“ทำอะไรให้คุณท่านทานดีล่ะยัยภัค” สาวสวยใบหน้าหวานพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“งั้นทำเมนูง่าย ๆ สักอย่างสองอย่างแล้วกัน” จากนั้นก็เริ่มลงมือทำอาหารในเมนูที่ตนคิดเอาไว้ หญิงสาวใช้เวลาเข้าครัวราว ๆ สองชั่วโมงก็เงยหน้ามองหน้าปัดนาฬิกาแขวนผนังเหนือประตูทางเข้าห้องครัวทันสมัยห้องนี้ พบว่าเวลานี้ใกล้จะแปดโมงเช้าเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงที่พ่อและแม่ของสามีจะเดินทางมาถึงเรือนหอ
ภัคพิญาชิมรสชาติอาหารอีกครั้งว่ากลมกล่อมแล้วหรือยัง ขาดรสชาติอะไรบ้างหรือไม่เมื่อ ได้รสชาติเป็นที่พอใจแล้วหญิงสาวจัดการเปิดเตาแก๊สพร้อมทั้งจัดการเตรียมถ้วยชามจานช้อนสำหรับมื้อเช้า หญิงสาวเปิดตู้ใต้เคาน์เตอร์ครัวหยิบจานชามออกมาอย่างละสามใบเพราะมีของคุณชรัช
สามีของคุณนายปภาและของตัวเธอแต่เธอไม่ทราบแน่ว่าปริภัทร์จะเข้ามารับประทานอาหารเช้าด้วยหรือไม่ระหว่างที่หญิงสาวจัดเตรียมตั้งโต๊ะอาหารอยู่คนเดียวโดยที่ไม่ได้ใส่ใจสิ่งรอบข้างว่ามีใครเข้ามาภายในบ้าน แน่นอนว่าคนที่เข้ามาใหม่ทั้งสองคนส่งเสียงเรียกคนที่อยู่ในบ้าน
“กลิ่นหอมอบอวลทั่วบ้านเชียวหนูภัค” เสียงคุณนายปภาเดินเข้ามาหาลูกสะใภ้คนสวยภายในห้องอาหาร
“อุ๊ย… สวัสดีค่ะคุณท่าน” หญิงสาวที่กำลังเพลิดเพลินกับการจัดโต๊ะอาหารต้องตกใจกับเสียงของแม่สามีที่ยืนอยู่ทางด้านหลังแต่ไม่เห็นพ่อของสามีแต่ถ้าให้เธอเดาท่านคงนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นกระมัง
“วันนี้ทำอะไรทาน กลิ่นหอมเชียว” นางถามลูกสะใภ้
“เช้านี้ภัคทำแกงเขียวหวานไก่ ไข่เจียวหมูสับ แล้วก็แกงส้มไหลบัวกุ้งสดค่ะคุณท่าน” หญิงสาวตอบกลับ นางก็สูดกลิ่นหอม ๆ ของอาหารพลางมองไปตามจานที่จัดเรียงไว้บนโต๊ะ
“เอ๊ะ… ทำไมจัดไว้แค่สามที่ล่ะจ๊ะหนูภัค” นางถามด้วยความสงสัย หญิงสาวอึกอักยังไม่ได้ตอบ สายตาของคุณนายปภาก็มองหาบุตรชายของนางแล้วเอ่ยถามจากภัคพิญา
“แล้วนี่ตาปัทไปไหนหรือยังไม่ตื่น”
“เอ่อ… ภัคไม่ทราบค่ะ” เธอตอบไปตามความจริง “แสดงว่ามันไม่อยู่ที่บ้านใช่ไหมเมื่อคืน” นางถามเสียงแข็งเคืองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไม่น้อยที่ไม่นอนในห้องหอจนถึงเช้า นางเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นที่คุณชรัชผู้เป็นสามีหมายจะให้โทรตามลูกชายกลับมาที่บ้านแต่ทันทีที่นางเดินมาถึงห้องนั่งเล่นประจวบเหมาะกับลูกชายเจ้าปัญหาของนางเดินเข้ามาในบ้านพอดี
“แกไปไหนมาตาปัท” นางถามบุตรชายเสียงดังผิดกับอีกคนที่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยใบหน้าหล่อเฉยเมยมองไปยังคนที่อยู่ด้านหลังผู้เป็นแม่ด้วยแววตาขุ่นเคือง
“เธอฟ้องอะไรแม่ฉันอีกฮะ… ยัยผู้หญิงหน้าเงิน” หญิงสาวหน้าเสียไม่น้อยเมื่อผู้มาใหม่เข้ามาถึงก็กล่าวหาเธอ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะตาปัท ตอบแม่มาว่าเมื่อคืนไปนอนที่ไหนทำไมไม่นอนที่ห้องหอ” ผู้เป็นแม่เอ่ยห้ามแล้วถามย้ำคำถามเมื่อครู่อีกครั้ง
“ไปนอนออฟฟิศ” ว่าแล้วเขาก็เลี่ยงเดินหนีหายขึ้นชั้นสองทันทีไม่วายที่นางจะร้องถามไล่หลังอีกครั้ง
“ทำแบบนี้คิดไม่คิดว่าเมียแกจะเสียใจรึไงตาปัท” ร่างสูงของบุตรชายไม่ได้ตอบอะไรมีเพียงแค่เสียงขึ้นจมูกน้อย ๆ ออกมาเท่านั้น
“คุณภาปล่อยมันไปเถอะ เดี๋ยวมันคิดได้ก็ลงมาเอง”
“คุณก็ให้ท้ายตาปัทตลอด” นางว่าประชดสามี
“เอาน่าคุณ ผมว่าเราไปทานข้าวเช้ากันดีกว่า หนูภัคทำอะไรให้ทานกลิ่นหอมฟุ้งไปหมด” คุณชรัชเปลี่ยนเรื่องทันทีเพราะไม่อยากให้ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากนั้นเครียดหาเครียดจะอารมณ์เสียไปทั้งวันว่าแล้วก็หันมาหาภัคพิญา
“วันนี้ทำอะไรให้พ่อกับแม่กินหรือหนูภัค”
“วันนี้ภัคทำแกงเขียวหวานไก่ ไข่เจียวหมูสับ แล้วก็แกงส้มไหลบัวกุ้งสดค่ะคุณท่าน”
หญิงสาวตอบกลับอีกครั้งกับคำตอบเดียวกันที่เพิ่งตอบคุณนายปภาไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้ว่าแล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปยังห้องรับประทานอาหารที่ภัคพิญาจัดเตรียมเอาไวลงมือทานอาหารเช้าด้วยกันโดยไม่สนใจชายหนุ่มที่เดินขึ้นชั้นสองไปแม้แต่น้อย
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยภัคพิญาบอกให้ท่านทั้งสองไปพักที่ห้องนั่งเล่นก่อน เธอขอจัดการกับถ้วยชามจานอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าล้างให้เรียบร้อย แต่คุณนายปภาไม่ยอมออกไปบอกว่านางจะช่วย
“จริง ๆ คุณท่านไม่ต้องช่วยภัคล้างก็ได้นะคะ ภัคทำเองได้ค่ะถ้วยชามไม่กี่ใบเองค่ะ” หญิงสาวบอกกับแม่สามี อันที่จริงเธอไม่อยากให้ผู้มีพระคุณต้องมาทำอะไรแบบนี้
“ได้ยังไงล่ะลูก...หนูจะทำคนเดียวได้ยังไง งานประจำก็ต้องทำ แล้วจะต้องมาทำงานบ้านอีกแบบนี้เหรอ แม่ไม่ยอม แม่จะหาแม่บ้านมาคอยช่วยทำงานบ้านให้” คุณนายปภาตอบกลับลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงจริงจังปนเป็นห่วง นางเว้นระยะครู่หนึ่งแล้วพูดประโยคต่อมา “ต่อไปนี้ห้ามเรียกฉันสองคนว่าคุณท่านอีก ให้เรียกว่าคุณพ่อคุณแม่เข้าใจไหม”
“แต่...” หญิงสาวอยากจะเอ่ยค้านแต่คุณนายปภาสวนกลับเสียก่อน “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ไหนลองเรียกสิคุณแม่”
“เอ่อ... ค่ะคุณแม่” หญิงสาวอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเรียกสรรพนามใหม่ตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ สองสาวต่างวัยช่วยกันล้างจานจนเรียบร้อยระหว่างที่กำลังทำก็ชวนกันคุยไปมาจนมาถึงคำถามนี้
“วันนี้หนูจะออกไปไหนไหมลูก”
“วันนี้วันลาค่ะ ภัคว่าจะไปหายายที่โรงพยาบาล” หญิงสาวตอบไปตามความจริง วันนี้เป็นวันลาอีกวันของเธอเพราะเธอนั้นลามาเพื่อแต่งงานกับ ปริภัทร์และจะไปหายายเพื่ออยู่เป็นเพื่อนของยายระหว่างรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
“แล้วหนูไปยังไงลูก” นางถามด้วยความใคร่รู้ว่าเด็กน้อยกตัญญูนั้นเดินทางไปอย่างไร
“ภัคไปแท็กซี่ค่ะ สะดวกดีค่ะ”
“ไม่ได้แท็กซี่สมัยนี้มันอันตรายจะตาย เดี๋ยวแม่ไปด้วยอยากไปเยี่ยมยายของหนูพอดี”
“งั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยเสียงอ่อนหวานพร้อมกับความนอบน้อมเกรงใจที่มีเพราะบุคคลตรงหน้านี้นั้นช่วยเหลือเธอมามากแล้วเทียบกับที่เธอเคยช่วยท่านทั้งสองมันน้อยนิดเหลือเกิน จากนั้นทั้งสามก็พากันเดินทางไปยังโรงพยาบาลที่รักษาตัวของยายภัคพิญาทันที แต่ก่อนจะออกจากบ้านั้นก็เจอกับปริภัทรที่ท่าทางไม่พอใจกับเมียแต่งคนที่นางหามองหญิงสาวด้วยแววตาเกลียดชังคนตรงหน้าเหลือเกิน
“แล้วนั่นจะไปไหนหรือเจ้าปัท”แต่ถ้าหากผู้เป็นพ่อไม่ถามเขาคงไม่ตอบอะไรและออกจากบ้านไป
“ไปทำงานสิครับคุณพ่อ ผมไม่ได้ว่างนักหน้าเหมือนใครบางคน”
ตอบคำถามบิดดาแต่ก็ไม่วายที่จะเหน็บแนม“นี่ตาปัทพูดจาให้มันดี ๆ หน่อย” ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรยกมือไหว้บิดามารดาแล้วออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็วทันใจ
“ไม่ต้องไปคิดมากกับคำพูดของตาปัทนะลูก” หญิงสาวพยักหน้าและส่งยิ้มให้คุณนายปภาราวกับว่าเธอไม่เป็นอะไรสบายมากอีกไม่นานคงหมด
ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง“ฮัลโหล ว่ายังไง ฉันกำลังไปรอฉันก่อน” เสียงโทรศัพท์มือถือกำลังส่งสัญญาณสั่นไหวแจ้งเตือนบอกว่ากำลังมีสายเข้าแทนการเปิดเสียง ภัคพิญาเปิดกระเป๋าสะพายใบน้อยสีขาวออกแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมารับสายในขณะที่กำลังขึ้นบันไดเลื่อนของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เท้าเรียวบางสวมรองเท้าส้นเตี้ยเดินไปตามทางสายตาก็สอดส่องมองหาร้านอาหารที่เป็นที่นัดหมายสำหรับวันนี้ วันนี้เป็นวันแรกที่เธอนั้นออกมาพบปะกับเพื่อนหลังจากที่ไม่ได้พบหน้าท่าตามาร่วม ๆ สองเดือนแต่ว่าก็ได้เจอกันในวันแต่งงานของเธอกับปริภัทร์เมื่อสองวันที่ผ่านมา ไม่นานภัคพิญาก็เดินตามหาร้านอาหารไทย-อิตาเลียนที่นัดกับกลุ่มเพื่อนสนิทเธอเอาไว้จนพบ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในร้านทันที“สวัสดีค่ะ คุณลูกค้าได้จองโต๊ะไว้ไหมคะ” พนักงานต้อนรับถามหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสุภาพ ภัคพิญาส่งยิ้มให้พนักงานคนดังกล่าวแล้วตอบคำถามเธอกลับไป“จองไว้ชื่อคุณบุญญาวีร์ค่ะ” บอกกับพนักงานเสียงหวานท่าทางนอบน้อม“เชิญทางนี้ค่ะ” พนักงานสาวพยักหน้ารับก่อนจะผายมือเดินนำหญิงสาวไปยังโต๊ะที่ได้จองเอาไว้ แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าเพื่อนของเธอนั้นยังไม่มีใครมาเลยสักคนไม่ว่าจะเป็
อีกฟากหนึ่ง ภายในร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรูที่มือชื่อเสียงโด่งดังผู้คนมากมายต่างรู้จัก ชายหญิงคู่หนึ่งเดินควงคู่กันเข้าไปในร้านแห่งนี้ พนักงานต่างคอยดูแลลูกค้าที่เป็นนางแบบสาวแถวหน้าอย่างดีที่เดินควงคู่มากับปริภัทร์ พรหมพิริยะ ที่เพิ่งแต่งานไปเมื่อไม่นาน เขามากับนางแบบสาวแน่นอนไม่วายที่จะมีคนติฉินนินทา“ปัทคะ… ปัทว่าชุดนี้สวยเหมาะกับแพนไหมคะ” แพน กวิตา นางแบบสาวชื่อดังเอ่ยถามความคิดเห็นชายหนุ่ม“สวยครับแพน ชุดไหนผมว่าก็เหมาะกับแพนทั้งนั้นแหละครับ” เขาว่าพลางสอดส่ายส่ายตาไปรอบ ๆ แต่พลันสายตาสะดุดกับร่างบอบบางของภัคพิญา เมียแต่งของเขาเดินเคียงคู่ควงแขนอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่เขาไม่รู้ว่าใคร สายตาของเขาและเธอสบประสานกันครู่หนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ชายหนุ่มมองตามสองร่างด้วยความสงสัย แล้วค่อยหันมาสนใจคนที่กำลังเลือกของ“ชุดนี้สวยไหมคะ ปัท” เขามักจะได้ยินคำถามเหล่านี้เสมอเมื่อมาเลือกซื้อของกับเจ้าหล่อน“สวยครับ ว่าแต่เลือกได้หรือยัง”“ได้แล้วค่ะ แพนขอไปจ่ายเงินก่อนนะคะ”“ไม่เป็นไรฉันจัดการให้” กวิตายิ้มพรายออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางแบบสาวว่าไปแบบนั้นเพราะหล่อนรู้เมื่อเธอจะจ่า
สองเดือนผ่านไปตามวันเวลา การใช้ชีวิตคู่ฉันสามีภรรยาของปริภัทร์และภัคพิญาแน่นอนว่าชีวิตของทั้งคู่ไม่ได้ราบรื่นหวานชื่นเหมือนคู่รักคู่อื่น ๆ การที่คนสองคนต้องมาแต่งงานกันโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นไม่เต็มใจย่อมขื่นขมมากเกินพอ ปริภัทร์ทำทุกอย่างและทุกวิถีทางที่จะทำให้เธอหย่าขาดจากเขาแม้กระทั่งพานางแบบสาวคู่ควงคนล่าสุดของเขาเข้ามาค้างอ้างแรมกัน ที่บ้านใคร ๆ ก็ว่ากันว่าชีวิตของภัคพิญานั้นโชคดีที่ได้แต่งงานกับปริภัทร์ ต่างคนต่างพากันอิจฉาในชีวิตของเธอ แต่หญิงสาวนั้นไม่ได้คิดแบบนั้นว่าตนโชคดีแต่ตรงกันข้ามเสียมากกว่า ถ้าหาเมื่อสองปีก่อนเธอไม่บังเอิญได้พบกับบิดามารดาของเขาเธอก็คงไม่ต้องมาแต่งงานและใช้ชีวิตเรียบง่ายตามมีตามเกิดสองยายหลานหากว่าด้วยเหตุผลบางประการที่ทำให้เธอตกปากรับคำแต่งงานกับ ปริภัทร์ พรหมพิริยะ บุตรชายคนโต ทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขามาก่อน ภัคพิญานั้นรู้จักกับท่านทั้งสองมาราวสองปี ท่านคอยช่วยเหลือเธอในยามยากลำบาก ยายที่เป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอนั้นล้มป่วยต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมานานแรมปีระหว่างที่ยายของเธอเข้ารับการรักษาตัวเธอก็จำเป็นต้องย้ายเข้ามาอยู่ภายในบ้า
