แกร๊ก!
มือเรียวจัดการประกอบปืนยาวตั้งแต่ปลายลำกล้องจรดพานท้าย เพื่อความแม่นยำเธอเลือกปืนสังหารที่มีซองกระสุนขนาดบรรจุห้านัด น้ำหนักรวมเมื่อติดกล้องเล็งระยะไกลประมาณหกจุดสองกิโลกรัม ระยะยิงหวังผลไกลกว่าแปดร้อยถึงหนึ่งพันเมตรเป็นอย่างต่ำ สายตาของเพชฌฆาตจ้องมองเหยื่อผ่านกล้องส่อง มือเรียวสวยหันเล็งปากกระบอกปืนไปยังศีรษะของเป้าหมาย นิ้วชี้เรียวบรรจงสอดเข้าโกร่งไกอย่างใจเย็น ความเร็วในขณะที่กระสุนพ้นปากลำกล้องคือสองพันสี่ร้อยฟุตต่อวินาที กระสุนจะเจาะเข้าตรงกลางกะโหลกของเหยื่อและจะเสียชีวิตทันที ปังง!! เสียงปืนดังสนั่นซ้อนกันทันทีที่นิ้วเรียวกดลั่นไก รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏบนใบหน้าสวยหวานขัดกับบุคลิกของสไนเปอร์สาวอย่างสิ้นเชิง เรติกาจัดเก็บอาวุธปืนเข้ากับกระเป๋าสีดำขนาดกลาง มือเรียวดึงแว่นดำกันแดดที่เกยคาดศีรษะมาสวมใส่ ก่อนเดินจากไปท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงกรีดร้องของผู้คนที่ดังอยู่ไกล ๆ จากจุดที่เธอสังหารเหยื่อ “เมื่อเวลา 11:30 น. วันนี้ มือปืนจ่อยิง นายปฐพี เอกอัครกุล ส.ส. พรรครวมใจเพื่อชาติ ด้วยอาวุธปืนขนาด 57 มม. เข้าที่บริเวณโหนกแก้มขวาทะลุโพรงจมูก อาการสาหัส ด้าน พล.ต.อ. เผยว่าขณะนี้ยังอยู่ในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนผู้อยู่เบื้องหลัง ยังมีความเชื่อมั่นว่าทีมตำรวจภาคสองสามารถจับได้แน่ ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ยังไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ เชื่อว่าสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องการเมือง ย้อนไปก่อนหน้านี้ มีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เชื่อมโยงกับการเมืองหลายเหตุการณ์...” “ฝีมือแก?” คาริสาเอียงคอถามคนที่นั่งดูทีวีอย่างสบายใจ มือเรียววางแท็บเล็ตลงบนตัก หลังจากได้อ่านข่าวที่กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จึงอดที่จะสงสัยเพื่อนรักของเธอไม่ได้ เพราะวันนี้เรติกาหายไปตั้งแต่เวลาช่วงเช้าสายและกลับมายังแชร์เฮาส์ในตอนบ่ายโมง “...” คนโดนถามเหลือบหางตามองมาเพียงนิด เอียงคอยักไหล่ให้ ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นไปหยิบเบียร์กระป๋องในตู้เย็นมากระดกลงคอ “ทำท่าแบบนั้นหมายความว่าไงเรย์ อธิบายให้มันเคลียร์” คาริสาเอี้ยวหลังมองตามเพื่อนพลางซักถามไม่หยุด “แล้วทำไมแกจะต้องมาหงุดหงิดใส่ฉันด้วยเนี่ย” เรติกาตอบโต้กลับไปเชิงย้อนถาม หลังจากที่กลืนน้ำสีอำพันลงคอ คงจะรู้สึกสดชื่นกว่านี้ถ้าไม่มีใครมาคอยจับผิด “ก็เหยื่อทุกรายที่แกลงมือ แกจะให้ฉันตรวจสอบข้อมูลของเหยื่อก่อนตัดสินใจรับงานไม่ใช่เหรอ แล้วนี่อะไร?” “คำสั่งบิ๊กบอส” เรติกาตอบเพื่อนรักกลับไปแค่นั้น คาริสาเข้าใจได้ทันทีว่าไม่ควรซักถามอะไรต่อ หากเป็นคำสั่งของบอสใหญ่ ไม่มีสิทธิ์หลีกเลี่ยงได้ และทุกอย่างจะเป็นความลับ “ไปเที่ยวกับฉันไหมเคส” “เที่ยวเหรอ?” คนหน้ามุ่ยเมื่อครู่ตาโตขึ้นมาอย่างดี๊ด๊า เมื่อได้ยินคำชวนจากเพื่อนสาว “โดนไอ้เตสั่งพักงาน ไม่ได้เข้าองค์กรตั้งหลายวัน แกคงเบื่อแย่ ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตากับฉันหน่อยไหม ถ้าไอ้เตมันกล้าโวยวายเดี๋ยวฉันจัดการมันเอง” คาริสาฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี เพื่อนรักรู้ใจเธอที่สุด ณ สกายผับ “พี่เรย์ขา วันนี้ไม่ให้พวกหนูมานั่งเป็นเพื่อนเหรอคะ” “หา?” คาริสาตาเบิกโพลงก่อนจะส่งเสียงอุทานแล้วหันมองหน้าเพื่อน คนข้าง ๆ ก็ได้แต่ยิ้มกริ่มกลับมา “ให้เด็กมันได้มีค่าเทอมไรเงี่ย” เรติกาวางแขนพาดกับพนักเก้าอี้พร้อมเอียงคอไปกระซิบกระซาบที่ข้างหูของเพื่อน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาพูดตอบโต้กับเด็กสาวทั้งสอง “พี่มีคนนั่งด้วยแล้วจ้ะ ไว้วันหลังนะ” “พี่คนนี้เป็นแฟนพี่เรย์เหรอคะ” “หือ?” คาริสาอุทานอีกครั้งพร้อมใช้สายตามองเด็กรุ่นน้องจากมหาลัยเดียวกับที่เธอเรียน ก่อนจะคลี่ยิ้มเจื่อน ๆ ออกมา “คนนี้เพื่อนพี่เองจ้ะ ชื่อพี่เคส” เด็กรุ่นน้องสองคนก้มหน้าทักทายคาริสา แล้วหันมากล่าวลาเรติกาก่อนจะพากันเดินจากไป “อะไรยังไง?” คาริสาเอียงคอถามเพื่อนสาวสุดห้าวหาญ “บางวันนั่งคนเดียวมันก็เหงา เลยให้ทางร้านจัดหาเด็กมานั่งเป็นเพื่อนเฉย ๆ” เรติกาพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบน้ำสีอำพันมากระดกลงคอกลบเกลื่อน ขณะที่อีกฝ่ายมองเธออย่างจับผิด “อะไร ๆ ทำบ้าอะไรของแกหา!” คาริสาโวยวายเมื่อเพื่อนรักถือวิสาสะสัมผัสท่อนขาอ่อน จากท่านั่งไขว่ห้างเชิ่ด ๆ ถูกดันให้อยู่ในท่านั่งที่สุภาพขึ้น “ไอ้พวกหื่นมันมองขาอ่อนแก ไม่ชอบ!” คาริสาถอนหายใจพรืดใหญ่ ที่เธอใส่เกาะอกรัดรูปสีแดงแน่นเปรี๊ยะมาขนาดนี้ ก็กะจะมาอวดเรือนร่างสักหน่อย คนมันมีของดี ใครจะอยากเหมือนเรติกาที่วัน ๆ ใส่แต่เสื้อยืดกับเสื้อแจ็คเก็ต แล้วก็กางเกงขาเดฟรัดรูปนั่นอีก โหย ใครมองมานะ เป็นต้องคิดว่าพวกเธอคือคู่เลสเบียนแหง่ ๆ “ไปเต้นกัน” เสียงเพลงภายในผับดังขึ้นต่อเนื่องอย่างครึกครื้นจนกลบทุกเสียงร้องโห่และเสียงพูดคุย คาริสาจึงต้องตะโกนชวนเพื่อนรักให้ออกไปวาดลวดลายท่าเต้น “ไม่ไป!” นอกจากจะปฏิเสธไม่ไปเต้นแล้ว เรติกายังถอดเสื้อแจ็คเก็ตสีดำของเธอโยนให้เพื่อนรัก พรึ่บ! “เอาไปพันไว้รอบเอว แล้วอย่าอยู่ห่างจากสายตาของฉัน” “เป็นเพื่อนหรือผัวฮะ ไม่ทำตามเว้ย” พรึ่บ! คาริสาโยนเสื้อแจ็คเก็ตคืนกลับไป กระทบเข้ากลางใบหน้าของเรติกาอย่างเหมาะเจาะ ก่อนจะสะบัดก้นกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปโยกย้ายส่ายสะโพกตามจังหวะเพลง ท่ามกลางผู้คนนับร้อยที่ต่างก็ออกแบบลวดลายท่าเต้นแข่งกันอย่างครึกครื้น ครืด! ครืด! โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นเครือได้ไม่นาน เรติกาก็ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ “เบอร์ใครวะ” เธอพึมพำกับตัวเองก่อนกดรับสาย แต่เสียงเพลงในผับดังมากจนไม่สามารถได้ยินเสียงจากปลายสาย เรติกาละสายตาจากเพื่อนรักที่กำลังโยกสะโพกส่ายไปมาเข้ากับจังหวะเพลง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังห้องน้ำ “ใครมันมาโทรกวนเนี่ย” เรติกาบ่นหลังกดวางสายจากเบอร์แปลก เพียงไม่นานสายนั้นก็โทรมาอีกครั้ง ครืด! ครืด! ‘ฮึฮึ’ เธอยังไม่ได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงเค้นหัวเราะอย่างเย้ยหยันดังออกมาจากปลายสาย “เหี้ยอะไรวะ มึงเป็นใคร?” เรติกาสบถถ้อยคำหยาบคายออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะหัวเสียหนักกว่าเดิมเมื่อโดนปลายสายตัดทิ้งไป เธอพยายามติดต่อกลับไปหวังจะด่ามันให้สาแก่ใจ แต่กลับไม่มีใครกดรับสายเลย “ไอ้เวรเอ๊ย!”ขาเรียวยาวก้าวลงจากรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ นอกจากแชร์เฮาส์ที่อยู่ร่วมกับเพื่อนอีกสองคนแล้ว เรติกายังมีคอนโดส่วนตัว เผื่อวันไหนอยากชวนสาว ๆ ขึ้นห้อง จะได้ไม่ต้องมีกางขวางคอ ทว่าวันนี้เรติกาเพียงแค่อยากปลีกวิเวกอยู่คนเดียวตามลำพัง เนื่องจากมีหลายอย่างให้เธอต้องใช้ความคิด ถึงแม้ว่าอยู่กับเพื่อนอาจได้คำปรึกษาและคำแนะนําที่ดีกว่า แต่ครั้งนี้เธออยากคิดทบทวนกับตัวเองเงียบ ๆเรติกาครุ่นคิดบางอย่างในหัวขณะที่ค่อย ๆ ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง เธอชำเลืองหางตามองเพียงนิด ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในลิฟต์โดยมีชายฉกรรจ์สองคนเดินเข้ามาด้วย มือเรียวกดปุ่มไปยังชั้นบนสุดของคอนโดมิเนียม ผัวะ! ฮัก! พลั่ก!! ตุบ! ฮัก! ผัวะ!!ทั้งหมัดทั้งศอกถูกประเคนใส่ชายฉกรรจ์ทั้งสองไม่ยั้งทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดสนิท แม้จะร่างกายเธอจะตัวเล็กกว่า แต่ด้วยเธอฝึกฝนทักษะการต่อสู้ตั้งแต่เด็กมาอย่างชำนาญ ทำให้มีแรงมือแรงเท้าหนักพอที่จะทำชายฉกรรจ์ทั้งสองร่วงลงไปกองกับพื้น ผนวกกับความคล่องแคล่วว่องไวและตัดสินใจรวดเร็วจึงทำให้เธอได้เปรียบแตร๊น!!!ชายฉกรรจ์คนหนึ่งสั่นกระตุกอย่างแรงเมื่อถูกเล่นงานด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้าที่เธอพกติดมากับกระเป๋าสะ
