“คุณหมอศิลา จะกลับแล้วเหรอคะ?”
“ครับ” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อศิลากลับไปตอบคนถาม ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้เธอ “คุณพยาบาลก้อยออกเวรกี่โมงครับ”
“เที่ยงคืนนู่นแน่ะค่ะ” พยาบาลก้อยตอบ ก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อซ่อนริ้วแดงที่แก้ม แม้เธอจะรู้ดีว่าหมอหนุ่มเป็นคนเอาใจใส่คนรอบข้างอยู่แล้ว แต่พอถูกถามไถ่แบบนี้ก็อดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าคุณหมอคนเก่งอาจจะมีใจให้เธอบ้าง หลังจากที่ทำงานด้วยกันมาหลายปี
แต่แล้วฝันทุกอย่างก็สลายหายไปกับตา เมื่อมีเสียงหวีดแหลมเล็กของใครบางคนดังขึ้นขัดจังหวะโรแมนติกที่กำลังก่อตัว...
“โอ้ย!!! เจ็บ!! หมออยู่ไหน รีบมาดูแผลให้ฉันที เลือดฉันจะไหลหมดตัวอยู่แล้ว!!”
เสียงโอดโอยโวยวายดังลั่นไปทั่วโรงพยาบาล ทำเอาหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ต้องหันไปมองตามเสียงนั้นด้วยความสงสัย รวมทั้งพยาบาลก้อยและหมอศิลาด้วย
“ผมไปดูคนเจ็บก่อนนะครับ” หมอศิลาเอ่ยลาพยาบาลสาว ก่อนจะรีบเดินไปดูคนเจ็บมาใหม่ที่นั่งโวยวายอยู่บนรถเข็น สภาพของเธอมีเลือดไหลจากมาศีรษะจนเปรอะด้านข้างของดวงหน้าขาว แม้เขาจะออกเวรแล้ว แต่หมอที่มีอยู่ก็น้อยจนไม่ว่างจะเข้ามาตรวจอาการเบื้องต้นให้คนเจ็บฉุกเฉินคนนี้ได้ เขาจึงไม่ลังเลที่จะทำหน้าที่นั้นแทนไปพลางๆ
“เป็นอะไรมาครับ”
“นี่หมอเหรอ” หญิงสาวอายุยี่สิบต้น ๆ มองชายตรงหน้าด้วยความระแวงอย่างไม่คิดจะปิดบัง ด้วยเพราะศิลาไม่ได้ใส่เสื้อกาวน์แล้ว อีกทั้งยังแต่งตัวสบายๆ ไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป หน้าตาดูอ่อนวัย แถมยังมีไรหนวดเขียวๆ ขึ้นที่เหนือริมฝีปากอีกด้วย ช่างแตกต่างจากหมอที่เธอเคยเจอมาทั้งชีวิตอย่างสิ้นเชิง
“ครับ” ศิลาตอบอย่างไม่ถือสา ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้คนเจ็บอีกนิด “ไปโดนอะไรมาครับ”
“โดน...”
“ไอ้พู่มันดื้อ ปีนขึ้นต้นไม้จะเอามะม่วงแล้วตกลงมาหัวแตกน่ะหมอ”
“แม่!!”
หญิงสาวตะโกนเรียกแม่ของตนด้วยความอับอาย ทำไมแม่ต้องบอกหมอละเอียดขนาดนี้ด้วยเล่า! เธอก็อายเป็นเหมือนกันนะที่อายุจะยี่สิบสามแล้วแต่ยังตกต้นไม้แบบนี้ แล้วนี่ถ้าไอ้เปี๊ยกกับไอ้ลมรู้ว่าลูกพี่มันตกต้นไม้เพราะอยากกินมะม่วงคงหัวเราะเธอจนท้องแข็งตาย
“หรือไม่จริง”
“เหอะ!” ชมพู่ยู่หน้าอย่างขัดใจ แต่เถียงคนเป็นแม่ไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องจริง
ศิลามองคนตรงหน้าที่ดูท่าทางจะไม่ได้เจ็บอะไรมากเหมือนที่ร้องจนลั่นโรงพยาบาลก่อนหน้าอย่างประเมิน เขาเอ่ยขออนุญาตคนเจ็บอย่างสุภาพ และก้มลงไปสำรวจบาดแผลที่ศีรษะเธออย่างเบามือ ดูเหมือนว่าแผลที่ศีรษะจะไม่ได้ใหญ่มาก เลือดก็ไม่ได้ออกเยอะเหมือนที่เธอร้องโวยวาย ทั้งยังตะโกนใส่แม่ได้ฉอดๆ ดูไม่เหมือนคนที่เจ็บมากซักนิด แค่ส่งตัวไปทำแผลก็น่าจะเรียบร้อย และอาจจะต้องนัดส่งไปสแกนสมองเพื่อหาความบอบช้ำภายในวันหลัง เพราะวันนี้เลยเวลาทำการมาแล้ว
“ดูจากบาดแผลแล้วไม่ได้ใหญ่มาก ไม่น่าจะถึงเซน...”