“ว่าแต่ยายเป็นยังไงบ้างคะ ดีขึ้นรึยัง” เธอถามพลางป้อนอาหารเย็น ที่พยาบาลเอามาให้“ดีแล้วยายไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย อยากออกโรงพยาบาลกลับบ้านจะตายอยู่แล้ว” หญิงสาวหน้าเจื่อนเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่นางว่าออกมาภัคพิญามีอะไรที่ปิดบังยายของตนเอาไว้กังวลว่าหากได้รับรู้ไปแล้วนั้นจะทำให้อาการทรุดลง ความเงียบเข้าปกคลุมจนทำให้คนป่วยนั่นจับสังเกตของคนเป็นหลานได้“มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกยายรึเปล่าภัค”“เอ่อคือ” ความอึกอักทำให้ยายแววคาดคั้นหญิงสามอีกครั้ง“มีอะไรบอกยายมา”“ภัคว่ารอยายรักษาตัวหายดีก่อนแล้วเดี๋ยวภัคจะบอกนะคะ ภัคเป็นห่วงยายไม่อยากให้ยายอาการทรุดลงอีก” ภัคพิญาส่งยิ้มให้นางพลางจับมือเหี่ยวย่นอย่างให้กำลังใจอยากให้ผ่านโรคร้ายไปให้ได้ แล้วกลับมาอยู่ด้วยกันสองยายหลานเหมือนเมื่อก่อนนี้“ไม่ต้องเป็นห่วงยายหรอก แต่ยายห่วงเราเสียมากกว่านะภัค ทำงานหนักหาเงินมารักษายาย” ยายแววเปลี่ยนประเด็นสนทนากับหลานทันที“ไม่ต้องห่วงเลยค่ะยาย แค่นี้สบายมาก ภัคทำงานไหวขอแค่ยายหายดีแล้วอยู่กับภัคไปนาน ๆ แค่นี้ก็พอแล้ว”“ภัคเอ้ย คนเราหนีกา
“ว่าแต่บุญมาเยี่ยมยายอย่างเดียวเลยใช่มั้ยวันนี้” ภัคพิญาหันไปถามบุญญาวีร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเตียง“อ๋อใช่วันนี้แวะมาเยี่ยมยายแล้วก็จะชวนแกไปกินข้าวเย็นด้วย”“งั้นไปสิฉันว่างพอดียังไม่อยากกลับบ้านด้วย” เพราะว่าถ้าเธอกลับบ้านไปเธอก็ไม่ได้เจอใคร อยู่คนเดียวก็เหงา สามีก็คงไม่กลับมานอนบ้าน บุญญาวีร์เดินมาหาขนมไทยที่ซื้อมาให้ยายสองสามอย่างเห็นวันก่อนยายแกบ่นอยากกินเธอเลยซื้อมาฝาก“ยายจ๋า บุญซื้อขนมชั้นมาให้ยายด้วยนะ” ว่าพร้อมชูถุงขนมในมือให้ “แต่ยายต้องกินน้อย ๆ ล่ะ เดี๋ยวคนแถวนี้เขาจะว่าเอาได้” หญิงสาวเอ่ยไม่วายที่จะปรายตาเหน็บแนมหมอหนุ่ม“ขอบใจนะหนูบุญ ยายกินไปแล้วแหละ ยายภัคเขาก็ซื้อมาให้ยายเหมือนกันลูก” นางว่าแล้วหันไปทางหลานสาวเธอยิ้มและพยักหน้ารับ ทั้งสี่คนคุยกันไปไม่นานคนป่วยก็หาววอด ๆ ขึ้นพลางเอ่ยไล่หลานสาวให้กลับบ้านกันไปได้แล้ว“ยายให้ภัคอยู่ต่อไม่ได้เหรอ” ผู้เป็นหลานเอ่ยออดอ้อน“กลับบ้าไปดูแลผัวได้แล้ว แต่งงานแล้วก็หัดดูแลซะบ้างนะลูก” หญิงสาวยิ้มเจื่อนให้ผู้เป็นยายแหะ ดูแลเหรอ เขานะบ้านก็ยังไม่กลับเลย“งั้นหนูก
“เป็นไปไม่ได้หรอก เขาไม่มานั่งกินข้าวข้างแบบนี้หรอก อีกอย่างเขาก็อยู่กับคนของเขา” ปากว่าสายตายังคงมองโทศัพท์มือถือไม่ห่าง“ขอโทษนะครับที่มาช้า” สิงหะกล่าวขอโทษกับสองสาวทันที่ที่เดินมาถึงโต๊ะ“ไม่เป็นไรค่ะ” แต่ผิดกับบุญญาวีร์ยังคอยหาเรื่องคนมาใหม่“มาก็ช้าฉันหิวจะตายอยู่แล้ว”“แล้วทำไมไม่สั่งรอล่ะคุณ” หอมหนุ่มว่าแล้วก็นั่งลงข้าง ๆ หญิงสาว ส่วนที่นั่งที่ว่างอยู่ของภัคพิญาก็ถูกแทนที่ด้วยปริภัทร์นั่งลงข้างภรรยา“ไม่คิดที่จะทักกทายกันหน่อยรึไง” ภัคพิญาเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าแล้วทักทายตามความต้องการของเขา“สวัสดีค่ะ” ว่าแล้วก็ขยับกายออกห่างจากเขา แต่แขนแกร่งก็รวบ เอวบางดึงกลับเข้ามาชิดดังเดิมจนทำให้หมอหนุ่มเอ่ยแซวเล็กน้อย“เบาได้เบาเว้ย… ไม่ได้อยู่กันสองคนนะเว้ย”“ทำไมวะ ก็เมียกูอะ” เขาตอบกลับเพื่อน ภัคพิญาส่งยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ตอบอะไร“ภัคว่าเราสั่งอาหารกันเถอะค่ะ” หญิงสาวเสนอตามด้วยผู้เป็นเพื่อนสมทบเรียกพนักงานของร้านแล้วจัดการสั่งอาหารตามเมนูที่มีอยู่ในมือ ไม่นานนักอาหารมากมายก็ถูกยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะ“เชิญทานเล