เฮือก!เสียงหายใจดังเฮือกราวกับก่อนหน้านั้นเธอขาดอากาศหายใจไปชั่วขณะ อุณหภูมิเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศปลุกให้เรติกาตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา ถึงอย่างนั้นเธอก็พบพานแต่ความมืดมิด เมื่อดวงตาถูกปิดสนิดด้วยผ้าสีดำอึดอัด! เหมือนมีปลอกคอเย็นเฉียบแนบอยู่รอบลำคอ และโซ่ตรวนพาดอยู่บนเนินอกเปลือยเปล่าของเธอ แผ่นหลังเปิดเปลือยแนบสัมผัสกับเบาะหนังเทียม ข้อมือทั้งสองถูกล็อกเข้ากับเตียงโครงเหล็กเงียบ! จนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง เสียงของเหล็กกระทบกันดังก้องแม้เธอจะขยับตัวเพียงเล็กน้อย หน้าอกใหญ่เกินขนาดกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ความมืดมิดทำให้คนที่ไม่เคยกลัวอะไรอย่างเธอเริ่มหวาดหวั่น“หึ” ปีแสงแค่นเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเห็นว่าเรติการู้สึกตัวแล้ว หลังจากที่หลับใหลด้วยฤทธิ์ยามานานถึงสามวัน นับตั้งแต่ที่เขาได้ตัวเธอมาอยู่ในเงื้อมมือ รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏอยู่บนใบหน้าคมคาย รู้สึกพึงพอใจกับสภาพที่น่าเวทนาของคนตรงหน้า เธอไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรกับเธอไว้แล้วบ้าง และเธอกำลังจะได้รู้หลังจากนี้เอี๊ยด!ปีแสงลากชั้นสเตนเลสที่บรรจุเครื่องมือแพทย์มากชิ้นมาไว้ข้าง ๆ ร่างเปลือย“ทะ...ทำอะไร! จะทำอะไรฉัน” เสียงแห
“ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้เธอตายง่าย ๆ โดยที่ยังไม่ได้ชดใช้ในสิ่งที่ฉันสูญเสีย อยู่รับกรรมของเธอก่อนนะ ฉันสัญญาว่าจะทำให้เธอเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส” ปีแสงจับยกเรียวขาของนักฆ่าสาวออกจากเหล็กวางขาทั้งสองข้าง ก่อนจะจัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ส่วนล่างของตนเอง มือหนางัดท่อนเอ็นลำใหญ่หยาบออกมาชักรูดเบา ๆ สองสามครั้ง“อ๊ะส์ ปะ...ปล่อยฉันนะ” เรติกาอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อมือหนาจับแยกเรียวขาออกจากกัน แล้วบดเบียดแทรกกายตัวเองเข้าไปแทนที่ ยิ่งออกแรงดิ้นก็ยิ่งเจ็บจี๊ดขึ้นสมอง เธอต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดหลากหลายรูปแบบที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกันปึก!! “อื้อ!” ความเจ็บปวดแล่นพล่านทั่วร่าง เมื่อคนด้านบนอัดกระแทกแก่นกายลำใหญ่เข้ามาในช่องทางรักฝืดเคืองที่ไม่มีน้ำหล่อลื่นช่วยเบิกทาง ความคับแน่นของร่องสวาททำให้ท่อนเอ็นใหญ่โตสอดใส่เข้ามาได้แค่เพียงหัวของมันปึก!!!“อร้ายยยยย!” เรติกาเปล่งเสียงกรีดร้องดังลั่นในนาทีต่อมาอย่างเจ็บปวดทรมาน เมื่อโดนอัดกระแทกแก่นกายใหญ่ส่วนที่เหลือเข้ามาในร่องสวาทอย่างป่าเถื่อน ส่งผลให้ช่องทางรักฉีกขาดเป็นทางยาว หยดเลือดไหลเปรอะเปื้อนเบาะที่ห่อหุ้มด้วยหนังเทียม เยื่
