หัวใจดวงน้อยมันแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าผู้ชายตรงหน้าคือคุณคานส์จริงๆ เขากำลังช่วยเก็บเสื้อผ้าให้ ส่วนฉันก็นิ่งเหมือนวิญญาณมันหลุดออกไปจากร่างทำไมกันทั้งที่เคยขอให้ปล่อยฉันไป ทำไมเขาถึงกลับมา หนีมาขนาดนี้แล้วทำไมถึงตามมาได้ “เธอไปรอที่รถก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันเก็บให้เอง” คุณคานส์หันมาบอก เขาทำเหมือนว่าระหว่างเรามันเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน ฉันกำหมัดแน่น สมองคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยเจ็บปวดเพราะผู้ชายคนนี้ “ไปให้พ้น” พอฉันบอกแบบนั้นคุณคานส์ก็ชะงัก เขาค่อยๆ หันหน้ามามองฉันช้าๆ เหมือนจะตกใจที่ได้ยินฉันไล่“…เดี๋ยวฉันพาไปที่รถ” คำพูดที่ฉันไล่เขามันคงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะคุณคานส์ทำเมินเหมือนฉันไม่ได้พูดอะไรเลย แถมยังเดินมาประคองตัวฉันอีกต่างหาก พรึบ! ฉันผลักคุณคานส์ออก “อย่ามาถูกตัวอลิชนะ จะไปไหนก็ไป!!” “เห็นไหมว่าฝนกำลังจะตก จะด่าจะว่าฉันก็เอาไว้ทีหลัง” คุณคานส์ตอบแบบไม่สนใจ จากนั้นเขาก็ตั้งใจเก็บเสื้อผ้าต่อ ฉันเห็นว่าฝนมันกำลังจะตกแล้วจริงๆ จึงพยายามระงับอารมณ์และความรู้สึกมากมายเอาไว้ ก่อนจะเร่งมือเก็บเสื้อผ้าใส่กล่อง เพราะหากว่าฉันเอาแต่ตัวเองข้าวของที่ต้องขายคงจะเสียหายแน่ๆ “กล
“ฝนหยุดตกแล้ว ลงจากรถไปได้แล้วค่ะ” ฉันมองออกไปด้านนอกเห็นว่าฝนหยุดตกแล้วจึบรีบไล่คุณคานส์ลงจากรถทันที “…….” คุณคานส์ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาเงียบไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เปิดประตูรถเดินออกไปทั้งๆ ที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อ แถมยังทิ้งถุงเสื้อเปียกเอาไว้ในรถอีกต่างหาก ฉันละสายตาจากแผ่นหลังของคุณคานส์แล้วรีบขับรถกลับมาที่บ้าน #บ้าน กำลังนั่งคิดว่าควรจะบอกพ่อหรือบอกอลันดีหรือเปล่าเรื่องที่คุณคานส์ตามมาถึงที่นี่ หรือจะหนีเขาอีกครั้งดี“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่อลิช” แพรที่อยู่ในสภาพใบหน้าซีดเผือดจากพิษไข้เดินออกมาจากห้องแล้วถามฉัน “เมื่อกี้น่ะ แล้วนี่ทำไมแกไม่นอนพัก” “ฝนตกฉันเลยตื่นน่ะ แล้วที่ตลาดตกหรือเปล่า”“อื้อ ตกเหมือนกัน” “แล้วแกเก็บเสื้อผ้าทันหรอ หรือโอมไปช่วย ?”“โอมไม่ได้มาช่วยหรอก” ฉันค่อยๆ บีบมือแน่นคิดว่าจะบอกแพรเรื่องคุณคานส์ เพราะแพรอยู่ที่นี่ยังไงก็ต้องเห็นเขาอยู่แล้ว “อ้าว! โอมไม่ไปช่วยแล้วแกเก็บของคนเดียวไหวหรอ” แพรขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ “….คุณคานส์ช่วยเก็บ” “ห๊ะ! แกว่ายังไงนะ คุณคานส์อย่างนั้นหรอ” แพรอุทานออกมาเสียงดังทั้งที่ตัวเองเสียงแหบแห้งอยู่ในลำคอ “อื้อ เขาตามหาฉันเจอแ
