ตุ้บ!
เสียงที่ดังจนรบกวนการนอนทำให้หมอหนุ่มต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เขาเหม่อมองเพดานไม้อย่างเกียจคร้าน ก่อนจะยอมลุกขึ้นจากที่นอนปิคนิคสุดแข็งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานพาใครกลับบ้านมาด้วย
“คุณ...”
ผลั่ก!
เพียงแค่เปิดประตูเข้าไป ภาพตรงหน้าศิลาก็มืดสนิทไปชั่วขณะ ก่อนจะสว่างขึ้นเมื่อของที่ปลิวมาปะทะใบหน้าเมื่อครู่ตกลงไปกองที่พื้น
“ไอ้ชั่ว!”
ตามมาด้วยคำด่าที่ศิลาไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน ทั้งชีวิตเขาทำแต่เรื่องดีๆ มาตลอด แต่ทำไมวันนี้เขาถึงถูกด่าด้วยคำนี้ได้
“คุณ...”
“อย่าเข้ามานะ!!” หญิงสาวผมยาวกระเซิงที่นั่งอยู่บนเตียง(ของเขา) ห่อร่างด้วยผ้าห่มฝืนหนา(ของเขา)ตวาดลั่น “ไอ้คนชั่ว! หมอชั่ว!”
“เดี๋ยวก่อนนะ... คุณมาด่าผมทำไม”
“แล้วแกทำอะไรไว้ล่ะ! ฮึก!” เธอร้องไห้จนตัวโยน ศิลายิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเธอจะโกรธที่เขาถือวิสาสะเปลี่ยนชุดและเช็ดตัวให้ ก็เมื่อวานเธออยู่ในสภาพเปียกปอนเปื้อนโคลน เขากลัวว่าเธอจะป่วยหรือเป็นปอดบวมเอาเสียก่อนถ้าปล่อยไว้แบบนั้น
อีกอย่าง.. เขาเป็นหมอ เห็นร่างกายคนมานับไม่ถ้วนเวลาต้องรักษา เลยไม่ทันได้คิดว่าเธอจะไม่พอใจ เขาแค่ทำไปตามสัญชาติญาณเท่านั้น
“ผมขอโทษครับ”
แต่เพื่อไม่ให้เรื่องมันบานปลายใหญ่โต คนที่ไม่ชอบมีปัญหากับใครก็เอ่ยขอโทษก่อน แม้จะไม่เข้าใจว่าการช่วยเหลือของเขามันน่าโกรธจนถึงขั้นต้องด่าทอกันเลยหรือ
“ขอโทษแล้วเอาสิ่งที่นายทำลายไปคืนมาได้ไหมล่ะ!” ยิ่งเธอร้องไห้และโวยวายต่อศิลายิ่งไม่เข้าใจ แค่เปลี่ยนชุดและเช็ดตัว มันทำลายเธอขนาดนั้นเลยหรือไง “ฉันไม่น่าคิดว่านายเป็นคนดีเลย”
ชมพู่ร้องไห้หนักขึ้น ทั้งโกรธทั้งโมโหตัวเอง เธอประมาทเอง เห็นว่าอีกฝ่ายแค่เช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แถมยังเป็นถึงหมอเธอเลยไว้ใจ แต่สุดท้ายความไว้ใจนั้นก็ทำลายเธอเสียเอง
ยิ่งได้เห็นหน้าของคนที่คิดว่าเป็นคนดีชัดๆ ชมพู่ยิ่งช้ำใจ เธอจำได้แล้ว... หมอคนนี้เป็นหมอที่ทำแผลที่ศีรษะให้เธอมาเป็นเดือนตอนที่เธอหัวแตก ตอนนั้นเขาทั้งสุภาพ ใจเย็น มือเบา ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วเขาจะชั่วช้าขนาดนี้
แล้วแบบนี้เธอจะทำยังไง กลับบ้านไปเธอจะมองหน้าพ่อกับแม่ได้ไหม ทั้งๆ ที่รักษาตัวเองดีมาตลอด แต่กลับมาพลาดท่าเพราะหนีการคลุมถุงชน เธอไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย ผู้ชายคนนี้จะรับผิดชอบไหมก็ไม่รู้ สู้เธอยอมแต่งงานกับปลัดภคินยังจะดีซะกว่า อย่างน้อย ๆ เธอก็มีสามีตามขนบธรรมเนียม ไม่ใช่เสียตัวให้ใครก็ไม่รู้แบบนี้
“ผมขอโทษ ถ้ารู้ว่าคุณคิดมากขนาดนี้ผมจะไม่ทำ”
“จะไม่ทำๆๆๆๆ ตอนนี้ก็พูดได้นี่! แต่นายทำไปแล้วไง!”
ชมพู่เลือดขึ้นหน้า ผู้ชายคนนี้เลวบริสุทธิ์จริงๆ พูดมาได้ยังไงว่าไม่รู้ว่าเธอจะคิดมาก นี่มันความบริสุทธิ์ของเธอนะ! ไม่รู้ว่าชีวิตนี้เขาเจอผู้หญิงแบบไหนมาบ้าง แต่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะเหมือนที่เขาเคยเจอมา เธอไม่ได้บอกว่าผู้หญิงที่ฟรีเซ็กซ์ผิด แต่ก็ไม่แปลว่าผู้หญิงหัวโบราณ รักนวลสงวนตัวแบบเธอจะผิดเหมือนกัน ทุกคนมีความคิดที่แตกต่าง แล้วเขามาคิดแทนเธอได้ยังไง!
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง” ศิลาถามอย่างไม่รู้ทางออก เขามองคนที่ร้องไห้จนหน้าแดงด้วยความรู้สึกผิด เขาเองก็ผิด เพราะเธอไม่ใช่คนไข้ที่เขารักษาที่โรงพยาบาล แต่ดันถือวิสาสะไปถอดเสื้อผ้าเธอแบบนั้น แม้จะทำไปด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าเธอจะป่วยแต่มันก็ไม่ถูกต้องอยู่ดี
“นายต้องรับผิดชอบ”
“ครับ... ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้น” ศิลายอมรับแต่โดยดี เขาไม่อยากมีปัญหา อะไรที่สามารถทำให้ปัญหามันจบได้เขาก็จะทำ “คุณจะให้ผมรับผิดชอบยังไง”
“แต่งงาน”
ในเมื่อเสียไปแล้ว เธอก็จะไม่ยอมให้มันเสียไปเปล่า ๆ เด็ดขาด ชมพู่มีความเชื่อฝังหัวมาตลอดว่าคนเราควรมีเมียเดียวผัวเดียว ในเมื่อเธอตกเป็นเมียเขาแล้ว ต่อให้ไม่เต็มใจมันก็ย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ได้ ทำได้แค่แก้ปัญหาที่ปลายทาง และการแต่งงานคือทางออกที่ดีที่สุด
ยิ่งถ้าเมื่อคืนผู้ชายคนนี้ไม่ได้คุมกำเนิด แล้วถ้าเธอเกิดท้องขึ้นมา พ่อเธอที่เป็นถึงกำนันคงอับอายชาวบ้านที่คอยจ้องนินทา ชมพู่จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด
“คุณว่ายังไงนะ!?”
