ทะเบียนสมรสที่มีชื่อของทั้งสองปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษถูกยื่นไปให้กับสามีภรรยาป้ายแดงที่นั่งอยู่บนโซฟา ขุนเขาเพียงแค่ปรายสายตามองแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะหยิบใบทะเบียนสมรส
"ขอบคุณนะคะ"มือเรียวเล็กยื่นไปรับใบทะเบียนสมรส แววตาเรียบนิ่งมองชื่อของตัวเองก่อนที่จะเก็บใส่ซองใว้อย่างเป็นระเบียบ "เอาล่ะในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีหมดทุกอย่างแล้ว ถ้าอย่างนั้นเชิญทุกคนไปทานข้าวเช้ากันดีกว่า แม่บ้านคงจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว" "เชิญทางนี้เลยค่ะ"ทุกคนเดินตามคุณหญิงของบ้านออกไป เหลือไว้แค่เพียงลูกชายกับผู้เป็นพ่อที่ยังคงยืนจ้องหน้าไม่ไปไหน "พ่อทำแบบนี้ทำไม พ่อก็รู้ว่าผมไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น" "แล้วแกอยากแต่งงานกับใคร แม่นางแบบนั่นน่ะเหรอ หึ อย่าฝันให้มันมากนัก" "พ่อจงเกลียดจงชังอะไรรุ้งเธอนักหนา" "แกยังไม่รู้จักสันดานของนางนั่นดีพอ ถ้าแกรู้จักนางนั่นดีแกจะไม่ถามคำถามแบบนี้กับพ่อ ขุนเขา"บางทีคนเป็นพ่อก็นึกเกลียดตัวเองเหมือนกันที่ความฉลาดของเขามันไม่สามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกชายได้ มันถึงได้หลงไหลแม่นางแบบคนนั้นจนหน้ามืดตามัวจนไม่เห็นความเลวของแม่นางแบบคนนั้นเลย แววตาฉายถึงความสงสัยว่าผู้เป็นพ่อของตนพูดถึงอะไร แต่ก็เก็บเอาไว้ในใจเพียงเท่านั้น ท่ามกลางบรรยากาศของบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่สรรหาเรื่องต่าง ๆ มาคุยกัน แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ท่าน ส่วนเด็กอย่างเธอก็ได้แต่นั่งกินอาหารอย่างเงียบ ๆ หูก็ฟังเรื่องที่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน สมองของเธอนั้นกำลังขบคิดเรื่องของการออกแบบเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ "อุ๊ย"สัมผัสที่เจ็บตรงบริเวณปลายนิ้วเท้าทำเอาคนที่ไม่ทันระวังถึงกับร้องออกมา เสียงร้องของปิ่นมุกทำให้เสียงพูดคุยเงียบลงอย่างถนัดตา ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างหันมามองที่เธอเป็นตาเดียว "ลูกเป็นอะไรไปปิ่น ร้องซะเสียงดังเลยลูก" "นั่นสิหนูปิ่น หนูเป็นอะไรลูกเจ็บหรือไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า" "หนูไม่เป็นอะไรค่ะ แค่สงสัยใดมันจะกัดเอา"ว่าแล้วก็หันไปมองคนที่นั่งลอยหน้าลอยตา ไม่รู้สึกรู้สาอะไรในสิ่งที่ทำมันลงไป "มดที่ไหนกันคุณหญิง ในบ้านเรามีมดด้วยหรือ"เจ้าสัวรังสิมันต์หันไปถามภรรยาที่กำลังมองไปที่ลูกสะใภ้ด้วยความเป็นห่วง "ไม่มีนะคะ เมื่อเช้าแม่บ้านก็ทำความสะอาดหมดแล้วไม่หน้าจะมีมดหรือแมลงหลงเหลืออยู่"คุณหญิงกิ่งกาญจน์ถึงกับลงทุนก้มลงมุดไปใต้โต๊ะเพื่อจะหามดที่ว่า แต่แล้วสายตาของเธอก็ประทะเข้ากับมดตัวใหญ่ที่นั่งกระดิกนิ้วเท้าอย่างสบายใจ เซนต์ของคนเป็นแม่ก็พอจะเดาได้ว่าลูกสะใภ้ของเธอร้องเสียงหลงเพราะอะไร เดี๋ยวเถอะพ่อมดตัวใหญ่ เดี๋ยวได้รู้ฤทธิ์ของแม่มดตัวนี้ว่ามันจะร้ายกาจสักเพียงไหน "ว่าไงคุณหญิงเจอไอ้มดตัวนั้นไหม"ทันทีที่คุณหญิงเจ้าของบ้านกลับมานั่งบนเก้าอี้ดังเดิม เจ้าสัวรังสิมันต์ก็เอ่ยปากถาม "เจอค่ะ ตัวใหญ่ด้วยนะคะอีกเดี๋ยวดิฉันคิดว่าจะเอายาฆ่ามดมาฉีดปากมัน"ว่าแล้วส่งสายตาไปยังลูกมดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คิ้วทั้งสองข้างของเจ้าสัวรังสิมันต์ถึงกับขมวดเข้าหากัน "แค่มดตัวเดียวมึงอย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลยหน่า" "นั่นสิคะคุณรังสิมันต์คุณหญิงกิ่งกาญจน์ แค่มดตัวเดียวเองไม่เห็นต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลยค่ะ"สองสามีภรรยาที่พอจะเดาเรื่องทุกอย่างออกรีบเอ่ยปราม ถึงแม้ว่าภายในใจของทั้งสองจะรู้สึกไม่พอใจที่มีใครมาทำให้ลูกสาวของตัวเองเจ็บ แต่ถึงอย่างไรเขาทั้งสองก็ไม่อยากจะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ "ไม่ได้หรอกครับ ในเมื่อครั้งนี้มันกล้ากัด ครั้งหน้ามันก็คงจะต้องกลับมากัดอีก ผมควญจะทำให้มดตัวนั้นหลาจำว่าไม่ควรกัดใครสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ใช่ไหมไอ้ขุน"คนที่นั่งอารมณ์ดีที่ได้แกล้งหญิงสาวถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองออกจากปากของผู้เป็นพ่อ เสียงเรียบนิ่งติดเย็นของท่านทำเอาขุนเขาถึงกับขนลุกซู่ "พ่อว่าอะไรนะครับ เมื่อกี้ผมไม่ได้ฟัง" "พ่อแค่บอกว่า ตอนกลับจากที่ทำงานลูกแวะซื้อยาฆ่ามดมาด้วยนะ บ้านเรามดเยอะพ่อจะกำจัดพวกมัน"แววตาเจ้าเล่ห์แต่งด้วยรอยยิ้มของผู้เป็นพ่อนั้นทำเอาขุนเขาแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ "ผมขอตัวไปทำงานก่อนดีกว่านะครับ นี่ก็ใกล้จะสายแล้ว" "วันนี้พายุคงจะเข้าแน่เลยคุณหญิง ลูกชายของเราจะเข้าบริษัท" "นั่นสิคะ ส่งสัยฉันคงต้องไปเตรียมร่มแล้วมั้งคะคุณ ขากลับให้คนขับรถระวังด้วยนะคะเผื่อพายุจะเข้า"ร้อยวันพันปีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างขุนเขาไม่เคยคิดที่จะเข้าบริษัท แต่พอมาวันนี้คิดอยากจะเข้าขึ้นมาสงสัยจะกลัวภรรยายึดทุกสิ่งทุกอย่างไป บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับมาคืนครื้นเครงอีกครั้งเมื่อขุนเขาสามารถทำให้บนโต๊ะอาหารมีเสียงพูดคุยถึงเรื่องของเขาได้ เขาผิดตรงไหนที่วันนี้เกิดอยากจะเข้าบริษัทขึ้นมา หูฟังในสิ่งที่ครอบครัวของเขาและของเธอพูดคุยกันอย่างสนุกแต่แววตาของเขาจับจ้องไปยังร่างบางที่นั่งอยู่ตรงหน้า การกระทำของเขาในเมื่อครู่เธอไม่รู้สึกมันเลยหรืออย่างไรทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรขึ้นมาบ้าง "นี่แกจะเข้าบริษัทจริง ๆ ใช่ไหมไอ้ขุน" "ครับพ่อ ผมว่าจะเข้าไปดูบริษัทสักหน่อยเผื่อว่าพ่อจะใจดียกตำแหน่งประธานบริษัทให้ผมไว ๆ " "เรื่องนั้นแกยังไม่ต้องคิดในตอนนี้หรอก