กริ๊ง
เสียงประตูร้านที่ดังขึ้นยามเมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามาทำให้ พนักงานที่อยู่ในร้านหันมามองก็เห็นเจ้านายสาวของตัวเองเดินเข้ามาด้วยสภาพที่ไม่ว่าดูยังไงคนที่เป็นเจ้านายก็สวยอย่างหาที่ติไม่ได้ แต่ครั้งนี้คงจะไม่ใช่เมื่อสายตาของลูกน้องเห็นรอยแดงช้ำตรงแขนทั้งสองข้าง "คุณปิ่น แขนไปโดนอะไรมาคะเนี้ย" "เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวขนมช่วยไปซื้อยามาให้ฉันหน่อยนะนี่จ้ะเงิน"ธนาบัตรใบสีม่วงถูกยื่นไปให้พนักงานภายในร้าน ทั้งที่เจ็บแขนแทบยกขึ้นไม่ไหวแต่เธอก็ต้องแสดงสีหน้าเรียบนิ่งเอาไว้ "ค่ะ เดี๋ยวขนมจะรีบไปซื้อมาให้เลยค่ะ" "เดี๋ยวจ้ะขนม เอายาถุงนี้ไปทิ้งด้วยนะมันใกล้จะหมดอายุแล้วฉันไม่อยากใช้ กลัวเป็นผื่นคัน" "ได้ค่ะคุณปิ่น"ขนมรับถุงจากมือของเจ้านายก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปซื้อยาให้ผู้เป็นนายจากร้านขายยาที่อยู่ไม่ไกล ปิ่นมุกเดินเข้ามานั่งบนโซฟาภายในห้องทำงานก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาดู รอยแดงช้ำในตอนนี้มันคงจะอยู่ติดตัวของเธอไปหลายวันเอาเป็นว่าตอนนี้เธอคงจะไม่เข้าไปในบ้านใหญ่สักพัก และเธอก็ภาวะนาให้รอยช้ำที่แขนทั้งสองข้างหายทันก่อนที่จะถึงวันแต่งงานภายในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ฤกษ์ที่แม่ของขุนเขาหามามันตรงกับอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าพอดีซึ่งโชคชะตาเล่นตลกก็เธอหรือเปล่าก็ไม่รู้เมื่อวันแต่งงานของเธอดันตรงกับวันแห่งความรัก 'วันวาเลนไทน์' วันที่คนสองคนที่เป็นคนรักจะได้มีความสุขร่วมกับแต่มันกลับไม่ใช่ความสุขของเธอ อำนาจเงินสามารถบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้แล้วเสร็จ ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ชุดแต่งงานที่ส่งตรงมาจากฝรั่งด้วยอภินันทนาการจากแม่สามีที่ใจดี สั่งให้นักออกแบบชุดแต่งงานชื่อดังตัดชุดเจ้าสาวให้เธอโดยมีการออกแบบที่ไม่เหมือนและซ้ำกับใคร เธอควรดีใจใช่ไหมที่จะได้แต่งงานกับลูกชายเจ้าสัวที่มีสมบัติไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนล้าน "นี่ค่ะคุณปิ่นยา หนูซื้อทั้งยาทาแล้วก็ยาทานมาให้เลยนะคะ" "ขอบใจจ๊ะ" "แขนคุณปิ่นไปโดนอะไรมากันคะเนี่ย ดูสิช้ำหมดเลย แต่ดู ๆ แล้วเหมือนรอยนิ้วมือเลยนะคะ" "ชั่งมันเถอะจ้ะ ขนมไปทำงานเถอะฉันไม่เป็นอะไรแล้ว"ตอนนี้เธออยากจะอยู่คนเดียวเสียมากกว่า สายตาของขนมมองมายังที่เจ้านายด้วยความเป็นห่วง "ถ้าอย่างงั้นขนมไปทำงานก่อนนะคะ ถ้าคุณปิ่นเจ็บตรงไหนตะโกนเรียกขนมได้เลยนะคะ"น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงทำให้ปิ่นมุกอดที่จะซาบซึ้งในความเป็นห่วงของพนักงานคนนี้ไม่ได้ "ขอบใจมากนะขนมที่คอยเป็นห่วงฉัน" "ไม่เป็นอะไรค่ะ คุณปิ่นเป็นทั้งเจ้านายและพี่สาวที่ขนมนับถืออีก" "ขนมไปทำงานเถอะถ้าฉันต้องการอะไรเดี๋ยวฉันจะออกไปเรียกเอง" "ค่ะ"หลังจากที่ขนมเดินออกไปเธอก็หันมาสนใจกับรอยช้ำบนเรียวแขนของตัวเอง หลังจากที่เธอจัดการทายาและทานยาเสร็จก็ถึงเวลาที่จะต้องลุยงานที่ยังค้างคาให้แล้วเสร็จ เพราะอีกไม่ถึงสองเดือนเธอจะเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ แถมครั้งนี้เธอจะจัดให้มีการเดินแบบเพื่อขยายธุรกิจเสื้อผ้าของเธอให้ครอบคลุมกับผู้คนทุกวัยได้รู้จักเสื้อผ้าที่เธอเป็นคนออกแบบและตัดเย็นเองให้มากขึ้น "สู่ ๆ นะปิ่นมุก เธอต้องทำได้"นี่คือคำพูดที่เธอมักจะพูดกับตัวเองเป็นประจำก่อนที่จะเริ่มลงมือทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก "ขุนคะ ทำไมวันนี้ขุนไม่มาหารุ้งล่ะคะ"เสียงออดอ้อนที่ดังมาตามสายทำเอาคนที่นั่งดูเอกสารอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานถึงกับใจสั่น