ต่างจากศิลา คุณหมอหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด ไม่คิดมาก่อนว่าการที่เขาเข้าไปช่วยเหลือคนเป็นลม เช็ดตัวที่เปื้อนโคลน และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอใหม่จะทำให้เขาต้องมีพันธะขนาดนี้
“นายได้ฉันเป็นเมียแล้ว นายก็ต้องจัดงานแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อรับผิดชอบฉัน”
“เมีย!?”
“เมีย...”
เสียงของบุคคลสามที่ดังขึ้น ทำให้คนสองคนที่กำลังตกลงปัญหากันหันไปมอง หญิงวัยเกือบหกสิบปีที่คุ้นหน้าคุ้นตาทำให้ชมพู่ต้องลุกขึ้นยืนพร้อมผ้าห่มผืนหนา ก่อนที่เสียงใสจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ป้าไม...”
“พู่ ทำไมมาอยู่ที่นี่” ชไมพรถามเด็กสาวที่เธอรักเหมือนลูกด้วยความตกใจสุดขีด มือที่ถือปิ่นโตข้าวสั่นเบาๆ ยิ่งหันกลับมามองหน้าคุณหมอที่เธอเคารพหญิงชราก็ยิ่งช็อก “แล้วเมื่อกี้มันอะไรกัน...หมอศิลา”
“ป้าไม...ฮึก”
เมื่อได้เห็นหน้าผู้ใหญ่ที่รักเหมือนแม่ ชมพู่ก็ร้องไห้ออกมาจนตัวสั่น ตอนนี้ไม่ใช่แค่เธอกับหมอศิลาที่รู้เรื่องอัปยศนี้แค่สองคนอีกแล้ว แต่มีป้าไม คนที่เป็นเหมือนคนในครอบครัวเข้ามารับรู้ด้วย เธอทั้งอาย ทั้งกลัวว่าป้าไมจะผิดหวังในตัวเธอจนทำอะไรไม่ถูก
“พู่ มาหาป้า มาหาป้าลูก”
“ฮือ... ป้าไมจ๋า”
หญิงสาวเดินมาหาอีกฝ่ายทั้งๆ ที่ร่างกายยังถูกห่อหุ่มด้วยผ้าผืนหนา ศิลาหลบทางให้สองคนเจอกันทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลย เขามองชมพู่ที่ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ สลับกับมองป้าไมด้วยสมองที่ว่างเปล่า
วันนี้คงเป็นวันที่หมอเกียรตินิยมอย่างเขาโง่ที่สุด เพราะเขาไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่เข้าใจเลยซักอย่าง
“ขวัญเอ้ยขวัญมาลูกเอ้ย” ชไมพรลูบผมนุ่มของเด็กสาวในอ้อมกอดเบาๆ เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตั้งแต่ที่ชมพู่เริ่มรู้ความเธอก็เพิ่งเคยเห็นเด็กคนนี้ร้องไห้หนักขนาดนี้
ศิลามองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสนจนบอกไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งๆ เหมือนคนโง่งมมองคนสองคนที่กอดกันกลมโดยที่ไม่ได้พูดอะไรซักคำ ทั้งสามคนยืนอยู่แบบนั้นจนกระทั่งชมพู่เริ่มสงบลง ชไมพรจึงบอกให้เด็กสาวเข้าไปแต่งตัวให้เรียบร้อยและออกมานั่งคุยกันข้างนอก
“หมอศิลา มาคุยกันหน่อยได้ไหม”
“ครับ”
ศิลายอมเดินตามคนแก่กว่าไปแต่โดยดี เขาหันไปมองประตูห้องนอนของตัวเองที่ปิดลงเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาไม้ตัวโปรด
“นี่มันเรื่องอะไรกันหมอศิลา ที่ป้าต้องถาม เพราะป้ากับหนูพู่เรารู้จักกัน ป้าเลี้ยงชมพู่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนโตเป็นสาวอย่างทุกวันนี้ คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าป้ารักหนูพู่แค่ไหน”
“ครับ...” สายตาที่ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนที่ผ่านมาทำให้ศิลาไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
ศิลารู้จักชไมพรตั้งแต่สมัยที่มาใช้ทุนที่นี่ ป้าไมคอยช่วยเขาหลายเรื่อง ทั้งอาหารการกินที่ตอนแรกยังปรับตัวไม่ได้ และคอยช่วยเหลืออะไรอีกหลายๆ อย่างทั้งๆ ที่ป้าไมไม่จำเป็นต้องสนใจหมอใช้ทุนคนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ป้าไมก็ทำทุกอย่างให้เขาอย่างเต็มใจ แม้แต่เมื่อสี่ปีที่แล้วที่เขากลับมาที่นี่อีกครั้งในฐานะหมอเต็มตัว ป้าไมก็ยังดีกับเขาเหมือนเดิม ทำปิ่นโตอาหารที่ดีต่อสุขภาพมาให้เขาบ่อยๆ จนเขาต้องจ้างเพราะเกรงใจ เขาเองก็รักและเคารพป้าไมมากเหมือนกัน
“แต่ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ป้าได้ยิน ที่หนูพู่บอกว่าเป็นตกเป็นเมียของหมอแล้ว... มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าหมอศิลา”
“ผม...”