“ไม่ใหญ่ได้ยังไงหมอ เหลือดฉันไหลเป็นน้ำป่า” ชมพู่รีบเถียงทันที เธอไม่เคยเลือดออกขนาดนี้มาก่อน แล้วหมอจะมาบอกว่าแผลเล็กได้ยังไงกัน ตรวจเป็นหรือเปล่า
“ครับๆ” ศิลาตัดบท เขาไม่อยากเถียงกับหล่อน เพราะดูแล้วคงจะไม่จบง่ายๆ “ถ้าอย่างนั้นหมอจะส่งคุณไปให้พยาบาลทำแผลนะครับ จะได้กลับบ้านไปพักผ่อน”
“พยาบาลเหรอ?” ดวงหน้าขาวซีดเผือดทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนมือเล็กจะรีบเกาะแขนของหมอที่เคยดูแคลนอยู่ในใจไว้แน่น “ไม่เอานะหมอ พยาบาลมือหนัก ทำแผลเจ็บ หมอทำให้ฉันทีนะ”
“หมอออกเวรแล้วครับ แค่ช่วยดูอาการให้เท่านั้น หน้าที่ทำแผลเป็นหน้าที่ของพยาบาลหรือแพทย์ที่อยู่ในหน้าที่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ทำมันแล้วพงแผล!” เธอว่า ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างดื้อรั้น “กลับบ้านแม่ ช่างมัน เดี๋ยวก็หายเองแหละ”
“ไม่ได้นะครับ!”
“ได้สิหมอ ตอนฉันล้มหัวเข่าถลอกไม่เห็นต้องทำแผลเลย เดี๋ยวมันก็หายเองแหละ”
“ไม่ได้ครับ” ศิลากดเสียงต่ำเหมือนกำลังดุ เขาไม่ชอบคนไข้ที่ดื้อรั้นแบบนี้เอาเสียเลย “บาดเจ็บที่ศีรษะต้องเช็กให้ละเอียด เพราะถ้าภายในบอบช้ำจะได้รักษาได้ทันท่วงที มันคนละเรื่องกับหัวเข่านะครับ”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกหมอ เห็นตัวแค่นี้แต่แข็งแรงยิ่งกว่าม้าอีกไม่อยากจะคุย ไปแม่... กลับกันเถอะ ไปให้พ่อทำแผลให้ดีกว่า”
ชมพู่บอกอย่างไม่ยีหระ ระหว่างให้ทำแผลกับพยาบาลมือหนัก กับกลับบ้านไปให้พ่อทำแผลให้ เธอขอเลือกอย่างหลังดีกว่า
“ก็ได้ครับ”
ศิลาตัดสินใจเอ่ยออกมา เมื่อรู้แน่แท้แล้วว่าหญิงสาวคนนี้คงไม่ยอมง่ายๆ ถ้าไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
เด็กเอาแต่ใจ
“หมอจะทำแผลคุณให้เอง”
ชมพู่ยิ้มกริ่ม ก่อนจะเดินกลับมาทิ้งตัวนั่งลงบนเข็นอีกครั้งเหมือนเด็กว่าง่าย ต่างกับก่อนหน้าราวกับคนละคน หญิงสาวชายตามองคุณหมอหนวดเขียวที่มือเบาเหมือนนุ่นพร้อมรอยยิ้มหวานเคลือบยาพิษ
“แค่นี้ก็จบ”
“สวัสดีครับกำนันม่วง”“ไหว้พระเถอะปลัด ไปไงมาไงถึงมาถึงที่นี่ได้” ชายวัยกลางคนส่งยิ้มให้ปลัดหนุ่มอย่างอารมณ์ดี วันนี้อากาศค่อนข้างสดชื่น ไม่ร้อนไม่หนาวไป เหมาะที่จะมานั่งตากลมสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด“ผมเพิ่งกลับจากน่านครับ ผ่านมาทางนี้พอดี เลยแวะเอาของฝากมาให้”“ลำบากแย่เลยพ่อ”เสียงของบุคคลที่สามเรียกความสนใจจากชายต่างวัยทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี กำนันม่วงส่งยิ้มให้เมียรัก ในขณะที่ปลัดหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ผู้หญิงที่ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่ามียศใหญ่กว่ากำนันม่วงหลายเท่าใหญ่กว่ากำนัน ก็คือเมียกำนันนั่นเอง“ไม่ลำบากเลยครับ เห็นแล้วนึกถึงคุณน้ากับกำนันพอดี ก็เลยอยากซื้อมาให้”“ขอบใจจ้ะ” อรอนงค์รับของฝากจากมือชายหนุ่ม ก่อนจะลอบมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างชอบอกชอบใจผู้ชายคนนี้มีชื่อว่าภคิน เพิ่งเข้ามาเป็นปลัดที่นี่ได้ไม่นาน อายุก็เพิ่งจะสามสิบต้นๆ หน้าตาหล่อเหลาคมเข้มคายแบบฉบับชายไทยแท้ สูง มีกล้ามเนื้อ รูปร่างดีจนสาวๆ พากันเป็นปลื้มทั้งอำเภอ แต่ก็ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน เพราะปลัดหนุ่มไม่ได้สนใจใคร เอาแต่เทียวเข้าเทียวออกบ้านกำนันม่วงตั้งแต่ที่ลูกสาวคนเล็กกลับมาจากกรุงเทพฯไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปลัดภคินสุด
หลังจากเหตุการณ์แช่ตัวในคลองของลูกสาวสุดแสบผ่านไปเพียงแค่อาทิตย์เดียว บ้านกำนันม่วงก็ได้เปิดบ้านต้อนรับปลัดหนุ่มอีกครั้ง“สวัสดีครับกำนัน”“สวัสดีปลัด” กำนันม่วงยิ้มรับ วันนี้ลูกสาวไม่อยู่ ถือว่าเป็นฤกษ์ดีที่จะได้คุยกับปลัดภคินเรื่องจะยกลูกสาวให้ เขามั่นใจว่าชายหนุ่มต้องตอบตกลง หลายเดือนที่ผ่านมาปลัดภคินแสดงออกให้เห็นอยู่เสมอว่าสนใจชมพู่จริงๆ และปลัดภคินเองก็อายุสามสิบกว่าแล้ว คงไม่ได้คิดแค่อยากคบชมพู่เล่นๆ เหมือนพวกวัยรุ่นสมัยนี้กำนันม่วงมั่นใจว่าตนดูคนไม่ผิด“วันนี้บ้านเงียบจังครับ”ปลัดหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่เจาะจง หากแต่ในใจกลับอยากรู้เหลือเกินว่าคนที่หมายปองหายไปไหน อาทิตย์ที่แล้วเขาตั้งใจมาดูหน้าคนที่ชอบพอให้ชื่นใจ กลับได้เจอเธอในสภาพเปื้อนโคลนแทน เขาไม่ได้รังเกียจที่ชมพู่เป็นผู้หญิงแก่นๆ แบบนั้น แต่ที่เขารีบกลับเพราะไม่อยากให้เธอรู้สึกอับอาย“อ้อ...” กำนันม่วงยิ้มกว้างกว่าเดิม ชายวัยกลางคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนทำไมจะไม่รู้ว่าอีกคนกำลังมองหาใคร “เจ้าพร้าวไปสวน ส่วนเมียฉันไปวัด”ถึงแม้จะรู้จุดประสงค์ของชายหนุ่มอยู่แล้ว แต่กำนันม่วงก็ยังไม่ยอมตอบออกไป เขาอยากจะวัดใจปลัดภคินอีกครั้ง จะไ
“คุยกับชมพู่เข้าใจแล้วจริงๆ หรือแม่”บ่ายวันศุกร์ที่อากาศร้อนจัดจนอบอ้าว กำนันม่วงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนแคร่ไม้ตัวโปรด โดยที่มีเมียรักนั่งปอกผลไม้อยู่ข้างๆ“ก็ใช่น่ะสิ” อรอนงค์ตอบโดยไม่ลังเล เธอคุยกับลูกแล้ว และลูกก็ยอมเข้าใจแล้วด้วย ไม่รู้ว่าผัวเธอจะถามทำไมนักหนา บอกไปรอบที่สิบได้แล้วกระมัง“แต่มันแปลกๆ นา ตอนนี้ชมพู่มันไม่เหมือนกับชมพู่ที่ฉันเคยรู้จักมาทั้งชีวิตเลย” กำนันม่วงยังคงไม่ปักใจเชื่อว่าลูกสาวตัวดีจะสงบได้ขนาดนี้ แถมยังออกไปเที่ยวเล่นกับไอ้เปี๊ยกไอ้ลมเหมือนไม่ได้กำลังถูกบังคับให้แต่งงานเลยแม้แต่นิด เด็กหัวรั้นแบบชมพู่มันยอมง่ายเกินไปจนผิดปกติ“เอ้า พ่อนี่!” อรอนงค์ชักยัวะ ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้มีผัวขี้สงสัยนัก “ลูกมันยอมง่ายๆ ก็ไม่ชอบ หรืออยากให้มันพยศแล้วหนีออกจากบ้านไปล่ะ”“อย่าพูดเป็นลางแบบนั้นสิแม่” กำนันม่วงรีบร้องเตือน ตนก็กลัวอยู่เหมือนกัน สามวันมาแล้วลูกสาวยังอยู่ดีกินดีและไม่หนีหายไปไหนก็เบาใจได้บ้าง แต่พอเมียมาสะกิดเข้าก็เริ่มระแวงอีกครั้ง“โฮ๊ะ!! ฉันไม่คุยด้วยแล้ว อากาศยิ่งร้อนๆ อยู่ คนแก่ขี้สงสัยแถวนี้ก็มาทำให้หงุดหงิดอีก” อรงอนงค์หยิบข้าวของมาถือไว้ ก่อนจะเดินปึงปัง
ร่างบอบบางที่มีเพียงกระเป๋าหนึ่งใบและร่มหนึ่งคัน เดินฝ่าสายฝนไปเรื่อยๆ อย่างไม่ยอมหยุดพัก แม้จะมีร่มที่คอยบังสายฝนไว้ได้บ้าง แต่ลมที่แรงก็ทำให้ร่างของเธอเปียกชื้นไม่น้อย กายเล็กสั่นเทาแต่ก็กัดฟันทน เป้าหมายของเธอคือต้องไปให้ถึงโรงพยาบาลที่ห่างออกไปอีกสามกิโลให้ได้ เพราะเธอฝืนเดินต่อจนถึงโรงแรมในตัวเมืองไม่ไหว และโรงพยาบาลก็เป็นตัวเลือกเดียวที่เธอจะสามารถเข้าไปขอพักแรมได้สำหรับคืนนี้ และอาจจะขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันปอดบวมด้วย สภาพมอมแมมขนาดนี้พยาบาลคงไม่ใจร้ายหรอกมั้ง...เวลาเกือบตีสามท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ ถนนที่ชมพู่เดินมีบางจุดที่ปูยางมะตอยเป็นอย่างดี แต่ก็มีบางจุดที่เป็นทางลูกรังทำให้เดินลำบาก ข้างทางทั้งสองข้างเป็นสวนและไร่นาไม่มีบ้านคนเลย คงเพราะชาวบ้านที่นี่นิยมปลูกบ้านลึกเข้าไปด้านในที่ดิน และทำสวนทำนาชิดกับถนนเหมือนกับบ้านของเธอ ตั้งแต่เดินมายังไม่เห็นรถหรือคนผ่านมาแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนต่างจังหวัด เพราะสองทุ่มก็พากันปิดบ้านนอนจนหมดเป็นเรื่องปกติชมพู่เดินไม่หยุดมาได้ราวเจ็ดกิโลแล้ว อีกสองกิโลกว่าๆ ก็จะถึงโรงพยาบาลที่เป็นจุดหมายปลายทางของค่ำคืนนี้ ที่จริงต