เสียงออดอ้อนของแฟนสาวนั้นมันทำให้เขาอยากจะทะลุเข้าไปในโทรศัพท์เพื่อไปหาเธอ "วันนี้ขันเข้าบริษัทครับ รุ้งไม่งอแงนะครับคนดีของขุน" "แต่ว่ารุ้งอยากเจอขุนตอนนี้นี่หน่า ขุนมารุ้งนะคะรุ้งคิดถึงขุนจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว ซี๊ด อ๊า" "ทุเรศไปไหมยะหล่อน เป็นสาวเป็นแซ่แต่กลับเชิญชวนให้ผู้ชายไปหาถึงที่ หน้าไม่อาย"แม่ของขุนเขาที่ไม่รู้เดินเข้ามาในห้องทำงานตอนไหนคว้าโทรศัพท์ของลูกชายขึ้นมาถือไว้ก่อนที่จะตะโกนใส่โทรศัพท์ของลูกชายจนปลายสายแทบจะยกโทรศัพท์ออกจากหูไม่ทัน "อุ้ย คุณหญิงแม่เองเหรอคะนึกว่าใครสวัสดีค่ะ" "แกไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่ ฉันไม่มีลูกอย่างแกนางตอแหล" "กรี๊ดนี่คุณแม่กล้าด่ารุ้งอย่างนั้นเหรอคะ" "ทำไมฉันจะไม่กล้าด่า กะอีแค่ผู้หญิงชอบยุ่งกับสามีคนอื่น" "เอ่อแค่นี้ก่อนนะครับรุ้งเดี๋ยวขุนจะโทรหาใหม่"คุณหญิงกิ่งกาญจน์มองลูกชายตัวดีที่แย่งโทรศัพท์จากมือเธอไปด้วยความโกรธ ใช่เธอโกรธเป็นอย่างมากที่ลูกชายของเธอยังอาลัยอาวรณ์แม่นางแบบนั้นทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ลูกชายของเธอมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้ว "คุณแม่ครับ" "ไม่ต้องมาเรียกแม่ว่าแม่ถ้าลูกยังไม่เลิกกับนางม่านรุ้ง"คุณหญิงกิ่งกาญจน์สะบัดหน้าหันไปมองทางอื่น นี่ถ้าเธอไม่เข้ามาหาลูกชายที่บริษัทแม่นางแบบนั้นก็คงลากตัวลูกชายของเธอไปถึงไหนต่อไหนแล้ว "คุณพ่อกับคุณแม่อคติอะไรกับรุ้งเธอนักหนาครับ ทำไมถึงเอาแต่บอกให้ผมเลิกกับเธอ ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนดีไม่เคยคิดร้ายอะไรกับใคร" "เหอะ นี่ลูกกำลังเห็นกรงจักรเป็นดอกบัวรู้หรือเปล่าขุนเขา แม่นั่นมันไม่ได้รักลูกจริงมันหวังแค่เพียงเงินจากลูกเท่านั้น" "แต่ที่ผ่านมารุ้งไม่เคยขออะไรจากผมเลยนะครับ"ตลอดเวลาที่คบกันมาม่านรุ้งไม่เคยขอหรืออยากจะได้อะไรจากเขาเลย มีแต่เขาที่มอบทุกสิ่งให้กับเธอเองโดยที่เธอไม่เคยได้เอ่ยปากขออะไรสักอย่าง "ก็เพราะลูกประเคนให้มันเองทุกอย่างไง แม่ไม่เข้าใจเลยนะขุนทำไมลูกถึงได้รักแม่นี่นักหนา ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ลูกมีหนูปิ่นเป็นภรรยาอยู่แล้ว"เกิดความเงียบภายในห้องทำงานโดยทันที สองแม่ลูกต่างมองหน้ากันอย่างไม่ยอมละสายตา จนเป็นขุนเขาเองที่ทนต่อสายตาที่รุ่นแรงของผู้เป็นแม่ไม่ไหวจนต้องเบื่อนหน้าหนี "แม่ขอสั่งให้ลูกเลิกกับแม่นางแบบนั่น แล้วเย็นนี้ลูกต้องไปรับหนูปิ่นไปส่งที่บ้านด้วย อย่าขัดคำสั่งของแม่ ลูกก็รู้ว่าไม่มีใครขัดคำสั่งแม่ได้แม้แต่คุณพ่อ"ขุนเขาถึงกับถอนหายใจออกมา แววตาคมกริบของผู้เป็นแม่มันทำให้เขาไม่กล้าที่จะปฎิเสธ อำนาจทุกอย่างภายในบ้านคุณหญิงกิ่งกาญจน์คือคนที่อยู่เหนือว่าทุกคนไม่เว้นแม้แต่สามียังต้องเชื่อฟัง "ว่าไงตาขุนเย็นนี้จะไปรับหนูปิ่นตามที่แม่บอกไหม" "ไปครับ" "ดี แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้แม่อยากให้ลูกพาหนูปิ่นไปทานข้าวที่ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศโรแมนติก ๆ กันแบบสองต่อสองจะได้ไหม"แล้วคนอย่างขุนเขาจะเลือกอะไรได้บ้างไหมนอกเสียจาก "ครับคุณแม่""คุณปิ่นคะ มีคนมาหาค่ะ" "ใครกัน"นั่นสิใครกันเพราะตอนนี้เป็นเวลาเย็นซึ่งเป็นเวลาที่เธอเลิกงานและกำลังจะกลับบ้านน้อยคนนักที่จะเข้ามาพบเธอในช่วงเวลานี้ "ผมเอง"น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นก่อนที่ร่างของขุนเขาจะปรากฎกายมายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องทำงาน "ผู้ชายคนนี้แหละค่ะที่ต้องการพบคุณปิ่น" "ขนมไปเก็บของเถอะจ้ะ แล้วก็ฝากปิดร้านให้ด้วยนะ" "ได้ค่ะคุณปิ่น"หลังจากที่ขนมเดินออกไปภายในห้องทำงานก็ตกอยู่ในความเงียบ แววตาคมกริบมองไปที่แขนของหญิงสาวที่ยังคงเป็นรอยแดงช้ำ "ยังเจ็บแขนอยู่ไหม" "คุณมีธุระอะไรคะถึงได้มาหาฉัน"สายตาสงสารหรือแววตาที่สื่อถึงความรู้สึกผิดเธอไม่ต้องการ "คุณแม่ให้ผมมารับคุณไปส่งที่บ้าน" "ไม่จำเป็นหรอกคะฉันกลับแท๊กซี่เองได้"เธอไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงอย่างเขาตลอดไป และเธอก็ไม่อยากที่จะเข้าใกล้ผู้ชายที่อันตรายแบบเขาด้วย ยิ่งอยู่ใกล้ก็รู้สึกถึงความอันตราย "อย่ามาอวดดีกับผมปิ่นมุก" "ฉันไม่ได้อวดดีค่ะ แต่ฉันยืนยันที่จะกลับด้วยตัวเอง โอ๊ย"ความเจ็บที่ต้นแขกเพราะถูกแรงกระชากทำให้ปิ่นมุกถึงกับต้องร้องออกมา แววตาเรียบนิ่งมองฝ่ามือหนาที่จับแขนของเธอเอาไว้ "ปล่
และมันก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อเช้าวันต่อมารูปของขุนเขาและม่านรุ้งที่กำลังดินเนอร์มื้อหรูท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติกถูกวางลงบนปกหนังสือGossipบันเทิงทุกฉบับ พร้อมกับคำบรรยายที่ทำเอาคนที่ได้อ่านต่างคิดกันไปต่าง ๆ นา ๆว่า ทั้งคู่มีแพลนที่จะเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์ในไม่ช้านี้ ปึก "นี่มันอะไรกันขุน ไหนอธิบายให้แม่กับพ่อเข้าใจหน่อยว่ารูปบ้า ๆ ที่อยู่ในหนังสือนี่มันคืออะไร"สายตาเรียบนิ่งมองรูปที่เขาไปดินเนอร์กับแฟนสาวที่ปรากฎอยู่ในหลังสือ ก่อนที่จะหันไปมองพ่อและแม่ที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ "ก็แค่ผมกับรุ้งไปดินเนอร์กันสองคนมันผิดตรงไหนครับ" "นี่แกยังมีหน้ามาถามอีกเหรอว่าผิดตรงไหน หรือจะต้องให้แม่บอกแกว่ามันผิดตรงที่แกมีเมียแล้ว" "รุ้งเธอก็เป็นเมียของผมเหมือนกันนะครับ"สายตาของคุณหญิงกิ่งกาญจน์แทบจะถลนออกมาจากเบ้าตา ไม่ต่างจากสีหน้าของเจ้าสัวรังสิมันต์ที่เรียบตึงขึ้นอย่างถนัดตา "แกบอกว่าแม่นางแบบนั่นเป็นเมียของแกเหมือนกันใช่ไหมไอ้ขุน"คำถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แอบแฝงไปด้วยความดุดันทำเอาขุนเขาเสียวสันหลังวาบ ยิ่งเมื่อเขาได้เห็นสายตาเรียนนิ่งมันยิ่งทำให้เขาลุกเดินออกไปจากห้อ
"ขยันเป็นข่าวจังเลยนะแกในแต่ละวัน"ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีพั้นช์ขยับยิ้มออกมาอย่างถูกอกถูกใจ ใครจะคิดล่ะว่าการที่เธอออกไปดินเนอร์เมื่อวานจะกลายเป็นข่าวดังในระดับประเทศของวันนี้ แถมหัวข้อข่าวยังทำให้เธอถูกอกถูกใจยิ่งขึ้นไปอีก "ดูเหมือนว่าแกมีความสุขมากเลยนะตอนนี้" "แน่นอน ฉันมีความสุขมาก"ผู้จัดการที่พ่วงด้วยตำแหน่งเพื่อนซี้อย่างนิต้าถึงกับต้องกลอกสายตาไปมาอย่างนึกหมั้นไส้เพื่อนรักอย่างม่านรุ้งที่นั่งจิบไวน์อย่างมีความสุขกับข่าวใหม่ในวันนี้ "เออนี่ แล้วงานถ่ายแบบที่พัทยาคราวที่แล้วที่ฉันไม่ได้ไปด้วยเป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม" "ระดับนางแบบแถวหน้าของเมืองไทยอย่างฉันไม่มีคำว่าพลาด ทุกอย่างเรียบร้อยแกวางใจได้" "ก็ดี เออนี่ฉันได้ข่าวมาว่าทางแบรนด์เสื้อผ้าPMที่กำลังมาแรงในตอนนี้กำลังจะเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่และทางเจ้าของแบรนด์กำลังหานางแบบเพื่อที่จะเอาไปใส่งานที่จะจัดการเดินแบบ แกสนใจไหม" "แบรนด์เสื้อผ้าอะไรฉันไม่เคยได้ยิน"คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเป็นปมเมื่อเอ่ยถามถึงแบรนด์เสื้อผ้าที่ผู้จัดการของตัวเองเอ่ยถึง "นี่แกไปอยู่ที่ไหนมาห๊ะ ถึงไม่รู้จักเสื้อผ้าแบรนด์นี้" "เ
"ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ"มือบางของทั้งคู่จับมือทักทายกันตามประสา สายตาของขุนเขามองคนที่เป็นภรรยาที่ยืนยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรที่เขาพาคนรู้ใจเขามาเลือกเสื้อผ้าในร้านของเธอ แถมเธอยังไม่คิดที่จะหันมาชายตาแลเขาอีกนี่เธอไม่เห็นเขาที่ยืนอยู่หรืออย่างไรกัน ดูสิยืนคุยกับคนรักของเขาอย่างเพลิดเพลินเลย "ถ้าคุณม่านรุ้งสนใจตัวไหนบอกปิ่นได้เลยนะเดี๋ยวปิ่นจะจัดการให้" "ขอบคุณมากเลยนะคะคุณปิ่น ดูสิคะขุนคุณปิ่นเธอใจดีกับรุ้งด้วย"ม่านรุ้งหันไปซบหน้าลงกับท่อนแขนของแฟนหนุ่มอย่างคนที่ดีอกดีใจ แววตาเจ้าเล่ห์ของคนที่คิดแผนอะไรได้มองไปยังภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ยืนนิ่ง ฝ่ามือหนาโอบเอวบางแบบเข้ากับลำตัวก่อนที่จมูกโด่งก้มลงแตะกับแก้มขาว สายตาของคนที่อยู่เหนือกว่ามองมาที่คนกำลังยืนนิ่งเหมือนเขาต้องการบอกให้เธอรู้ว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดสำคัญกับเขาเพียงไหน "อุ๊ย ขุนทำอะไรอายคุณปิ่นมุกเธอบ้างสิคะ" "ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณรุ้งปิ่นไม่ถือ" "รุ้งต้องขอโทษแทนแฟนของรุ้งด้วยนะคะที่ชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อ ขุนทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะคะอายคุณปิ่นบ้างสิ"ม่านรุ้งหันไปเอ็ดแฟนหนุ่มอย่างไม่จริงจังมากนัก โดยที่เธอไม่รู้เลยว่
"ไม่ว่าง"ทุกคนที่อยู่ภายในร้านหันไปมองที่ขุนเขาเป็นตาเดียวไม่เว้นแม้แต่ม่านรุ้งที่ต้องละสายตาจากโทรศัพท์หันมาสนใจแฟนหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนตะเบ่งเสียงออกไปด้วยความไม่พอใจ "คุณเป็นใครกันครับถึงได้มาตอบคำถามแทนคุณมุกของผม" "ก็ผมเป็นผะ.. เป็นลูกค้าของร้านนี้ยังไงล่ะ"อารมณ์ร้อนรุ่มที่กระจายอยู่ข้างในทำให้เขาเกือบที่จะเผลอพูดเรื่องที่ปิดบังเอาไว้ออกไป "เป็นแค่ลูกค้ามีสิทธิ์อะไรล่ะครับ คนรู้จักก็ไม่ใช่ จริงไหมครับคุณปิ่นมุก"คนที่ยืนหอบช่อดอกไม้อยู่ได้แต่ส่งยิ้มให้ "แต่ผมเป็นลูกค้า และผมก็คิดว่าคนที่เป็นเจ้าของร้านควรจะอยู่บริการลูกค้าให้เสร็จก่อนดีกว่านะครับ ก่อนที่จะออกไปเที่ยวที่ไหนกับใคร"ประโยคสุดท้ายคนที่ยืนมองด้วยความไม่พอใจได้แต่กัดฟันพูด นึกในใจว่าถ้าเธอออกไปตามคำเชิญชวนของผู้ชายคนนี้ก็คงจะได้เห็นดีกัน "คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะคะดิฉันเป็นมืออาชีพพอที่รู้ว่าอะไรควรมาก่อนมาหลัง ดิฉันแยกแยะออกค่ะว่าอะไรมันคือเรื่องงานและอะไรมันคือเรื่องส่วนตัว" "เอาเป็นว่าหลังจากที่เสร็จลูกค้ารายนี้แล้ว ปิ่นจะไปกับคุณนะคะคุณภูผา"สองมือหนาของขุนเขากำเข้าหาแน่น เมื่อได้ยินคำตอบที่ออกมาจากปากของภรรยาสาว สายตา
"ห้ามไปกับมัน"ทันทีที่ปิ่นมุกเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าขุนเขาก็เอ่ยลั่นวาจาที่ทำเธอถึงกับต้องขมวดคิ้วเข้าหา "ไปไหนคะ" "ก็ไปกับไอ้นั่นไง เธอห้ามไปกับมันเด็ดขาดเข้าใจไหม" "คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉันคะ"แขนเรียวทั้งสองยกขึ้นมากอดอก สายตาเรียบนิ่งมองสีหน้าบึ้งตึงของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีกำลังมองมาที่เธออยากกับจะกินเลือดกินเนื้อ "ก็สิทธิ์ของความเป็นผัวไง เธออย่าลืมนะปิ่นมุกว่าเธอกับฉันเราสองคนจดทะเบียนเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว คิดจะทำอะไรก็นึกไว้หน้าฉันบ้าง" "หึ ๆ "ปิ่นมุกถึงกับร้องขำในลำคอเมื่อได้ยินสิ่งที่ขุนเขากำลังต่อว่าตักเตือนเธอ นัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความเย็นชามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าวาจาที่ออกมาจากปากของปิ่นมุกทำเอาขุนเขาถึงกับต้องสะอึกจนพูดอะไรไม่ออก "ฉันไม่ได้ลืมหรอกค่ะว่าฉันเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณ แต่คุณสิคะที่ดูเหมือนว่าจะลืมไปว่าเราสองคนจดทะเบียนสมรสกันแล้ว และคุณก็เป็นสามีของฉัน เพราะถ้าคุณจำได้คุณคงไม่จูบแฟนของคุณต่อหน้าภรรยาอย่างฉัน" "ฉันพูดถูกไหมคะ"คำพูดที่ออกมาจากปากของปิ่นมุกทำเอาขุนเขาถึงกลับไปไม่เป็น ได้แต่ยืนตัวแข็งจ้องหน้าเธอด้วยสายตาไม่พอใจ "ฉันจะ