คุณหมอหนุ่มครุ่นคิดหนักจนเส้นเลือดที่ขมับนูนขึ้น เขาไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี เขาไม่ได้ทำอะไรผู้หญิงคนนั้นเลย จู่ๆ เธอก็โวยวายแบบนั้นจนเขางงไปหมด แต่ถ้าตอบไปตามความจริงป้าไมก็คงไม่เชื่อ เพราะทั้งสภาพของเธอ และสถานการณ์ต่างๆ ที่มันชี้ให้คิดได้แบบนั้น เขาแก้ตัวไม่ขึ้นเลย
“ป้าไมจ๋า” เสียงเจือสะอื้นของอีกคนทำให้บทสนทนาหยุดลง ชไมพรเดินไปรับและประคองให้หญิงสาวที่ดูขวัญเสียให้มานั่งด้วยกัน ศิลามองหน้าคนที่อ้างว่าเป็นเมียตัวเองอย่างสำรวจ เธอดูเสียใจจริงๆ ไม่เหมือนแสดงเลย เขาไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เธอคิดไปได้แบบนั้น
“ป้าไม เรื่องนี้ฉันขอคุยกับเขาเองนะจ๊ะ” เธอเหลือบตามองหมอหนุ่ม ก่อนจะหันกลับมาสนใจชไมพรอีกครั้ง “ฉันอาย...”
“ป้าเข้าใจลูก”
“แล้วอีกอย่าง อย่าเพิ่งบอกพ่อกับแม่ได้ไหมจ๊ะว่าฉันอยู่ที่ไหน อย่าบอกพวกเขาว่าป้าเจอฉัน”
“กำนันกับแม่เราคงห่วงเรามาก”
“ฉันรู้ แต่ขอร้องเถอะนะจ๊ะ ฉันยังไม่พร้อมที่จะกลับไปตอนนี้”
“ป้าไม่บอกหรอก วางใจได้” ชไมพรรับคำ ชมพู่คงต้องการเวลาจริงๆ และเธอก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง “งั้นป้ากลับก่อนนะ”
“ขอบคุณมากนะจ๊ะ”
“คุยกันให้เข้าใจนะ” เธอหันไปมองหมอหนุ่มเมื่อพูดประโยคนั้น
“ครับ”
ชไมพรเดินลงจากบ้านไปแล้ว ทิ้งให้สองคนนั่งอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด ชมพู่มองมือตัวเองที่จับกันไว้ ส่วนศิลาก็มองหญิงสาวตรงหน้าเงียบๆ รอให้อีกฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน เพราะเขาไม่มีอะไรจะพูด เขายังไม่เข้าใจเรื่องราวอะไรเลยด้วยซ้ำ
“คุณ...” ชมพู่เอ่ยขึ้นในที่สุด สรรพนามที่ใช้เรียกอีกฝ่ายดีขึ้นเมื่อเริ่มตั้งสติได้แล้ว
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคล้ำแดดของอีกฝ่าย หนวดของเขาขึ้นเขียวเหนือริมฝีปากเหมือนวันแรกที่ได้เจอกันทำให้ดูไม่เหมือนหมอเท่าไหร่ แต่แววตาคู่นั้นอบอุ่นและอ่อนโยนตลอดเวลาแม้กระทั่งในตอนนี้ ช่วงเวลาที่เขาดูแลแผลให้เธอเขาก็ทำอย่างตั้งใจ เขาอาจจะเป็นผู้ชายที่แย่ แต่เขาก็เป็นหมอที่ดี
“ยังไงเราก็ต้องแต่งงานกัน”
“ผมขอถามแค่คำถามเดียว อะไรทำให้คุณคิดว่าเรามีอะไรกัน”
“ถ้าคุณเป็นผู้หญิง คุณมานอนบ้านผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง แล้วคุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยเลือดบนเตียง เห็นเลือดตรง... ตรงนั้นของตัวเอง คุณจะรู้สึกยังไง? จะคิดว่าโดนมดกัดหรือยังไง”
ศิลาไม่รู้จะโต้เถียงยังไง แต่เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำ พอเขาเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอเสร็จก็รีบออกมาข้างนอกทันที อ้อ... มีเดินกลับเข้าไปหยิบหนังสืออีกครั้งแต่ไม่ได้แตะตัวเธอแม้แต่ปลายก้อย เขาสาบานได้...
“ฉันรักษามันมาตลอดเกือบยี่สิบสามปี เพื่อเก็บไว้ให้สามีในอนาคตในคืนแต่งงาน แต่คุณกลับมาทำลายมันลงภายในค่ำคืนเดียว ในเมื่อคุณทำไปแล้ว คุณก็ต้องรับผิดชอบ"
“แต่...”
“ถ้าคุณเป็นลูกผู้ชายพอ... คุณหมอศิลา”
หมอที่ดีแบบเขา คงไม่ปัดความรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำ เธอหวังว่าจะเป็นแบบนั้น
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด ชมพู่ไม่ได้มองหน้าผู้ชายตรงหน้าอีก ในขณะที่หมอศิลายังจ้องหน้าชมพู่นิ่ง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้แต่งงาน แฟนคนเดียวในชีวิตที่คบด้วยจริงจังก็เลิกลากันไปตอนที่เขากำลังเรียนปีสอง หลังจากนั้นเขาก็ยุ่งจนไม่มีเวลาให้ใคร ไม่เคยคบหาใครอีกเลยหลังจากนั้นพอช่วงใช้ทุนศิลาก็เหมือนได้เจอเป้าหมายในชีวิต เขาอยากเป็นหมอที่เสียสละเวลาทั้งหมดเพื่อรักษาคนไข้ รูปร่างหน้าตาของเขาดึงดูดผู้หญิงให้เข้ามาหามากมาย แต่ต่างก็พากันถอยหนีไปเมื่อรู้ว่าเขาไม่มีเวลาให้ ศิลาเคยบอกกับครอบครัวไปตรง ๆ ว่าชีวิตนี้คงไม่ได้แต่งงาน ทั้งบิดาและมารดามองเขาด้วยสายตาผิดหวัง แต่พวกท่านก็ไม่คิดจะฝืนใจ เพราะอย่างน้อยพี่ชายและพี่สาวของเขาก็มีหลานให้ทั้งคู่อุ้มชูอยู่แล้วถึงสามคนแต่วันนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป แม้เขาจะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่ายเลย แต่ตอนนี้ทั้งผู้หญิงตรงหน้า และผู้ใหญ่ที่เขาเคารพรักต่างก็คิดไปแบบนั้นแล้ว ทางเดียวที่เขาทำได้ก็คือ... ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ และแสดงความรับผิดชอบตามที่เธอเรียกร้องแต่งงาน...“ตกลงครับ ผมจะแต่งงานกับคุณ”“ห้ะ!?”ชมพู่เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ
ชมพู่กลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งทั้งห้องก็สะอาดเรียบร้อยแล้ว ผ้าปูที่นอนถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ข้าวของตรงไหนที่ไม่เป็นระเบียบก็ถูกเก็บเข้าที่หญิงสาวทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง คิดไม่ตกกับปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนมันก็มืดแปดด้านไปหมด ใครจะไปคิดว่าหนีงานแต่งงานแทบตาย แต่สุดท้ายก็ต้องแต่งงานอยู่ดี ต่างกันแค่จากที่จะได้ผัวปลัดกลับกลายเป็นได้ผัวหมอแทน หรือโชคชะตาของเธอจะมีผัวในปีนี้จริงๆแต่ถึงเธอจะไม่ได้แต่งงานกับหมอศิลา พ่อกับแม่ก็คงจับให้เธอแต่งงานกับปลัดอะไรนั่นอยู่ดี ไม่ว่าทางไหนเธอก็ต้องแต่งงาน ถ้าอย่างนั้นเธอขอเลือกหมอศิลาดีกว่า อย่างน้อยเรื่องเมื่อคืนนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าคุณหมอเป็นผู้ชายที่ดีมากคนหนึ่ง เธอสงสารหมอศิลาอยู่เหมือนกันที่ต้องมารับผิดชอบในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ก่อแบบนี้ เธอบอกเขาไปแล้วว่าไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้แต่เขากลับปฏิเสธ เอาเถอะ... ในเมื่อตกกะไดพลอยโจรกันไปแล้วก็ต้องไปต่อจนกว่าจะถึงทางตันนั่นแหละ“อ่า... ปวดท้องจัง”ชมพู่กุมท้องน้อยไว้แน่น อาการที่เป็นเกือบทุกเดือนเริ่มคุกคามเธออีกแล้ว ร่างเล็กค่อยๆ คลานขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆ ก่อนจะข่มตาให้หลับเพราะไม่อยากทรมา
“คุณส่งฉันแค่ตรงนี้ก็พอ”ชมพู่หันไปบอกคนข้างกายที่อาสาขับรถมาส่ง ที่ต้องลงก่อนไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นคนขี้เกรงใจอะไรขนาดนั้น แต่เธอยังไม่พร้อมจะให้หมอศิลาเจอกับพ่อแม่ตอนนี้ เพราะไม่รู้ว่าถ้าพ่อแม่เห็นหน้าเธอแล้วจะเอาก้านมะยมมาตีหรือเปล่า ให้อนาคตผัวมาเห็นตัวเองถูกตีเหมือนเด็กๆ คงไม่ดีเท่าไหร่ อีกอย่าง... เธออยากคุยกับพ่อแม่ก่อนด้วย“คุณเป็นลูกสาวกำนันม่วงหรือครับ?” ศิลาอดถามไม่ได้ เขาจำได้ว่านี่เป็นทางเข้าบ้านกำนันม่วง สมัยที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เขาเข้าออกบ้านนี้บ่อย รู้จักกับกำนัน คุณอรอนงค์ และมะพร้าวเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยเจอชมพู่มาก่อนอ้อ... จะว่าไปก็เคยเจออยู่เหมือนกัน เมื่อครั้งที่ชมพู่หัวแตกแล้วเอาแต่ใจอยากให้เขาทำแผลให้ตอนนั้นคุณอรอนงค์ก็มาด้วย แต่ในเวลานั้นเขาเอาแต่สนใจอาการเจ็บป่วยของคนเจ็บ ไม่ได้สนว่าชมพู่จะเป็นลูกเต้าเหล่าใครที่แท้ก็คนใกล้ตัวนี่เอง“ใช่ รู้จักพ่อฉันด้วยเหรอ”“ใครที่อยู่อำเภอนี้ก็ต้องรู้จักกำนันม่วงด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ”“อ้อ...” จริงสินะ ลืมไปเลยว่าพ่อเธอเป็นถึงกำนัน เป็นที่รู้จักของคนมากมาย ถ้าหมอศิลาไม่รู้จักสิแปลก “ขอบคุณนะคุณหมอที่มาส่ง และก็ขอบคุณที่ให้
“พี่พู่ เดินดีๆ”“อะไรของพวกเอ็งวะไอ้ลมไอเปี๊ยก มาประคองทำไม! ฉันเดินเองได้”ชมพู่หันไปทำหน้ายุ่งใส่ไอ้สองคนที่มาวุ่นวายกับเธอไม่หยุด พอเธอหายช็อกเพราะรู้ว่าถูกพ่อแกล้ง เธอก็ขอตัวขึ้นมาเก็บของก่อน บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ยังปรับอารมณ์ไม่ถูก เหมือนมีแค่เธอคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย แต่พอเธอจะเดินขึ้นบันไดไอ้เด็กแสบสองคนนี่ก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาประคองกันจ้าละหวั่น“ก็เผื่อพี่พู่มีน้อง ต้องระวังไว้ก่อน”“ใช่ๆ ระวังไว้ก่อนดีกว่านะพี่พู่” ไอ้ลมเสริม หันไปพยักหน้าหงึกหงักกับคู่ซี้“ประสาท” ชมพู่เลิกสนใจ เดินกระแทกส้นดังตึงๆ ขึ้นบันไดไป ลมกับเปี๊ยกหน้าเสียแทบจะพุ่งเข้าไปอุ้มลูกพี่สาวเดิน แต่ก็กลัวว่าจะถูกเตะตกบ้านเสียก่อนเลยได้แต่เดินตามห่างๆ อย่างห่วงๆ“แล้วจะตามเข้ามาทำไม”ชมพู่หันไปถามเมื่อสองแสบตามมาถึงห้องนอน เธอไม่ได้เป็นคนหวงห้องอะไร เพราะห้องนี้ไอ้เปี๊ยกกับไอ้ลมก็เข้าออกเป็นประจำอยู่แล้ว ถึงพอโตขึ้นพวกมันจะเข้ามาน้อยลงเพราะถูกพ่อกำนันห้ามแต่พวกมันก็ยังดื้อด้านเข้ามาบางครั้ง“พี่พู่ พวกเราถามจริงๆ นะ” ลมเกริ่นขึ้นก่อน มันนั่งลงกับพื้นห้องมองลูกพี่สาวที่เดินไปเดินมาเก็บของในกระเป๋าให้เข้าที่ “พี่ไ
