“พี่พู่ เดินดีๆ”“อะไรของพวกเอ็งวะไอ้ลมไอเปี๊ยก มาประคองทำไม! ฉันเดินเองได้”ชมพู่หันไปทำหน้ายุ่งใส่ไอ้สองคนที่มาวุ่นวายกับเธอไม่หยุด พอเธอหายช็อกเพราะรู้ว่าถูกพ่อแกล้ง เธอก็ขอตัวขึ้นมาเก็บของก่อน บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ยังปรับอารมณ์ไม่ถูก เหมือนมีแค่เธอคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย แต่พอเธอจะเดินขึ้นบันไดไอ้เด็กแสบสองคนนี่ก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาประคองกันจ้าละหวั่น“ก็เผื่อพี่พู่มีน้อง ต้องระวังไว้ก่อน”“ใช่ๆ ระวังไว้ก่อนดีกว่านะพี่พู่” ไอ้ลมเสริม หันไปพยักหน้าหงึกหงักกับคู่ซี้“ประสาท” ชมพู่เลิกสนใจ เดินกระแทกส้นดังตึงๆ ขึ้นบันไดไป ลมกับเปี๊ยกหน้าเสียแทบจะพุ่งเข้าไปอุ้มลูกพี่สาวเดิน แต่ก็กลัวว่าจะถูกเตะตกบ้านเสียก่อนเลยได้แต่เดินตามห่างๆ อย่างห่วงๆ“แล้วจะตามเข้ามาทำไม”ชมพู่หันไปถามเมื่อสองแสบตามมาถึงห้องนอน เธอไม่ได้เป็นคนหวงห้องอะไร เพราะห้องนี้ไอ้เปี๊ยกกับไอ้ลมก็เข้าออกเป็นประจำอยู่แล้ว ถึงพอโตขึ้นพวกมันจะเข้ามาน้อยลงเพราะถูกพ่อกำนันห้ามแต่พวกมันก็ยังดื้อด้านเข้ามาบางครั้ง“พี่พู่ พวกเราถามจริงๆ นะ” ลมเกริ่นขึ้นก่อน มันนั่งลงกับพื้นห้องมองลูกพี่สาวที่เดินไปเดินมาเก็บของในกระเป๋าให้เข้าที่ “พี่ไ
“หมอศิลา อยู่บ้านหรือเปล่า”ชมพู่ชะเง้อคอมองขึ้นไปบนบ้านที่คุ้นตา เธอไม่กล้าถือวิสาสะขึ้นไปก่อนได้รับอนุญาต เลยได้แต่ยืนเรียกอีกฝ่ายอยู่แบบนี้“หรือเข้าเวรนะ” หญิงสาวคาดเดากับตัวเองเบาๆ ชะเง้อมองบนบ้านที่เงียบสนิทอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นว่าจะมีใครเดินออกมาเลยชมพู่ก็ถอดใจ แต่ในตอนที่เธอกำลังจะเดินไปที่มอเตอร์ไซค์คันเก่งที่จอดอยู่ไม่ไกลนั้น เสียงทุ้มของเจ้าของบ้านก็ดังขึ้นก่อน“คุณชมพู่?”“หมอ!” ชมพู่รีบหันกลับไปหาอีกฝ่าย ส่งยิ้มกว้างไปให้ด้วยความดีใจที่วันนี้มาไม่เสียเที่ยว “นึกว่าจะไม่อยู่บ้านเสียแล้ว”“ผมอาบน้ำอยู่ครับ คุณชมพู่ขึ้นมาบนบ้านก่อน”เมื่อได้รับคำเชื้อเชิญ ชมพู่ก็รีบก้าวขึ้นบันไดทันที บ้านไม้ของหมอศิลายังมีสภาพเหมือนกับวันที่เธอมาอาศัยหลับนอน มันเงียบสงบ มีลมโชยผ่านตลอดเวลาจนไม่รู้สึกร้อนเลย“ไม่คิดว่าวันนี้คุณชมพู่จะมา” หมอหนุ่มบอกอย่างเก้อๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าวันนี้จะมีแขก เลยไม่ได้เตรียมตัวเท่าไหร่ เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ใส่เพียงแค่เสื้อยืดตัวเก่าและกางเกงขาสั้นเท่านั้น ลืมภาพคุณหมอที่เคยเห็นไปได้เลย“พอดีว่าฉันเพิ่งนึกได้ว่าลืมที่ชาร์จแบตมือถือไว้น่ะ จะเข้าไปซื้อในเมืองก็ราคาแ
“จริงหรือคะ? เคยประกวดนางงามด้วย? มิน่า น้องอรยังสวยเช้งอยู่เลยค่ะ”“แหมพี่ศิก็... ยอกันเกินไปแล้วค่ะ แต่อันที่จริงแล้วพี่ศิสวยกว่าอดีตนางงามแบบอรอีกนะคะ”“ไม่หรอกค่ะ พี่ไม่กล้าเทียบกับอดีตนางงามจริงๆ”ชมพู่นั่งมองสองสาวเหลือน้อยที่กำลังคุยกันอย่างออกรส ผลัดกันชมไปมาแล้วก็เขินกันเองอยู่แบบนั้นมาร่วมห้านาทีแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้แม่เธอและแม่ของหมอศิลาถูกชะตากันได้ขนาดนี้ ได้ข่าวว่าเพิ่งเจอกันเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเองพอทั้งคู่ได้เจอกัน แนะนำตัวนิดหน่อยแม่ของหมอศิลาก็เริ่มชวนคุย คุยไปคุยมาก็ถูกคอกัน ถามไถ่พูดคุยเหมือนพี่น้องที่พรากจากกันมานาน ปล่อยให้ลูกๆ และพ่อๆ นั่งมองตาปริบๆ ไม่มีใครกล้าเอ่ยขัดแม้แต่พ่อของหมอศิลา ก็ถ้าบ้านนี้คุณนายอรอนงค์ใหญ่สุด บ้านของหมอศิลาคุณหญิงศศิมาก็ใหญ่สุดไม่ต่างกัน“ไว้เราค่อยคุยกันต่อนอกรอบนะคะ คุยกับน้องอรแล้วสนุ๊กสนุก แต่ตอนนี้ต้องคุยเรื่องสู่ขอหนูชมพู่ให้ลูกชายพี่ก่อน” คุณหญิงศศิมาพูด ก่อนจะทำท่าป้องปากเหมือนจะกระซิบ “คู่นี้เขาใจร้อนน่ะค่ะ”“ยังไงคะ”“ก็...”“คุณแม่ครับ” ศิลาที่นั่งอยู่ข้างมารดาได้ยินเข้าก็รีบปราม เขารู้ว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร แต่ถ้าพ
ก๊อก ก๊อก“เจ้าพู่ ตื่นหรือยัง หมอศิลามาแล้วนะ”“อื้อ...”หน้าใสรีบซุกลงกับหมอนทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ตอนนี้สิบโมงแล้ว แต่ชมพู่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นจากที่นอน ไม่ใช่เพราะเธอขี้เกียจ แต่เพราะวันนี้เธอป่วยป่วยการเมืองน่ะนะ...วันนี้มีชมพู่มีนัดวัดตัวตัดชุดแต่งงาน หมอศิลาที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าไหร่ตามประสาหมอเพิ่งมีคิวให้ว่าที่เจ้าสาววันนี้ สามวันที่ไม่ได้เจอกันทำให้ชมพู่รู้สึกหายใจสะดวกมากขึ้น แต่พอรู้ว่าวันนี้จะได้เจอกันเธอก็แกล้งป่วยมันซะเลย แค่วัดชุดแต่งงาน เธอไปคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นต้องรบกวนคนงานยุ่งแบบหมอศิลาเลยบ่าวสาวแยกกันวัดตัวตัดชุดแต่งงานไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่ได้ตัวติดกันเสียหน่อยชมพู่ยอมรับว่ายังไม่อยากเจอหน้าเขา เพราะยังโกรธไม่หายที่เขาทำเหมือนเธอเป็นตัวตลกแบบนั้น ขอทำตัวงี่เง่าเป็นเด็กๆ ซักวันเถอะ“พู่” เสียงของแม่เงียบหายไป ก่อนประตูที่ไม่ได้ล็อกไว้จะถูกเปิดออก “ทำไมยังไม่ตื่นอีก เจ้าลูกคนนี้หนิ ให้พี่เขามารอได้ยังไง”‘เหอะ พี่งั้นเหรอ’ชมพู่แอบเบะปาก ก่อนจะค่อยๆ พลิกตัวไปมองแม่เหมือนคนไม่มีแรง ใบหน้าซีดเซียวอิดโรยทำให้อรอนงค์รีบเดินเข้ามาหา“เป็นอะไรไป ทำไมหน้าซีดแบ
ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเป็นสถานที่ที่คนพลุกพล่านเสมอแม้ไม่ใช่ในวันหยุด เพราะที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวในจังหวัดที่มีทุกอย่างครบครัน ร้านอาหารชั้นนำ โรงหนัง ฮอลล์จัดการแสดง ซุปเปอร์มาเก็ต หรือแม้แต่ลานโบว์ลิ่งและห้องคาราโอเกะ ห้างนี้จึงเป็นที่นัดหมายของวัยรุ่นทั่วไปที่อยากหลบร้อนมาตากแอร์เล่น มากินข้าว หรือมาเดตกับแฟน อาจจะมีผู้ใหญ่บ้าง แต่ก็ไม่หนาตาเท่าช่วงวันหยุดศิลาเดินตามร่างบางของว่าที่เจ้าสาวไปเรื่อยๆ วันนี้ชมพู่แต่งตัวน่ารัก