ภายในห้องนอนที่อบอวนไปด้วยแสงเทียนสีนวลและไหนจะความเย็นของแอร์ บรรยากาศนี้ม่านรุ้งสร้างขึ้นมาเพื่อความต้องการของเธอเพื่อที่จะทำให้บรรยากาศในคืนนี้อบอวลไปด้วยความสุขระหว่างเขาและเธอ ร่างเพรียวบางที่อยู่ในชุดนอนสีดำอันสุดเซ็กซี่ น้ำหอมราคาแพงถูกหยิบขึ้นมาฉีดพรมไปทั่วตามร่างกาย ใบหน้าเนียนใสถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางริมฝีปากอวบอิ่มถูกแต่งเติมด้วยลิปสติกสีแดงสด ยามเมื่อได้แต่งเติมจากหญิงสาวหน้าใสกลับกลายเป็นหญิงสาวร้อนแรงขึ้นได้ในพริบตา ม่านรุ้งหมุนกายไปมาเพื่อเช็คดูความเซ็กซี่ในรูปร่างของตัวเอกก่อนที่จะยิ้มออกมาด้วยความถูกใจ "ขุนคะ"คนที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงไม่ได้สนใจเสียงเรียกที่ดังขึ้นเลยสักนิด แต่ตอนนี้เขากลับสนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเองมากกว่า นิ้วมือหนากดพิมพ์แชทไปหาลูกน้องเพื่อสั่งการอะไรบางอย่างด้วยความร้อนใจ ก่อนที่จะปาโทรศัพท์เครื่องหรูลงบนเตียงนอนด้วยความโมโหเมื่อได้เห็นรูปที่ลูกน้องตัวเองส่งมา "ขุนคุณเป็นอะไรไปคะ"ม่านรุ่งรีบเดินเข้ามาหามือบางวางทาบไว้บนแผงอก ใบหน้าที่แต่งเติมไปด้วยเครื่อสำอางวางซบลงบนใหล่ "เป็นอะไรไปคะขุน อารมณ์เสียเรื่องอะไรพอจะบอกรุ้งได้ไหมคะ บางทีรุ้งอาจ
รถสปอร์ตคันหรูขับด้วยความเร็วมุ่งสู่ท้องถนน ฝ่าเท่าหนาเหยียบลงบนคันเร่งด้วยความร้อนใจ เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ขับรถมาถึงหน้าคอนโดของหญิงสาว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับคนที่ขึ้นชื่อว่าภรรยาลงมาจากรถของชายอื่น เขาจะไม่อะไรเลยถ้าเธอไม่ส่งยิ้มและโบกมือให้กับคนที่อยู่ภายในรถความรู้สึกในตอนนี้มันเหมือนกับว่ามีกองไฟมาสุมอยู่ในร่างกาย มันแทบจะเผาไหม้เขาให้แหลกเป็นผุยผง ร่างของขุนเขาก้าวลงจากรถอย่างไม่รอช้า สองเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างหมายมั่น ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะคว้ากระชากเรียวแขนเล็กของปิ่นมุกจนร่างของเธอเซถล่ามาชนแผงอก ปิ่นมุกถึงกับตกใจกับการจู่โจมแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเธอชักสีหน้าใส่ของคนที่กำลังจับแขนของเธออยู่ในตอนนี้ "ทำบ้าอะไรของคุณห๊ะ คุณขุนเขา" "แล้วคุณล่ะปิ่นมุก รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทั้งที่จะแต่งงานกับผมอีกไม่กี่วันก็ยังร่านไปเที่ยวกับผู้ชายคนอื่นอีก" เพี๊ยะ ใบหน้าของขุนเขาสะบัดไปตามแรงตบ เมื่อปิ่นมุกยมทิ้งกระเป๋าใบละหลายแสนของเธอลงบนพื้นก่อนจะสะบัดฝ่ามือลงบนใบหน้าขาวจนเป็นรอยนิ้วมือแดง เขาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม แล้วใช้นิ้วมือเช็ดเลือดที่มุมปาก
"พี่จัดการตามที่เห็นสมควรได้เลยครับ" "แกไม่ติดใจอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแล้วแน่นะ"ปลายสายถามอย่างต้องการความแน่ใจ "หึ ไม่แล้วล่ะครับ ผู้หญิงแบบนั้นผมคงไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อนร่วมโลกแล้วล่ะครับ"นัยน์ตาอ่อนแสงมองแผ่นหลังขาวนวลของผู้เป็นภรรยา ริมฝีปากหยักหนาขยับพูดกับคนในที่อยู่ในสายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก "แกใจเด็ดมากเลยรู้ไหมขุนเขา ฉันล่ะยอมรับในตัวของแกจริง ๆ " "อะไรที่ทำให้พี่คิดแบบนั้นครับ"ดวงตาคมกริบยังคงทอดมองไปยังร่างอุ้ยอ้ายของภรรยาที่กำลังอุ้มท้องลูกชายวัยเจ็ดเดือนของเขาอยู่ ใบหน้าสวยของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานเมื่อได้ออกมาเที่ยวพักผ่อนหลังจากนอนอุดอู้อยู่แต่บ้านเพราะด้วยอาการแพ้ท้องมาหลายเดือน สองเท้าเรียวเล็กถูกสวมด้วยรองเท้าแตะสีเดียวเข้ากับชุดคลุมสีขาวเดินก้าวไปตามหาดทายสีขาว ด้านหน้าของเธอนั้นคือท้องทะเลสีครามกับบรรยากาศในช่วงเย็น และอีกไม่กี่นาทีดวงตะวันก็คงจะลาลับขอบฟ้าก่อนจะเปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นแสงจันทราแทน "ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นก็คงยังมีความรู้สึกดี ๆ หลงเหลือให้กับแฟนเก่าอยู่บ้าง" "ความรู้สึกพวกนั้นมันตายจากผมไปหมดแล้วครับ ตั้งแต่เรื่องที่เ