“หมอศิลา อยู่บ้านหรือเปล่า”ชมพู่ชะเง้อคอมองขึ้นไปบนบ้านที่คุ้นตา เธอไม่กล้าถือวิสาสะขึ้นไปก่อนได้รับอนุญาต เลยได้แต่ยืนเรียกอีกฝ่ายอยู่แบบนี้“หรือเข้าเวรนะ” หญิงสาวคาดเดากับตัวเองเบาๆ ชะเง้อมองบนบ้านที่เงียบสนิทอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นว่าจะมีใครเดินออกมาเลยชมพู่ก็ถอดใจ แต่ในตอนที่เธอกำลังจะเดินไปที่มอเตอร์ไซค์คันเก่งที่จอดอยู่ไม่ไกลนั้น เสียงทุ้มของเจ้าของบ้านก็ดังขึ้นก่อน“คุณชมพู่?”“หมอ!” ชมพู่รีบหันกลับไปหาอีกฝ่าย ส่งยิ้มกว้างไปให้ด้วยความดีใจที่วันนี้มาไม่เสียเที่ยว “นึกว่าจะไม่อยู่บ้านเสียแล้ว”“ผมอาบน้ำอยู่ครับ คุณชมพู่ขึ้นมาบนบ้านก่อน”เมื่อได้รับคำเชื้อเชิญ ชมพู่ก็รีบก้าวขึ้นบันไดทันที บ้านไม้ของหมอศิลายังมีสภาพเหมือนกับวันที่เธอมาอาศัยหลับนอน มันเงียบสงบ มีลมโชยผ่านตลอดเวลาจนไม่รู้สึกร้อนเลย“ไม่คิดว่าวันนี้คุณชมพู่จะมา” หมอหนุ่มบอกอย่างเก้อๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าวันนี้จะมีแขก เลยไม่ได้เตรียมตัวเท่าไหร่ เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ใส่เพียงแค่เสื้อยืดตัวเก่าและกางเกงขาสั้นเท่านั้น ลืมภาพคุณหมอที่เคยเห็นไปได้เลย“พอดีว่าฉันเพิ่งนึกได้ว่าลืมที่ชาร์จแบตมือถือไว้น่ะ จะเข้าไปซื้อในเมืองก็ราคาแ
“จริงหรือคะ? เคยประกวดนางงามด้วย? มิน่า น้องอรยังสวยเช้งอยู่เลยค่ะ”“แหมพี่ศิก็... ยอกันเกินไปแล้วค่ะ แต่อันที่จริงแล้วพี่ศิสวยกว่าอดีตนางงามแบบอรอีกนะคะ”“ไม่หรอกค่ะ พี่ไม่กล้าเทียบกับอดีตนางงามจริงๆ”ชมพู่นั่งมองสองสาวเหลือน้อยที่กำลังคุยกันอย่างออกรส ผลัดกันชมไปมาแล้วก็เขินกันเองอยู่แบบนั้นมาร่วมห้านาทีแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้แม่เธอและแม่ของหมอศิลาถูกชะตากันได้ขนาดนี้ ได้ข่าวว่าเพิ่งเจอกันเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเองพอทั้งคู่ได้เจอกัน แนะนำตัวนิดหน่อยแม่ของหมอศิลาก็เริ่มชวนคุย คุยไปคุยมาก็ถูกคอกัน ถามไถ่พูดคุยเหมือนพี่น้องที่พรากจากกันมานาน ปล่อยให้ลูกๆ และพ่อๆ นั่งมองตาปริบๆ ไม่มีใครกล้าเอ่ยขัดแม้แต่พ่อของหมอศิลา ก็ถ้าบ้านนี้คุณนายอรอนงค์ใหญ่สุด บ้านของหมอศิลาคุณหญิงศศิมาก็ใหญ่สุดไม่ต่างกัน“ไว้เราค่อยคุยกันต่อนอกรอบนะคะ คุยกับน้องอรแล้วสนุ๊กสนุก แต่ตอนนี้ต้องคุยเรื่องสู่ขอหนูชมพู่ให้ลูกชายพี่ก่อน” คุณหญิงศศิมาพูด ก่อนจะทำท่าป้องปากเหมือนจะกระซิบ “คู่นี้เขาใจร้อนน่ะค่ะ”“ยังไงคะ”“ก็...”“คุณแม่ครับ” ศิลาที่นั่งอยู่ข้างมารดาได้ยินเข้าก็รีบปราม เขารู้ว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร แต่ถ้าพ
ก๊อก ก๊อก“เจ้าพู่ ตื่นหรือยัง หมอศิลามาแล้วนะ”“อื้อ...”หน้าใสรีบซุกลงกับหมอนทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ตอนนี้สิบโมงแล้ว แต่ชมพู่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นจากที่นอน ไม่ใช่เพราะเธอขี้เกียจ แต่เพราะวันนี้เธอป่วยป่วยการเมืองน่ะนะ...วันนี้มีชมพู่มีนัดวัดตัวตัดชุดแต่งงาน หมอศิลาที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าไหร่ตามประสาหมอเพิ่งมีคิวให้ว่าที่เจ้าสาววันนี้ สามวันที่ไม่ได้เจอกันทำให้ชมพู่รู้สึกหายใจสะดวกมากขึ้น แต่พอรู้ว่าวันนี้จะได้เจอกันเธอก็แกล้งป่วยมันซะเลย แค่วัดชุดแต่งงาน เธอไปคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นต้องรบกวนคนงานยุ่งแบบหมอศิลาเลยบ่าวสาวแยกกันวัดตัวตัดชุดแต่งงานไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่ได้ตัวติดกันเสียหน่อยชมพู่ยอมรับว่ายังไม่อยากเจอหน้าเขา เพราะยังโกรธไม่หายที่เขาทำเหมือนเธอเป็นตัวตลกแบบนั้น ขอทำตัวงี่เง่าเป็นเด็กๆ ซักวันเถอะ“พู่” เสียงของแม่เงียบหายไป ก่อนประตูที่ไม่ได้ล็อกไว้จะถูกเปิดออก “ทำไมยังไม่ตื่นอีก เจ้าลูกคนนี้หนิ ให้พี่เขามารอได้ยังไง”‘เหอะ พี่งั้นเหรอ’ชมพู่แอบเบะปาก ก่อนจะค่อยๆ พลิกตัวไปมองแม่เหมือนคนไม่มีแรง ใบหน้าซีดเซียวอิดโรยทำให้อรอนงค์รีบเดินเข้ามาหา“เป็นอะไรไป ทำไมหน้าซีดแบ
ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเป็นสถานที่ที่คนพลุกพล่านเสมอแม้ไม่ใช่ในวันหยุด เพราะที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวในจังหวัดที่มีทุกอย่างครบครัน ร้านอาหารชั้นนำ โรงหนัง ฮอลล์จัดการแสดง ซุปเปอร์มาเก็ต หรือแม้แต่ลานโบว์ลิ่งและห้องคาราโอเกะ ห้างนี้จึงเป็นที่นัดหมายของวัยรุ่นทั่วไปที่อยากหลบร้อนมาตากแอร์เล่น มากินข้าว หรือมาเดตกับแฟน อาจจะมีผู้ใหญ่บ้าง แต่ก็ไม่หนาตาเท่าช่วงวันหยุดศิลาเดินตามร่างบางของว่าที่เจ้าสาวไปเรื่อยๆ วันนี้ชมพู่แต่งตัวน่ารัก เสื้อยืดสกรีนรูปแมวสีขาว สวมเอี๊ยมกางเกงขาสั้นทับ ผมยาวสลวยถูกแบ่งสองข้างเท่าๆ กัน และจับถักเป็นเปียไว้หลวมๆ ใบหน้าขาวใสไร้เครื่องสำอาง มีแค่ลิปมันเปลี่ยนสีได้ที่เคลือบอยู่บนริมฝีปากอิ่มเท่านั้นพอหันกลับมามองตัวเองศิลาก็หัวเราะออกมา เขาอยู่ในชุดทางการสุดๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวที่รีดจนกริบเอย กางเกงสแลคเอย ทรงผมที่เซ็ตมาอย่างดีเอย แต่งตัวแบบนี้มาเดินกับชมพู่ที่อายุน้อยกว่าสิบปีทำให้เขาดูแก่ลงไปถนัดตา แถมเวลาที่ชมพู่แต่งตัวน่ารักๆ รวมกับใบหน้าที่อ่อนกว่าวัยของเธอ ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวดูเหมือนเด็กมัธยมมากกว่าคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ศิลาไม่ได้จะตัด