รอให้แกทำตัวให้เป็นผู้เป็นคนกว่านี้ก่อนฉันจึงจะยกบริษัทให้"คิดถึงแม้จะเป็นคำพูดเรียบง่ายแต่มันก็แฝงไปด้วยคมมีดที่บาดลึก ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดเหล่านั้นมันทำให้คนเขาถึงกับสะอึก สมองนึกย้อนกลับคิดมันก็จริงอย่างที่พ่อของเขาพูดถ้าเขาคืนยังทำตัวแบบนี้ต่อไปบริษัทของพ่อจะอยู่อย่างไร และความหวังทุกอย่างท่านก็คงจะไม่นำมาฝากไว้กับเขาลูกชายที่ทำตัวเสเพลไปวัน ๆ "ถ้าแกจะเข้าบริษัท ห้องเสื้อของหนูปิ่นเป็นทางผ่านไปบริษัท แกไปส่งน้องด้วยสิ" "ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณลุงเดี๋ยวหนูให้รถที่บ้านไปส่งก็ได้"ตอนนี้เธอไม่พร้อมที่จะอยู่กับเขาเพียงลำพังสองคน ไม่ใช่ว่าเธอกลัวแต่เธอขี้เกียจทะเลาะกับคนอย่างเขาดูก็รู้ว่าถ้าเธอมีโอกาสได้อยู่กับเขาสองคนก็คงไม่พ้นที่จะต้องทะเลาะกันแน่ ๆ "พ่อลืมบอกหนูไปเดี๋ยวพ่อกับคุณลุงจะต้องไปทำธุระกันต่อ หนูไปกับพี่ขุนเขานั่นแหละดีแล้ว" "แล้วคุณแม่ล่ะคะคุณพ่อ" "เดี๋ยวแม่จะไปทำสปากับคุณกิ่งกาญจน์ แต่ก็คงจะเอารถที่นี่ไป ลูกไปกับพี่ขุนเขาดีกว่านะลูก และอีกอย่างแม่ก็ไม่ไว้ในให้หนูไปแท๊กซี่ด้วย"ในเมื่อทุกคนดักทางเธอไว้แล้วคนอย่างเธอจะทำอะไรได้ หวังว่าการเดินทางร่วมกันในครั้งนี้เขาคงจะไม่ถีบเธอลงจากรถหรอกนะ "แกคงไม่ติดใจอะไรใช่ไหมไอ้ขุน ถ้าหากว่าพ่อจะให้หนูปิ่นติดรถไปกับแกด้วย" "ผมไม่ติดใจอะไรหรอกครับพ่อ"จะให้เขาตอบว่าติดใจเหรอ ช้อนส้อมที่อยู่ในมือของพ่อคงจะได้มาปักลงกลางหัวของเขาน่ะสิ เอาเถอะถึงอย่างไรมันก็คงจะไม่เสียหายอะไรและอีกอย่างเขาก็มีเรื่องอยากจะพูดกับเธออยู่เหมือนกันพอดี "รบกวนด้วยนะคะ" "อืม"เมื่อพ่อและแม่ของเธอไม่เหลือทางเลือกอะไรไว้ให้ ก็เลยทำให้ตอนนี้เธอต้องมานั่งร่วมใช้อากาศกับผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีป้ายแดงของเธอ ความเงียบภายในรถมันทำให้คนที่ไม่เต็มใจที่จะมารู้สึกอึดอัดซึ่งก็ไม่ต่างจากคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยที่ปรายสายตามามองหญิงสาวที่นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ "นี่คุณ"ปิ่นมุกเพียงแค่ปรายสายตาไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเพียงเท่านั้นก่อนที่จะหันไปมองทางนอกหน้าต่าง ขุนเขาถึงกับหัวเสียไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าเมินเฉยต่อผู้ชายที่แสนจะหล่อเหลาอย่างเขามาก่อน ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรก "นี่คุณ" ".." "นี่ปิ่นมุก ผมเรียกคุณตั้งนานคุณไม่ได้ยินเลยหรือไงห้ะ" "นี่คุณเรียกฉันเหรอคะ"ใครจะไปรู้ล่ะเห็นเรียก ๆ คุณ ๆ "ใช่สิ ในรถมีแค่คุณกับผมถ้าไม่ให้ผมเรียกคุณแล้วจะให้ผมเรียกใคร"ปิ่นมุกถึงกับลอบถอนหายใจ คิดผิดคิดถูกกันแน่ที่ยอมตกลงไปจดทะเบียนสมรสกับคนสติไม่สมประกอบแบบนี้ "คุณเรียกฉันมีธุระอะไรอย่างนั้นเหรอคะ"ดีหน่อยที่ตอนนี้รถจอดติดไฟแดง เธอถึงกล้าที่จะชวนเขาคุย ขุนเขาหันมามองหน้าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายก่อนที่จะเอ่ยปากถามในสิ่งที่เขาสงสัย "เท่าไหร่" "อะไรคะ เท