ตุ้บ!เสียงที่ดังจนรบกวนการนอนทำให้หมอหนุ่มต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เขาเหม่อมองเพดานไม้อย่างเกียจคร้าน ก่อนจะยอมลุกขึ้นจากที่นอนปิคนิคสุดแข็งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานพาใครกลับบ้านมาด้วย“คุณ...”ผลั่ก!เพียงแค่เปิดประตูเข้าไป ภาพตรงหน้าศิลาก็มืดสนิทไปชั่วขณะ ก่อนจะสว่างขึ้นเมื่อของที่ปลิวมาปะทะใบหน้าเมื่อครู่ตกลงไปกองที่พื้น“ไอ้ชั่ว!”ตามมาด้วยคำด่าที่ศิลาไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน ทั้งชีวิตเขาทำแต่เรื่องดีๆ มาตลอด แต่ทำไมวันนี้เขาถึงถูกด่าด้วยคำนี้ได้“คุณ...”“อย่าเข้ามานะ!!” หญิงสาวผมยาวกระเซิงที่นั่งอยู่บนเตียง(ของเขา) ห่อร่างด้วยผ้าห่มฝืนหนา(ของเขา)ตวาดลั่น “ไอ้คนชั่ว! หมอชั่ว!”“เดี๋ยวก่อนนะ... คุณมาด่าผมทำไม”“แล้วแกทำอะไรไว้ล่ะ! ฮึก!” เธอร้องไห้จนตัวโยน ศิลายิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเธอจะโกรธที่เขาถือวิสาสะเปลี่ยนชุดและเช็ดตัวให้ ก็เมื่อวานเธออยู่ในสภาพเปียกปอนเปื้อนโคลน เขากลัวว่าเธอจะป่วยหรือเป็นปอดบวมเอาเสียก่อนถ้าปล่อยไว้แบบนั้นอีกอย่าง.. เขาเป็นหมอ เห็นร่างกายคนมานับไม่ถ้วนเวลาต้องรักษา เลยไม่ทันได้คิดว่าเธอจะไม่พอใจ เขาแค่ทำไปตามสัญชาติญาณเท่านั้น“ผมขอโทษคร
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด ชมพู่ไม่ได้มองหน้าผู้ชายตรงหน้าอีก ในขณะที่หมอศิลายังจ้องหน้าชมพู่นิ่ง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้แต่งงาน แฟนคนเดียวในชีวิตที่คบด้วยจริงจังก็เลิกลากันไปตอนที่เขากำลังเรียนปีสอง หลังจากนั้นเขาก็ยุ่งจนไม่มีเวลาให้ใคร ไม่เคยคบหาใครอีกเลยหลังจากนั้นพอช่วงใช้ทุนศิลาก็เหมือนได้เจอเป้าหมายในชีวิต เขาอยากเป็นหมอที่เสียสละเวลาทั้งหมดเพื่อรักษาคนไข้ รูปร่างหน้าตาของเขาดึงดูดผู้หญิงให้เข้ามาหามากมาย แต่ต่างก็พากันถอยหนีไปเมื่อรู้ว่าเขาไม่มีเวลาให้ ศิลาเคยบอกกับครอบครัวไปตรง ๆ ว่าชีวิตนี้คงไม่ได้แต่งงาน ทั้งบิดาและมารดามองเขาด้วยสายตาผิดหวัง แต่พวกท่านก็ไม่คิดจะฝืนใจ เพราะอย่างน้อยพี่ชายและพี่สาวของเขาก็มีหลานให้ทั้งคู่อุ้มชูอยู่แล้วถึงสามคนแต่วันนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป แม้เขาจะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่ายเลย แต่ตอนนี้ทั้งผู้หญิงตรงหน้า และผู้ใหญ่ที่เขาเคารพรักต่างก็คิดไปแบบนั้นแล้ว ทางเดียวที่เขาทำได้ก็คือ... ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ และแสดงความรับผิดชอบตามที่เธอเรียกร้องแต่งงาน...“ตกลงครับ ผมจะแต่งงานกับคุณ”“ห้ะ!?”ชมพู่เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ
ชมพู่กลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งทั้งห้องก็สะอาดเรียบร้อยแล้ว ผ้าปูที่นอนถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ข้าวของตรงไหนที่ไม่เป็นระเบียบก็ถูกเก็บเข้าที่หญิงสาวทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง คิดไม่ตกกับปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนมันก็มืดแปดด้านไปหมด ใครจะไปคิดว่าหนีงานแต่งงานแทบตาย แต่สุดท้ายก็ต้องแต่งงานอยู่ดี ต่างกันแค่จากที่จะได้ผัวปลัดกลับกลายเป็นได้ผัวหมอแทน หรือโชคชะตาของเธอจะมีผัวในปีนี้จริงๆแต่ถึงเธอจะไม่ได้แต่งงานกับหมอศิลา พ่อกับแม่ก็คงจับให้เธอแต่งงานกับปลัดอะไรนั่นอยู่ดี ไม่ว่าทางไหนเธอก็ต้องแต่งงาน ถ้าอย่างนั้นเธอขอเลือกหมอศิลาดีกว่า อย่างน้อยเรื่องเมื่อคืนนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าคุณหมอเป็นผู้ชายที่ดีมากคนหนึ่ง เธอสงสารหมอศิลาอยู่เหมือนกันที่ต้องมารับผิดชอบในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ก่อแบบนี้ เธอบอกเขาไปแล้วว่าไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้แต่เขากลับปฏิเสธ เอาเถอะ... ในเมื่อตกกะไดพลอยโจรกันไปแล้วก็ต้องไปต่อจนกว่าจะถึงทางตันนั่นแหละ“อ่า... ปวดท้องจัง”ชมพู่กุมท้องน้อยไว้แน่น อาการที่เป็นเกือบทุกเดือนเริ่มคุกคามเธออีกแล้ว ร่างเล็กค่อยๆ คลานขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆ ก่อนจะข่มตาให้หลับเพราะไม่อยากทรมา