“อะไรนะพี่มิว? ท้องอีกแล้ว!?”“ใช่จ้ะ” มือบางลูบหน้าท้องที่ยังแบนเรียบของตัวเองเบาๆ ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความสุขจนชมพู่เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทันเธอตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้...“หมอเจนบอกว่าสองเดือนแล้ว”“แต่... น้องพิมเพิ่งจะได้ขวบเดียวเองนะพี่มิว แบบนี้จะเลี้ยงไหวหรือ?”ชมพู่พูดพลางมองไปที่เด็กน้อยที่กล่าวถึงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะมองเลยไปที่เด็กชายอีกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ทั้งหมดเกิดจากพ่อและแม่คนเดียวกัน และที่สำคัญ... ทั้งสามคนอายุห่างกันไม่ถึงปีมีลูกหัวปีท้ายปี พี่ชายเธอจะขยันเอาเหรียญทองหรือยังไง...“ไหวสิ พี่ไม่ได้ทำงานที่ไหนอยู่แล้ว อีกอย่าง... น้องพิมเองก็เริ่มโตแล้ว”“แต่... ขวบเดียวเองนะ...” ชมพู่จะเป็นลม หนึ่งขวบนี่นะเรียกว่าโตแล้ว เพิ่งเดินได้ เพิ่งหัดเรียกพ่อกับแม่ได้เอง ยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ...แต่เอาเถอะ เรื่องครอบครัวของพี่ชายเธอจะไม่ยุ่ง ถ้าทั้งคู่บอกว่าเลี้ยงไหวก็คือไหว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่พร้าวและพี่มิวก็ไม่เคยรบกวนให้คนอื่นมาช่วยเลี้ยงลูกเลย มีแต่จะโดนปู่กับย่าแย่งตัวหลานๆ ไปเลี้ยงเองเสียมากกว่าพี่พร้าวของเธอสละโสดเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แล
เช้าวันจันทร์ ชมพู่ลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาเดิม เสียงไก่ที่เริ่มขันดังอยู่ไกลๆ แสงพระอาทิตย์จางๆ เริ่มกระจายตัวไปทั่วหญิงสาวก้มมองมือที่พาดอยู่บนเอว ความอบอุ่นจากเนื้อตัวของอีกฝ่ายช่วยไล่อากาศหนาวๆ ออกไปจนไม่อยากออกห่างจากอ้อมแขนนี้แม้แต่วินาทีเดียว ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่ที่ซอกคอ สามีเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม ชอบนอนซุกซอกคอเธอเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไม่มีผิดหญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะหน้าที่ของคนเป็นแม่ทำให้เธอเกียจคร้านนอนซุกอ้อมกอดอุ่นๆ ของสามีจนสายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ชมพู่ตัดใจยกแขนแกร่งออกจากเอว หมอศิลาที่เพิ่งได้นอนขยับตัวเล็กน้อย ชมพู่ชะงักค้าง เพราะกลัวว่าจะทำให้สามีที่เหน็ดเหนื่อยจากงานต้องตื่นจากฝันดีแต่สุดท้ายหมอศิลาก็หลับต่อ ดวงตาคู่คมยังปิดแน่นสนิท หน้าอกแกร่งขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ชมพู่ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ย่องลงจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวชมพู่มองตัวเองในกระจกหลังจากแปรงฟันเสร็จ เธอส่งยิ้มให้คนในกระจกเหมือนกับทุกๆ เช้า เธอทำแบบนี้ตั้งแต่คลอดพระพาย เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นวันด้วยรอยยิ้ม ก็จะทำให้วันนั้นทั้งวันมีแต่เรื่องที่มีความสุข... แต่การยิ้มบ่อยๆ
แอ๊ะ~“ยัยหนู น่าเกลียดน่าชังจังเลยหลานย่า” คุณหญิงศศิมาร้องออกมาเบาๆ ดวงตาจ้องมองเด็กน้อยตัวชมพู่ที่นอนอยู่บนที่นอนของตัวเองไม่วางตาเมื่อคืนกลางดึกเธอได้รู้ข่าวเรื่องที่ชมพู่กำลังจะคลอดจากลม น้องชายของชมพู่ที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยเพราะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทั้งครอบครัวพากันแตกตื่นไปหมด รีบหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด เพื่อเดินทางมาเยี่ยมสะใภ้และหลานคนใหม่ทันทีแต่กว่าจะมาถึงได้ก็บ่ายแก่ๆ เข้าไปแล้ว ไม่ทันได้ลุ้นตอนชมพู่คลอดลูก แต่ความน่ารักของหลานก็ทำให้ความเสียดายนั้นมลายหายไปและโชคดีที่เด็กหญิงพระพายปลอดภัยดี แข็งแรง ร้องเสียงดัง น้ำหนักตอนคลอดปาไปสามกิโลถ้วน ไม่ต้องเข้าเตาอบ ตัวชมพู หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา“ชื่อพระพายหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกชาย ตั้งแต่มาถึงเขาเห็นศิลายิ้มไม่หุบ ทำให้นึกถึงตัวเองเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนตอนนั้นเขาก็ยิ้มกว้างแบบนี้ ยิ้มจนพ่อตาแม่ยายพอกันล้อเลียน แต่เขาก็หุบยิ้มไม่ได้ได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจนบรรยายออกมาไม่ถูกจริงๆ“ครับคุณพ่อ ชื่อพระพาย แปลว่าเทพเจ้าแห่งลม”“ชื่อน่ารัก ความหมายดี แล้วชื่อจริงล่ะ”“ยังไม่ได้คิดครับ ไว้ออกจากโรงพยา