ความเงียบยังคงปกคลุมภายในห้องรับแขกเมื่อทั้งสองครอบครัวต่างนั่งมองหน้าสบตากันด้วยความหนักใจ เห็นแต่จะมีเพียงขุนเขาคนเดียวที่นั่งกระสับกระส่ายอย่างคนร้อนรุ่มอยู่ในใจ "ทุกคนเงียบกันทำไมครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มีความคิดที่จะหย่ากับปิ่นเลยสักนิด ทุกคนก็รู้ ปิ่นเองก็รู้ดีว่าผมรักปิ่น"แววตาของเขาฉายแววแน่วแน่ยามเมื่อลอบมองเธอ "ขุนเขา ใจเย็น ๆ แล้วฟังหนูปิ่นพูดก่อนนะลูก" "เมียกำลังจะขอหย่าจะให้ผมใจเย็นได้ยังไงครับแม่"คุณหญิงกิ่งกาญจน์ถึงกับมีสีหน้าหนักใจ ไม่รู้วันนี้ลูกชายของตัวเองไปกินอะไรผิดสำแดงมา ถึงค้านหัวชนฝาไม่ฟังความอะไรเลย "ไอ้ขุน พ่อว่าแกใจเย็น ๆ ตามที่แม่แกบอกก่อนนะ แกเงียบปากให้หนูปิ่นได้พูดอะไรบ้าง แกเอาแต่แหกปากโวยวายแล้วหนูปิ่นจะมีโอกาสพูดได้อย่างไร" "พ่อไม่เป็นผมพ่อไม่เข้าใจหรอกว่าการที่จะต้องถูกเมียทิ้งมันเจ็บปวดขนาดไหน" "เห้อ อาการหนักแล้วลูกกู"เจ้าสัวรังสิมันต์ถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการคิดเองเออเองของเจ้าลูกชาย "ขุนเขาลูก นั่งลงก่อนนะคะเด็กดี"คำพูดเปรียบดั่งสายน้ำเย็นเฉียบของคุณหญิงเพียงเพ็ญทำเอาคนเจ้าอารมณ์เริ่มสงบนิ่งลง เธอรู้ดีว่าการ
คำบอกรักในคืนวันนั้นก่อเกิดเป็นความรักอันแสนเปี่ยมล้นในวันนี้ ช่วงเวลาชั่งพัดผ่านไปเร็วเสียจริง ๆ แต่ก็นั่นเถอะความรักของทั้งเขาและเธอก็ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ความกังวลหายไปจากใจเมื่อความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายถูกเปิดเผยกันออกมาอย่างหมดเปลือก ความรู้สึกของทั้งคู่ที่คิดตรงต่อกันนั้นมันทำให้ทั้งสองเปิดใจศึกษาเรียนรู้การใช้ชีวิตคู่มากยิ่งขึ้น ดวงตากลมโตมองแท่งสีขาวที่อยู่ในมือ ไออุ่นไร้รูปร่างที่ไม่อาจจะบรรยายได้เอ่อล้นขึ้นมาเติมหัวใจทีละเล็ก ขีดสีแดงสองขีดนั้นมันทำให้คนที่กำลังจะได้เป็นแม่ถึงกับน้ำตาเอ่อคลอ ฝ่ามือเรียวเล็กอันสั่นเทาค่อย ๆ ยกขึ้นมาวางนาบบนหน้าท้องแบบราบซึ่งตอนนี้กำลังมีเจ้าก้อนความรักของเธออยู่ในนั้น หลังจากความเลวร้ายผ่านพ้นไป ชีวิตเธอก็เปรียบเหมือนเจ้าหญิงในนิยายที่มีเจ้าชายคอยดูแลเป็นอย่างดี ใครเล่าจะคิดว่าผู้ชายไม่เอาไหนอย่างขุนเขา จะเข้าไปบริหารงานในบริษัทจนทำให้ตอนนี้ตนเองเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการและผู้บริหารคนอื่น ๆ เมื่อเขาสามารถทำให้มูลค่าของกำไรไตรมาสของปีนี้เพิ่มขึ้นได้อีกเท่าตัว นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง สร้างความภูมิใจให้กับเจ้าสัวรังสิมันต์แ
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ห้ะ แล้วนี่พี่มาเมืองไทยเมื่อไหร่ทำไมไม่บอกผม"ฝ่ามือหนายกขึ้นมาเท้าสะเอว น้ำเสียงติดเข้มเอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องของตัวเองที่ยืนเก๊กหล่อจิบเหล้าอย่างสบายใจ "ก็แค่มาพักผ่อน อีกสองสามวันเดี๋ยวก็กลับ" "อย่ามาโกหก คนที่มีงานกองเป็นภูเขาจนท่วมหัวอย่างพี่น่ะหรือจะมีเวลามาพักผ่อน"ดวงตาคมกริบมองพี่ชายด้วยสายตาจับผิด คนอย่างเซบาสเตียนเจ้าพ่อมาเฟียนะหรือมีเวลาว่างมาพักผ่อนถึงเมืองไทย ใครจะไปเชื่อลง "ตั้งแต่มีเมียรู้สึกว่าแกฉลาดมากขึ้นเลยนะขุนเขา" "นี่พี่คงไม่กำลังหลอกด่าผมอยู่ใช่หรือเปล่า" "ก็แล้วแต่แกจะคิด"เซบาสเตียนยกไหล่ทั้งสองข้าง