ปีแสงปลดปล่อยน้ำคาวสีขาวขุ่นที่ปะปนด้วยเลือดบริสุทธิ์เข้าใส่ร่องสวาทสาวทุกหยาดหยด มือหนาข้างหนึ่งยกขึ้นมาเสยผมที่ชุ่มด้วยเหงื่อลวก ๆ“หึ” ชายหนุ่มเค้นเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจที่ได้เห็นหยดเลือดไหลเปรอะอยู่ตรงกลางหว่างขาของเรติกา หลังจากที่ท่อนเอ็นใหญ่หลุดออกมาจากช่องทางรักของเธอเขาใช้ปลายนิ้วตวัดเช็ดคราบเลือดที่ติดท่อนเอ็นของตัวเอง ยื่นมือเข้าไปใกล้ปากอวบอิ่มของคนใต้ร่าง หวังจะดันนิ้วที่เปื้อนเลือดเข้าไปในโพรงปากเล็ก“อื้อ” เรติกาตอบสนองด้วยการเบือนหน้าหนี เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาสัมผัสโดนริมฝีปากของเธอ กลิ่นคาวเลือดที่โชยมาติดจมูกทำเอาเธอคลื่นไส้จนแทบจะอาเจียนออกมา“รังเกียจเหรอ”“ไอ้ชั่ว! มึงมันไม่ใช่คน โอ๊ยยย!” เรติกาส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมาอย่างลืมตัว เมื่อโดนเขาดึงกระชากโซ่ตรวนที่พันธนาการร่างเปลือยเปล่าของเธอเอาไว้ มันทำให้ตัวหญิงสาวดีดเด้งขึ้นตามแรงกระชากอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้อยคำหยาบคายของเธอทำให้คนที่ใจเย็นอย่างปีแสงหงุดหงิดอารมณ์ร้อนได้อย่างง่ายดาย เขาแสดงท่าทางเกรี้ยวกราดออกมาอย่างโทสะ“ถ้าไม่อยากเป็นใบ้ก่อนตายก็ช่วยพูดจาให้น่าฟังกว่านี้หน่อย เธอเองก็ไม่ได้ต่างจากคำว่าช
สองสัปดาห์ต่อมา‘สงสัยลอบยิง นายปฐพี เอกอัครกุล ส.ส. พรรครวมใจเพื่อชาติ’ ‘มือปืนจ่อยิงหัว ส.ส. ปฐพี เอกอัครกุล หัวคะแนน พรรครวมใจเพื่อชาติ หวิดดับ’ ข่าวเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดกับเหล่านักการเมืองขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์รายวัน และปรากฏบนสื่อออนไลน์ของโลกโซเชียลอยู่ตลอด มันรู้สึกบั่นทอนจิตใจทุกครั้งที่เห็น เมื่อสายตาไม่อาจมองข้ามข้อความใหญ่ ๆ บนพาดหัวข่าว หลังจากที่พ่อของเขาตัดสินใจลงเล่นการเมือง ไม่มีวันไหนที่ชีวิตของพ่อจะไม่เสี่ยง ปีแสงลูบหน้าตัวเองเบา ๆ อย่างรู้สึกผิด แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขากับพ่อจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก เขาไม่เคยเห็นด้วยเลยที่พ่อจะมาเอาดีด้านนี้เรติกา! มันน่าตลกสิ้นดีที่เป็นเธอ~เธอโหดเหี้ยมและเลือดเย็น ในขณะที่ใครคนหนึ่งนอนแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คนมากมาย แต่ใบหน้าของเธอกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มปีแสงหยิบรูปภาพของหญิงสาวขึ้นมามองดู ก่อนจะเก็บมันลงกล่องไม้แล้วปิดฝากล่องอย่างแรง ดวงตาของเขาร้อนระอุ สีหน้าเต็มไปด้วยความแค้นอย่างปิดไม่มิดไม่ผิดคนแน่! เขาเห็นมากับตาว่าเธอคือคนลงมือทำ และตอนนี้เธอก็กำลังชดใช้กรรมให้กับพ่อของเขาอยู่“หึ”ยังหรอก พ
“อื้อ~” เรติการู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงใกล้จะเที่ยงของอีกวัน เธอส่งเสียงครางกระเส่าในลำคอเบา ๆ ทักทายแสงสว่างจ้าที่ตกกระทบม่านตาหลังจากที่เปลือกตาค่อย ๆ เปิดออกเหมือนเดิม! ความคิดเธอผุดขึ้นมาเมื่อดวงตาคู่สวยค่อย ๆ ปรับโฟกัสให้เห็นเพดานสีขาวที่อยู่เหนือศีรษะ ซึ่งตอนนี้เธอเริ่มคุ้นเคยกับการตื่นขึ้นมาแล้วเห็นมันเป็นสิ่งแรก ห้องคับแคบที่ไม่ต่างจากห้องขังของนักโทษกลายเป็นสถานที่คุ้นตา กุญแจข้อมือกับโซ่ตรวนขนาดใหญ่ที่พันธนาการข้อมือและข้อเท้าของเธอ ในตอนนี้ก็ใกล้จะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเธอไปทุกทีหญิงสาวหลับตาลงท่ามกลางความเงียบและไอความเย็นของเครื่องปรับอากาศ พลางกัดฟันข่มความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วเรือนร่างเพียงแค่เผลอขยับตัวเล็กน้อย นานเป็นเวลาเดือนกว่าแล้วที่เธอต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดทรมานอันไม่คุ้นชิน ร่องรอยการถูกทารุณยังมีให้เห็นอยู่เป็นประจำหลังผ่านพ้นคืนแห่งนรกทุก ๆ คืน และเธอก็ต้องตื่นมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่แสนตลกร้ายในช่วงใกล้จะเที่ยงของทุกวันคนที่คอยมาดูแลเรื่องอาหารการกินกับเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ในแต่ละวันต่างก็กลัวเธอกันจนหัวหด ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวหรืออยากจะเสวน
“ฉันจะต่อแขนต่อขาให้ลูกของฉัน” ปีแสงพูดหลังจากที่ปลดเข็มขัดหนังราคาแพงมาตรึงข้อมืออีกข้างของเธอเข้ากับหัวเตียงอีกฟาก สีหน้าของเรติกามองการกระทำของชายหนุ่มอย่างเคียดแค้น เธอไม่เคยเอาชนะเขาได้เลยสักครั้ง“อ๊ะ!” เรติการ้องอุทานอย่างตื่นตกใจ เมื่อถูกมือหนาจับแยกเรียวขาออกจากกัน ความวาบหวามทำให้ร่างบางสั่นสะท้าน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ส่งเสียงกรีดร้องลั่นให้เขาหยุดการกระทำ“อร้ายยยยย ไอ้ปีศาจ ปะ...ปล่อยนะ ไอ้ชั่ว ไอ้...อึก!”“หุบปาก!” เรียวขาพยายามดีดดิ้นอย่างสุดกำลัง ก่อนที่มันจะชะงักเมื่อถูกเขาตะคอกใส่ ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ช่วยทำให้เธอลดอาการหวาดกลัวลงได้ หนำซ้ำสีหน้าที่แสดงออกมาอย่างเย็นชาของเขา ยิ่งทำให้เธอหวาดระแวงตลอดเวลามือหนาจับเอวของเธอไว้มั่นแล้วค่อย ๆ เลื่อนลงไปหาจุดที่ไวต่อการสัมผัสของร่างกายสาว สัมผัสของเขาหยอกล้อและสร้างอารมณ์เสียวกระสันให้กับเธอจนหายใจอย่างติดขัด“อ๊ะส์ อ๊าส์” ความเสียวซ่านทำให้เรติกาเผลอส่งเสียงครวญครางออกมาอย่างลืมอาย เธอเม้มปากตัวเองแน่นแล้วเบือนหน้าหนีคนบนร่าง พวงแก้มที่เคยขาวผ่องกลับกลายเป็นแดงระเรื่อ“หึ” ปีแสงเค้นเสียงหัวเราะลอดไรฟัน แม้ว่าเขาจะทำให้เธอส
ป้าทิพย์ถูกปีแสงกำชับให้ดูแลเรื่องอาหารการกินของเรติกา เน้นอาหารที่มีธาตุเหล็ก แคลเซียม โปรตีน วิตามิน แถมยังจดเมนูที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างละเอียดยิบ ห้าม! ทำให้เธอกินเด็ดขาด อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือหาแต่ของมีประโยชน์ให้เธอกินนั่นแหละ ปีแสงย้ำหนักย้ำหนาว่าต้องเฝ้าดูตอนเธอกินอาหารทุกเช้า เที่ยง เย็น อย่างใกล้ชิด ซึ่งป้าทิพย์ก็ไม่กล้าอยู่กับเรติกาตามลำพังจึงชวนให้นวลมายืนอยู่เป็นเพื่อน ทั้งคู่คุยซุบซิบกันตามประสา“มองยังไงเธอก็ไม่ใช่คนบ้านะป้า แรก ๆ ก็อาจจะเหมือนอยู่ แต่หลัง ๆ ฉันว่าไม่ใช่อะ” นวลเอ่ยพูดกับป้าทิพย์หลังจากที่สังเกตลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของเรติกามาสักพัก ทั้งคู่เฝ้าดูเธอรับประทานอาหารอยู่หน้าประตูห้องซึ่งไกลจากเตียงนอนอยู่พอสมควร ทำให้เรติกาแทบไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา“อืม”“อืมอะไรอะป้า”“ฉันก็คิดเหมือนแก”เรติกานั่งทานข้าวอย่างสงบเสงี่ยม แม้จะมีเครื่องพันธนาการที่ข้อมือข้อเท้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอีกแล้ว เพราะเธอเริ่มปรับตัวและคุ้นชินกับมัน รวมทั้งหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่รอบตัวด้วย“อันนี้แกงอะไรอะ” เรติกาเอ่ยถาม พร้อมกับเอียงถ้วยโฟมที่มีแกงบรรจุอยู่ในนั้
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป ไม่รู้ว่าด้วยความบังเอิญหรือเพราะอะไร ทำให้ปีแสงได้เจอเรติกาอีกครั้ง เขาจดจำเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ขึ้นใจ แต่สถานการณ์และสิ่งที่รอบข้างดันไม่เป็นใจเอาเสียเลย เพราะเขานั่งอยู่บนรถกับคนของพ่อ ซึ่งพวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ปีแสงลงจากรถไปไหนแน่ ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายเฉกเช่นทุกครั้ง ปีแสงหยิบกล้องตัวโปรดจากกระเป๋าเป้มาถ่ายรูปของเธอเอาไว้ ซึ่งมันโชคดีเหมาะเจาะเพราะว่ารูปที่ปีแสงได้เป็นช่วงที่เธอฉีกยิ้มออกมาพอดี และก็ทำให้หมอเวชกับหมอนนท์เจอภาพนั้นในเวลาต่อมา...เขาไม่ได้ใส่ใจในคำแซวของเพื่อนรักสักเท่าไหร่หรอก แต่ไม่ค่อยชอบใจที่เพื่อนทั้งสองมาวุ่นวายกับของใช้ส่วนมากกว่า ปีแสงยอมเล่าเรื่องที่เจอกับเรติกาครั้งแรกให้ทั้งคู่ฟังเมื่อโดนเซ้าซี้มากเกินไปเวลาผ่านไปหลายปีหลังจากที่ปีแสงเรียนจบแพทย์ เขาได้ทำงานอยู่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง และแยกออกมาอยู่ตัวคนเดียวในคฤหาสน์หลังโต เขาได้รับอิสระอย่างเต็มที่ ผู้เป็นพ่อไม่ได้มาก้าวก่ายชีวิตของเขาอีก ไม่กี่ปีต่อมา... ปีแสงได้พบกับเรติกาอีกครั้ง เธอนั่งอยู่คนเดียวหน้าห้องฉุกเฉิน สีหน้าดูกลัวและวิตกกังวล เธอเบ้ปากทำท่าเหมือ