“ตาปัทนะตาปัท แม่อุตส่าห์หาสิ่งดี ๆ ไว้ให้กลับไม่เห็นแค่ยังจะไปคั่วอยู่กับแม่นางแบบอะไรนั่นอีก “ คุณนายปภาโวยวายขึ้นเมื่อเห็นรูปภาพบุตรชายกับนางแบบสาวนางนั้นผ่านโทรศัพท์มือถือในเว็บข่าวซุบซิบดารา“อะไรกันคุณ อ่านข่าวแล้วก็โวยวายขึ้นมา” คุณชรัชสามีของนาง เงยหน้าถามละสายตาจาะหนังสือพิมพ์ฉบับเช้า“ก็ลูกชายสุดที่รักคุณน่ะสิ ทำงามหน้าอีกแล้ว… ไม่ดูแลหนูภัคแต่กลับเอาเวลาไปอยู่กับแม่นางแบบแพนเพลินอะไรนั้น เมื่อไรแม่คนนี้จะออกไปจากชีวิตลูกชายเราสักที”คุณชรัชมองดูท่าทางอาการของภรรยาที่มีความกรุ่นโกรธมาเต็ม“คุณจะทำอะไรได้ในเมื่อลูกเรารักหนูแพน แล้วหนูแพนก็รักตาปัท”“รักบ้าบออะไรกัน แม่นั้นรักเงินของตาปัทมากกว่า”“เอาน่ารอดูไปก่อนผมว่าอีกไม่นาน เจ้าปัทก็รักหนูภัคบ้าง”“แต่ฉันรอไม่ไหวฉันอยากอุ้มหลาน” นางโพล่งความประสงค์ของตนเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินลงมาจากชั้นสอง“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณแม่… เสียงดังเชียว” ปิยดา พรหมพิริยะ บุตรสาวคนเล็กเดินลงมาจากชั้นสองพลางเอ่ยถามบิดามารดาว่ามีเรื่องอะไรกันถึงได้เสียงดังตั้งเช้า
“ตาปัทนะตาปัท แม่อุตส่าห์หาสิ่งดี ๆ ไว้ให้กลับไม่เห็นแค่ยังจะไปคั่วอยู่กับแม่นางแบบอะไรนั่นอีก “ คุณนายปภาโวยวายขึ้นเมื่อเห็นรูปภาพบุตรชายกับนางแบบสาวนางนั้นผ่านโทรศัพท์มือถือในเว็บข่าวซุบซิบดารา“อะไรกันคุณ อ่านข่าวแล้วก็โวยวายขึ้นมา” คุณชรัชสามีของนาง เงยหน้าถามละสายตาจาะหนังสือพิมพ์ฉบับเช้า“ก็ลูกชายสุดที่รักคุณน่ะสิ ทำงามหน้าอีกแล้ว… ไม่ดูแลหนูภัคแต่กลับเอาเวลาไปอยู่กับแม่นางแบบแพนเพลินอะไรนั้น เมื่อไรแม่คนนี้จะออกไปจากชีวิตลูกชายเราสักที”คุณชรัชมองดูท่าทางอาการของภรรยาที่มีความกรุ่นโกรธมาเต็ม“คุณจะทำอะไรได้ในเมื่อลูกเรารักหนูแพน แล้วหนูแพนก็รักตาปัท”“รักบ้าบออะไรกัน แม่นั้นรักเงินของตาปัทมากกว่า”“เอาน่ารอดูไปก่อนผมว่าอีกไม่นาน เจ้าปัทก็รักหนูภัคบ้าง”“แต่ฉันรอไม่ไหวฉันอยากอุ้มหลาน” นางโพล่งความประสงค์ของตนเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินลงมาจากชั้นสอง“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณแม่… เสียงดังเชียว” ปิยดา พรหมพิริยะ บุตรสาวคนเล็กเดินลงมาจากชั้นสองพลางเอ่ยถามบิดามารดาว่ามีเรื่องอะไรกันถึงได้เสียงดังตั้งเช้า
ร่างสูงค่อยขยับเปือกตาขึ้นอย่างอยากลำบากมองดูสิ่งรอบข้างและสายตาก็ต้องสะดุดเข้ากับร่างบางของใครบางคนที่นอนหมอบข้างเตียงของเขาในมือมีหนังสือเล่มเล็ก ๆ หน้าปกมีเด็กทารกหน้าตาหน้ารักส่งยิ้มอยู่แค่พียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าหล่อนเป็นใครหัวใจที่แห้งเหี้ยวกลับเหมือนมีน้ำมาล่อเลี้ยงจนรู้สึกชุ่มชื่น มือของเขาถูกกุมด้วยมือบางของเธอไว้แน่นจนต้องเผลอยิ้มออกมา“ดูแลคนอื่นจนลืมดูแลตัวเองอีกแล้ว” ว่าออกมาเบา ๆ แล้วยกมือที่เหลืออีกข้างลูบศีรษะเมียรักเบา ๆ อย่างรักใคร่ การที่เขาขับรถเดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยความประมาทจนเกิดอุบัติเหตุเฉียดตายแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะอย่างน้อย ๆ เขาก็ได้เจอคนตัวเล็ก มาคอยอยู่ข้าง ๆ คิดแบบนี้เขาก็แทบไม่อยากหายกลัวว่าเธอจะไปจากเขาอีกครั้งร่างคนตัวเล็กขยับตัวเล็กน้อยทำให้ร่างสูงของคนป่วยต้องหลับตานิ่งเหมือนเดิมทำเป็นยังไม่ได้สติอีกครั้ง“หนูภัคลงมาทานข้าวเช้าได้แล้วลูก” คุณนายปภาเปิดประตูมาเรียกให้ภัคพิญาลงไปทานอาหารเช้า“เดี่ยวภัคลงไปค่ะตอนนี้ยังไม่หิวเท่าไรค่ะ”“ยังไม่ฟื้นอีกเหรอลูก” หญิงสาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ แม่สามีก็พยักหน้ารับแหม... เจ