ฉันเบือนหน้าหนีโดยไม่ตอบอะไร แต่คุณคานส์กลับคิดเข้าข้างตัวเอง “ถ้าไม่ตอบแปลว่าอนุญาตให้ฉันจีบได้แล้วนะ” “มะ….” พอฉันจะหันไปปฏิเสธก็ไม่ทัน เพราะคุณคานส์รีบเปิดประตูลงไปจากรถ ฝันไปเถอะว่าฉันจะให้เขาจีบ ทำไมไม่ไปจีบแฟนเก่าเขาล่ะ หวั่นไหวกับเธอไม่ใช่หรือไง เมื่อสมองมันคิดถึงแป้งฉันก็หงุดหงิดจนหน้าแดง คุณคานส์ยกกล่องลังเสื้อผ้ากับรองเท้าลงจากรถแล้วจัดร้าน ฉันเองก็นั่งในรถในเมื่อเขาอยากวุ่นวายมากก็ให้ทำไป ยุ่งดีนัก วันนี้คนไม่ค่อยมาเดินตลาดเท่าไหร่เพราะบรรยากาศคล้ายฝนจะตก ตอนออกมาจากบ้านยังไม่มีท่าทีเมฆครึ้ม แต่พอขายไปได้สักพักลมก็เล่มพัดแรงขึ้น ที่ฉันรู้ว่าลมพัดแรงก็เพราะว่าเปิดกระจกรถเอาไว้ ขณะที่คุณคานส์กำลังขายเสื้อผ้าอยู่เขาก็ไอออกมาแทบจะตลอดเวลา ฉันเห็นว่าวันนี้คงขายได้ไม่มากจึงเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินมาบอกคุณคานส์ “เก็บของกลับบ้าน” ฉันบอกสั้นๆ จากนั้นก็เดินกลับเข้ามานั่งในรถเหมือนเดิม ส่วนคุณคานส์ก็เก็บของตามที่ฉันบอก ใช่เวลานานพอสมควร หลังจากเก็บของเสร็จคุณคานส์ก็ขึ้นมาบนรถ “ยังขายได้ไม่เท่าไหร่เลย ทำไมให้รีบเก็บของ แค่กๆ” “ไม่เห็นหรือไงคะว่าฝนกำลังจะตก” ฉันตวาดบอกอย่างร
ฉันเดินมาได้สี่ห้าก้าวก็ต้องหยุดคิดทบทวนว่าจะไปหรือไม่ไปดี ถ้าไปคุณคานส์ก็คงจะคิดว่าฉันเป็นห่วงตัวเองแน่ๆ แต่แบบนั้นมันจะดูใจดำเกินไปหรือเปล่านะ เอาล่ะ! ไปก็ไป หลังจากที่ทบทวนอยู่นานสองนานสุดท้ายฉันก็เลือกจะไปดูคุณคานส์ เมื่อเดินมาถึงที่บ้านแล้วลองจับประตูดูปรากฏว่าไม่ได้ล็อก ไม่ล็อกบ้านแบบนี้ไม่กลัวโขมยหรือไงฉันนึกบ่นในใจแล้วเดินเข้ามาด้านในบ้าน บรรยากาศเงียบสงัดราวไม่มีคนอยู่ แถมยังวังเวง “คุณคานส์” ฉันส่งเสียงเรียกและรอฟังว่าจะมีเสียงตอบกลับมาหรือเปล่า แต่ก็ไร้วี่แววจึงเรียกซ้ำ “คุณคานส์อยู่บ้านหรือเปล่าคะ อย่าเงียบแบบนี้สิ” เรียกครั้งที่สองก็ยังเหมือนเดิม ไร้เสียงตอบกลับมา ฉันเหลือบตามองเห็นประตูห้องสองห้องอยู่ติดกันจึงเดินมาเปิดประตูหนึ่งก่อนว่าใช่ห้องนอนของคุณคานส์หรือเปล่า เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็เจอกับห้องที่คล้ายห้องเก็บของ ในตอนแรกฉันไม่ได้สนใจกำลังจะถอยหลังเดินมาเปิดประตูอีกห้อง แต่จู่ๆ มันก็รู้สึกคุ้นตากับพวกถุงผ้าและกล่องรองเท้าที่วางกองอยู่ ฉันกดสวิตช์เปิดไฟให้สว่างเพื่อจะได้มองเห็นชัดๆ และเมื่อได้เห็นเต็มตาฉันก็ต้องอ้าปากค้างตามมาด้วยความโกรธ ข้าวของที่วางกองอยู