“คุณส่งฉันแค่ตรงนี้ก็พอ”ชมพู่หันไปบอกคนข้างกายที่อาสาขับรถมาส่ง ที่ต้องลงก่อนไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นคนขี้เกรงใจอะไรขนาดนั้น แต่เธอยังไม่พร้อมจะให้หมอศิลาเจอกับพ่อแม่ตอนนี้ เพราะไม่รู้ว่าถ้าพ่อแม่เห็นหน้าเธอแล้วจะเอาก้านมะยมมาตีหรือเปล่า ให้อนาคตผัวมาเห็นตัวเองถูกตีเหมือนเด็กๆ คงไม่ดีเท่าไหร่ อีกอย่าง... เธออยากคุยกับพ่อแม่ก่อนด้วย“คุณเป็นลูกสาวกำนันม่วงหรือครับ?” ศิลาอดถามไม่ได้ เขาจำได้ว่านี่เป็นทางเข้าบ้านกำนันม่วง สมัยที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เขาเข้าออกบ้านนี้บ่อย รู้จักกับกำนัน คุณอรอนงค์ และมะพร้าวเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยเจอชมพู่มาก่อนอ้อ... จะว่าไปก็เคยเจออยู่เหมือนกัน เมื่อครั้งที่ชมพู่หัวแตกแล้วเอาแต่ใจอยากให้เขาทำแผลให้ตอนนั้นคุณอรอนงค์ก็มาด้วย แต่ในเวลานั้นเขาเอาแต่สนใจอาการเจ็บป่วยของคนเจ็บ ไม่ได้สนว่าชมพู่จะเป็นลูกเต้าเหล่าใครที่แท้ก็คนใกล้ตัวนี่เอง“ใช่ รู้จักพ่อฉันด้วยเหรอ”“ใครที่อยู่อำเภอนี้ก็ต้องรู้จักกำนันม่วงด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ”“อ้อ...” จริงสินะ ลืมไปเลยว่าพ่อเธอเป็นถึงกำนัน เป็นที่รู้จักของคนมากมาย ถ้าหมอศิลาไม่รู้จักสิแปลก “ขอบคุณนะคุณหมอที่มาส่ง และก็ขอบคุณที่ให้
“อะไรนะพี่มิว? ท้องอีกแล้ว!?”“ใช่จ้ะ” มือบางลูบหน้าท้องที่ยังแบนเรียบของตัวเองเบาๆ ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความสุขจนชมพู่เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทันเธอตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้...“หมอเจนบอกว่าสองเดือนแล้ว”“แต่... น้องพิมเพิ่งจะได้ขวบเดียวเองนะพี่มิว แบบนี้จะเลี้ยงไหวหรือ?”ชมพู่พูดพลางมองไปที่เด็กน้อยที่กล่าวถึงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะมองเลยไปที่เด็กชายอีกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ทั้งหมดเกิดจากพ่อและแม่คนเดียวกัน และที่สำคัญ... ทั้งสามคนอายุห่างกันไม่ถึงปีมีลูกหัวปีท้ายปี พี่ชายเธอจะขยันเอาเหรียญทองหรือยังไง...“ไหวสิ พี่ไม่ได้ทำงานที่ไหนอยู่แล้ว อีกอย่าง... น้องพิมเองก็เริ่มโตแล้ว”“แต่... ขวบเดียวเองนะ...” ชมพู่จะเป็นลม หนึ่งขวบนี่นะเรียกว่าโตแล้ว เพิ่งเดินได้ เพิ่งหัดเรียกพ่อกับแม่ได้เอง ยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ...แต่เอาเถอะ เรื่องครอบครัวของพี่ชายเธอจะไม่ยุ่ง ถ้าทั้งคู่บอกว่าเลี้ยงไหวก็คือไหว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่พร้าวและพี่มิวก็ไม่เคยรบกวนให้คนอื่นมาช่วยเลี้ยงลูกเลย มีแต่จะโดนปู่กับย่าแย่งตัวหลานๆ ไปเลี้ยงเองเสียมากกว่าพี่พร้าวของเธอสละโสดเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แล
