บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด ชมพู่ไม่ได้มองหน้าผู้ชายตรงหน้าอีก ในขณะที่หมอศิลายังจ้องหน้าชมพู่นิ่ง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้แต่งงาน แฟนคนเดียวในชีวิตที่คบด้วยจริงจังก็เลิกลากันไปตอนที่เขากำลังเรียนปีสอง หลังจากนั้นเขาก็ยุ่งจนไม่มีเวลาให้ใคร ไม่เคยคบหาใครอีกเลยหลังจากนั้น
พอช่วงใช้ทุนศิลาก็เหมือนได้เจอเป้าหมายในชีวิต เขาอยากเป็นหมอที่เสียสละเวลาทั้งหมดเพื่อรักษาคนไข้ รูปร่างหน้าตาของเขาดึงดูดผู้หญิงให้เข้ามาหามากมาย แต่ต่างก็พากันถอยหนีไปเมื่อรู้ว่าเขาไม่มีเวลาให้ ศิลาเคยบอกกับครอบครัวไปตรง ๆ ว่าชีวิตนี้คงไม่ได้แต่งงาน ทั้งบิดาและมารดามองเขาด้วยสายตาผิดหวัง แต่พวกท่านก็ไม่คิดจะฝืนใจ เพราะอย่างน้อยพี่ชายและพี่สาวของเขาก็มีหลานให้ทั้งคู่อุ้มชูอยู่แล้วถึงสามคน
แต่วันนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป แม้เขาจะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่ายเลย แต่ตอนนี้ทั้งผู้หญิงตรงหน้า และผู้ใหญ่ที่เขาเคารพรักต่างก็คิดไปแบบนั้นแล้ว ทางเดียวที่เขาทำได้ก็คือ... ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ และแสดงความรับผิดชอบตามที่เธอเรียกร้อง
แต่งงาน...
“ตกลงครับ ผมจะแต่งงานกับคุณ”
“ห้ะ!?”
ชมพู่เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าผู้ชายฉวยโอกาสจะยอมตกลงอย่างง่ายดายขนาดนี้ คิดว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่กินแล้วทิ้งไม่คิดจะรับผิดชอบเสียอีก
“ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง” ศิลาย้ำ พลางจ้องมองใบหน้าเนียนใสที่ดูสวยน่ารักแม้ไม่ได้แต่งหน้า เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดี ไม่ได้สวยจนตะลึง แต่ก็สวยน่ารักน่าทะนุถนอม อย่างน้อยเธอก็น่าจะถูกใจมารดาของเขาไม่น้อย “แต่ผมขอโทรคุยกับครอบครัวก่อน คุณจะเข้าไปพักในห้อง หรือจะอาบน้ำก่อนก็ได้ ซักเก้าโมงค่อยออกมาทานข้าวเช้าด้วยกัน”
“เอ่อ...”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่า....ค่ะ”
ชมพู่แอบเกร็ง คนเป็นหมอพูดจาสุภาพแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า เธอไม่ชิน ปกติเธอพูดจากระโชกโฮกฮากแทบไม่ต้องมีคำลงท้ายด้วยซ้ำ แต่พออีกฝ่ายพูดสุภาพด้วย เธอจะพูดแบบบ้านๆ กลับก็กระดากปาก
“งั้นฉันไปอาบน้ำก่อน...นะคะ”
“ครับ”
พออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ชมพู่ก็วิ่งปรู๊ดเข้าห้องนอนที่นอนมาทั้งคืนทันที ศิลามองตามจนประตูปิดลง ก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ระเบียง กดเบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคยและยกมือถือขึ้นทาบหูไว้ เสียงสัญญาณดังเพียงแค่สองครั้งปลายสายก็กดรับอย่างรวดเร็ว
‘ว่าไงคะลูกชาย โทรมาแต่เช้าเชียว’
“คุณแม่ครับ...ผมมีเรื่องสำคัญต้องเรียนให้คุณแม่ทราบ...”
.
.ชมพู่มองเตียงยับๆ ที่ทำให้เธอสูญเสียทุกอย่างไปด้วยความเสียใจ ยิ่งเห็นคราบเลือดที่ตอนนี้กลายเป็นสีน้ำตาลแห้งๆ แล้วเธอก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่ชมพู่จะรีบปาดมันออก เธอไม่คิดจะร้องไห้อีก แค่นั้นก็เกินพอแล้ว เธอจะไม่ร้องไห้เพราะเรื่องนี้อีกแล้ว
หญิงสาวเดินไปรื้อกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง โชคดีที่กระเป๋ากันน้ำได้ ของที่อยู่ในประเป๋าเลยไม่เปียกอย่างที่กังวล เธอรื้อเอาเสื้อยืดโปโลคอปกสีดำ กางเกงสามส่วน ชุดชั้นใน และแปรงสีฟันมาถือไว้ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ห้องน้ำของหมอศิลากว้างขวางและมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง ชมพู่นึกประหลาดใจ ภายนอกบ้านหลังนี้ดูเป็นบ้านธรรมดา แต่ภายในกลับมีข้าวของอำนวยความสะดวกมากมาย ของหลายๆ อย่างเธอดูออกว่าราคามันไม่ใช่ถูกๆ อาชีพหมอต่างจังหวัดเงินเดือนไม่ได้มากเท่ากับที่กรุงเทพฯ ถ้าผู้ชายคนนี้ไม่ได้รวยอยู่แล้วก็อาจจะมีอาชีพเสริมอย่างที่หมอสมัยนี้ชอบทำ เปิดคลีนิคของตัวเอง หรือเล่นหุ้นอะไรพวกนั้น
ชมพู่ยักไหล่ เธอไม่ได้สนใจจะใช้อ่างน้ำนั่น แค่อยากอาบน้ำเพราะเนื้อตัวยังมีกลิ่นโคลนอยู่จางๆ มือเรียวค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออก เสื้อไหมพรมตัวใหญ่สีดำหลุดออกจากศีรษะอย่างง่ายดาย มันตัวใหญ่มากเพราะเป็นของหมอศิลาไม่ใช่ของเธอ ชมพู่วางทิ้งอย่างไม่สนใจ และก้มลงถอดกางเกงสามส่วนของตัวเองที่ใส่ก่อนออกไปเจอป้าไมเป็นชิ้นต่อมา
“เอ๊ะ?”