“ถ้ายังอยากจะอยู่ใกล้ๆ อลิชก็ให้สถานะได้แค่นี้ค่ะ เราเป็นพ่อและแม่ของลูกเป็นเพื่อนร่วมชีวิต แต่ไม่ใช่สามีภรรยา” อลิชเธอพูดอย่างเด็ดขาดและหนักแน่น ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงใจแข็งมากขนาดนี้ สถานะที่เธอให้มาคือผมสามารถวนเวียนอยู่รอบตัวเธอได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ครอบครองหัวใจเธอ คำพูดที่ไร้เยื่อใยมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด มันทำให้ลูกผู้ชายอย่างผมอยากจะร้องไห้ แต่ก็ต้องพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ “…ฉันอิ่มแล้ว” “กินไปแค่นิดเดียวเองนะคะ” “ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” ใครมันจะไปกินลง เธอพูดมาขนาดนั้น ถึงผมจะหนักแน่นว่าจะง้อให้สำเร็จ แต่ตอนนี้แทบไม่มีหวัง “งั้นก็กินยานะคะ อลิชจะเอาชามไปล้าง” “เธอกินอะไรหรือยัง ?” ตั้งแต่เช้าเธอเอาแต่ดูแลผม ไม่รู้ว่ากินข้าวบ้างหรือยัง “กำลังจะไปกินค่ะ” อลิชลุกขึ้นยืนถือชามออกไปนอกห้อง ส่วนผมก็หยิบยากับน้ำที่เธอเตรียมเอาไว้ให้มากิน หลังจากกินยาและน้ำแล้วผมก็ค่อยๆ นอนลง เหมือนร่างกายหมดเรี่ยวแรงมันไม่ใช่เพราะป่วย แต่เป็นเพราะหัวใจของผมตอนนี้มันกำลังเต้นช้าลงเพราะคำพูดไร้เยื่อใยของอลิช ใจคอจะให้ผมเป็นเพื่อนร่วมชีวิตอย่างนั้นจริงๆ หรือไง แล้วถ้าวันหนึ่งมีผู้ชายเข้ามาในชีวิตของเธอ เ
ฉันไม่ได้สนใจที่คุณคานส์โวยวาย รีบเดินเข้ามาในบ้านแล้วยกมือขึ้นมาทาบที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง ตอนนี้หัวใจดวงน้อยมันกำลังเต้นรัวไม่เป็นจังหวะคุณคานส์เองก็เดินตามเข้ามาในบ้านเหมือนกัน เขามองค้อนฉันแล้วเดินแทรกตัวไปที่ห้อง ทำเหมือนรู้ว่าห้องไหนคือห้องนอนของฉัน ไม่ใช่ทำเหมือนรู้สิ เขารู้จริงๆ “ออกไปนะ มีมารยาทหน่อยสิคะ” ฉันยืนเท้าเอวมองคุณคานส์ที่นั่งลงบนเตียงอย่างถือวิสาสะ “นี่ห้องเธอ ?”“ก็ใช่น่ะสิ ลุกขึ้นจากเตียงเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”“เดี๋ยวฉันนอนพื้น เธอนอนบนเตียงก็ได้” เขาได้ฟังที่ฉันพูดหรือเปล่า ฉันคงใจดีมากเกินไปสินะ“บางทีอลิชก็คิดว่าจะโทรไปบอกพ่อนะคะว่าคุณคานส์ตามมายุ่งวุ่นวาย พ่อจะได้มาจัดการ” ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่ใช่แค่ขู่แต่ฉันจะทำจริงๆ พรึบ! ยังไม่ทันจะได้กดโทรออกโทรศัพท์ในมือของฉันก็ถูกแย่งไป แถมคุณคานส์ยังทำหน้าทะเล้นใส่อีกต่างหากฉันจ้องคุณคานส์เขม็งจากนั้นก็เดินออกมาจากห้อง ไม่อยากพูดคุยหรือต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว แต่ถึงฉันไม่อยากคุยคุณคานส์ก็ตามตอแยไม่เลิก เขาจะรู้บ้างไหมว่าตัวเองน่ารำคาญมากขนาดไหน “หยุดตอแยสักทีได้ไหมคะมันน่ารำคาญ” ฉันหยุดเดินแล้วหันไปต่อว่าคุณคานส์