เช้าวันจันทร์ ชมพู่ลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาเดิม เสียงไก่ที่เริ่มขันดังอยู่ไกลๆ แสงพระอาทิตย์จางๆ เริ่มกระจายตัวไปทั่วหญิงสาวก้มมองมือที่พาดอยู่บนเอว ความอบอุ่นจากเนื้อตัวของอีกฝ่ายช่วยไล่อากาศหนาวๆ ออกไปจนไม่อยากออกห่างจากอ้อมแขนนี้แม้แต่วินาทีเดียว ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่ที่ซอกคอ สามีเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม ชอบนอนซุกซอกคอเธอเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไม่มีผิดหญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะหน้าที่ของคนเป็นแม่ทำให้เธอเกียจคร้านนอนซุกอ้อมกอดอุ่นๆ ของสามีจนสายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ชมพู่ตัดใจยกแขนแกร่งออกจากเอว หมอศิลาที่เพิ่งได้นอนขยับตัวเล็กน้อย ชมพู่ชะงักค้าง เพราะกลัวว่าจะทำให้สามีที่เหน็ดเหนื่อยจากงานต้องตื่นจากฝันดีแต่สุดท้ายหมอศิลาก็หลับต่อ ดวงตาคู่คมยังปิดแน่นสนิท หน้าอกแกร่งขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ชมพู่ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ย่องลงจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวชมพู่มองตัวเองในกระจกหลังจากแปรงฟันเสร็จ เธอส่งยิ้มให้คนในกระจกเหมือนกับทุกๆ เช้า เธอทำแบบนี้ตั้งแต่คลอดพระพาย เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นวันด้วยรอยยิ้ม ก็จะทำให้วันนั้นทั้งวันมีแต่เรื่องที่มีความสุข... แต่การยิ้มบ่อยๆ
แอ๊ะ~“ยัยหนู น่าเกลียดน่าชังจังเลยหลานย่า” คุณหญิงศศิมาร้องออกมาเบาๆ ดวงตาจ้องมองเด็กน้อยตัวชมพู่ที่นอนอยู่บนที่นอนของตัวเองไม่วางตาเมื่อคืนกลางดึกเธอได้รู้ข่าวเรื่องที่ชมพู่กำลังจะคลอดจากลม น้องชายของชมพู่ที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยเพราะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทั้งครอบครัวพากันแตกตื่นไปหมด รีบหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด เพื่อเดินทางมาเยี่ยมสะใภ้และหลานคนใหม่ทันทีแต่กว่าจะมาถึงได้ก็บ่ายแก่ๆ เข้าไปแล้ว ไม่ทันได้ลุ้นตอนชมพู่คลอดลูก แต่ความน่ารักของหลานก็ทำให้ความเสียดายนั้นมลายหายไปและโชคดีที่เด็กหญิงพระพายปลอดภัยดี แข็งแรง ร้องเสียงดัง น้ำหนักตอนคลอดปาไปสามกิโลถ้วน ไม่ต้องเข้าเตาอบ ตัวชมพู หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา“ชื่อพระพายหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกชาย ตั้งแต่มาถึงเขาเห็นศิลายิ้มไม่หุบ ทำให้นึกถึงตัวเองเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนตอนนั้นเขาก็ยิ้มกว้างแบบนี้ ยิ้มจนพ่อตาแม่ยายพอกันล้อเลียน แต่เขาก็หุบยิ้มไม่ได้ได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจนบรรยายออกมาไม่ถูกจริงๆ“ครับคุณพ่อ ชื่อพระพาย แปลว่าเทพเจ้าแห่งลม”“ชื่อน่ารัก ความหมายดี แล้วชื่อจริงล่ะ”“ยังไม่ได้คิดครับ ไว้ออกจากโรงพยา
ศิลาเป็นหมอ เวลาทุกวินาทีของเขามีค่ามาก เพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของคนไข้ เขาไม่ชอบการรอคอย เพราะมันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แต่ครั้งนี้หมอหนุ่มกลับยินดีที่จะเสียเวลารอคอยอะไรบางอย่าง สี่สิบสัปดาห์ สองร้อยแปดสิบวัน เขาไม่เคยคิดว่าเวลาที่ยาวนานนี้มันจะทำให้เขาต้องเสียเวลาเปล่าเลย กลับกัน... เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ต้องรอนานกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรอ“กู๊ดไนท์นะคะ คุณแม่” ปากหยักจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากเนียน ชมพู่ยิ้มจนตาปิด พี่หมอบอกฝันดี นั่นแปลว่าคืนนี้เธอจะต้องฝันดีแน่ๆ และรอยยิ้มของภรรยาก็ทำให้ศิลาอดใจไม่ไหว คุณหมอหนุ่มก้มลงหอมแก้มนุ่มหลายที ก่อนจะกระถดกายลงไปที่หน้าท้องใหญ่ “ฝันดีนะคะ พระพายของพ่อ”ศิลากดทั้งปากและจมูกลงบนหน้าท้องของภรรยา ป่านนี้ลูกเขาคงหลับแล้ว เพราะไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากแรงหายใจของคนเป็นแม่ ศิลาซุกหน้าอยู่แบบนั้นหลายนาที ก่อนจะขยับออกห่าง เขาปิดเสื้อนอนให้ภรรยา ห่มผ้าให้จนถึงคอ และทิ้งตัวนอนข้างๆ“พี่หมอ ฝันดีนะคะ”“งั้นขอจ้องหน้าชมพู่นานๆ หน่อยนะคะ พี่จะได้ฝันถึงชมพู่”“ทำไมคะ?”“ก็ฝันดีของพี่คือฝันถึงชมพู่นี่คะ”“พี่หมอ... จนลูกจะคลอดแล้วยังปากหวานอีกเหรอ