ตากลมเบิกกว้างขึ้น เมื่อเห็นน้ำอะไรบางอย่างเปื้อนอยู่บนกางเกงสีน้ำตาลจนเห็นได้ชัด ด้วยความสงสัย เธอจึงลองใช้ปลายนิ้วแตะมันเบาๆ ขึ้นมาดู
“ละ...เลือด” คราวนี้ดวงตากลมเบิกกว้างกว่าเดิมจนแทบถลนออกมา เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงได้เลือดไหลไม่หยุดแบบนี้ “เดี๋ยวนะ วันนี้วันที่ 19 นี่ อย่าบอกนะว่า...”
ซวยแล้ว นี่มันช่วงวันนั้นของเดือนนี่
ปกติประจำเดือนชมพู่ไม่เคยมาช้าเกินสามวัน แต่เดือนนี้มันช้ามาสองวันแล้ว เป็นไปได้ว่าวันนี้จะเป็นวันแรกที่เธอมีประจำเดือน หรือว่า...รอยเลือดที่เธอเห็นบนที่นอนคือเลือดประจำเดือน ไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์อะไรนั่น
เหมือนร่างกายอยากจะตอกย้ำความเข้าใจผิดของเธอ เพราะจู่ๆ เลือดปริศนาก็ไหลลงมาตามขาเรียวอีกครั้ง
“ชัดเลย”
เลือดบริสุทธิ์อะไรจะไหลออกมาเหมือนน้ำป่าขนาดนี้ และที่สำคัญ ชมพู่เพิ่งสังเกตว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกเจ็บตรงนั้นเลย มีอะไรกับผู้ชายครั้งแรกมันต้องเจ็บไม่ใช่เหรอ ยิ่งถ้ามีเลือดไหลก็ยิ่งต้องเจ็บ แต่นี่เธอปกติดีทุกอย่าง เมื่อเช้าเธอมัวแต่ตกใจเลยไม่ได้สังเกตเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เหมือนสติมา ปัญญาเลยเกิด ความจริงทุกอย่างกระจ่างจนกระแทกเข้าหน้าเต็มๆ
หมอศิลาไม่ได้ทำอะไรเธอเลย เธอมโนไปเองทั้งนั้น
แล้วทีนี้เธอจะทำยังไงดี
“ต้องรีบบอกความจริงกับหมอศิลา”
คิดได้แบบนั้นชมพู่ก็รีบอาบน้ำด้วยความรวดเร็ว ไม่ลืมที่จะวิ่งไปหยิบผ้าอนามัยที่พกไว้ในกระเป๋ามาสวมใส่ เธอไม่ยอมเสียเวลาเป่าผมให้แห้ง เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็รีบวิ่งออกไปด้านนอกทันที
“คุณหมอศิลา!”
ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“ครับ คุณแม่ทานข้าวเช้าเถอะครับ ได้วันที่แน่นอนยังไงผมจะเรียนคุณแม่อีกที สวัสดีครับ” รอยยิ้มอบอุ่นระบายไปทั่วใบหน้าระหว่างที่พูดคุยกับมารดา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งเมื่อวางสายเรียบร้อยแล้ว เขาหันกลับมามองเจ้าของเสียงที่เอ่ยเรียกเมื่อครู่ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
“ไปเป่าผมให้แห้งก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ เมื่อคืนก็เพิ่งตากฝนไป”
“แต่...”
“ไปเถอะครับ ผมอยู่ตรงนี้ทั้งวัน พร้อมจะคุยกับคุณทุกเมื่อ และทุกเรื่อง”
เมื่อหมอศิลาพูดขนาดนั้น ชมพู่ก็คร้านจะดื้อดึงต่อ ร่างเล็กยอมเดินกลับเข้าไปในห้องนอนแต่โดยดี เธอยกไดร์เป่าผมขึ้นเป่าผมยาวๆ ของตัวเอง ในหัวก็คิดหาวิธีที่จะสารภาพความเข้าใจผิดทั้งหมดให้หมอศิลารับรู้ ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ไปมองอีกฝ่ายแบบนั้น ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เธอใส่ร้ายเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษ ยอมรับผิดชอบทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
มีแต่เธอนี่แหละที่โวยวายไม่เข้าเรื่อง ไม่รู้จักไตร่ตรองให้ดี ถ้าหมอศิลาจะโกรธเธอก็จะไม่ว่าอะไรเขาแม้แต่คำเดียว
ยิ่งคิดก็ยิ่งละอายใจ
พอผมแห้งสนิท ชมพู่ก็เดินออกไปด้านนอกอีกครั้ง ตากลมมองไปทั่วอย่างสำรวจ บ้านของหมอศิลาเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง ทั้งบ้านถูกเปิดโล่งไม่มีพนังกั้น ยกเว้นห้องครัว ห้องน้ำด้านนอก และห้องนอนที่เธอนอนเท่านั้น นั่นก็หมายความว่าทั้งบ้านมีห้องนอนแค่ห้องเดียว แล้วเมื่อคืนหมอศิลานอนที่ไหน?
สายตาของเธอไปหยุดอยู่ที่ฟูกบางๆ ที่ถูกพับจนเรียบร้อยวางอยู่บนโซฟา เมื่อครู่ที่ออกมาพูดคุยกับเขาเธอยังโกรธ เลยไม่ได้สังเกตเห็นฟูกนี้ แต่พอมาสังเกตดีๆ แล้วก็พอจะเดาได้ว่าเมื่อคืนหมอศิลาคงนอนข้างนอกนี่ และให้เธอนอนหลับสบายอยู่ในห้องนอนของตัวเอง
ให้ตายเถอะ เกิดมาจะยี่สิบสามปี เธอไม่เคยรู้สึกผิดขนาดนี้มาก่อนเลย
“เสร็จแล้วเหรอครับ” ชมพู่หันไปมองเมื่อได้ยินเสียงทุ้ม ศิลาเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานสองใบในมือ เขาวางของที่ถือมาลงบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะส่งยิ้มให้ชมพู่บางๆ “มาทานข้าวก่อนเถอะครับ แล้วค่อยคุยกัน”
ชมพู่ยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ เธอก้าวขาอย่างยากลำบากไปที่โต๊ะกินข้าว ศิลาจัดการตักข้าวให้เมื่อเห็นว่าหญิงสาวนั่งลงแล้ว
“ขอบคุณ...ค่ะ”
“ครับ”
ชมพู่ไม่กล้าสบตาหมอศิลา เธอยกช้อนขึ้นตักข้าวเข้าปาก อาหารฝีมือป้าไมอร่อยเหมือนที่เธอเคยกิน แต่วันนี้เธอกลับไม่รู้สึกเจริญอาหารเลย ยิ่งเหลือบตาไปมองหมอศิลาเธอยิ่งกินอะไรไม่ลง และในที่สุดชมพู่ก็ทนไม่ไหว
“หมอศิลา!”