กริ๊ง เสียงประตูร้านที่ดังขึ้นยามเมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามาทำให้ พนักงานที่อยู่ในร้านหันมามองก็เห็นเจ้านายสาวของตัวเองเดินเข้ามาด้วยสภาพที่ไม่ว่าดูยังไงคนที่เป็นเจ้านายก็สวยอย่างหาที่ติไม่ได้ แต่ครั้งนี้คงจะไม่ใช่เมื่อสายตาของลูกน้องเห็นรอยแดงช้ำตรงแขนทั้งสองข้าง "คุณปิ่น แขนไปโดนอะไรมาคะเนี้ย" "เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวขนมช่วยไปซื้อยามาให้ฉันหน่อยนะนี่จ้ะเงิน"ธนาบัตรใบสีม่วงถูกยื่นไปให้พนักงานภายในร้าน ทั้งที่เจ็บแขนแทบยกขึ้นไม่ไหวแต่เธอก็ต้องแสดงสีหน้าเรียบนิ่งเอาไว้ "ค่ะ เดี๋ยวขนมจะรีบไปซื้อมาให้เลยค่ะ" "เดี๋ยวจ้ะขนม เอายาถุงนี้ไปทิ้งด้วยนะมันใกล้จะหมดอายุแล้วฉันไม่อยากใช้ กลัวเป็นผื่นคัน" "ได้ค่ะคุณปิ่น"ขนมรับถุงจากมือของเจ้านายก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปซื้อยาให้ผู้เป็นนายจากร้านขายยาที่อยู่ไม่ไกล ปิ่นมุกเดินเข้ามานั่งบนโซฟาภายในห้องทำงานก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาดู รอยแดงช้ำในตอนนี้มันคงจะอยู่ติดตัวของเธอไปหลายวันเอาเป็นว่าตอนนี้เธอคงจะไม่เข้าไปในบ้านใหญ่สักพัก และเธอก็ภาวะนาให้รอยช้ำที่แขนทั้งสองข้างหายทันก่อนที่จะถึงวันแต่งงานภายในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ฤกษ์ที่แม่ของขุ
"คุณปิ่นคะ มีคนมาหาค่ะ" "ใครกัน"นั่นสิใครกันเพราะตอนนี้เป็นเวลาเย็นซึ่งเป็นเวลาที่เธอเลิกงานและกำลังจะกลับบ้านน้อยคนนักที่จะเข้ามาพบเธอในช่วงเวลานี้ "ผมเอง"น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นก่อนที่ร่างของขุนเขาจะปรากฎกายมายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องทำงาน "ผู้ชายคนนี้แหละค่ะที่ต้องการพบคุณปิ่น" "ขนมไปเก็บของเถอะจ้ะ แล้วก็ฝากปิดร้านให้ด้วยนะ" "ได้ค่ะคุณปิ่น"หลังจากที่ขนมเดินออกไปภายในห้องทำงานก็ตกอยู่ในความเงียบ แววตาคมกริบมองไปที่แขนของหญิงสาวที่ยังคงเป็นรอยแดงช้ำ "ยังเจ็บแขนอยู่ไหม" "คุณมีธุระอะไรคะถึงได้มาหาฉัน"สายตาสงสารหรือแววตาที่สื่อถึงความรู้สึกผิดเธอไม่ต้องการ "คุณแม่ให้ผมมารับคุณไปส่งที่บ้าน" "ไม่จำเป็นหรอกคะฉันกลับแท๊กซี่เองได้"เธอไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงอย่างเขาตลอดไป และเธอก็ไม่อยากที่จะเข้าใกล้ผู้ชายที่อันตรายแบบเขาด้วย ยิ่งอยู่ใกล้ก็รู้สึกถึงความอันตราย "อย่ามาอวดดีกับผมปิ่นมุก" "ฉันไม่ได้อวดดีค่ะ แต่ฉันยืนยันที่จะกลับด้วยตัวเอง โอ๊ย"ความเจ็บที่ต้นแขกเพราะถูกแรงกระชากทำให้ปิ่นมุกถึงกับต้องร้องออกมา แววตาเรียบนิ่งมองฝ่ามือหนาที่จับแขนของเธอเอาไว้ "ปล่