ตึง! ตึง! ตึง!“ติณณ์! อย่าวิ่ง!”“คิกคิก”“อย่าวิ่ง เดี๋ยวล้ม!”“ม่ายล้ม อ๊ะ!”ยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างเล็กๆ ที่วิ่งซนไม่ดูทางก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนได้ เด็กน้อยโซเซจนล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ส่วนอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรเพราะตัวโตกว่าและตั้งตัวได้ทัน“น้องชมพู่!” ดาวเบิกตากว้าง รีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายก่อนใคร ตัดใจมองข้ามลูกชายที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้น ไม่ใช่เพราะลูกสำคัญน้อยกว่า แต่ชมพู่กำลังท้อง แล้วเมื่อกี้ติณณ์วิ่งชนเข้าเต็มๆ “เป็นอะไรไหมคะ?”“ไม่เป็นอะไรจ้ะ ฉันเอนหลบทัน เลยไม่โดนท้อง” ชมพู่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะนั่งลงยองๆ แล้วเอื้อมมือไปจับแขนเล็กไว้ “ติณณ์ล่ะ เจ็บหรือเปล่า?”“ฮึ่ก มะ...” เด็กน้อยเบะปากเตรียมร้องไห้ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ“ไม่เจ็บก็ไม่ต้องร้องนะ น้ายังไม่ร้องเลยเห็นไหม”“หะ...เห็นคับ” เด็กน้อยว่าง่ายรีบเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น ไม่อยากร้องไห้เพราะคุณน้าคนสวยที่โดนชนก็ไม่ร้องเหมือนกัน ก่อนร่างเล็กจะลุกขึ้นตามแรงจับของชมพู่“นั่งนี่ก่อนนะ” ชมพู่ดันไหล่เล็กให้นั่งลงบนโซฟาไม้ ก่อนที่เธอจะนั่งลงไปข้างๆ “เมื่อกี้ที่วิ่งแบบนั้น ติณณ์ทำไม่ถูกนะรู้ไหม?”ดวงตาแป๋วจ้องมองชมพู่อย่างสงสัย เด็
“พี่ดาว เอาอันนี้ไปวางตรงนั้นให้ฉันทีนะ”“ค่ะน้องพู่” ดาวรับของจากมือของหญิงสาว ก่อนจะเดินไปจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายไหว้วาน ร่างบางค้อมตัวลงเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านศิลาที่เดินสวนมา“ชมพู่ พี่บอกไม่ให้ทำ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”คุณหมอหนุ่มตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าตอนที่เจอเคสยากๆ เสียอีก เพราะความดื้อรั้นของภรรยามันเกินที่จะเยียวยาแล้ววันนี้เป็นวันแต่งงานของญาณินและปลัดภคิน ทั้งสองทำพิธีการที่สำคัญรวมถึงสวมแหวนกันไปแล้วตั้งแต่เช้า และช่วงเย็นจะมีงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ระหว่างนี้บ่าวสาวกำลังพักผ่อนอยู่ แต่เพื่อนเจ้าสาวอย่างชมพู่กลับออกมาจัดการเรื่องงานเลี้ยงตอนเย็นแทนเจ้าของงานเสียอย่างนั้น ศิลารู้ว่าภรรยาเขาหวังดี แต่แดดที่ร้อนจัดตอนนี้ก็ทำให้เขาเป็นห่วงเหลือเกิน“เสร็จแล้วค่า” ชมพู่รีบวางงานทุกอย่างลง แล้วหันมากอดเอวสอบของสามีไว้ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “ชมพู่ออกมาเดี๋ยวเดียวเองน้า”“มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เจนกับปลัดเขามีเจ้าหน้าที่ช่วยอยู่แล้ว”“แต่ชมพู่รับปากไว้แล้ว...”“นั่นคือตอนที่ชมพู่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังท้อง แต่ตอนนี้ชมพู่ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ออกมาตากแดดร้อนๆ แบบนี้ถ้าเป็นลมไปจะ