“ครับ?” ศิลาไม่ได้ตกใจเมื่อจู่ๆ หญิงสาวก็วางช้อนลงและเรียกชื่อตัวเองเสียดังลั่น เขาแค่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ และมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“ระ เรา ไม่ต้องแต่งงานกันหรอก...ค่ะ” ชมพู่พูดตะกุกตะกัก สบตาคู่คมได้เพียงเสี้ยววิก็ต้องหลบวูบ “ฉันหมายถึง ฉันไม่ถือแล้ว"
สุดท้ายชมพู่ก็ไม่กล้าบอกไปตรงๆ ว่าตัวเองตกใจเลือดประจำเดือนและคิดไปเอง เธอโง่ เธอยอมรับ แต่เธอไม่อยากถูกหัวเราะเยาะนี่ ให้เธอรู้อยู่แก่ใจแค่คนเดียวก็พอแล้ว
“ครับ?”
“ฉันหมายถึง... ถ้าเราแต่งงานโดยที่ไม่ได้รัก และที่สำคัญเราเพิ่งจะรู้จักกัน มันอาจจะกลายเป็นปัญหาในอนาคตได้ เพราะฉะนั้น...”
“...”
“...คุณไม่ต้องรับผิดชอบฉันหรอก ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ฉันจะถือซะว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”
“คงไม่ได้”
“ทำไม!” เธอเผลอขึ้นเสียงอย่างลืมตัว ก่อนจะผ่อนเสียงลงเมื่อสบเข้ากับตาคู่คมที่เหมือนกำลังดุเธอผ่านสายตา เขาดุจริงๆ หรือเธอคิดไปเองไม่รู้ แต่คนมีชนักติดหลังแบบเธอขอทำตัวเป็นเด็กดีก่อนก็แล้วกัน “เอ่อ...ทำไมเหรอคะ”
“ผมบอกครอบครัวผมไปแล้ว และอาทิตย์หน้าพวกท่านจะมาที่นี่เพื่อสู่ขอคุณอย่างเป็นทางการ”
“วะ...ว่ายังไงนะ”
“คุณชมพู่ ผมไม่รู้ว่าคุณมีมุมมองหรือทัศนคติกับเรื่องแต่งงาน เรื่องชีวิตคู่ หรือเรื่องเพศสัมพันธ์แบบไหน แต่ในเมื่อคุณแคร์มันมาก คุณรักษามันมานาน แล้วทำไมจู่ๆ ตอนนี้คุณถึงได้บอกว่าไม่ถือแล้วล่ะครับ”
“ฉัน...”
“การแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และความรู้สึกของครอบครัวผมก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเหมือนกัน”
“คือคุณหมอ ฉัน...”
“ผมจะเข้าไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ คุณจะได้พักผ่อนได้อย่างสะดวกใจ เพราะเราคงไม่พร้อมที่จะคุยกันในตอนนี้”
หมอศิลาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาสะกดกลั้นความโกรธไว้อย่างสุดความสามารถ เขาไม่ชอบคนกลับกลอกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ที่สุด แต่เขาก็รู้ดีว่าเธอกำลังตกใจกับเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น ศิลาอยากให้เวลาเธอ และให้เวลาตัวเองด้วย
“คุณทานข้าวเสร็จแล้วก็วางจานไว้ตรงนี้ เดี๋ยวผมออกมาเก็บเอง”
“คณหมอ...”
ชมพู่เอ่ยเรียกเสียงแผ่ว มองร่างสูงใหญ่ของหมอศิลาที่เดินเข้าไปในห้องนอนตาละห้อย เธอก้มหน้าลง เอาหัวโขกโต๊ะสองสามทีเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป
นี่เธอหนีการแต่งงาน แต่สุดท้ายก็ต้องแต่งงานเพราะทำตัวเองอย่างนั้นหรือเนี่ย....
ชมพู่กลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งทั้งห้องก็สะอาดเรียบร้อยแล้ว ผ้าปูที่นอนถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ข้าวของตรงไหนที่ไม่เป็นระเบียบก็ถูกเก็บเข้าที่หญิงสาวทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง คิดไม่ตกกับปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนมันก็มืดแปดด้านไปหมด ใครจะไปคิดว่าหนีงานแต่งงานแทบตาย แต่สุดท้ายก็ต้องแต่งงานอยู่ดี ต่างกันแค่จากที่จะได้ผัวปลัดกลับกลายเป็นได้ผัวหมอแทน หรือโชคชะตาของเธอจะมีผัวในปีนี้จริงๆแต่ถึงเธอจะไม่ได้แต่งงานกับหมอศิลา พ่อกับแม่ก็คงจับให้เธอแต่งงานกับปลัดอะไรนั่นอยู่ดี ไม่ว่าทางไหนเธอก็ต้องแต่งงาน ถ้าอย่างนั้นเธอขอเลือกหมอศิลาดีกว่า อย่างน้อยเรื่องเมื่อคืนนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าคุณหมอเป็นผู้ชายที่ดีมากคนหนึ่ง เธอสงสารหมอศิลาอยู่เหมือนกันที่ต้องมารับผิดชอบในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ก่อแบบนี้ เธอบอกเขาไปแล้วว่าไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้แต่เขากลับปฏิเสธ เอาเถอะ... ในเมื่อตกกะไดพลอยโจรกันไปแล้วก็ต้องไปต่อจนกว่าจะถึงทางตันนั่นแหละ“อ่า... ปวดท้องจัง”ชมพู่กุมท้องน้อยไว้แน่น อาการที่เป็นเกือบทุกเดือนเริ่มคุกคามเธออีกแล้ว ร่างเล็กค่อยๆ คลานขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆ ก่อนจะข่มตาให้หลับเพราะไม่อยากทรมา