เสื้อยืดสกรีนรูปแมวสีขาว สวมเอี๊ยมกางเกงขาสั้นทับ ผมยาวสลวยถูกแบ่งสองข้างเท่าๆ กัน และจับถักเป็นเปียไว้หลวมๆ ใบหน้าขาวใสไร้เครื่องสำอาง มีแค่ลิปมันเปลี่ยนสีได้ที่เคลือบอยู่บนริมฝีปากอิ่มเท่านั้นพอหันกลับมามองตัวเองศิลาก็หัวเราะออกมา เขาอยู่ในชุดทางการสุดๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวที่รีดจนกริบเอย กางเกงสแลคเอย ทรงผมที่เซ็ตมาอย่างดีเอย แต่งตัวแบบนี้มาเดินกับชมพู่ที่อายุน้อยกว่าสิบปีทำให้เขาดูแก่ลงไปถนัดตา แถมเวลาที่ชมพู่แต่งตัวน่ารักๆ รวมกับใบหน้าที่อ่อนกว่าวัยของเธอ ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวดูเหมือนเด็กมัธยมมากกว่าคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ศิลาไม่ได้จะตัด
“แม่ ทำอะไรอยู่”ชมพู่เดินขึ้นมาบนบ้านก็เห็นแม่ที่กำลังนั่งดูสมุดรูปภาพด้วยรอยยิ้ม มองไกลๆ ก็รู้ว่าเป็นภาพถ่ายของพ่อกับแม่ตอนแต่งงานกัน รวมถึงรูปคู่ที่ถ่ายด้วยกันตั้งแต่สมัยหนุ่มสาวจนปัจจุบัน หญิงสาวตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง จากตอนแรกจะกลับห้อง เปลี่ยนเป็นเดินเข้าไปหาอรอนงค์แทน“อ้าว ไปไหนมาเจ้าพู่ ไหนว่าไม่สบาย แม่ก็คิดว่านอนอยู่ในห้องเสียอีก”“ไปวัดตัวกับหมอศิลามา เมื่อเช้าฉันคิดไปเองว่าป่วย แต่น่าจะเพราะนอนเยอะไปก็เลยปวดหัวปวดตัว”“นี่ง๊าย! แม่ถึงได้สอนว่าอย่านอนกินบ้านกินเรือน”“จ้าๆ” ชมพู่พยักหน้ารับ พูดอะไรไปก็เข้าตัวเองมันทุกทาง “แล้วแม่หายไปไหนมา ตอนฉันออกไปวัดตัวไม่เห็นทั้งพ่อทั้งแม่เลย”พอถูกถามแบบนั้นอรอนงค์ก็ทำท่าเขินอายจนชมพู่เลิกคิ้วขึ้น จู่ๆ แม่ของเธอเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ถึงได้มีท่าทีแปลกๆ แบบนี้“แม่เข้าเมืองมา พ่อเขาพาไปซื้อทอง” อรอนงค์ยิ้มกริ่ม ก่อนจะควักสร้อยทองเส้นโตออกมาอวดลูก “นี่ไง ตั้งห้าบาทเชียวนะ”“โห ลายสวยด้วยนะเนี่ย ซื้อให้เนื่องในโอกาสอะไรเหรอแม่” ชมพู่ชื่นชมทองที่พ่อซื้อให้แม่ ที่จริงแม่เธอมีทองหลายเส้นจนเก็บไม่หวาดไม่ไหว แต่ไม่เคยมีลายนี้มาก่อน สวยแปลกตาดี แ
อีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะถึงวันแต่งงานแล้วข่าวเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนเล็กของกำนันม่วงกระจายไปทั่วทั้งอำเภอ ไม่ใช่แค่เพราะเจ้าสาวคือชมพู่ที่เป็นลูกสาวของกำนันคนดังที่ใครๆ ก็รู้จัก แต่เจ้าบ่าวอย่างหมอศิลาเองก็มีคนรู้จักไม่น้อยเช่นกัน สาวๆ หลายคนถึงกับร้องเสียดายที่หมอสละโสดเร็ว ไม่ยอมอยู่เป็นอาหารตาให้พวกเธอนานกว่านี้อีกซักหน่อย บ้างก็สงสัยว่าหมอไปรักกับชมพู่ได้ยังไง บ้างก็สงสัยว่าคนเงียบๆ ทั้งยังสุภาพแบบหมอ ทำไมถึงตกล่องปล่องชิ้นกับเด็กแก่นแก้วอย่างชมพู่ได้“ข้าล่ะรำคาญ ไปตลาดทีไรพวกแม่ค้าก็เอาแต่ถามว่าทำไมหมอกับพี่พู่ถึงคบกันได้ พอไม่ตอบก็ข่อนขอด ว่าพี่พู่เสียๆ หายๆ”“เมื่อวานข้าก็เจอเหมือนกัน ทำไมวะ พี่พู่เราไม่ดีตรงไหน”เรื่องความเหมาะสมของทั้งสองคนเป็นที่ครหาในวงกว้าง กำนันม่วง อรอนงค์ มะพร้าว หรือแม้แต่ชมพู่เองก็รับรู้ แต่ทั้งหมดเลือกที่จะไม่ใส่ใจ ปากหอยปากปูทั้งนั้น เพราะเจอหน้าจริงๆ ก็ไม่มีใครกล้าถามกล้าพูดซักคนแต่ไม่ใช่กับลมและเปี๊ยก เพราะสองคนนี้ยังเด็ก ไม่มีพิษมีภัยและไม่สู้คน เลยกลายเป็นเครื่องมือของพวกปากมอมอยู่หลายครั้ง“ใครบ้างที่ถาม”“หลายคน จะถามทำไมนักหนาว่าไอ้ลม พู