เสียงบางอย่างที่ตกใส่กระทะร้อนๆ และตามมาด้วยกลิ่นหอมของเครื่องแกงทำให้คนที่เพิ่งตื่นท้องร้องจ๊อก เด็กหนุ่มหัวฟูหน้ามันเยิ้ม เดินเกาพุงโซเซเข้าห้องครัวตามกลิ่นของอาหารไป“พี่พู่~”เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ร่างบอบบางที่อยู่ในชุดง่ายๆ อย่างเสื้อยืด กางเกงสามส่วนยืนอยู่หน้าเตา แขนเล็กขยับหยิบนู่นนี่นั่นใส่กระทะไปมาอย่างรวดเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน“ว่า” เจ้าของชื่อตอบกลับ แต่ไม่ยอมหันกลับมาหาคนเรียก มือจับตะหลิวพลิกสิ่งที่อยู่ในกระทะไปมาอย่างขะมักเขม้น“ทำอะไรอ่า”“ไม่มีตาหรือไง”“โธ่ ฉันถามดีๆ นะพี่”“แล้วฉันตอบไม่ดีตรงไหน”“...ยังจะมาถามอีก...” เปี๊ยกขมุบขมิบปากนินทาลูกพี่สาวเบาๆ เพราะไม่ต้องการให้คนถูกนินทาได้ยิน ถึงพี่พู่จะท้องอยู่ แต่พี่พู่ก็เตะก้นมันได้เหมือนเดิม ไม่เสี่ยงดีกว่า “ทำกับข้าวให้พี่หมอหรือจ๊ะ”“อืม ทำให้พวกเอ็งด้วย”“แต่พี่หมอบอกไม่ให้พี่พู่ตื่นเช้า อยากให้นอนให้เต็มที่” เปี๊ยกว่าตามที่เจ้าของบ้านสั่งอย่างเคร่งครัด แม้จะอยากกินฝีมือพี่พู่แค่ไหน แต่ถ้าพี่พู่เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมามันคงไม่แคล้วถูกพี่หมอไล่ออกจากบ้านเป็นแน่พี่หมอเห็นใจดีแบบนั้นแต่ก็เด็ดขาดกว่าใคร บางครั้งพี่พ
เจ็ดโมงเช้า คุณหมอศิลาเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยสภาพเหนื่อยล้า ใบหน้าคมอิดโรย เพราะเมื่อคืนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ฉุกเฉินวุ่นวายไปหมด“กลับไหวไหมหิน” ญาณินถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เธอถูกโทรตามมากลางดึก แต่ศิลาเข้าเวรมาตั้งแต่เช้าเมื่อวาน เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มแล้วที่ไม่ได้นอนหรือแอบงีบเลย เขาดูเหนื่อยมากจนน่าเป็นห่วง“ไหว เจนอยู่ได้ใช่ไหม”“ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะ ทุกอย่างเริ่มปกติแล้ว หินรีบกลับไปพักเถอะ หน้าซีดมากเลย”“อืม...”ศิลาพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินโงนเงนไปที่หน้าโรงพยาบาล เขาง่วงจนเดินไม่ตรง แต่เพราะเมื่อวานไม่ได้เอารถมา วันนี้เลยต้องเดินกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปราวสองกิโลปกติระยะทางแค่นี้มันไม่ได้ไกลมากสำหรับศิลา แต่เพราะวันนี้ร่างกายคุณหมอคนเก่งประท้วงอย่างหนัก แค่เดินออกมาหน้าโรงพยาบาลเขาก็รู้สึกเหมือนจะไม่ไหวแล้ว“คุณพ่อขา...”ในตอนที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดแรงนั้นเอง เสียงใสๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิลาหันกลับไปมองโดยอัตโนมัติ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องสนใจเสียงนั้นด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเขาเสียหน่อยแต่ร่างเล็กๆ ที่กำลังวิ่งเข้ามาก็ทำให้เขาไม่สามารถเดินจาก
ตึง! ตึง! ตึง!เสียงตึงตังจากบนบ้านทำให้สองหนุ่มน้อยที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ตกใจจนเกือบวิ่งหนี ถ้าไม่เห็นว่าคนที่เดินลงจากบันไดมาคือพี่ที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตพวกมันคงด่าไปแล้ว เสียงดังจนเหมือนว่ามีขโมยขึ้นบ้าน“พี่พู่ ตกใจหมด”“แหม พ่อคนขวัญอ่อน” ชมพู่กระแหนะกระแหนน้องรักพอเป็นพิธี เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในทุกเช้าเวลาที่ลมกับเปี๊ยกมานอนด้วยเพราะหมอศิลาเข้าเวรดึก“พี่จะรีบไปไหน ทำไมวิ่งเสียงดังแบบนั้น ถ้าคุณอรอนงค์มาเจอโดนตีขาลายแน่”“หน๊อย! เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งนะไอ้ลม ขู่ฉันด้วย ตั้งแต่สนิทกับผัวฉันนี่เก่งขึ้นเชียว”ชมพู่ชี้หน้าว่าที่คุณหมอ เดี๋ยวนี้ลมมันปีกกล้าขาแข็ง สุขุมนุ่มลึกขึ้นผิดหูผิดตา ไม่เหมือนลมที่เธอเคยรู้จักมาก่อนเลยหมอศิลาอาจจะไม่ได้ถ่ายทอดแค่ความรู้ให้น้องเธอ แต่อาจจะถ่ายทอดความเป็นผู้ใหญ่ให้ด้วย เพราะเมื่อเทียบกับเปี๊ยกที่เคยวิ่งเล่นมาด้วยกัน ตอนนี้ลมดูโตขึ้นมากจริงๆ“ไม่ได้ขู่ ฉันแค่เป็นห่วง”“เออๆ” พอพูดตรงๆ แบบนี้ชมพู่ก็รู้สึกเก้อเขินแปลกๆ เธอแสร้งพยักหน้ารับไม่สนใจทั้งๆ ที่หูกำลังขึ้นสีแดงจัด “ฉันจะไปตลาด สายแล้ว”“ไปทำไมอะพี่” เปี๊ยกรีบถาม เพราะหมอศิลาบอกกับม