“คุณส่งฉันแค่ตรงนี้ก็พอ”ชมพู่หันไปบอกคนข้างกายที่อาสาขับรถมาส่ง ที่ต้องลงก่อนไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นคนขี้เกรงใจอะไรขนาดนั้น แต่เธอยังไม่พร้อมจะให้หมอศิลาเจอกับพ่อแม่ตอนนี้ เพราะไม่รู้ว่าถ้าพ่อแม่เห็นหน้าเธอแล้วจะเอาก้านมะยมมาตีหรือเปล่า ให้อนาคตผัวมาเห็นตัวเองถูกตีเหมือนเด็กๆ คงไม่ดีเท่าไหร่ อีกอย่าง... เธออยากคุยกับพ่อแม่ก่อนด้วย“คุณเป็นลูกสาวกำนันม่วงหรือครับ?” ศิลาอดถามไม่ได้ เขาจำได้ว่านี่เป็นทางเข้าบ้านกำนันม่วง สมัยที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เขาเข้าออกบ้านนี้บ่อย รู้จักกับกำนัน คุณอรอนงค์ และมะพร้าวเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยเจอชมพู่มาก่อนอ้อ... จะว่าไปก็เคยเจออยู่เหมือนกัน เมื่อครั้งที่ชมพู่หัวแตกแล้วเอาแต่ใจอยากให้เขาทำแผลให้ตอนนั้นคุณอรอนงค์ก็มาด้วย แต่ในเวลานั้นเขาเอาแต่สนใจอาการเจ็บป่วยของคนเจ็บ ไม่ได้สนว่าชมพู่จะเป็นลูกเต้าเหล่าใครที่แท้ก็คนใกล้ตัวนี่เอง“ใช่ รู้จักพ่อฉันด้วยเหรอ”“ใครที่อยู่อำเภอนี้ก็ต้องรู้จักกำนันม่วงด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ”“อ้อ...” จริงสินะ ลืมไปเลยว่าพ่อเธอเป็นถึงกำนัน เป็นที่รู้จักของคนมากมาย ถ้าหมอศิลาไม่รู้จักสิแปลก “ขอบคุณนะคุณหมอที่มาส่ง และก็ขอบคุณที่ให้
“พี่พู่ เดินดีๆ”“อะไรของพวกเอ็งวะไอ้ลมไอเปี๊ยก มาประคองทำไม! ฉันเดินเองได้”ชมพู่หันไปทำหน้ายุ่งใส่ไอ้สองคนที่มาวุ่นวายกับเธอไม่หยุด พอเธอหายช็อกเพราะรู้ว่าถูกพ่อแกล้ง เธอก็ขอตัวขึ้นมาเก็บของก่อน บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ยังปรับอารมณ์ไม่ถูก เหมือนมีแค่เธอคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย แต่พอเธอจะเดินขึ้นบันไดไอ้เด็กแสบสองคนนี่ก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาประคองกันจ้าละหวั่น“ก็เผื่อพี่พู่มีน้อง ต้องระวังไว้ก่อน”“ใช่ๆ ระวังไว้ก่อนดีกว่านะพี่พู่” ไอ้ลมเสริม หันไปพยักหน้าหงึกหงักกับคู่ซี้“ประสาท” ชมพู่เลิกสนใจ เดินกระแทกส้นดังตึงๆ ขึ้นบันไดไป ลมกับเปี๊ยกหน้าเสียแทบจะพุ่งเข้าไปอุ้มลูกพี่สาวเดิน แต่ก็กลัวว่าจะถูกเตะตกบ้านเสียก่อนเลยได้แต่เดินตามห่างๆ อย่างห่วงๆ“แล้วจะตามเข้ามาทำไม”ชมพู่หันไปถามเมื่อสองแสบตามมาถึงห้องนอน เธอไม่ได้เป็นคนหวงห้องอะไร เพราะห้องนี้ไอ้เปี๊ยกกับไอ้ลมก็เข้าออกเป็นประจำอยู่แล้ว ถึงพอโตขึ้นพวกมันจะเข้ามาน้อยลงเพราะถูกพ่อกำนันห้ามแต่พวกมันก็ยังดื้อด้านเข้ามาบางครั้ง“พี่พู่ พวกเราถามจริงๆ นะ” ลมเกริ่นขึ้นก่อน มันนั่งลงกับพื้นห้องมองลูกพี่สาวที่เดินไปเดินมาเก็บของในกระเป๋าให้เข้าที่ “พี่ไ
“หมอศิลา อยู่บ้านหรือเปล่า”ชมพู่ชะเง้อคอมองขึ้นไปบนบ้านที่คุ้นตา เธอไม่กล้าถือวิสาสะขึ้นไปก่อนได้รับอนุญาต เลยได้แต่ยืนเรียกอีกฝ่ายอยู่แบบนี้“หรือเข้าเวรนะ” หญิงสาวคาดเดากับตัวเองเบาๆ ชะเง้อมองบนบ้านที่เงียบสนิทอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นว่าจะมีใครเดินออกมาเลยชมพู่ก็ถอดใจ แต่ในตอนที่เธอกำลังจะเดินไปที่มอเตอร์ไซค์คันเก่งที่จอดอยู่ไม่ไกลนั้น เสียงทุ้มของเจ้าของบ้านก็ดังขึ้นก่อน“คุณชมพู่?”“หมอ!” ชมพู่รีบหันกลับไปหาอีกฝ่าย ส่งยิ้มกว้างไปให้ด้วยความดีใจที่วันนี้มาไม่เสียเที่ยว “นึกว่าจะไม่อยู่บ้านเสียแล้ว”“ผมอาบน้ำอยู่ครับ คุณชมพู่ขึ้นมาบนบ้านก่อน”เมื่อได้รับคำเชื้อเชิญ ชมพู่ก็รีบก้าวขึ้นบันไดทันที บ้านไม้ของหมอศิลายังมีสภาพเหมือนกับวันที่เธอมาอาศัยหลับนอน มันเงียบสงบ มีลมโชยผ่านตลอดเวลาจนไม่รู้สึกร้อนเลย“ไม่คิดว่าวันนี้คุณชมพู่จะมา” หมอหนุ่มบอกอย่างเก้อๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าวันนี้จะมีแขก เลยไม่ได้เตรียมตัวเท่าไหร่ เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ใส่เพียงแค่เสื้อยืดตัวเก่าและกางเกงขาสั้นเท่านั้น ลืมภาพคุณหมอที่เคยเห็นไปได้เลย“พอดีว่าฉันเพิ่งนึกได้ว่าลืมที่ชาร์จแบตมือถือไว้น่ะ จะเข้าไปซื้อในเมืองก็ราคาแ
“จริงหรือคะ? เคยประกวดนางงามด้วย? มิน่า น้องอรยังสวยเช้งอยู่เลยค่ะ”“แหมพี่ศิก็... ยอกันเกินไปแล้วค่ะ แต่อันที่จริงแล้วพี่ศิสวยกว่าอดีตนางงามแบบอรอีกนะคะ”“ไม่หรอกค่ะ พี่ไม่กล้าเทียบกับอดีตนางงามจริงๆ”ชมพู่นั่งมองสองสาวเหลือน้อยที่กำลังคุยกันอย่างออกรส ผลัดกันชมไปมาแล้วก็เขินกันเองอยู่แบบนั้นมาร่วมห้านาทีแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้แม่เธอและแม่ของหมอศิลาถูกชะตากันได้ขนาดนี้ ได้ข่าวว่าเพิ่งเจอกันเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเองพอทั้งคู่ได้เจอกัน แนะนำตัวนิดหน่อยแม่ของหมอศิลาก็เริ่มชวนคุย คุยไปคุยมาก็ถูกคอกัน ถามไถ่พูดคุยเหมือนพี่น้องที่พรากจากกันมานาน ปล่อยให้ลูกๆ และพ่อๆ นั่งมองตาปริบๆ ไม่มีใครกล้าเอ่ยขัดแม้แต่พ่อของหมอศิลา ก็ถ้าบ้านนี้คุณนายอรอนงค์ใหญ่สุด บ้านของหมอศิลาคุณหญิงศศิมาก็ใหญ่สุดไม่ต่างกัน“ไว้เราค่อยคุยกันต่อนอกรอบนะคะ คุยกับน้องอรแล้วสนุ๊กสนุก แต่ตอนนี้ต้องคุยเรื่องสู่ขอหนูชมพู่ให้ลูกชายพี่ก่อน” คุณหญิงศศิมาพูด ก่อนจะทำท่าป้องปากเหมือนจะกระซิบ “คู่นี้เขาใจร้อนน่ะค่ะ”“ยังไงคะ”“ก็...”“คุณแม่ครับ” ศิลาที่นั่งอยู่ข้างมารดาได้ยินเข้าก็รีบปราม เขารู้ว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร แต่ถ้าพ