ณ แชร์เฮาส์“ไอ้เพื่อนเวรเอ๊ย! มันไม่น่าเอาน้องมาให้กูทำการทดลองตั้งแต่แรก” เป็นหมอนนท์ที่บ่นหัวเสียอยู่กับหมอเวช หลังจากการผ่าตัดเมื่อคืนผ่านพ้นไปทั้งสองคนยืนมองปีแสงที่นอนเฝ้าเรติกาไม่ห่าง เพื่อให้แน่ใจว่าสมองของเธอไม่ได้รับอันตรายจากการทดลอง เรติกาจึงต้องพักฟื้นและยังไม่สามารถกลับบ้านได้ เพราะหมอนนท์ต้องตรวจร่างกายและดูแลอาการของเธออย่างใกล้ชิดอยู่ที่แชร์เฮาส์แห่งนี้ที่นี่มีอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ครบไม่ต่างจากโรงพยาบาล เพราะเป็นแหล่งสำหรับทำการทดลอง และเอาไว้พักผ่อนในยามฉุกเฉินของทั้งสามหมอ“เอาเถอะน่า นะ ถือว่าช่วยไอ้ปีย์มันสักครั้ง” หมอเวชตอบหมอนนท์แบบขอไปที หากว่าสายตาของเขามองไปยังเพื่อนรักอีกคน“กูเสียเวลามาตั้งครึ่งปี การทดลองของกูไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ พวกมึงแม่ง! มีใครสนใจความเสียหายที่กูได้รับไหม”พูดจบหมอนนท์ก็หัวเสียเดินจากไป เขาไม่ค่อยพอใจในพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจของเพื่อนรักอย่างปีแสงสักเท่าไหร่ หมอเวชส่ายหน้าไปมาอย่างชั่งใจหลังจากที่หมอนนนท์เดินหายไปต่อหน้าต่อตาปีแสงแนบแก้มสากเข้าบริเวณท้องของเรติกาอย่างเอาใจ สายตาของเขาจ้องมองไปที่หญิงสาวที่ยังนอนหลับตาแน่น
ปีแสงเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่หลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาล ด้วยความสงสัย เขารีบเดินตรงขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เพราะวันนี้ตั้งแต่ที่เขาออกไปจากบ้าน เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรจากอุปกรณ์ดักฟังนอกจากเสียงหายใจที่ริบหรี่ ซึ่งมันเบามาก ๆ และรู้สึกผิดปกติจากทุก ๆ วัน“ไม่สบายค่ะ” หลังจากที่เลื่อนโต๊ะอาหารไปไว้ที่ข้างเตียงให้กับเรติกา ป้าทิพย์เดินเข้าไปกระซิบเบา ๆ เมื่อเห็นปีแสงเดินเข้ามาภายในห้อง “...” ปีแสงไม่ได้พูดอะไร สายตาคมกริบมองไปยังเรติกาที่กำลังนอนหันหลังให้เมื่อเห็นปีแสงยังยืนแน่นิ่ง ใบหน้าที่แสนเย็นชาของชายหนุ่มทำให้ป้าทิพย์คาดเดาความคิดไม่ออกจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ร้องไห้จนไข้ขึ้นค่ะ”“เช็ดตัวหรือยัง?”“เช็ดให้แล้วค่ะ เธอพูดซ้ำ ๆ ว่าปวดหัว” ปีแสงพยักหน้ารับรู้ ป้าทิพย์จึงเดินเลี่ยงออกไปอย่างรู้หน้าที่“ลุก!” เสียงดุดันของชายหนุ่มปลุกให้เธอตื่นขึ้น แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมขยับเพราะรู้สึกหนักไปทั้งตัว ดวงตาคู่สวยปิดลงอีกครั้งราวกับต้องการพักผ่อนต่อ แต่ก็ถูกใครบางคนฉุดดึงให้ลุกขึ้น เพียงแค่กระตุกเบา ๆ ร่างกายของเธอก็หยัดตัวขึ้นแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้“อึก! ฉันไม่ไหว” เธอมองเห็นคนตรงหน้าและสิ่งร