“เชื่ออะไรคะ”“พี่ว่าคุณปัทเขารักภัคมากนะ รู้ไหมเขาออกตามหาภัคทุกวัน จนวันหนึ่งเขารู้ว่าพี่คือพี่ชายของเรา เขามาหาพี่อ้อนวอนทำทุกอย่างให้พี่ยอมบอกที่อยู่ แววตาของคุณปัทตอนนั้นมันเต็มไปด้วยความรักและความหวังที่จะเจอภัค พอพี่บอกว่าพี่บอกไม่ได้ ไม่รู้แววตาจากที่มีความหวังเหมือนโลกที่พังทลายลงมาต่อหน้าต่อตา เขารักและอยากเจอภัคมาก ทำทุกอย่างเพื่อภัค ช่วงแรก ๆ ที่ยังตามหาไม่เจอปายบอกว่าเขากินเหล้าทุกวันเพ้อถึงภัคตลอดเลยนะ ” ภัคพิญานิ่งฟังในสิ่งที่พี่ชายบอกด้วยหัวใจที่สับสน“ลองให้อภัยเขาแล้วมาเริ่มต้นครอบครัวที่ภัคอยากได้อีกครั้งดีไหม” พิธานบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน “ลองคิดดูนะ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วส่งข้อความเสียงนั่นให้กับปริภัทร์ เขาเพิ่งทราบจากคุณนายปภาว่าปริภัทร์พื้นแล้ว แต่เขายังคงดึงดันที่จะกลับบ้านไม่ยอมนอนพักรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล ทางคุณชรัชเลยตัดสินใจให้บุตรชายไปพักรักษาตัวที่บ้านแทนเขาช่วยน้องเขยได้เท่านี้แหละหญิงสาวพยักหน้ารับแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร“พี่ว่าเราเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าอีกอย่างน
ภัคพิญานั่งรับลมที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่พี่ชายเธอสั่งให้ที่ร้านเอามาลงไว้ให้ข้างแปลงดอกมะลิยามเย็นที่แดดร่มลมตกอากาศกำลังสบายเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนอ่านหนังสือคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งซื้อมากับเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะสองถึงสามเล่มมาเปิดอ่านเพราะวันนี้ภัคพิญาได้ส่งงานที่ได้รับมอบหมายมาเรียบร้อยแล้ว เธอยังคงทำอาชีพเดิม ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาปริภัทร์ยังคงแวะเวียนมาหามาคอยดูแล มิหนำซ้ำยังทำอาหารให้เธอได้ทานอีกแต่เธอนั้นไม่ยอมทานมันแม้แต่คำเดียวแถมยังไล่เขาทุกวัน ปริภัทร์ก็ยังไม่ยอมแพ้ทำทุกอย่างให้เธอทั้งที่รู้ว่าไม่ต้องการสายตาหวานละจากหนังสือคู่มือมองไปยังประตูรั้วอย่างใจจดใจจ่อราวกับว่ากำลังรออะไรบางอย่างแต่รอจนแล้วจนรอดก็ยังไม่พบได้แต่ถอนหายใจแล้วก้มอ่านหนังสือต่อ ท่ามกลางความเงียบสงบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินตรงเข้ามาทางที่ตนนั่งอยู่แต่ในใจกลับคิดว่าเป็นเขาปริภัทร์! จึงเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็พบกับความผิดหวังคนที่มานั้นคือพิธานพี่ชายของเธอกับปิยดาน้องสาวของสามี เห็นแล้วก็ถอนหายใจหนัก ๆ ชายหนุ่มร่างสูงที่เดินมากับปิยดาวางของลงบนโต๊ะแล้วถามขึ้น“อะไรเนี่ยเห็