ฝ่าเท้าใหญ่ก้าวมายังโซฟาสีขาวตรงกลางห้อง ร่างกำยำกระแทกตัวนั่งลงจิบเหล้าในแก้วอย่างสบายใจ ต่างจากน้องชายอีกคนที่ยืนมองเขาหน้าตูม "พี่ใช่ไหมที่เป็นคนส่งข้อความบ้า ๆ นั่นไปหาผม" "ใช่ ฉันเป็นคนส่งไปเอง"คำตอบของเซบาสเตียนทำเอาอารมณ์ของขุนเขาเดือดพล่าน ขายาว ๆ ทั้งสองข้างก้าวมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาโกรธเคืองอย่างถึงขีดสุด มือที่ถือปืนถึงกับเกิดอาการสั่นจนทำเขาต้องควบคุมมันเอาไว้ "แล้วตอนนี้เมียผมอยู่ที่ไหน พี่ได้ทำอะไรเธอหรือเปล่า" "แ
"พวกโง่ แค่เมียกูคนเดียวยังไม่มีปัญญาหาเจอ"ใบหน้าสง่างามของขุนเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย แววตาเกรี้ยวกราดกวาดมองลูกน้องของตัวเองที่เรียงแถวยืนก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา ภายในห้องรับแขกชั่งร้อนระอุดังกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ เหล่าลูกน้องแทบจะก้มหน้าจนติดกับพื้น เมื่อเจ้านายตัวเองมองพวกเขาราวกับจะฉีกออกเป็นชิ้น ๆ "พวกผมขอโทษครับนาย แต่แถวนั้นมืดมากเราไม่สามารถเห็นรถต้องสงสัยหรือว่าสิ่งที่น่าเป็นพิรุธได้เลยครับ" "ดึกแบบนั้นมันจะมีรถกี่คันวิ่งออกจากโรงแรมล่ะไอ้พวกโง่ ไปเลยนะพวกมึงไปตามหาตัวของเมียกูให้เจอ ถ้าพวกมึงไม่เจอก็อย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีก"สีหน้าดุร้ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของเราลูกน้อง ทำเอาการ์ดนับสิบต้องรีบวิ่งออกไปจากห้องรับแขก "ไอ้พวกโง่"ร่างหนาใหญ่กระแทกตัวลงนั่งลงบนโซฟาอย่างกลัดกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าเมียของเขาหายตัวไปไหน เดินกลับมาที่รถก็เห็นข้าวของมากมายหล่นกระจายอยู่ข้างรถ ไร้วี่แววของคนเป็นภรรยา ในใจมันร้อนรุ่มกลัวว่าอีกคนจะเป็นอะไรหรือจะได้รับอันตราย จนต้องเกณฑ์ลูกน้องออกตามหา แต่มันก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน เพราะมุมจอดรถของเขากล้องวงจรปิดดันมาเสีย แถมลานจอดรถตอนนั้นยังไร้
ย้อนกลับไป ยามรุ่งเช้าของวันเดียวกัน ณ โกดังท่าเรือส่งสินค้า ของ ตระกูล สุริยะศิวา ซ่า น้ำสีขุนถังใหญ่ถูกสาดลงไปบนร่างเย้ายวนของคนหลับใหลอยู่บนพื้น ความเย็นบวกกับกลิ่นเหม็นทำให้คนที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ กรี๊ด "อ๊าย นี่มันอะไรกับเนี่ย ไอ้พวกบ้าพวกแกเล่นอะไรกัน"เสียงกรีดร้องโวยวายตามเมื่อได้ลืมตาตื่น ร่างเปียกปอนลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากเพราะว่ามือทั้งสองข้างถูกจับไขว้หลังมัดติดกันเอาไว้ กรี๊ด "นี่มันอะไรกัน พวกแกมันฉันไว้ทำไม แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ"น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดใส่ชายชุดดำร่างใหญ่ ซึ่งเธอจำได้ว่าคนพวกนี้เป็นลูกน้องของเซบาสเตียน "เซบาสเตียน คุณอยู่ที่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"นี่เขาต้องการเล่นบ้าอะไรกันทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่าหลังจากได้ตัวของปิ่นมุกก็จะปล่อยเธอไป "จะเสียงดังไปทำไมกัน ไม่เจ็บคอหรือไง" "นี่คุณกำลังเล่นตลกอะไรกับฉันอยู่ แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะเซบาสเตียน"ดวงตาดุร้ายจ้องมองไปยังชายร่างกำยำที่เดินออกมาจากมุมมืด แววตาดุร้ายแฝงไปด้วยความอำมหิตโหดเหี้ยมมันทำให้คนแหกปากร้องในตอนแรกสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว แววตานี้มันเหมือนกับแววตาที่เขาให้มอ