#เช้าวันต่อมาจมูกของฉันมันได้กลิ่นหอมของอาหารจึงทำให้ลืมตาขึ้นมาเพราะความหิว จะว่าละเมอเดินออกจากห้องมาที่ครัวก็ไม่ผิด เพราะขณะที่เดินอยู่ดวงตาของฉันยังสะลึมสะลืออยู่เลย แต่เมื่อเข้ามาในครัวแล้วเห็นแผ่นหลังกว้างที่คุ้นตาฉันก็ต้องรีบถอยหลังออกจากครัวช้าๆ ยังรู้สึกอายเรื่องเมื่อคืนที่ไปทำผ้าหลุดต่อหน้าเขา ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย เคล้ง! ในขณะที่ถอยหลังอยู่ฉันดันซุ่มซ่ามไปชนกับจานที่วางอยู่เข้า ทำให้มันตกกระแทกพื้นแล้วเกิดเสียงดัง คุณคานส์ที่กำลังยืนทำอาหารอยู่รีบหันมามองทันที พอเขาเห็นว่าเป็นฉันก็คลี่ยิ้มออกมา “หิวแล้วหรอ ไปนั่งรอก่อนสิฉันทำอาหารใกล้เสร็จแล้วเดี๋ยวยกไปให้” “ใครบอกจะกินของที่คุณคานส์ทำไม่ทราบ!” ฉันพูดไปอย่างไม่สนใจ ทั้งที่มันหิวมากๆ แต่จะไม่ยอมกินของที่เขาทำเด็ดขาด เพราะจะทำกินเอง “ถ้าเธอไม่กินอาหารที่ฉันทำแล้วเธอจะกินอะไร ?” คุณคานส์เลิกคิ้วถาม “ก็ทำกินเองไงคะ ไม่เห็นจะยาก” “แต่ของในตู้เย็นหมดแล้วนะ” ฉันไม่เชื่อคำที่คุณคานส์ว่าจึงเดินมาเปิดดูตู้เย็นถึงได้รู้ว่าของหมดตู้จริงๆ ฉันก็ลืมไปซื้อมาใส่ตู้ไว้ ข่วงนี้ยุ่งๆ (ยุ่งกับคุณคานส์นั่นแหละ) “กินของที่ฉันทำก่อน เดี๋ยวตอน
“หยุดพูดอะไรบ้าๆ แล้วก็ไปซักผ้าต่อเถอะค่ะ ฟังแล้วมันจะอ้วก” “อย่าแอบไปยิ้มคนเดียวก็แล้วกัน” คุณคานส์กระตุกยิ้มมุมปากให้ ฉันจึงรีบหันหน้าหนีเขาก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเผลอตัว พอรู้ตัวเองว่าเผลอยิ้มก็รีบเดินกลับมาในบ้าน ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์มาจอดฉันจึงเดินไปดูที่หน้าบ้านว่าใครมาก็ได้เห็นว่าโอมกำลังจอดรถอยู่ “กึดเติงหาผมกะครับถึงมายืนรอหน้าบ้านจะอี้” โอมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มโนจิตคิดไปเองใหญ่โต “พี่ได้ยินเสียงรถก็เลยออกมาดู ไม่ใช่คิดถึงจ้ะ” ฉันตอบดับฝันทำให้โอมหุบยิ้มแทบไม่ทัน“จุ๊ว่ากึดเติงผมสักหน้อยหื้อใจชื่นบ่ได้กะครับ” โอมทำหน้าบึ้งใส่ฉัน “มาทำไม ไม่เรียนหรอวันนี้” “วันนี้วันเสาร์ผมแวะหาหาปี้กลัวปี้จะเหงาเห็นว่าปี้บ่มีเพื่อน”“อื้อดีเลย จะฝากไปซื้อของที่ตลาดสักหน่อย” “เอาอะหยังครับจดมาผมจะไปซื้อหื้อ”“อื้อๆ เดี๋ยวพี่จดให้” “แล้วปี้อลิซบ่ไปขายเสื้อผ้ากะครับบะเดี่ยวนี้”“ไม่ได้ไปเลย ช่วงนี้ยุ่งๆ น่ะ” “ใครกับใครอยู่” เสียงคุณคานส์ดังมาจากด้านหลัง เพียงไม่ถึงห้าวินาทีให้หลังจากคำถาม เขาก็มายืนอยู่ข้างๆ กับฉันแล้ว “น้องค่ะ” ฉันบอกคุณคานส์ เขาพยักหน้ารับรู้ ดูจากสีหน้าของเขาไม่ได้ตกใจ