“ระวังหน่อยสิ” เขาเอ็ดหญิงสาวเบา ๆ ทั้งที่ทั้งหมดคือความผิดของเขาที่ยื้อแย่งเสื้อจากเธอ“อยากซักใช่ไหมก็ซักไป” พูดกับเขาเสียงแข็งแล้วถอนหายใจจากนั้นลุกจากที่ซักผ้าก่อนจะดินเข้าไปในบ้านทันทีโดยไม่สนใจเขาอีกเลย ปริภัทร์มองตามร่างเล็กของเมียด้วยสายตาละห้อยด้วยความน่าสงสารชายหนุ่มซักเสื้อยืดให้เมียพร้อมทำการตากเป็นที่เรียบร้อยก้อนจะเดินเข้าในบ้านหลังน้อยอย่างถือสิทธิ์แล้วลงมือกวาดบ้านหลังเล็กพื้นที่ใช้สอยกะทัดรัดให้ เพราะไม่อยากให้เมียต้องเหนื่อยในการทำงานบ้าน แต่คนที่ไม่เคยจับไม้กวาดหรือลงมือทำงานบ้านเลยก็จะเก้ ๆ กัง ๆ อย่างมาก ชนข้าวของตรงนั้นตรงนี้ล้มจนภัคพิญาสงสัยคิดว่ามีขโมยขึ้นบ้านเธอหรือเปล่าเลยออกมาดูก็เจอกับเขายืนถือไม้กวาดกับลังเก็บกวาดเศษแก้วอยู่“หยุดวุ่นวายกับบ้านฉันเดี๋ยวนี้นะ”“แต่ผมอยากช่วย ไม่อยากให้คุณเหนื่อย” เขาบอกเสียงอ่อน อยากช่วยแบ่งเบาภาระเธอบ้าง“ไม่ต้องค่ะ ไม่จำเป็นที่คุณต้องมาทำอะไรแบบนี้เพื่อฉัน เพราะฉันกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกัน ชาวบ้านแถวนี้เขาจะเข้าใจผิดกันได้” เธอนั้นไม่อยากตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านที่เอาเรื่องคนนั้นคนนี้ไปพู
"ไม่! ผมทำไม่ได้ ผมปล่อยคุณไปไม่ได้ ได้โปรดเถอะภัค ขอโอกาสให้ผมได้ทำหน้าที่พ่อและสามีที่ดีสักครั้งนะ""สามี!" เธอทวนคำของเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง“ใช่ภัค ผมขอทำหน้าที่พ่อและหน้าที่สามีอีกสักครั้งนะ” พูดอ้อนวอนคนตัวเล็กตรงหน้า“ไม่ค่ะ เชิญคุณออกไปจากพื้นที่ส่วนตัวของฉันได้แล้ว”“ผมจะไม่ไปไหนทั้งนะ จะอยู่ที่นี่จนกว่าคุณกับลูกจะยอมกลับกรุงเทพฯ กับผม” ปริภัทร์บอกอย่างแน่วแน่“ลูกอะไรของคุณ” หญิงสาวถามอย่างไขสือไม่ยอมรับ“คุณท้องลูกของผม” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนกว่าทุกครั้งไม่มีคำพูดที่ร้ายกาจใด ๆ แต่พูดออกมาด้วยความรู้สึกที่กลั่นจากหัวใจของเขา“เขาไม่ใช่ลูกของคุณอาจจะเป็นลูกของคนอื่นหรือไม่ก็คุณพิธานก็ได้”“ไม่จริง คุณก็รู้ว่าผมเป็นพ่อของลูกในท้องคุณ แล้วอย่าเอาคนอื่นมาเป็นพ่อของลูกผม” เธอมองใบหน้าคมที่จริงจังด้วยท่าทางนิ่งสงบ“เพราะมันคงเป็นได้แค่พี่ชายเท่านั้น”เขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง “คุณรู้ได้ยังไง”“รู้ได้ยังไงไม่สำคัญ ตอนนี้ขอแค่คุณกลับไปกับผมเถอะนะ ผมขอโทษสำหรับทุกเรื่อง” หญิงสาวส่ายหน้าน้อย ๆ รวบรวมพลังทั
ปริภัทร์ยืนมองร่างเล็กของเมียตัวน้อยที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้หลังบ้านหลังเก่า ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นปล่อยผมที่เหลือด้านหลังเหมือนหางม้า เพื่อไม่ให้ปรกใบหน้ายามที่เธอทำสวน ความสวยของเธอนั้นยังคงอยู่เช่นเคย รอยยิ้มที่มองดอกไม้ด้วยความสุข ใบหน้างามก้มลงดอมดมกลิ่นของดอกมะลิมันเป็นดอกไม้ชนิดเดียวที่ทำให้ไม่แพ้ท้อง แต่พอลองดมดอกอื่นที่ไม่ใช่เท่านั้นแหละรีบวิ่งออกไปอาเจียนทุกครั้งวันนี้ก็เช่นกันที่ภัคพิญาได้กลิ่นดอกไม้อื่นจึงทำให้อาเจียน คนที่แอบดูอยู่หน้าประตูรั้วที่สูงเท่าเอวของเขาเท่านั้นตกใจไม่น้อยที่ได้เห็นอยากเสนอหน้าเข้าไปหาแต่ก็ไม่กล้าพอชายหนุ่มแอบมองดูหญิงสาวแบบนี้มานานเกือบหนึ่งสัปดาห์พลอยทำให้เขารู้ว่าครอบครัวของเขาและเหล่าเพื่อนของเธอรวมทั้งสิงหะและพีระที่รวมหัวจงใจปิดบังที่อยู่ของภัคพิญาตลอดเกือบสองเดือนที่ผ่านมาคิดแล้วมั่นน่าโมโหนักภัคพิญาออกจากบ้านหลังน้อยพร้อมกับกระเป๋าสะพายใบเล็กและถุงผ้าเวลานี้ก็ได้เวลาจ่ายตลาดของเธอแล้ว ก่อนจะเดินออกจากบ้านหญิงสาวเด็ดดอกมะลิขึ้นมาสองดอกเอาไว้ดมระหว่างทางที่เดินไปตลาด วันนี้เธอเกิดอยากกินชานมมะลิไข่มุกขึ้นมาจ