เปลือกตาอันแสนหนักอึ้งค่อย ๆ เปิดขึ้นหลังจากหลับใหลมาร่วมหลายชั่วโมง ความเจ็บตรงบริเวณท้ายทอยทำให้เปลือกตาบางต้องปิดลงอีกครั้งก่อนจะเปิดขึ้น เพดานขาวสะอาดตา คือสิ่งแรกยามเมื่อเปิดเปลือกตาเห็น กลิ่นอายภายในห้องนอนของบุรุษเพศมันทำให้เธอต้องดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ภายในห้องนอนตกแต่งด้วยสีขาวสะอาดตาแต่ยังคงแฝงไปด้วยความหรูหราชนิดที่ว่าเธอต้องอ้าปากค้าง ริมฝีปากเรียวเล็กขบเม้มเข้าหาสายตากวาดมองไปทั่วทั้งห้อง ที่นี่มันไม่ใช่ห้องของเธอ และมันก็ไม่ใช่ห้องของขุนเขา แล้วนี่มันเป็นห้องของใครกัน ดวงตากลมโตฉายแววสงสัยอย่างปิดไม่มิด เธอจำได้ว่าหลังจากเสร็จงานเธอกำลังเอาของมาเก็บที่รถของขุนเขา แล้วก็โดนชายชุดดำพร้อมกับร่างของม่านรุ้งเข้ามากระชากแขนแล้วหลังจากนั้นก็ไม่สามารถจำอะไรได้อีกเลยทุกอย่างมันดับมืด รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในห้องนอนของใครก็ไม่รู้ แกร๊ก แอด "ตื่นแล้วเหรอคะคุณผู้หญิง"ผู้หญิงในชุดแม่บ้านเดินเข้ามาในห้องนอนอย่างที่ปิ่นมุกไม่ได้ทันตั้งตัว ความกลัวมันทำให้เธอต้องขยับตัวถอนหนีจนแผ่นหลังแนบชิดติดกับหัวเตียง ดวงตากลมโตมองแม่บ้านสาวด้วยความหวาดระแวง "ไม่ต้องกลัวดิฉันหรอกค่ะ ดิฉันไม่มีวันคิ
สายตาฉ่ำหวานทอดมองไปยังชายหนุ่มรูปหล่อ ริมฝีปากกระตุกยิ้มใบหน้าหวานเชิดขึ้นเพราะคิดว่ายังไง ๆ ชายหนุ่มก็คงยังไม่หมดรักเธอ และเขาก็จะกลับมาหาเธอตามที่เคยได้สัญญาเอาไว้ ถึงจะมีข่าวในทางไม่ดีออกมาขุนเขาก็ต้องรับในตัวตนของเธอได้ ใช้มารยาหลอกล่อนิด ๆ หน่อยคนโง่งมงายก็เชื่อคำพูดหวาน ๆ ง่ายดายเหมือนกับอดีตที่แล้วมา 'แต่เธอคงจะลืมไปแล้วว่า กาลเวลาเปลี่ยนไปก็ทำให้ใจคนเปลี่ยนไปเหมือนกัน' "เราไปจากตรงนี้ดีกว่าครับปิ่น ผมได้กลิ่นไม่ค่อยจะดี"ฝ่ามือหนาเอื้อมไปคว้ามือเรียวเล็กกุมเอาไว้ นัยน์ตาสีดำสนิทสาดแววลุ่มลึกจ้องมองหน้าหญิงสาวอีกคนอย่างไร้ความรู้สึกอีกต่อไป "จะรีบไปไหนละคะขุน ไม่ดีใจหรือยังไงคะที่รุ้งกลับมา"สองเท้าบนส้นสูงขนาดห้านิ้วก้าวขายาวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาทอประกายวาววับราวกับไข่มุกกวาดมองไปทั่วทั้งร่างกายกำยำ ฝ่ามือเรียวเล็กหมายจะเอื้อมไปแตะแขนล่ำซำแต่ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ปัดออกไป ใบหน้าหล่อเหลาแสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาม่านรุ้งถึงกับหน้าซีกเผือก แขกในงานเริ่มหันมามอง ทำเอาม่านรุ้งต้องรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าโดยทันที "ไม่เอาสิคะขุน อย่าทำกับรุ้งแบบนี้สิคะ ไม่น่ารักเ
ห้องบอลรูมขนาดใหญ่ถูกออแกไนซ์ชื่อดังเนรมิตงานเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ออกมาได้ตามความต้องการของผู้จัดงาน ด้านหน้าของงานจะมีหุ่นจำลองโดยมีชุดเสื้อผ้าหลากหลายรูปสวมทับมันเอาไว้ เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ของปีนี้ตอบโจทย์คุณผู้หญิงทุกช่วงวัย มีทั้งของวัยรุ่นทั่วไป วัยทำงาน และปีนี้เธอต้องการวางแผนพุ่งเป้าไปยังเหล่าคุณหญิงคุณนายที่มีอายุแค่ยังคงรักความสวยงาม ไลฟสไตล์เสื้อผ้าของปีนี้เธอจะมีทั้งแนวสาวหวาน และแนวผู้หญิงชอบแต่งตัวลุ๊คเซ็กซี่ยังคงมีความหรูหราแอบแฝง แขกทุกคนต่างมองชุดเหล่านั้นด้วยความสนใจ เพราะทุกครั้งเจ้าของแบรนด์จะออกแบบชุดออกมาอย่างไม่ซ้ำใคร และครั้งนี้เองก็เช่นกัน ปิ่นมุกถือว่าเป็นผู้นำด้านเสื้อผ้าคนหนึ่งของประเทศไทยในตอนนี้ ซึ่งกว่าเธอจะมายืนอยู่ถึง จุดจุดนี่มันไม่ได้ง่าย ต้องผ่านอะไรมามากมายจนบางครั้งเธอรู้สึกเหนื่อย แต่ด้วยใจรักจึงต้องฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นจนได้มามีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองดั่งทุกวันนี้ 'หนูปิ่นมุกนี่เก็งจังเลยนะ ออกแบบเสื้อผ้าได้สวยเชียว เห็นทีดิฉันต้องไปสมัครเป็นลูกค้าประจำเสียแล้วสิ' 'นั่นสิคะ ดิฉันเห็นแล้วอยากจะกวาดซื้อไปให้หมดเลยค่ะ สวยทุกชุดเลย