั้งหน้า เธอน่าจะออกแบบลายผ้า เป็นรูปผลไม้เด็กๆชอบผลไม้สีสันสดใส น่าจะทำลายผ้าแล้ว ทำของอย่างอื่นด้วยก็ดีนะหลินเหยาซื่อคิดฝันไปไกลถึงกิจการของตัวเอง และเม็ดเงินที่จะเข้ากระเป๋า เมื่อมีเงินมาก เธอก็สามารถท
แม้จะไม่ได้อาบน้ำแต่ก็สบายตัวขึ้น หลินเหยาซื่ออารมณ์ดีขึ้น เธอเดินกลับมานั่งบนเตียง ผู้ชายตัวโตบังคับให้เธอลงนอน แต่เธอตีแขนเขาเบาๆ “นอนเยอะแล้วค่ะ ให้นั่งบ้างเถอะ” เธอกวาดตามองเขาแล้วดึงแขนให้เขามานั่งข้างๆ ยื่นมือไปแตะบริเวณที่จำได้ว่าเคยเห็นเลือดไหล “หลังก็มีแผลเป็น หน้าจะมีแผลเป็นอีกไหมนะ” “คุณกลัวเหรอ” เขาถามยิ้มๆ เขาเป็นผู้ชาย แผลเป็นไม่ได้สำคัญกับเลยสักนิด “เปล่าเสียหน่อย ฉันเป็นห่วงคุณต่างหาก คุณให้คุณหมอตรวจร่างกายหรือยังคะ ทุกอย่างโอเค.ไหม” “ผมบาดเจ็บเล็กน้อย คุณต่างหากที่หลับไป หมอก็หาสาเหตุไม่เจอ” “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ” “ผมต่างหากที่ทำให้คุณต้องบาดเจ็บ” “ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของคุณ-เรื่องของฉัน แต่เป็นเรื่องของเราแล้วค่ะ” นอกจากแม่แล้ว เขาก็ไม่เคยมีใครใกล้ชิดแบบนี้ แม้แต่ตอนที่คบกับเดซี่ แม้ภายนอกใกล้ชิดกันแต่ระยะห่างของหัวใจนั้นไกลมาก เสียงประตูห้องเปิดออก กั๋วคังเหรินคิดว่าลูกๆกลับมาแล้ว แต่เมื่อหันไปดูจึงพบว่าเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้
ทันทีที่ลืมตา ภาพที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาคล้ายกันจนเหมือนพิมพ์เดียวกันนั่งจ้องหน้าด้วยแววตาวิตกกังวล ทำให้เธอยื่นมือไปตั้งใจจะคว้าเอาเด็กสองคนมากอด แต่มีสายน้ำเกลือติดที่แขนทำให้ชะงักไป หลินเหยาซื่อทำหน้างุนงงและสับสนว่าเธออยู่ในปีค.ศ.ไหนกันแน่ “คุณแม่ตื่นแล้ว!” จางลี่กับจางหย่งผสานเสียงขึ้นพร้อมกันเสียงดังจนหลินเหยาซื่อต้องหยีตาและทำให้กั๋วคังเหรินที่ยืนคุยกับคุณหมอรีบสาวเท้ามาข้างเตียงภรรยาสาว “เหยาซื่อ...ได้ยินผมไหม?” กั๋วคังเหรินถามเสียงสั่น เขาเองก็กลัวว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ไม่อาจแสดงความอ่อนแอได้ เพราะลูกยังต้องการเขาอยู่ “เกิดอะไรขึ้น” เธอถามและพบว่าน้ำเสียงแหบแห้งเหลือเกิน “ฉันอยู่ที่ไหน” “โรงพยาบาล...” เขาเอ่ยชื่อออกไป “คุณหลับไปเจ็ดวันเลยทีเดียว” “เจ็ดวัน...” หลินเหยาซื่อยังมึนงงอยู่ แต่เมื่อยื่นมือไปแตะใบหน้าที่โน้มลงมาใกล้สัมผัสไออุ่นที่คุ้นเคยก็ทำให้มั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป “ขอโทษที่หลับไปนานนะคะ” เธอหันไปมองลูกทั้งสองที่ทำตาแดงๆ มองเธอ “แม่หลับไปหลายวัน ดื้อกับคุณพ่อหรือเปล่า
หลินเหยาซื่อถูกแรงกระแทกทำให้ผวาตื่น เธอหันซ้ายแลขวาอย่างตื่นตระหนก รถยนต์ส่ายไปมาอย่างน่ากลัว ความทรงจำสุดท้ายก่อนจะมาฟื้นในปี1980คือรถบัสที่ส่ายไปมาและพุ่งตกเขา เธอตื่นตระหนกด้วยคิดว่าตัวเองกลับไปสู่เหตุการณ์ในปี2023 แต่มือที่กุมมือแน่นอยู่นั้นทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในปี1980กับผู้ชายที่ชื่อกั๋วคังเหริน“เกิดอะไรขึ้นคะ”“เชื่อใจผม” เขาโอบเธอไว้ในอ้อมกอดกดศีรษะเธอให้ซุกกับแผ่นอกของเขา“เว่ยฉือ”“พวกมันมากันหลายคน ผมจะพยายามสลัดพวกมันให้หลุด อ๊ะ!”รถยนต์คันนั้นพุ่งเข้าชนจากท้ายรถอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันดันให้ไปด้านหน้า เว่ยซือจะหักพวกมาลัยหลบแต่รถยนต์อีกคันมาขนาบข้าง ดวงตาดำจ้องมองผ่านหน้าต่างรถ กั๋วคังเหรินเห็นปากกระบอกปืนส่องมาตรงมาทางเขาก็รีบกดร่างหลินเหยาซื่อให้หมอบลงไป เว่ยซือเห็นท่าไม่ดีเหยียดคันเร่งหนีให้พ้นวิถีปืน ทว่ารถยนต์เสียหลักออกนอกเส้นทางพุ่งตกลงไปในแม่น้ำ!รวดเร็วจนหลินเหยาซื่อไม่ทันกรีดร้อง เธอรู้สึกว่าร่างกระเด็นกระดอนในรถยนต์ แต่ก็มีกั๋วคังเหรินกอดไว้แน่น เธอหูอื้อไม่ยินเสียงใดทั้งนั้น ราวกับเคยเกิดเรื่องนี้มาก่อน ใช่ ...มันเคยเกิดขึ้นในรถบัสที่เธอนั่งเดินไปเป็น