ศิลาเป็นหมอ เวลาทุกวินาทีของเขามีค่ามาก เพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของคนไข้ เขาไม่ชอบการรอคอย เพราะมันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แต่ครั้งนี้หมอหนุ่มกลับยินดีที่จะเสียเวลารอคอยอะไรบางอย่าง สี่สิบสัปดาห์ สองร้อยแปดสิบวัน เขาไม่เคยคิดว่าเวลาที่ยาวนานนี้มันจะทำให้เขาต้องเสียเวลาเปล่าเลย กลับกัน... เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ต้องรอนานกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรอ“กู๊ดไนท์นะคะ คุณแม่” ปากหยักจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากเนียน ชมพู่ยิ้มจนตาปิด พี่หมอบอกฝันดี นั่นแปลว่าคืนนี้เธอจะต้องฝันดีแน่ๆ และรอยยิ้มของภรรยาก็ทำให้ศิลาอดใจไม่ไหว คุณหมอหนุ่มก้มลงหอมแก้มนุ่มหลายที ก่อนจะกระถดกายลงไปที่หน้าท้องใหญ่ “ฝันดีนะคะ พระพายของพ่อ”ศิลากดทั้งปากและจมูกลงบนหน้าท้องของภรรยา ป่านนี้ลูกเขาคงหลับแล้ว เพราะไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากแรงหายใจของคนเป็นแม่ ศิลาซุกหน้าอยู่แบบนั้นหลายนาที ก่อนจะขยับออกห่าง เขาปิดเสื้อนอนให้ภรรยา ห่มผ้าให้จนถึงคอ และทิ้งตัวนอนข้างๆ“พี่หมอ ฝันดีนะคะ”“งั้นขอจ้องหน้าชมพู่นานๆ หน่อยนะคะ พี่จะได้ฝันถึงชมพู่”“ทำไมคะ?”“ก็ฝันดีของพี่คือฝันถึงชมพู่นี่คะ”“พี่หมอ... จนลูกจะคลอดแล้วยังปากหวานอีกเหรอ
ตึง! ตึง! ตึง!“ติณณ์! อย่าวิ่ง!”“คิกคิก”“อย่าวิ่ง เดี๋ยวล้ม!”“ม่ายล้ม อ๊ะ!”ยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างเล็กๆ ที่วิ่งซนไม่ดูทางก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนได้ เด็กน้อยโซเซจนล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ส่วนอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรเพราะตัวโตกว่าและตั้งตัวได้ทัน“น้องชมพู่!” ดาวเบิกตากว้าง รีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายก่อนใคร ตัดใจมองข้ามลูกชายที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้น ไม่ใช่เพราะลูกสำคัญน้อยกว่า แต่ชมพู่กำลังท้อง แล้วเมื่อกี้ติณณ์วิ่งชนเข้าเต็มๆ “เป็นอะไรไหมคะ?”“ไม่เป็นอะไรจ้ะ ฉันเอนหลบทัน เลยไม่โดนท้อง” ชมพู่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะนั่งลงยองๆ แล้วเอื้อมมือไปจับแขนเล็กไว้ “ติณณ์ล่ะ เจ็บหรือเปล่า?”“ฮึ่ก มะ...” เด็กน้อยเบะปากเตรียมร้องไห้ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ“ไม่เจ็บก็ไม่ต้องร้องนะ น้ายังไม่ร้องเลยเห็นไหม”“หะ...เห็นคับ” เด็กน้อยว่าง่ายรีบเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น ไม่อยากร้องไห้เพราะคุณน้าคนสวยที่โดนชนก็ไม่ร้องเหมือนกัน ก่อนร่างเล็กจะลุกขึ้นตามแรงจับของชมพู่“นั่งนี่ก่อนนะ” ชมพู่ดันไหล่เล็กให้นั่งลงบนโซฟาไม้ ก่อนที่เธอจะนั่งลงไปข้างๆ “เมื่อกี้ที่วิ่งแบบนั้น ติณณ์ทำไม่ถูกนะรู้ไหม?”ดวงตาแป๋วจ้องมองชมพู่อย่างสงสัย เด็
“พี่ดาว เอาอันนี้ไปวางตรงนั้นให้ฉันทีนะ”“ค่ะน้องพู่” ดาวรับของจากมือของหญิงสาว ก่อนจะเดินไปจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายไหว้วาน ร่างบางค้อมตัวลงเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านศิลาที่เดินสวนมา“ชมพู่ พี่บอกไม่ให้ทำ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”คุณหมอหนุ่มตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าตอนที่เจอเคสยากๆ เสียอีก เพราะความดื้อรั้นของภรรยามันเกินที่จะเยียวยาแล้ววันนี้เป็นวันแต่งงานของญาณินและปลัดภคิน ทั้งสองทำพิธีการที่สำคัญรวมถึงสวมแหวนกันไปแล้วตั้งแต่เช้า และช่วงเย็นจะมีงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ระหว่างนี้บ่าวสาวกำลังพักผ่อนอยู่ แต่เพื่อนเจ้าสาวอย่างชมพู่กลับออกมาจัดการเรื่องงานเลี้ยงตอนเย็นแทนเจ้าของงานเสียอย่างนั้น ศิลารู้ว่าภรรยาเขาหวังดี แต่แดดที่ร้อนจัดตอนนี้ก็ทำให้เขาเป็นห่วงเหลือเกิน“เสร็จแล้วค่า” ชมพู่รีบวางงานทุกอย่างลง แล้วหันมากอดเอวสอบของสามีไว้ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “ชมพู่ออกมาเดี๋ยวเดียวเองน้า”“มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เจนกับปลัดเขามีเจ้าหน้าที่ช่วยอยู่แล้ว”“แต่ชมพู่รับปากไว้แล้ว...”“นั่นคือตอนที่ชมพู่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังท้อง แต่ตอนนี้ชมพู่ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ออกมาตากแดดร้อนๆ แบบนี้ถ้าเป็นลมไปจะ