ก๊อก ก๊อก“เจ้าพู่ ตื่นหรือยัง หมอศิลามาแล้วนะ”“อื้อ...”หน้าใสรีบซุกลงกับหมอนทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ตอนนี้สิบโมงแล้ว แต่ชมพู่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นจากที่นอน ไม่ใช่เพราะเธอขี้เกียจ แต่เพราะวันนี้เธอป่วยป่วยการเมืองน่ะนะ...วันนี้มีชมพู่มีนัดวัดตัวตัดชุดแต่งงาน หมอศิลาที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าไหร่ตามประสาหมอเพิ่งมีคิวให้ว่าที่เจ้าสาววันนี้ สามวันที่ไม่ได้เจอกันทำให้ชมพู่รู้สึกหายใจสะดวกมากขึ้น แต่พอรู้ว่าวันนี้จะได้เจอกันเธอก็แกล้งป่วยมันซะเลย แค่วัดชุดแต่งงาน เธอไปคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นต้องรบกวนคนงานยุ่งแบบหมอศิลาเลยบ่าวสาวแยกกันวัดตัวตัดชุดแต่งงานไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่ได้ตัวติดกันเสียหน่อยชมพู่ยอมรับว่ายังไม่อยากเจอหน้าเขา เพราะยังโกรธไม่หายที่เขาทำเหมือนเธอเป็นตัวตลกแบบนั้น ขอทำตัวงี่เง่าเป็นเด็กๆ ซักวันเถอะ“พู่” เสียงของแม่เงียบหายไป ก่อนประตูที่ไม่ได้ล็อกไว้จะถูกเปิดออก “ทำไมยังไม่ตื่นอีก เจ้าลูกคนนี้หนิ ให้พี่เขามารอได้ยังไง”‘เหอะ พี่งั้นเหรอ’ชมพู่แอบเบะปาก ก่อนจะค่อยๆ พลิกตัวไปมองแม่เหมือนคนไม่มีแรง ใบหน้าซีดเซียวอิดโรยทำให้อรอนงค์รีบเดินเข้ามาหา“เป็นอะไรไป ทำไมหน้าซีดแบ
ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเป็นสถานที่ที่คนพลุกพล่านเสมอแม้ไม่ใช่ในวันหยุด เพราะที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวในจังหวัดที่มีทุกอย่างครบครัน ร้านอาหารชั้นนำ โรงหนัง ฮอลล์จัดการแสดง ซุปเปอร์มาเก็ต หรือแม้แต่ลานโบว์ลิ่งและห้องคาราโอเกะ ห้างนี้จึงเป็นที่นัดหมายของวัยรุ่นทั่วไปที่อยากหลบร้อนมาตากแอร์เล่น มากินข้าว หรือมาเดตกับแฟน อาจจะมีผู้ใหญ่บ้าง แต่ก็ไม่หนาตาเท่าช่วงวันหยุดศิลาเดินตามร่างบางของว่าที่เจ้าสาวไปเรื่อยๆ วันนี้ชมพู่แต่งตัวน่ารัก เสื้อยืดสกรีนรูปแมวสีขาว สวมเอี๊ยมกางเกงขาสั้นทับ ผมยาวสลวยถูกแบ่งสองข้างเท่าๆ กัน และจับถักเป็นเปียไว้หลวมๆ ใบหน้าขาวใสไร้เครื่องสำอาง มีแค่ลิปมันเปลี่ยนสีได้ที่เคลือบอยู่บนริมฝีปากอิ่มเท่านั้นพอหันกลับมามองตัวเองศิลาก็หัวเราะออกมา เขาอยู่ในชุดทางการสุดๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวที่รีดจนกริบเอย กางเกงสแลคเอย ทรงผมที่เซ็ตมาอย่างดีเอย แต่งตัวแบบนี้มาเดินกับชมพู่ที่อายุน้อยกว่าสิบปีทำให้เขาดูแก่ลงไปถนัดตา แถมเวลาที่ชมพู่แต่งตัวน่ารักๆ รวมกับใบหน้าที่อ่อนกว่าวัยของเธอ ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวดูเหมือนเด็กมัธยมมากกว่าคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ศิลาไม่ได้จะตัด
“แม่ ทำอะไรอยู่”ชมพู่เดินขึ้นมาบนบ้านก็เห็นแม่ที่กำลังนั่งดูสมุดรูปภาพด้วยรอยยิ้ม มองไกลๆ ก็รู้ว่าเป็นภาพถ่ายของพ่อกับแม่ตอนแต่งงานกัน รวมถึงรูปคู่ที่ถ่ายด้วยกันตั้งแต่สมัยหนุ่มสาวจนปัจจุบัน หญิงสาวตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง จากตอนแรกจะกลับห้อง เปลี่ยนเป็นเดินเข้าไปหาอรอนงค์แทน“อ้าว ไปไหนมาเจ้าพู่ ไหนว่าไม่สบาย แม่ก็คิดว่านอนอยู่ในห้องเสียอีก”“ไปวัดตัวกับหมอศิลามา เมื่อเช้าฉันคิดไปเองว่าป่วย แต่น่าจะเพราะนอนเยอะไปก็เลยปวดหัวปวดตัว”“นี่ง๊าย! แม่ถึงได้สอนว่าอย่านอนกินบ้านกินเรือน”“จ้าๆ” ชมพู่พยักหน้ารับ พูดอะไรไปก็เข้าตัวเองมันทุกทาง “แล้วแม่หายไปไหนมา ตอนฉันออกไปวัดตัวไม่เห็นทั้งพ่อทั้งแม่เลย”พอถูกถามแบบนั้นอรอนงค์ก็ทำท่าเขินอายจนชมพู่เลิกคิ้วขึ้น จู่ๆ แม่ของเธอเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ถึงได้มีท่าทีแปลกๆ แบบนี้“แม่เข้าเมืองมา พ่อเขาพาไปซื้อทอง” อรอนงค์ยิ้มกริ่ม ก่อนจะควักสร้อยทองเส้นโตออกมาอวดลูก “นี่ไง ตั้งห้าบาทเชียวนะ”“โห ลายสวยด้วยนะเนี่ย ซื้อให้เนื่องในโอกาสอะไรเหรอแม่” ชมพู่ชื่นชมทองที่พ่อซื้อให้แม่ ที่จริงแม่เธอมีทองหลายเส้นจนเก็บไม่หวาดไม่ไหว แต่ไม่เคยมีลายนี้มาก่อน สวยแปลกตาดี แ