“อื้อ นึกว่าเป็นอะไรก็แค่ท้อง” เมนี่ว่า“แค่ท้อง” กรรณิการ์ย้ำแต่การย้ำซ้ำสองทำให้ทั้งสองคนเอ่ยออกมาพร้อมกันอย่างเสียงดัง“ฮะ... ยายภัคท้อง”“เห้ย... เบา ๆ สิ คนแตกตื่นหมดแล้ว” บุญญาวีร์ร้องห้ามแทบไม่ทัน แล้วหันไปขอโทษคนในร้าน“ก็มันตกใจนี่หว่า แล้วนี่คุณปัทรู้มั้ย นอกจากแกแล้วมีใครรู้บ้าง แฟนแกรู้มั้ย”“คุณปัทไม่น่าจะรู้ แฟนฉันก็ไม่รู้ คนที่รู้จะมีแค่ฉันกับพี่ชายของยายภัค อีกอย่างนางเพิ่งไปตรวจเมื่อเดือนที่แล้วเอง พักหลัง ๆ ที่ไปหานี่สินางแพ้ท้องหนักจนแทบไม่เป็นอันทำงานเลย”“พี่ชาย” สองสาวทำหน้างงกันอย่างหนักภัคพิญามีชายด้วยหรือ “ใครคือพี่ชายของยายภัค”“คุณพิธาน คือพี่ชายของยายภัค”“คุณพิธานเนี่ยนะคือพี่ชายของยายภัค” กรรณิการ์ถามย้ำเพื่อความมั่นใจ บุญญาวีร์พยักหน้ารับแต่แล้วบทสนทนาก็เงียบลงพร้อมกับปรากฏร่างของปริภัทร์ที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะของสามสาว“เมื่อกี้คุณบุญบอกว่าภัคท้องเหรอครับ” หญิงสาวอึกอักไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ไม่คิดเสียด้วยซ้ำว่าจะพบกับปริภัทร์ที่นี่“ว่ายังไงครับ ภัคท้องใช่ไหมครับ”“ก
“คุณฉันรู้สึกว่าฉันชอบเด็กคนนั้น ฉันอยากได้ลูกสะใภ้ที่หน้าตาน่ารักนิสัยดีแบบนั้น”“จริงคุณ ขนาดเจอกันแค่เดี๋ยวเดียวนะยังรับรู้ได้ถึงความจิตใจดีเป็นห่วงคนอื่นเลย”“หลังจากวันนั้นแม่ก็ให้คนตามสืบประวัติของหนูภัค แม่ใช้เวลาปีกว่าถึงจะเข้าหาและทำความรู้จักได้ มีวันหนึ่งที่แกมาบอกฉันว่าอยากจะแต่งงานกับแม่แพนอะไรนั้น ฉันเลยเกิดความคิดขึ้นมาว่าอยากให้หนูภัคแต่งงานกับแกแทนแม่ผู้หญิงมักมากหน้าเงินนั่น”“แพนเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น” ชายหนุ่มแก้ต่าง“จำช่วงที่แม่นางแบบนั่นหายไปจากชีวิตแกแล้วมีหนูภัคเข้ามาแทนได้ไหม กวิตาได้เงินจากแม่ไปสิบล้านแลกกับอิสระของแก”“จริงค่ะพี่ปัทปายยืนยันได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้จริงใจกับใคร วันนั้นปายไปเที่ยวเห็นแม่นางแบบนั้นออกไปกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้าพอพี่แต่งงานเขาก็กลับมาถูกไหมคะ”“แม่เสนอข้อตกลงให้หนูภัคแต่งงานกับแกแลกกับค่ารักษาพยาบาลผ่าตัดหัวใจของยายเขาที่ราคาสูงมาก แม่พูดจนกว่าหนูภัคเขาจะยอมจนนาทีสุดท้ายที่ยายแววต้องเข้าผ่าตัดถึงยอมตกลงแต่งงานกับแก เขาไม่ได้หวังทรัพย์สมบัติของแกเลย ฉันดูแววตาหนูภัคที่เจอแกคร
สามวันที่เขาไม่ได้กลับมาที่บ้านชายหนุ่มหัวเสียไม่น้อยที่เข้ามาร้องเรียกหาภัคพิญาเท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบรับจึงเดินขึ้นไปดูบนชั้นสองเผื่อหญิงสาวจะอยู่ข้างบนแต่เปล่าเลย ห้องนอนที่เงียบสงบไร้การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่ผิดแปลกที่โต๊ะทำงานของเธอนั้นโล่งสนิทไม่มีอะไรวางอยู่แม้แต่อย่างเดียวมีเพียงโต๊ะเปล่า ๆ เท่านั้น ในใจเขารู้สึกวูบโหวงแปลก ๆ วันนี้วันหยุดภัคพิญาไม่น่าจะออกไปไหน ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปยังห้องเสื้อผ้าเลื่อนเปิดประตูออกพบเพียงเสื้อผ้าของเขาเท่านั้นแต่ยังคงมีเสื้อผ้าของหญิงสาวอยู่ประปราย มองไปยังเบื้องล่างของตู้เสื้อผ้ากระเป๋าเดินทางของหญิงสาวนั้นหายไป ปริภัทร์จึงเดินลงมายังชั้นล่างทันทีเธอไปจริง ๆ น่ะ หรือยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าเยียบบันไดขั้นสุดท้ายก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นบิดามารดารวมทั้งน้องสาวเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าที่บอกบุญไม่รับเสียเท่าไร ชายหนุ่มจึงเดินเข้ามาหาบิดาที่เดินนำหน้ามาพร้อมทั้งซองเอกสารอยู่ในมือ“สวัสดีครับ มาหาผมถึงบ้านมีอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามทั้งที่ในใจว้าวุ้นเรื่องของภัคพิญาเหลือเกิน เจ้าของ