เช้าวันแต่งงานคงเป็นวันที่วุ่นวายที่สุดในชีวิตแล้วชมพู่ตื่นตั้งแต่ตีสาม ที่จริงเธอเกือบนอนไม่หลับ แม่บังคับให้เข้านอนตั้งแต่ทุ่มตรง แต่หลับได้จริงๆ เกือบเที่ยงคืน ดวงตาทั้งสองข้างเลยบวมตุ่ยจนอรอนงค์ต้องเอาช้อนแช่เย็นมาประคบให้“เย็นจังแม่”“ก็เย็นน่ะสิ จะได้หายบวม”อรอนงค์ทำหน้ายุ่ง วันนี้เธอรับหน้าที่แต่งหน้าให้ลูกสาวด้วยตัวเอง พอเห็นตาที่บวมตุ่ยของชมพู่ก็แทบจะร้องไห้ออกมาบวมขนาดนี้แต่งสวยแค่ไหนก็ไม่รอด อย่างกับโดนต่อยมาประคบไปได้ครึ่งชั่วโมงดวงตาของชมพู่ก็กลับมาเกือบปกติ อรอนงค์ไล่ลูกสาวให้ไปอาบน้ำ ในขณะที่เธอก็เตรียมเครื่องสำอางและอุปกรณ์ทำผมไว้ให้พร้อม วันนี้อรอนงค์ลงมือทำเองทุกอย่าง เพราะอยากเตรียมตัวให้ลูกสาวด้วยตัวเอง โอกาสแบบนี้มีแค่ครั้งเดียวในชีวิต ไม่มีซ้ำสองแค่สิบห้านาทีชมพู่ก็นุ่งกระโจมอกตัวสั่นเป็นลูกแมวออกมา ฟันบนและล่างกระทบกันดังกึกๆ จนอรอนงค์ต้องรีบเอาผ้าอีกผืนไปห่อตัวลูกไว้เข้าหน้าหนาวแล้ว จังหวัดที่อยู่ทางภาคเหนือหนาวกว่ากรุงเทพฯ หลายองศา น้ำในเวลาตีสามเย็นแค่ไหนคนกรุงเทพฯ คงจินตนาการไม่ออกแน่ๆ และที่สำคัญ... บ้านนี้ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ถ้าหนาวจัดจริงๆ ก็ต้มอ
“อะไรนะพี่มิว? ท้องอีกแล้ว!?”“ใช่จ้ะ” มือบางลูบหน้าท้องที่ยังแบนเรียบของตัวเองเบาๆ ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความสุขจนชมพู่เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทันเธอตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้...“หมอเจนบอกว่าสองเดือนแล้ว”“แต่... น้องพิมเพิ่งจะได้ขวบเดียวเองนะพี่มิว แบบนี้จะเลี้ยงไหวหรือ?”ชมพู่พูดพลางมองไปที่เด็กน้อยที่กล่าวถึงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะมองเลยไปที่เด็กชายอีกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ทั้งหมดเกิดจากพ่อและแม่คนเดียวกัน และที่สำคัญ... ทั้งสามคนอายุห่างกันไม่ถึงปีมีลูกหัวปีท้ายปี พี่ชายเธอจะขยันเอาเหรียญทองหรือยังไง...“ไหวสิ พี่ไม่ได้ทำงานที่ไหนอยู่แล้ว อีกอย่าง... น้องพิมเองก็เริ่มโตแล้ว”“แต่... ขวบเดียวเองนะ...” ชมพู่จะเป็นลม หนึ่งขวบนี่นะเรียกว่าโตแล้ว เพิ่งเดินได้ เพิ่งหัดเรียกพ่อกับแม่ได้เอง ยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ...แต่เอาเถอะ เรื่องครอบครัวของพี่ชายเธอจะไม่ยุ่ง ถ้าทั้งคู่บอกว่าเลี้ยงไหวก็คือไหว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่พร้าวและพี่มิวก็ไม่เคยรบกวนให้คนอื่นมาช่วยเลี้ยงลูกเลย มีแต่จะโดนปู่กับย่าแย่งตัวหลานๆ ไปเลี้ยงเองเสียมากกว่าพี่พร้าวของเธอสละโสดเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แล
เช้าวันจันทร์ ชมพู่ลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาเดิม เสียงไก่ที่เริ่มขันดังอยู่ไกลๆ แสงพระอาทิตย์จางๆ เริ่มกระจายตัวไปทั่วหญิงสาวก้มมองมือที่พาดอยู่บนเอว ความอบอุ่นจากเนื้อตัวของอีกฝ่ายช่วยไล่อากาศหนาวๆ ออกไปจนไม่อยากออกห่างจากอ้อมแขนนี้แม้แต่วินาทีเดียว ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่ที่ซอกคอ สามีเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม ชอบนอนซุกซอกคอเธอเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไม่มีผิดหญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะหน้าที่ของคนเป็นแม่ทำให้เธอเกียจคร้านนอนซุกอ้อมกอดอุ่นๆ ของสามีจนสายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ชมพู่ตัดใจยกแขนแกร่งออกจากเอว หมอศิลาที่เพิ่งได้นอนขยับตัวเล็กน้อย ชมพู่ชะงักค้าง เพราะกลัวว่าจะทำให้สามีที่เหน็ดเหนื่อยจากงานต้องตื่นจากฝันดีแต่สุดท้ายหมอศิลาก็หลับต่อ ดวงตาคู่คมยังปิดแน่นสนิท หน้าอกแกร่งขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ชมพู่ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ย่องลงจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวชมพู่มองตัวเองในกระจกหลังจากแปรงฟันเสร็จ เธอส่งยิ้มให้คนในกระจกเหมือนกับทุกๆ เช้า เธอทำแบบนี้ตั้งแต่คลอดพระพาย เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นวันด้วยรอยยิ้ม ก็จะทำให้วันนั้นทั้งวันมีแต่เรื่องที่มีความสุข... แต่การยิ้มบ่อยๆ
แอ๊ะ~“ยัยหนู น่าเกลียดน่าชังจังเลยหลานย่า” คุณหญิงศศิมาร้องออกมาเบาๆ ดวงตาจ้องมองเด็กน้อยตัวชมพู่ที่นอนอยู่บนที่นอนของตัวเองไม่วางตาเมื่อคืนกลางดึกเธอได้รู้ข่าวเรื่องที่ชมพู่กำลังจะคลอดจากลม น้องชายของชมพู่ที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยเพราะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทั้งครอบครัวพากันแตกตื่นไปหมด รีบหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด เพื่อเดินทางมาเยี่ยมสะใภ้และหลานคนใหม่ทันทีแต่กว่าจะมาถึงได้ก็บ่ายแก่ๆ เข้าไปแล้ว ไม่ทันได้ลุ้นตอนชมพู่คลอดลูก แต่ความน่ารักของหลานก็ทำให้ความเสียดายนั้นมลายหายไปและโชคดีที่เด็กหญิงพระพายปลอดภัยดี แข็งแรง ร้องเสียงดัง น้ำหนักตอนคลอดปาไปสามกิโลถ้วน ไม่ต้องเข้าเตาอบ ตัวชมพู หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา“ชื่อพระพายหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกชาย ตั้งแต่มาถึงเขาเห็นศิลายิ้มไม่หุบ ทำให้นึกถึงตัวเองเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนตอนนั้นเขาก็ยิ้มกว้างแบบนี้ ยิ้มจนพ่อตาแม่ยายพอกันล้อเลียน แต่เขาก็หุบยิ้มไม่ได้ได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจนบรรยายออกมาไม่ถูกจริงๆ“ครับคุณพ่อ ชื่อพระพาย แปลว่าเทพเจ้าแห่งลม”“ชื่อน่ารัก ความหมายดี แล้วชื่อจริงล่ะ”“ยังไม่ได้คิดครับ ไว้ออกจากโรงพยา