“อะไรนะพี่มิว? ท้องอีกแล้ว!?”“ใช่จ้ะ” มือบางลูบหน้าท้องที่ยังแบนเรียบของตัวเองเบาๆ ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความสุขจนชมพู่เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทันเธอตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้...“หมอเจนบอกว่าสองเดือนแล้ว”“แต่... น้องพิมเพิ่งจะได้ขวบเดียวเองนะพี่มิว แบบนี้จะเลี้ยงไหวหรือ?”ชมพู่พูดพลางมองไปที่เด็กน้อยที่กล่าวถึงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะมองเลยไปที่เด็กชายอีกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ทั้งหมดเกิดจากพ่อและแม่คนเดียวกัน และที่สำคัญ... ทั้งสามคนอายุห่างกันไม่ถึงปีมีลูกหัวปีท้ายปี พี่ชายเธอจะขยันเอาเหรียญทองหรือยังไง...“ไหวสิ พี่ไม่ได้ทำงานที่ไหนอยู่แล้ว อีกอย่าง... น้องพิมเองก็เริ่มโตแล้ว”“แต่... ขวบเดียวเองนะ...” ชมพู่จะเป็นลม หนึ่งขวบนี่นะเรียกว่าโตแล้ว เพิ่งเดินได้ เพิ่งหัดเรียกพ่อกับแม่ได้เอง ยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ...แต่เอาเถอะ เรื่องครอบครัวของพี่ชายเธอจะไม่ยุ่ง ถ้าทั้งคู่บอกว่าเลี้ยงไหวก็คือไหว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่พร้าวและพี่มิวก็ไม่เคยรบกวนให้คนอื่นมาช่วยเลี้ยงลูกเลย มีแต่จะโดนปู่กับย่าแย่งตัวหลานๆ ไปเลี้ยงเองเสียมากกว่าพี่พร้าวของเธอสละโสดเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แล
เช้าวันจันทร์ ชมพู่ลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาเดิม เสียงไก่ที่เริ่มขันดังอยู่ไกลๆ แสงพระอาทิตย์จางๆ เริ่มกระจายตัวไปทั่วหญิงสาวก้มมองมือที่พาดอยู่บนเอว ความอบอุ่นจากเนื้อตัวของอีกฝ่ายช่วยไล่อากาศหนาวๆ ออกไปจนไม่อยากออกห่างจากอ้อมแขนนี้แม้แต่วินาทีเดียว ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่ที่ซอกคอ สามีเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม ชอบนอนซุกซอกคอเธอเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไม่มีผิดหญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะหน้าที่ของคนเป็นแม่ทำให้เธอเกียจคร้านนอนซุกอ้อมกอดอุ่นๆ ของสามีจนสายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ชมพู่ตัดใจยกแขนแกร่งออกจากเอว หมอศิลาที่เพิ่งได้นอนขยับตัวเล็กน้อย ชมพู่ชะงักค้าง เพราะกลัวว่าจะทำให้สามีที่เหน็ดเหนื่อยจากงานต้องตื่นจากฝันดีแต่สุดท้ายหมอศิลาก็หลับต่อ ดวงตาคู่คมยังปิดแน่นสนิท หน้าอกแกร่งขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ชมพู่ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ย่องลงจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวชมพู่มองตัวเองในกระจกหลังจากแปรงฟันเสร็จ เธอส่งยิ้มให้คนในกระจกเหมือนกับทุกๆ เช้า เธอทำแบบนี้ตั้งแต่คลอดพระพาย เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นวันด้วยรอยยิ้ม ก็จะทำให้วันนั้นทั้งวันมีแต่เรื่องที่มีความสุข... แต่การยิ้มบ่อยๆ
แอ๊ะ~“ยัยหนู น่าเกลียดน่าชังจังเลยหลานย่า” คุณหญิงศศิมาร้องออกมาเบาๆ ดวงตาจ้องมองเด็กน้อยตัวชมพู่ที่นอนอยู่บนที่นอนของตัวเองไม่วางตาเมื่อคืนกลางดึกเธอได้รู้ข่าวเรื่องที่ชมพู่กำลังจะคลอดจากลม น้องชายของชมพู่ที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยเพราะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทั้งครอบครัวพากันแตกตื่นไปหมด รีบหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด เพื่อเดินทางมาเยี่ยมสะใภ้และหลานคนใหม่ทันทีแต่กว่าจะมาถึงได้ก็บ่ายแก่ๆ เข้าไปแล้ว ไม่ทันได้ลุ้นตอนชมพู่คลอดลูก แต่ความน่ารักของหลานก็ทำให้ความเสียดายนั้นมลายหายไปและโชคดีที่เด็กหญิงพระพายปลอดภัยดี แข็งแรง ร้องเสียงดัง น้ำหนักตอนคลอดปาไปสามกิโลถ้วน ไม่ต้องเข้าเตาอบ ตัวชมพู หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา“ชื่อพระพายหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกชาย ตั้งแต่มาถึงเขาเห็นศิลายิ้มไม่หุบ ทำให้นึกถึงตัวเองเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนตอนนั้นเขาก็ยิ้มกว้างแบบนี้ ยิ้มจนพ่อตาแม่ยายพอกันล้อเลียน แต่เขาก็หุบยิ้มไม่ได้ได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจนบรรยายออกมาไม่ถูกจริงๆ“ครับคุณพ่อ ชื่อพระพาย แปลว่าเทพเจ้าแห่งลม”“ชื่อน่ารัก ความหมายดี แล้วชื่อจริงล่ะ”“ยังไม่ได้คิดครับ ไว้ออกจากโรงพยา