ป้าทิพย์ประคองเรติกาให้เดินลงบันไดที่คดเคี้ยวของบ้าน แม้ว่าปีแสงจะยอมรับข้อเสนอของเธอ แต่ชายหนุ่มให้อิสระเธอจากเครื่องพันธนาการได้แค่เดือนละครั้ง ซึ่งจะต้องตรงกับวันหยุดของเขา และเธอก็ต้องตัวติดอยู่กับเขาตลอดทั้งวัน ถ้าตุกติกคิดหนีเธอจะไม่ได้อิสระจากเดือนที่เหลืออีกเลย“เฮ้อ...” ทั้งที่เธอควรจะดีใจเพราะกว่าอิสระจะวนกลับมาอีกรอบเป็นครั้งที่สอง แต่หญิงสาวกลับถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เพราะว่าทุกครั้งที่ก้มมองชุดคลุมท้องสีชมพูอ่อนที่เธอสวมใส่อยู่นี้มันช่างเป็นอะไรที่น่าขำถ้าเพื่อนรักสองคนมาเห็นเธอใส่ชุดแอ๊บแบ๊วแบบนี้เข้าแล้วก็... มีนอนขำกลิ้งกับพื้นแน่ ถึงจะไม่ค่อยชอบใจนักแต่หญิงสาวก็โวยวายไม่ได้หรอก เพราะเธอเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น แม้จะรู้สึกหงุดหงิดแต่ก็แสร้งฉีกยิ้มให้ดูเป็นคนอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา“ค่อย ๆ นั่งค่ะ” เป็นป้าทิพย์ที่ประคับประคองให้เธอค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟาตัวยาว ซึ่งเป็นตัวเดียวกันกับที่ปีแสงนั่งอยู่ กลิ่นอาหารตรงหน้าหอมฟุ้งโชยมาติดจมูก แต่เมื่อเห็นนมในแก้วแล้วเธอกลับทำหน้าหยี รู้สึกอยากกินกาแฟที่ปีแสงยกขึ้นมาจิบกินซะมากกว่า“ฉันจะต้องกินของพวกนี้อีกแล้วเหรอ” เรติกาแหงนหน้าขึ้
“ฉันมีเรื่องจะตกลงกับนาย” ทันทีที่เห็นปีแสงเดินเข้ามาภายในห้อง เรติกาก็รีบเอ่ยปากพูดถึงข้อเสนอที่เธอคิดพินิจพิจารณามาเป็นอาทิตย์ และคิดว่ามันจะต้องเป็นทางออกที่ดีต่อทุกฝ่ายแน่นอน“ฉันมาหาลูกของฉัน ไม่ว่างคุยกับ...ที่อยู่อาศัย” ปีแสงตอบเสียงเรียบเฉย ดวงตาคมกริบไล่มองคนตรงหน้าด้วยสายตาไร้ความรู้สึก“ไม่ต้องคุย แค่ฟังก็พอ” ถึงจะไม่ค่อยชอบใจกับคำเปรียบเปรยที่เขามอบให้มาตลอด แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นหลักที่เธอจะยกเอามาน้อยเนื้อต่ำใจ เรติกาตั้งท่าจะอธิบายถึงข้อเสนอ แต่ก็ถูกปีแสงเอ่ยขัดจังหวะ“เวลาส่วนตัวที่พ่อกับลูกเขาจะอยู่ด้วยกัน คนอื่นที่ไม่เกี่ยวก็อยู่เป็นธาตุอากาศไป” พูดจบปีแสงก็ก้มลงมาจูบและคลอเคลียที่ท้องของเรติกาอย่างเอาใจ“พ่อรักลูกนะ จุ๊บ~”“ฉันรู้ว่านายเกลียดฉัน” เรติกาเอ่ยปากพูด ถึงแม้ว่าปีแสงเอาแต่หยอกล้อเล่นกับลูกโดยไม่คิดจะสนใจเธอสักนิด “และฉันก็รู้ว่านายรักลูกของนายมาก”ฉันก็รักลูกเหมือนกัน“เรามาสงบศึกกันก่อนไหม” ประโยคเมื่อครู่ทำให้ปีแสงเริ่มตั้งใจฟังเธอขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังทำทีไม่สนใจ “ฉันเกลียดนม เกลียดเต้าหู้ เกลียดผัก...”“ใครอยากรู้?”“ฉันอุตส่าห์ทนกินสิ่งที่ฉันเกลียด เพียงเพร
หลายชั่วโมงผ่านไป“อื้อ” เรติกาส่งเสียงครางกระเส่าเมื่อรู้สึกตัวตื่น การที่ได้พักผ่อนเต็มอิ่มทำให้เธอรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น เปลือกตาคู่สวยค่อย ๆ เปิดออก พร้อมขยับตัวพลิกไปมาอย่างเนิบนาบ“...อุย!!” หญิงสาวอุทานเสียงหลงพร้อมกับสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นดวงตาดุดันจ้องมองมาแบบไม่กะพริบ“ลุก!”“อืม ยังง่วงอยู่เลย อยากนอนต่อจัง” เรติกาไม่ได้สะทกสะท้านกับน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของเขา เธอพลิกตัวนอนตะแคงข้างโดยหันหน้าเข้าหาชายหนุ่ม เปลือกตาคู่สวยปิดลงอีกครั้งอย่างสบายใจ“จะยอมลุกดี ๆ ไหม” ปีแสงจิ๊ปากตัวเองอย่างเอือมระอาก่อนเอ่ยถามออกไป แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ชายหนุ่มจึงแสดงสีหน้าครุ่นคิดก่อนยกยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก มือหนาเลื่อนมาประคองพวงแก้มเนียนผ่องของเธอไว้หลวม ๆ คนที่นอนหลับตาอย่างสบายใจเมื่อครู่ค่อย ๆ ลืมตามองดูการกระทำของเขาอย่างนึกสงสัย“อื้อ”“ถ้าหายใจทางจมูกไม่ออก ก็หายใจทางปากแทน” เรติกาพ่นลมหายใจออกมาทางปากอย่างถี่รัว เมื่อปีแสงใช้มือบีบจมูกของเธอไว้เพื่อให้สามารถหายใจได้ทางเดียว“หืม...เหมือนหมาเลย” ปีแสงพูดแล้วกลั้นขำกับการแสดงออกของคนตัวเล็กที่นอนหายใจพะงาบ ๆ แล้วดิ้นศีรษะดุกดิกไปมาน