ศิลาเป็นหมอ เวลาทุกวินาทีของเขามีค่ามาก เพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของคนไข้ เขาไม่ชอบการรอคอย เพราะมันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แต่ครั้งนี้หมอหนุ่มกลับยินดีที่จะเสียเวลารอคอยอะไรบางอย่าง สี่สิบสัปดาห์ สองร้อยแปดสิบวัน เขาไม่เคยคิดว่าเวลาที่ยาวนานนี้มันจะทำให้เขาต้องเสียเวลาเปล่าเลย กลับกัน... เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ต้องรอนานกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรอ“กู๊ดไนท์นะคะ คุณแม่” ปากหยักจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากเนียน ชมพู่ยิ้มจนตาปิด พี่หมอบอกฝันดี นั่นแปลว่าคืนนี้เธอจะต้องฝันดีแน่ๆ และรอยยิ้มของภรรยาก็ทำให้ศิลาอดใจไม่ไหว คุณหมอหนุ่มก้มลงหอมแก้มนุ่มหลายที ก่อนจะกระถดกายลงไปที่หน้าท้องใหญ่ “ฝันดีนะคะ พระพายของพ่อ”ศิลากดทั้งปากและจมูกลงบนหน้าท้องของภรรยา ป่านนี้ลูกเขาคงหลับแล้ว เพราะไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากแรงหายใจของคนเป็นแม่ ศิลาซุกหน้าอยู่แบบนั้นหลายนาที ก่อนจะขยับออกห่าง เขาปิดเสื้อนอนให้ภรรยา ห่มผ้าให้จนถึงคอ และทิ้งตัวนอนข้างๆ“พี่หมอ ฝันดีนะคะ”“งั้นขอจ้องหน้าชมพู่นานๆ หน่อยนะคะ พี่จะได้ฝันถึงชมพู่”“ทำไมคะ?”“ก็ฝันดีของพี่คือฝันถึงชมพู่นี่คะ”“พี่หมอ... จนลูกจะคลอดแล้วยังปากหวานอีกเหรอ
ตึง! ตึง! ตึง!“ติณณ์! อย่าวิ่ง!”“คิกคิก”“อย่าวิ่ง เดี๋ยวล้ม!”“ม่ายล้ม อ๊ะ!”ยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างเล็กๆ ที่วิ่งซนไม่ดูทางก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนได้ เด็กน้อยโซเซจนล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ส่วนอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรเพราะตัวโตกว่าและตั้งตัวได้ทัน“น้องชมพู่!” ดาวเบิกตากว้าง รีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายก่อนใคร ตัดใจมองข้ามลูกชายที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้น ไม่ใช่เพราะลูกสำคัญน้อยกว่า แต่ชมพู่กำลังท้อง แล้วเมื่อกี้ติณณ์วิ่งชนเข้าเต็มๆ “เป็นอะไรไหมคะ?”“ไม่เป็นอะไรจ้ะ ฉันเอนหลบทัน เลยไม่โดนท้อง” ชมพู่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะนั่งลงยองๆ แล้วเอื้อมมือไปจับแขนเล็กไว้ “ติณณ์ล่ะ เจ็บหรือเปล่า?”“ฮึ่ก มะ...” เด็กน้อยเบะปากเตรียมร้องไห้ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ“ไม่เจ็บก็ไม่ต้องร้องนะ น้ายังไม่ร้องเลยเห็นไหม”“หะ...เห็นคับ” เด็กน้อยว่าง่ายรีบเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น ไม่อยากร้องไห้เพราะคุณน้าคนสวยที่โดนชนก็ไม่ร้องเหมือนกัน ก่อนร่างเล็กจะลุกขึ้นตามแรงจับของชมพู่“นั่งนี่ก่อนนะ” ชมพู่ดันไหล่เล็กให้นั่งลงบนโซฟาไม้ ก่อนที่เธอจะนั่งลงไปข้างๆ “เมื่อกี้ที่วิ่งแบบนั้น ติณณ์ทำไม่ถูกนะรู้ไหม?”ดวงตาแป๋วจ้องมองชมพู่อย่างสงสัย เด็