ศิลาเป็นหมอ เวลาทุกวินาทีของเขามีค่ามาก เพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของคนไข้ เขาไม่ชอบการรอคอย เพราะมันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แต่ครั้งนี้หมอหนุ่มกลับยินดีที่จะเสียเวลารอคอยอะไรบางอย่าง สี่สิบสัปดาห์ สองร้อยแปดสิบวัน เขาไม่เคยคิดว่าเวลาที่ยาวนานนี้มันจะทำให้เขาต้องเสียเวลาเปล่าเลย กลับกัน... เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ต้องรอนานกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรอ“กู๊ดไนท์นะคะ คุณแม่” ปากหยักจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากเนียน ชมพู่ยิ้มจนตาปิด พี่หมอบอกฝันดี นั่นแปลว่าคืนนี้เธอจะต้องฝันดีแน่ๆ และรอยยิ้มของภรรยาก็ทำให้ศิลาอดใจไม่ไหว คุณหมอหนุ่มก้มลงหอมแก้มนุ่มหลายที ก่อนจะกระถดกายลงไปที่หน้าท้องใหญ่ “ฝันดีนะคะ พระพายของพ่อ”ศิลากดทั้งปากและจมูกลงบนหน้าท้องของภรรยา ป่านนี้ลูกเขาคงหลับแล้ว เพราะไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากแรงหายใจของคนเป็นแม่ ศิลาซุกหน้าอยู่แบบนั้นหลายนาที ก่อนจะขยับออกห่าง เขาปิดเสื้อนอนให้ภรรยา ห่มผ้าให้จนถึงคอ และทิ้งตัวนอนข้างๆ“พี่หมอ ฝันดีนะคะ”“งั้นขอจ้องหน้าชมพู่นานๆ หน่อยนะคะ พี่จะได้ฝันถึงชมพู่”“ทำไมคะ?”“ก็ฝันดีของพี่คือฝันถึงชมพู่นี่คะ”“พี่หมอ... จนลูกจะคลอดแล้วยังปากหวานอีกเหรอ
ตึง! ตึง! ตึง!“ติณณ์! อย่าวิ่ง!”“คิกคิก”“อย่าวิ่ง เดี๋ยวล้ม!”“ม่ายล้ม อ๊ะ!”ยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างเล็กๆ ที่วิ่งซนไม่ดูทางก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนได้ เด็กน้อยโซเซจนล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ส่วนอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรเพราะตัวโตกว่าและตั้งตัวได้ทัน“น้องชมพู่!” ดาวเบิกตากว้าง รีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายก่อนใคร ตัดใจมองข้ามลูกชายที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้น ไม่ใช่เพราะลูกสำคัญน้อยกว่า แต่ชมพู่กำลังท้อง แล้วเมื่อกี้ติณณ์วิ่งชนเข้าเต็มๆ “เป็นอะไรไหมคะ?”“ไม่เป็นอะไรจ้ะ ฉันเอนหลบทัน เลยไม่โดนท้อง” ชมพู่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะนั่งลงยองๆ แล้วเอื้อมมือไปจับแขนเล็กไว้ “ติณณ์ล่ะ เจ็บหรือเปล่า?”“ฮึ่ก มะ...” เด็กน้อยเบะปากเตรียมร้องไห้ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ“ไม่เจ็บก็ไม่ต้องร้องนะ น้ายังไม่ร้องเลยเห็นไหม”“หะ...เห็นคับ” เด็กน้อยว่าง่ายรีบเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น ไม่อยากร้องไห้เพราะคุณน้าคนสวยที่โดนชนก็ไม่ร้องเหมือนกัน ก่อนร่างเล็กจะลุกขึ้นตามแรงจับของชมพู่“นั่งนี่ก่อนนะ” ชมพู่ดันไหล่เล็กให้นั่งลงบนโซฟาไม้ ก่อนที่เธอจะนั่งลงไปข้างๆ “เมื่อกี้ที่วิ่งแบบนั้น ติณณ์ทำไม่ถูกนะรู้ไหม?”ดวงตาแป๋วจ้องมองชมพู่อย่างสงสัย เด็
“พี่ดาว เอาอันนี้ไปวางตรงนั้นให้ฉันทีนะ”“ค่ะน้องพู่” ดาวรับของจากมือของหญิงสาว ก่อนจะเดินไปจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายไหว้วาน ร่างบางค้อมตัวลงเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านศิลาที่เดินสวนมา“ชมพู่ พี่บอกไม่ให้ทำ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”คุณหมอหนุ่มตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าตอนที่เจอเคสยากๆ เสียอีก เพราะความดื้อรั้นของภรรยามันเกินที่จะเยียวยาแล้ววันนี้เป็นวันแต่งงานของญาณินและปลัดภคิน ทั้งสองทำพิธีการที่สำคัญรวมถึงสวมแหวนกันไปแล้วตั้งแต่เช้า และช่วงเย็นจะมีงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ระหว่างนี้บ่าวสาวกำลังพักผ่อนอยู่ แต่เพื่อนเจ้าสาวอย่างชมพู่กลับออกมาจัดการเรื่องงานเลี้ยงตอนเย็นแทนเจ้าของงานเสียอย่างนั้น ศิลารู้ว่าภรรยาเขาหวังดี แต่แดดที่ร้อนจัดตอนนี้ก็ทำให้เขาเป็นห่วงเหลือเกิน“เสร็จแล้วค่า” ชมพู่รีบวางงานทุกอย่างลง แล้วหันมากอดเอวสอบของสามีไว้ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “ชมพู่ออกมาเดี๋ยวเดียวเองน้า”“มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เจนกับปลัดเขามีเจ้าหน้าที่ช่วยอยู่แล้ว”“แต่ชมพู่รับปากไว้แล้ว...”“นั่นคือตอนที่ชมพู่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังท้อง แต่ตอนนี้ชมพู่ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ออกมาตากแดดร้อนๆ แบบนี้ถ้าเป็นลมไปจะ
เสียงบางอย่างที่ตกใส่กระทะร้อนๆ และตามมาด้วยกลิ่นหอมของเครื่องแกงทำให้คนที่เพิ่งตื่นท้องร้องจ๊อก เด็กหนุ่มหัวฟูหน้ามันเยิ้ม เดินเกาพุงโซเซเข้าห้องครัวตามกลิ่นของอาหารไป“พี่พู่~”เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ร่างบอบบางที่อยู่ในชุดง่ายๆ อย่างเสื้อยืด กางเกงสามส่วนยืนอยู่หน้าเตา แขนเล็กขยับหยิบนู่นนี่นั่นใส่กระทะไปมาอย่างรวดเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน“ว่า” เจ้าของชื่อตอบกลับ แต่ไม่ยอมหันกลับมาหาคนเรียก มือจับตะหลิวพลิกสิ่งที่อยู่ในกระทะไปมาอย่างขะมักเขม้น“ทำอะไรอ่า”“ไม่มีตาหรือไง”“โธ่ ฉันถามดีๆ นะพี่”“แล้วฉันตอบไม่ดีตรงไหน”“...ยังจะมาถามอีก...” เปี๊ยกขมุบขมิบปากนินทาลูกพี่สาวเบาๆ เพราะไม่ต้องการให้คนถูกนินทาได้ยิน ถึงพี่พู่จะท้องอยู่ แต่พี่พู่ก็เตะก้นมันได้เหมือนเดิม ไม่เสี่ยงดีกว่า “ทำกับข้าวให้พี่หมอหรือจ๊ะ”“อืม ทำให้พวกเอ็งด้วย”“แต่พี่หมอบอกไม่ให้พี่พู่ตื่นเช้า อยากให้นอนให้เต็มที่” เปี๊ยกว่าตามที่เจ้าของบ้านสั่งอย่างเคร่งครัด แม้จะอยากกินฝีมือพี่พู่แค่ไหน แต่ถ้าพี่พู่เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมามันคงไม่แคล้วถูกพี่หมอไล่ออกจากบ้านเป็นแน่พี่หมอเห็นใจดีแบบนั้นแต่ก็เด็ดขาดกว่าใคร บางครั้งพี่พ
เจ็ดโมงเช้า คุณหมอศิลาเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยสภาพเหนื่อยล้า ใบหน้าคมอิดโรย เพราะเมื่อคืนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ฉุกเฉินวุ่นวายไปหมด“กลับไหวไหมหิน” ญาณินถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เธอถูกโทรตามมากลางดึก แต่ศิลาเข้าเวรมาตั้งแต่เช้าเมื่อวาน เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มแล้วที่ไม่ได้นอนหรือแอบงีบเลย เขาดูเหนื่อยมากจนน่าเป็นห่วง“ไหว เจนอยู่ได้ใช่ไหม”“ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะ ทุกอย่างเริ่มปกติแล้ว หินรีบกลับไปพักเถอะ หน้าซีดมากเลย”“อืม...”ศิลาพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินโงนเงนไปที่หน้าโรงพยาบาล เขาง่วงจนเดินไม่ตรง แต่เพราะเมื่อวานไม่ได้เอารถมา วันนี้เลยต้องเดินกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปราวสองกิโลปกติระยะทางแค่นี้มันไม่ได้ไกลมากสำหรับศิลา แต่เพราะวันนี้ร่างกายคุณหมอคนเก่งประท้วงอย่างหนัก แค่เดินออกมาหน้าโรงพยาบาลเขาก็รู้สึกเหมือนจะไม่ไหวแล้ว“คุณพ่อขา...”ในตอนที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดแรงนั้นเอง เสียงใสๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิลาหันกลับไปมองโดยอัตโนมัติ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องสนใจเสียงนั้นด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเขาเสียหน่อยแต่ร่างเล็กๆ ที่กำลังวิ่งเข้ามาก็ทำให้เขาไม่สามารถเดินจาก
ตึง! ตึง! ตึง!เสียงตึงตังจากบนบ้านทำให้สองหนุ่มน้อยที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ตกใจจนเกือบวิ่งหนี ถ้าไม่เห็นว่าคนที่เดินลงจากบันไดมาคือพี่ที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตพวกมันคงด่าไปแล้ว เสียงดังจนเหมือนว่ามีขโมยขึ้นบ้าน“พี่พู่ ตกใจหมด”“แหม พ่อคนขวัญอ่อน” ชมพู่กระแหนะกระแหนน้องรักพอเป็นพิธี เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในทุกเช้าเวลาที่ลมกับเปี๊ยกมานอนด้วยเพราะหมอศิลาเข้าเวรดึก“พี่จะรีบไปไหน ทำไมวิ่งเสียงดังแบบนั้น ถ้าคุณอรอนงค์มาเจอโดนตีขาลายแน่”“หน๊อย! เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งนะไอ้ลม ขู่ฉันด้วย ตั้งแต่สนิทกับผัวฉันนี่เก่งขึ้นเชียว”ชมพู่ชี้หน้าว่าที่คุณหมอ เดี๋ยวนี้ลมมันปีกกล้าขาแข็ง สุขุมนุ่มลึกขึ้นผิดหูผิดตา ไม่เหมือนลมที่เธอเคยรู้จักมาก่อนเลยหมอศิลาอาจจะไม่ได้ถ่ายทอดแค่ความรู้ให้น้องเธอ แต่อาจจะถ่ายทอดความเป็นผู้ใหญ่ให้ด้วย เพราะเมื่อเทียบกับเปี๊ยกที่เคยวิ่งเล่นมาด้วยกัน ตอนนี้ลมดูโตขึ้นมากจริงๆ“ไม่ได้ขู่ ฉันแค่เป็นห่วง”“เออๆ” พอพูดตรงๆ แบบนี้ชมพู่ก็รู้สึกเก้อเขินแปลกๆ เธอแสร้งพยักหน้ารับไม่สนใจทั้งๆ ที่หูกำลังขึ้นสีแดงจัด “ฉันจะไปตลาด สายแล้ว”“ไปทำไมอะพี่” เปี๊ยกรีบถาม เพราะหมอศิลาบอกกับม