เสียงบางอย่างที่ตกใส่กระทะร้อนๆ และตามมาด้วยกลิ่นหอมของเครื่องแกงทำให้คนที่เพิ่งตื่นท้องร้องจ๊อก เด็กหนุ่มหัวฟูหน้ามันเยิ้ม เดินเกาพุงโซเซเข้าห้องครัวตามกลิ่นของอาหารไป“พี่พู่~”เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ร่างบอบบางที่อยู่ในชุดง่ายๆ อย่างเสื้อยืด กางเกงสามส่วนยืนอยู่หน้าเตา แขนเล็กขยับหยิบนู่นนี่นั่นใส่กระทะไปมาอย่างรวดเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน“ว่า” เจ้าของชื่อตอบกลับ แต่ไม่ยอมหันกลับมาหาคนเรียก มือจับตะหลิวพลิกสิ่งที่อยู่ในกระทะไปมาอย่างขะมักเขม้น“ทำอะไรอ่า”“ไม่มีตาหรือไง”“โธ่ ฉันถามดีๆ นะพี่”“แล้วฉันตอบไม่ดีตรงไหน”“...ยังจะมาถามอีก...” เปี๊ยกขมุบขมิบปากนินทาลูกพี่สาวเบาๆ เพราะไม่ต้องการให้คนถูกนินทาได้ยิน ถึงพี่พู่จะท้องอยู่ แต่พี่พู่ก็เตะก้นมันได้เหมือนเดิม ไม่เสี่ยงดีกว่า “ทำกับข้าวให้พี่หมอหรือจ๊ะ”“อืม ทำให้พวกเอ็งด้วย”“แต่พี่หมอบอกไม่ให้พี่พู่ตื่นเช้า อยากให้นอนให้เต็มที่” เปี๊ยกว่าตามที่เจ้าของบ้านสั่งอย่างเคร่งครัด แม้จะอยากกินฝีมือพี่พู่แค่ไหน แต่ถ้าพี่พู่เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมามันคงไม่แคล้วถูกพี่หมอไล่ออกจากบ้านเป็นแน่พี่หมอเห็นใจดีแบบนั้นแต่ก็เด็ดขาดกว่าใคร บางครั้งพี่พ
เจ็ดโมงเช้า คุณหมอศิลาเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยสภาพเหนื่อยล้า ใบหน้าคมอิดโรย เพราะเมื่อคืนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ฉุกเฉินวุ่นวายไปหมด“กลับไหวไหมหิน” ญาณินถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เธอถูกโทรตามมากลางดึก แต่ศิลาเข้าเวรมาตั้งแต่เช้าเมื่อวาน เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มแล้วที่ไม่ได้นอนหรือแอบงีบเลย เขาดูเหนื่อยมากจนน่าเป็นห่วง“ไหว เจนอยู่ได้ใช่ไหม”“ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะ ทุกอย่างเริ่มปกติแล้ว หินรีบกลับไปพักเถอะ หน้าซีดมากเลย”“อืม...”ศิลาพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินโงนเงนไปที่หน้าโรงพยาบาล เขาง่วงจนเดินไม่ตรง แต่เพราะเมื่อวานไม่ได้เอารถมา วันนี้เลยต้องเดินกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปราวสองกิโลปกติระยะทางแค่นี้มันไม่ได้ไกลมากสำหรับศิลา แต่เพราะวันนี้ร่างกายคุณหมอคนเก่งประท้วงอย่างหนัก แค่เดินออกมาหน้าโรงพยาบาลเขาก็รู้สึกเหมือนจะไม่ไหวแล้ว“คุณพ่อขา...”ในตอนที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดแรงนั้นเอง เสียงใสๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิลาหันกลับไปมองโดยอัตโนมัติ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องสนใจเสียงนั้นด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเขาเสียหน่อยแต่ร่างเล็กๆ ที่กำลังวิ่งเข้ามาก็ทำให้เขาไม่สามารถเดินจาก
ตึง! ตึง! ตึง!เสียงตึงตังจากบนบ้านทำให้สองหนุ่มน้อยที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ตกใจจนเกือบวิ่งหนี ถ้าไม่เห็นว่าคนที่เดินลงจากบันไดมาคือพี่ที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตพวกมันคงด่าไปแล้ว เสียงดังจนเหมือนว่ามีขโมยขึ้นบ้าน“พี่พู่ ตกใจหมด”“แหม พ่อคนขวัญอ่อน” ชมพู่กระแหนะกระแหนน้องรักพอเป็นพิธี เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในทุกเช้าเวลาที่ลมกับเปี๊ยกมานอนด้วยเพราะหมอศิลาเข้าเวรดึก“พี่จะรีบไปไหน ทำไมวิ่งเสียงดังแบบนั้น ถ้าคุณอรอนงค์มาเจอโดนตีขาลายแน่”“หน๊อย! เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งนะไอ้ลม ขู่ฉันด้วย ตั้งแต่สนิทกับผัวฉันนี่เก่งขึ้นเชียว”ชมพู่ชี้หน้าว่าที่คุณหมอ เดี๋ยวนี้ลมมันปีกกล้าขาแข็ง สุขุมนุ่มลึกขึ้นผิดหูผิดตา ไม่เหมือนลมที่เธอเคยรู้จักมาก่อนเลยหมอศิลาอาจจะไม่ได้ถ่ายทอดแค่ความรู้ให้น้องเธอ แต่อาจจะถ่ายทอดความเป็นผู้ใหญ่ให้ด้วย เพราะเมื่อเทียบกับเปี๊ยกที่เคยวิ่งเล่นมาด้วยกัน ตอนนี้ลมดูโตขึ้นมากจริงๆ“ไม่ได้ขู่ ฉันแค่เป็นห่วง”“เออๆ” พอพูดตรงๆ แบบนี้ชมพู่ก็รู้สึกเก้อเขินแปลกๆ เธอแสร้งพยักหน้ารับไม่สนใจทั้งๆ ที่หูกำลังขึ้นสีแดงจัด “ฉันจะไปตลาด สายแล้ว”“ไปทำไมอะพี่” เปี๊ยกรีบถาม เพราะหมอศิลาบอกกับม