“พี่ดาว เอาอันนี้ไปวางตรงนั้นให้ฉันทีนะ”“ค่ะน้องพู่” ดาวรับของจากมือของหญิงสาว ก่อนจะเดินไปจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายไหว้วาน ร่างบางค้อมตัวลงเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านศิลาที่เดินสวนมา“ชมพู่ พี่บอกไม่ให้ทำ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”คุณหมอหนุ่มตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าตอนที่เจอเคสยากๆ เสียอีก เพราะความดื้อรั้นของภรรยามันเกินที่จะเยียวยาแล้ววันนี้เป็นวันแต่งงานของญาณินและปลัดภคิน ทั้งสองทำพิธีการที่สำคัญรวมถึงสวมแหวนกันไปแล้วตั้งแต่เช้า และช่วงเย็นจะมีงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ระหว่างนี้บ่าวสาวกำลังพักผ่อนอยู่ แต่เพื่อนเจ้าสาวอย่างชมพู่กลับออกมาจัดการเรื่องงานเลี้ยงตอนเย็นแทนเจ้าของงานเสียอย่างนั้น ศิลารู้ว่าภรรยาเขาหวังดี แต่แดดที่ร้อนจัดตอนนี้ก็ทำให้เขาเป็นห่วงเหลือเกิน“เสร็จแล้วค่า” ชมพู่รีบวางงานทุกอย่างลง แล้วหันมากอดเอวสอบของสามีไว้ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “ชมพู่ออกมาเดี๋ยวเดียวเองน้า”“มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เจนกับปลัดเขามีเจ้าหน้าที่ช่วยอยู่แล้ว”“แต่ชมพู่รับปากไว้แล้ว...”“นั่นคือตอนที่ชมพู่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังท้อง แต่ตอนนี้ชมพู่ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ออกมาตากแดดร้อนๆ แบบนี้ถ้าเป็นลมไปจะ
เสียงบางอย่างที่ตกใส่กระทะร้อนๆ และตามมาด้วยกลิ่นหอมของเครื่องแกงทำให้คนที่เพิ่งตื่นท้องร้องจ๊อก เด็กหนุ่มหัวฟูหน้ามันเยิ้ม เดินเกาพุงโซเซเข้าห้องครัวตามกลิ่นของอาหารไป“พี่พู่~”เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ร่างบอบบางที่อยู่ในชุดง่ายๆ อย่างเสื้อยืด กางเกงสามส่วนยืนอยู่หน้าเตา แขนเล็กขยับหยิบนู่นนี่นั่นใส่กระทะไปมาอย่างรวดเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน“ว่า” เจ้าของชื่อตอบกลับ แต่ไม่ยอมหันกลับมาหาคนเรียก มือจับตะหลิวพลิกสิ่งที่อยู่ในกระทะไปมาอย่างขะมักเขม้น“ทำอะไรอ่า”“ไม่มีตาหรือไง”“โธ่ ฉันถามดีๆ นะพี่”“แล้วฉันตอบไม่ดีตรงไหน”“...ยังจะมาถามอีก...” เปี๊ยกขมุบขมิบปากนินทาลูกพี่สาวเบาๆ เพราะไม่ต้องการให้คนถูกนินทาได้ยิน ถึงพี่พู่จะท้องอยู่ แต่พี่พู่ก็เตะก้นมันได้เหมือนเดิม ไม่เสี่ยงดีกว่า “ทำกับข้าวให้พี่หมอหรือจ๊ะ”“อืม ทำให้พวกเอ็งด้วย”“แต่พี่หมอบอกไม่ให้พี่พู่ตื่นเช้า อยากให้นอนให้เต็มที่” เปี๊ยกว่าตามที่เจ้าของบ้านสั่งอย่างเคร่งครัด แม้จะอยากกินฝีมือพี่พู่แค่ไหน แต่ถ้าพี่พู่เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมามันคงไม่แคล้วถูกพี่หมอไล่ออกจากบ้านเป็นแน่พี่หมอเห็นใจดีแบบนั้นแต่ก็เด็ดขาดกว่าใคร บางครั้งพี่พ