“เวรกรรม!” คำพูดติดปากหลุดออกมาจากวาจาของจิตแพทย์หนุ่ม เพราะเขายังไม่ได้ไปไหนไกล จึงทันได้ยินเรติกาอาละวาดโวยวายอย่างบ้าคลั่ง กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ก็นานเกือบครึ่งชั่วโมง“หัวรุนแรงใช่ย่อยเลย” หมอเวชพูด หลังจากที่เห็นปีแสงเดินออกมาจากห้องของเรติกา“ยังไม่เอาสังขารกลับไปอีกเหรอวะ” ปีแสงถามเพื่อนรักแกมกระแหนะกระแหน ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาว“กูมีเรื่องจะคุยกับมึงก่อน”“แต่กูไม่มี!” ชายหนุ่มแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน“โมโหกลบเกลื่อนนะมึงอะ”“กลับไปได้แล้วไป”“หืม...ตัวจริงน้องมันน่ารักเนอะ เคยเห็นแต่ในรูป ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริง”หมอเวชพูดพลางแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ เหตุผลที่สงสัยว่าทำไมหน้าเรติกาคุ้น ๆ เมื่อหลายปีก่อนตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ เขาและหมอนนท์ไปเจอรูปถ่ายของเธอจากกล้องตัวโปรดของปีแสง ทั้งคู่แซวปีแสงข้ามวันข้ามคืนไอ้เวรนี่! เป็นหมอหรือเป็นนักสืบวะ ขี้เสือกชะมัดเขาจิ๊ปากตัวเองอย่างเอือมระอา“มีเรื่องหนึ่งที่น้องมันเล่าให้กูฟังแล้วตรงกับที่มึงก็เคยเล่าให้พวกกูฟังเหมือนกัน เพราะน้องมันใช่ไหมที่ทำให้มึงหันมาฝึกยิงปืน เรียนต่อสู้”“เสือกนะมึงน่ะ!” เขาพูดออกมาเสียงเรี
ปีแสงเดินมาหาน้ำเย็น ๆ ดื่มในห้องครัว หลังจากที่ออกกำลังกายจนเหงื่อเปียกโชก เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด เขาจึงใช้เวลาในการออกกำลังกายนานเป็นเป็นพิเศษ“คุณปีแสงคะ คุณหมอเวชมาค่ะ บอกว่ามาดูสภาพจิตใจของคุณ” “ตอนนี้มันอยู่ไหน!” ปีแสงไม่เปิดโอกาสให้นวลพูดจบประโยค เขาเอ่ยแทรกเสียงแข็ง“อยู่ในห้องกับคุณเรติกาค่ะ” ปึง! เสียงวางแก้วน้ำลงบนเคาน์เตอร์อย่างจัง ทำเอาสาวใช้อย่างนวลถึงกับสะดุ้ง ในขณะที่ปีแสงเดินพรวดพราดออกไปจากครัวไอ้เพื่อนเวรนี่! เดือนที่แล้วไอ้นนท์ เดือนนี้ไอ้เวช พวกมันสองตัวจะอะไรกันนักกันหนาวะ“ฮ่าฮ่า เล่นเกมหัวร้อนจนมีเรื่อง” ด้วยทักษะและประสบการณ์ หมอเวชสามารถทำให้คนที่หงุดหงิดง่ายอย่างเรติกาอารมณ์ดีขึ้นมาได้ และสามารถทำให้เธอยอมเล่าเรื่องตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัว“จริง ๆ เพื่อนเรย์เป็นคนมีเรื่อง แต่พอโดนรุมแล้วมันดันเอาตัวไม่รอด เรย์ก็เลยเข้าไปช่วยแล้วหนีออกมาด้วยกัน เงินก็ไม่ได้จ่าย ถือว่าได้เล่นเน็ตฟรีไปเลยเกือบสองชั่วโมง” “ไหนบอกว่าฝั่งตัวเองเก่งกว่า แล้วทำไมวิ่งหนี” “ก็ที่นั่นมันถิ่นเขา ฝั่งเขามีห้า ฝั่งเรย์มีสอง อีกอย่างเรย์กับเพื่อนก็แอบไปเล่นด้วย ถ้าโดนคุณลุงจับได้
ณ โรงพยาบาลเอกชน“ผู้หญิงคนนั้นคือมือปืนที่ยิงพ่อมึงเหรอ” เป็นหมอนนท์ที่พูดขึ้นหลังจากได้รู้ความจริงจากปีแสง ศัลยแพทย์หนุ่มทำหน้าครุ่นคิด เพราะตอนแรกคิดว่าเธอเป็นนักโทษหญิงใกล้ประหารที่ปีแสงเบิกตัวมาให้เขาทำการทดลองจากสิ่งประดิษฐ์ชนิดใหม่“มึงนี่มันเลวจริง ๆ ที่หลอกใช้กู ไอ้เพื่อนเวร!” เป็นหมอเวชที่พูดต่อ เพราะปีแสงขอให้หมอเวชช่วยปลอมใบรับรองแพทย์ว่าเรติกาคือคนไข้ที่มีอาการทางจิตชนิดรุนแรง ซึ่งจิตแพทย์หนุ่มก็เป็นเจ้าของเคสนี้แบบปลอม ๆไม่ใช่เรื่องง่ายที่สามหมอจะมารวมตัวกันได้ แม้จะทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน แต่อยู่กันคนละแผนก และต่างคนก็ต่างมีงานล้นมือ“งั้นที่ตำรวจบอกว่ามือปืนที่ยิงพ่อมึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ก็แปลว่าตอนนี้อยู่กับมึง” กว่าตำรวจจะตามสืบตามแกะรอยคนร้ายได้ก็สามเดือนเกือบจะเข้าเดือนที่สี่ ในขณะที่ปีแสงได้ตัวเธอมาอยู่ในกำมือหลังเกิดเรื่องได้เพียงสามวัน“รู้แล้วก็เลิกหาเรื่องจับผิดกูได้แล้ว” ปีแสงตอบหมอนนท์แบบขอไปที เขาไม่ได้เต็มใจอยากเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟังสักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่พูด สองเพื่อนรักก็จะตามหาความจริงด้วยตัวเองจนได้ เลยยอมบอกไปจะได้จบ ๆ เรื่อง“เดี๋ยวก่อน แต่