เจ็ดโมงเช้า คุณหมอศิลาเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยสภาพเหนื่อยล้า ใบหน้าคมอิดโรย เพราะเมื่อคืนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ฉุกเฉินวุ่นวายไปหมด“กลับไหวไหมหิน” ญาณินถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เธอถูกโทรตามมากลางดึก แต่ศิลาเข้าเวรมาตั้งแต่เช้าเมื่อวาน เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มแล้วที่ไม่ได้นอนหรือแอบงีบเลย เขาดูเหนื่อยมากจนน่าเป็นห่วง“ไหว เจนอยู่ได้ใช่ไหม”“ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะ ทุกอย่างเริ่มปกติแล้ว หินรีบกลับไปพักเถอะ หน้าซีดมากเลย”“อืม...”ศิลาพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินโงนเงนไปที่หน้าโรงพยาบาล เขาง่วงจนเดินไม่ตรง แต่เพราะเมื่อวานไม่ได้เอารถมา วันนี้เลยต้องเดินกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปราวสองกิโลปกติระยะทางแค่นี้มันไม่ได้ไกลมากสำหรับศิลา แต่เพราะวันนี้ร่างกายคุณหมอคนเก่งประท้วงอย่างหนัก แค่เดินออกมาหน้าโรงพยาบาลเขาก็รู้สึกเหมือนจะไม่ไหวแล้ว“คุณพ่อขา...”ในตอนที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดแรงนั้นเอง เสียงใสๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิลาหันกลับไปมองโดยอัตโนมัติ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องสนใจเสียงนั้นด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเขาเสียหน่อยแต่ร่างเล็กๆ ที่กำลังวิ่งเข้ามาก็ทำให้เขาไม่สามารถเดินจาก
ตึง! ตึง! ตึง!เสียงตึงตังจากบนบ้านทำให้สองหนุ่มน้อยที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ตกใจจนเกือบวิ่งหนี ถ้าไม่เห็นว่าคนที่เดินลงจากบันไดมาคือพี่ที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตพวกมันคงด่าไปแล้ว เสียงดังจนเหมือนว่ามีขโมยขึ้นบ้าน“พี่พู่ ตกใจหมด”“แหม พ่อคนขวัญอ่อน” ชมพู่กระแหนะกระแหนน้องรักพอเป็นพิธี เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในทุกเช้าเวลาที่ลมกับเปี๊ยกมานอนด้วยเพราะหมอศิลาเข้าเวรดึก“พี่จะรีบไปไหน ทำไมวิ่งเสียงดังแบบนั้น ถ้าคุณอรอนงค์มาเจอโดนตีขาลายแน่”“หน๊อย! เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งนะไอ้ลม ขู่ฉันด้วย ตั้งแต่สนิทกับผัวฉันนี่เก่งขึ้นเชียว”ชมพู่ชี้หน้าว่าที่คุณหมอ เดี๋ยวนี้ลมมันปีกกล้าขาแข็ง สุขุมนุ่มลึกขึ้นผิดหูผิดตา ไม่เหมือนลมที่เธอเคยรู้จักมาก่อนเลยหมอศิลาอาจจะไม่ได้ถ่ายทอดแค่ความรู้ให้น้องเธอ แต่อาจจะถ่ายทอดความเป็นผู้ใหญ่ให้ด้วย เพราะเมื่อเทียบกับเปี๊ยกที่เคยวิ่งเล่นมาด้วยกัน ตอนนี้ลมดูโตขึ้นมากจริงๆ“ไม่ได้ขู่ ฉันแค่เป็นห่วง”“เออๆ” พอพูดตรงๆ แบบนี้ชมพู่ก็รู้สึกเก้อเขินแปลกๆ เธอแสร้งพยักหน้ารับไม่สนใจทั้งๆ ที่หูกำลังขึ้นสีแดงจัด “ฉันจะไปตลาด สายแล้ว”“ไปทำไมอะพี่” เปี๊ยกรีบถาม เพราะหมอศิลาบอกกับม