และมันก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อเช้าวันต่อมารูปของขุนเขาและม่านรุ้งที่กำลังดินเนอร์มื้อหรูท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติกถูกวางลงบนปกหนังสือGossipบันเทิงทุกฉบับ พร้อมกับคำบรรยายที่ทำเอาคนที่ได้อ่านต่างคิดกันไปต่าง ๆ นา ๆว่า ทั้งคู่มีแพลนที่จะเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์ในไม่ช้านี้ ปึก "นี่มันอะไรกันขุน ไหนอธิบายให้แม่กับพ่อเข้าใจหน่อยว่ารูปบ้า ๆ ที่อยู่ในหนังสือนี่มันคืออะไร"สายตาเรียบนิ่งมองรูปที่เขาไปดินเนอร์กับแฟนสาวที่ปรากฎอยู่ในหลังสือ ก่อนที่จะหันไปมองพ่อและแม่ที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ "ก็แค่ผมกับรุ้งไปดินเนอร์กันสองคนมันผิดตรงไหนครับ" "นี่แกยังมีหน้ามาถามอีกเหรอว่าผิดตรงไหน หรือจะต้องให้แม่บอกแกว่ามันผิดตรงที่แกมีเมียแล้ว" "รุ้งเธอก็เป็นเมียของผมเหมือนกันนะครับ"สายตาของคุณหญิงกิ่งกาญจน์แทบจะถลนออกมาจากเบ้าตา ไม่ต่างจากสีหน้าของเจ้าสัวรังสิมันต์ที่เรียบตึงขึ้นอย่างถนัดตา "แกบอกว่าแม่นางแบบนั่นเป็นเมียของแกเหมือนกันใช่ไหมไอ้ขุน"คำถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แอบแฝงไปด้วยความดุดันทำเอาขุนเขาเสียวสันหลังวาบ ยิ่งเมื่อเขาได้เห็นสายตาเรียนนิ่งมันยิ่งทำให้เขาลุกเดินออกไปจากห้อ
"ขยันเป็นข่าวจังเลยนะแกในแต่ละวัน"ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีพั้นช์ขยับยิ้มออกมาอย่างถูกอกถูกใจ ใครจะคิดล่ะว่าการที่เธอออกไปดินเนอร์เมื่อวานจะกลายเป็นข่าวดังในระดับประเทศของวันนี้ แถมหัวข้อข่าวยังทำให้เธอถูกอกถูกใจยิ่งขึ้นไปอีก "ดูเหมือนว่าแกมีความสุขมากเลยนะตอนนี้" "แน่นอน ฉันมีความสุขมาก"ผู้จัดการที่พ่วงด้วยตำแหน่งเพื่อนซี้อย่างนิต้าถึงกับต้องกลอกสายตาไปมาอย่างนึกหมั้นไส้เพื่อนรักอย่างม่านรุ้งที่นั่งจิบไวน์อย่างมีความสุขกับข่าวใหม่ในวันนี้ "เออนี่ แล้วงานถ่ายแบบที่พัทยาคราวที่แล้วที่ฉันไม่ได้ไปด้วยเป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม" "ระดับนางแบบแถวหน้าของเมืองไทยอย่างฉันไม่มีคำว่าพลาด ทุกอย่างเรียบร้อยแกวางใจได้" "ก็ดี เออนี่ฉันได้ข่าวมาว่าทางแบรนด์เสื้อผ้าPMที่กำลังมาแรงในตอนนี้กำลังจะเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่และทางเจ้าของแบรนด์กำลังหานางแบบเพื่อที่จะเอาไปใส่งานที่จะจัดการเดินแบบ แกสนใจไหม" "แบรนด์เสื้อผ้าอะไรฉันไม่เคยได้ยิน"คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเป็นปมเมื่อเอ่ยถามถึงแบรนด์เสื้อผ้าที่ผู้จัดการของตัวเองเอ่ยถึง "นี่แกไปอยู่ที่ไหนมาห๊ะ ถึงไม่รู้จักเสื้อผ้าแบรนด์นี้" "เ
"ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ"มือบางของทั้งคู่จับมือทักทายกันตามประสา สายตาของขุนเขามองคนที่เป็นภรรยาที่ยืนยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรที่เขาพาคนรู้ใจเขามาเลือกเสื้อผ้าในร้านของเธอ แถมเธอยังไม่คิดที่จะหันมาชายตาแลเขาอีกนี่เธอไม่เห็นเขาที่ยืนอยู่หรืออย่างไรกัน ดูสิยืนคุยกับคนรักของเขาอย่างเพลิดเพลินเลย "ถ้าคุณม่านรุ้งสนใจตัวไหนบอกปิ่นได้เลยนะเดี๋ยวปิ่นจะจัดการให้" "ขอบคุณมากเลยนะคะคุณปิ่น ดูสิคะขุนคุณปิ่นเธอใจดีกับรุ้งด้วย"ม่านรุ้งหันไปซบหน้าลงกับท่อนแขนของแฟนหนุ่มอย่างคนที่ดีอกดีใจ แววตาเจ้าเล่ห์ของคนที่คิดแผนอะไรได้มองไปยังภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ยืนนิ่ง ฝ่ามือหนาโอบเอวบางแบบเข้ากับลำตัวก่อนที่จมูกโด่งก้มลงแตะกับแก้มขาว สายตาของคนที่อยู่เหนือกว่ามองมาที่คนกำลังยืนนิ่งเหมือนเขาต้องการบอกให้เธอรู้ว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดสำคัญกับเขาเพียงไหน "อุ๊ย ขุนทำอะไรอายคุณปิ่นมุกเธอบ้างสิคะ" "ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณรุ้งปิ่นไม่ถือ" "รุ้งต้องขอโทษแทนแฟนของรุ้งด้วยนะคะที่ชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อ ขุนทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะคะอายคุณปิ่นบ้างสิ"ม่านรุ้งหันไปเอ็ดแฟนหนุ่มอย่างไม่จริงจังมากนัก โดยที่เธอไม่รู้เลยว่
"ไม่ว่าง"ทุกคนที่อยู่ภายในร้านหันไปมองที่ขุนเขาเป็นตาเดียวไม่เว้นแม้แต่ม่านรุ้งที่ต้องละสายตาจากโทรศัพท์หันมาสนใจแฟนหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนตะเบ่งเสียงออกไปด้วยความไม่พอใจ "คุณเป็นใครกันครับถึงได้มาตอบคำถามแทนคุณมุกของผม" "ก็ผมเป็นผะ.. เป็นลูกค้าของร้านนี้ยังไงล่ะ"อารมณ์ร้อนรุ่มที่กระจายอยู่ข้างในทำให้เขาเกือบที่จะเผลอพูดเรื่องที่ปิดบังเอาไว้ออกไป "เป็นแค่ลูกค้ามีสิทธิ์อะไรล่ะครับ คนรู้จักก็ไม่ใช่ จริงไหมครับคุณปิ่นมุก"คนที่ยืนหอบช่อดอกไม้อยู่ได้แต่ส่งยิ้มให้ "แต่ผมเป็นลูกค้า และผมก็คิดว่าคนที่เป็นเจ้าของร้านควรจะอยู่บริการลูกค้าให้เสร็จก่อนดีกว่านะครับ ก่อนที่จะออกไปเที่ยวที่ไหนกับใคร"ประโยคสุดท้ายคนที่ยืนมองด้วยความไม่พอใจได้แต่กัดฟันพูด นึกในใจว่าถ้าเธอออกไปตามคำเชิญชวนของผู้ชายคนนี้ก็คงจะได้เห็นดีกัน "คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะคะดิฉันเป็นมืออาชีพพอที่รู้ว่าอะไรควรมาก่อนมาหลัง ดิฉันแยกแยะออกค่ะว่าอะไรมันคือเรื่องงานและอะไรมันคือเรื่องส่วนตัว" "เอาเป็นว่าหลังจากที่เสร็จลูกค้ารายนี้แล้ว ปิ่นจะไปกับคุณนะคะคุณภูผา"สองมือหนาของขุนเขากำเข้าหาแน่น เมื่อได้ยินคำตอบที่ออกมาจากปากของภรรยาสาว สายตา
"ห้ามไปกับมัน"ทันทีที่ปิ่นมุกเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าขุนเขาก็เอ่ยลั่นวาจาที่ทำเธอถึงกับต้องขมวดคิ้วเข้าหา "ไปไหนคะ" "ก็ไปกับไอ้นั่นไง เธอห้ามไปกับมันเด็ดขาดเข้าใจไหม" "คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉันคะ"แขนเรียวทั้งสองยกขึ้นมากอดอก สายตาเรียบนิ่งมองสีหน้าบึ้งตึงของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีกำลังมองมาที่เธออยากกับจะกินเลือดกินเนื้อ "ก็สิทธิ์ของความเป็นผัวไง เธออย่าลืมนะปิ่นมุกว่าเธอกับฉันเราสองคนจดทะเบียนเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว คิดจะทำอะไรก็นึกไว้หน้าฉันบ้าง" "หึ ๆ "ปิ่นมุกถึงกับร้องขำในลำคอเมื่อได้ยินสิ่งที่ขุนเขากำลังต่อว่าตักเตือนเธอ นัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความเย็นชามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าวาจาที่ออกมาจากปากของปิ่นมุกทำเอาขุนเขาถึงกับต้องสะอึกจนพูดอะไรไม่ออก "ฉันไม่ได้ลืมหรอกค่ะว่าฉันเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณ แต่คุณสิคะที่ดูเหมือนว่าจะลืมไปว่าเราสองคนจดทะเบียนสมรสกันแล้ว และคุณก็เป็นสามีของฉัน เพราะถ้าคุณจำได้คุณคงไม่จูบแฟนของคุณต่อหน้าภรรยาอย่างฉัน" "ฉันพูดถูกไหมคะ"คำพูดที่ออกมาจากปากของปิ่นมุกทำเอาขุนเขาถึงกลับไปไม่เป็น ได้แต่ยืนตัวแข็งจ้องหน้าเธอด้วยสายตาไม่พอใจ "ฉันจะ
"พี่จัดการตามที่เห็นสมควรได้เลยครับ" "แกไม่ติดใจอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแล้วแน่นะ"ปลายสายถามอย่างต้องการความแน่ใจ "หึ ไม่แล้วล่ะครับ ผู้หญิงแบบนั้นผมคงไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อนร่วมโลกแล้วล่ะครับ"นัยน์ตาอ่อนแสงมองแผ่นหลังขาวนวลของผู้เป็นภรรยา ริมฝีปากหยักหนาขยับพูดกับคนในที่อยู่ในสายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก "แกใจเด็ดมากเลยรู้ไหมขุนเขา ฉันล่ะยอมรับในตัวของแกจริง ๆ " "อะไรที่ทำให้พี่คิดแบบนั้นครับ"ดวงตาคมกริบยังคงทอดมองไปยังร่างอุ้ยอ้ายของภรรยาที่กำลังอุ้มท้องลูกชายวัยเจ็ดเดือนของเขาอยู่ ใบหน้าสวยของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานเมื่อได้ออกมาเที่ยวพักผ่อนหลังจากนอนอุดอู้อยู่แต่บ้านเพราะด้วยอาการแพ้ท้องมาหลายเดือน สองเท้าเรียวเล็กถูกสวมด้วยรองเท้าแตะสีเดียวเข้ากับชุดคลุมสีขาวเดินก้าวไปตามหาดทายสีขาว ด้านหน้าของเธอนั้นคือท้องทะเลสีครามกับบรรยากาศในช่วงเย็น และอีกไม่กี่นาทีดวงตะวันก็คงจะลาลับขอบฟ้าก่อนจะเปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นแสงจันทราแทน "ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นก็คงยังมีความรู้สึกดี ๆ หลงเหลือให้กับแฟนเก่าอยู่บ้าง" "ความรู้สึกพวกนั้นมันตายจากผมไปหมดแล้วครับ ตั้งแต่เรื่องที่เ
ความเงียบยังคงปกคลุมภายในห้องรับแขกเมื่อทั้งสองครอบครัวต่างนั่งมองหน้าสบตากันด้วยความหนักใจ เห็นแต่จะมีเพียงขุนเขาคนเดียวที่นั่งกระสับกระส่ายอย่างคนร้อนรุ่มอยู่ในใจ "ทุกคนเงียบกันทำไมครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มีความคิดที่จะหย่ากับปิ่นเลยสักนิด ทุกคนก็รู้ ปิ่นเองก็รู้ดีว่าผมรักปิ่น"แววตาของเขาฉายแววแน่วแน่ยามเมื่อลอบมองเธอ "ขุนเขา ใจเย็น ๆ แล้วฟังหนูปิ่นพูดก่อนนะลูก" "เมียกำลังจะขอหย่าจะให้ผมใจเย็นได้ยังไงครับแม่"คุณหญิงกิ่งกาญจน์ถึงกับมีสีหน้าหนักใจ ไม่รู้วันนี้ลูกชายของตัวเองไปกินอะไรผิดสำแดงมา ถึงค้านหัวชนฝาไม่ฟังความอะไรเลย "ไอ้ขุน พ่อว่าแกใจเย็น ๆ ตามที่แม่แกบอกก่อนนะ แกเงียบปากให้หนูปิ่นได้พูดอะไรบ้าง แกเอาแต่แหกปากโวยวายแล้วหนูปิ่นจะมีโอกาสพูดได้อย่างไร" "พ่อไม่เป็นผมพ่อไม่เข้าใจหรอกว่าการที่จะต้องถูกเมียทิ้งมันเจ็บปวดขนาดไหน" "เห้อ อาการหนักแล้วลูกกู"เจ้าสัวรังสิมันต์ถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการคิดเองเออเองของเจ้าลูกชาย "ขุนเขาลูก นั่งลงก่อนนะคะเด็กดี"คำพูดเปรียบดั่งสายน้ำเย็นเฉียบของคุณหญิงเพียงเพ็ญทำเอาคนเจ้าอารมณ์เริ่มสงบนิ่งลง เธอรู้ดีว่าการ
คำบอกรักในคืนวันนั้นก่อเกิดเป็นความรักอันแสนเปี่ยมล้นในวันนี้ ช่วงเวลาชั่งพัดผ่านไปเร็วเสียจริง ๆ แต่ก็นั่นเถอะความรักของทั้งเขาและเธอก็ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ความกังวลหายไปจากใจเมื่อความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายถูกเปิดเผยกันออกมาอย่างหมดเปลือก ความรู้สึกของทั้งคู่ที่คิดตรงต่อกันนั้นมันทำให้ทั้งสองเปิดใจศึกษาเรียนรู้การใช้ชีวิตคู่มากยิ่งขึ้น ดวงตากลมโตมองแท่งสีขาวที่อยู่ในมือ ไออุ่นไร้รูปร่างที่ไม่อาจจะบรรยายได้เอ่อล้นขึ้นมาเติมหัวใจทีละเล็ก ขีดสีแดงสองขีดนั้นมันทำให้คนที่กำลังจะได้เป็นแม่ถึงกับน้ำตาเอ่อคลอ ฝ่ามือเรียวเล็กอันสั่นเทาค่อย ๆ ยกขึ้นมาวางนาบบนหน้าท้องแบบราบซึ่งตอนนี้กำลังมีเจ้าก้อนความรักของเธออยู่ในนั้น หลังจากความเลวร้ายผ่านพ้นไป ชีวิตเธอก็เปรียบเหมือนเจ้าหญิงในนิยายที่มีเจ้าชายคอยดูแลเป็นอย่างดี ใครเล่าจะคิดว่าผู้ชายไม่เอาไหนอย่างขุนเขา จะเข้าไปบริหารงานในบริษัทจนทำให้ตอนนี้ตนเองเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการและผู้บริหารคนอื่น ๆ เมื่อเขาสามารถทำให้มูลค่าของกำไรไตรมาสของปีนี้เพิ่มขึ้นได้อีกเท่าตัว นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง สร้างความภูมิใจให้กับเจ้าสัวรังสิมันต์แ
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ห้ะ แล้วนี่พี่มาเมืองไทยเมื่อไหร่ทำไมไม่บอกผม"ฝ่ามือหนายกขึ้นมาเท้าสะเอว น้ำเสียงติดเข้มเอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องของตัวเองที่ยืนเก๊กหล่อจิบเหล้าอย่างสบายใจ "ก็แค่มาพักผ่อน อีกสองสามวันเดี๋ยวก็กลับ" "อย่ามาโกหก คนที่มีงานกองเป็นภูเขาจนท่วมหัวอย่างพี่น่ะหรือจะมีเวลามาพักผ่อน"ดวงตาคมกริบมองพี่ชายด้วยสายตาจับผิด คนอย่างเซบาสเตียนเจ้าพ่อมาเฟียนะหรือมีเวลาว่างมาพักผ่อนถึงเมืองไทย ใครจะไปเชื่อลง "ตั้งแต่มีเมียรู้สึกว่าแกฉลาดมากขึ้นเลยนะขุนเขา" "นี่พี่คงไม่กำลังหลอกด่าผมอยู่ใช่หรือเปล่า" "ก็แล้วแต่แกจะคิด"เซบาสเตียนยกไหล่ทั้งสองข้าง ฝ่าเท้าใหญ่ก้าวมายังโซฟาสีขาวตรงกลางห้อง ร่างกำยำกระแทกตัวนั่งลงจิบเหล้าในแก้วอย่างสบายใจ ต่างจากน้องชายอีกคนที่ยืนมองเขาหน้าตูม "พี่ใช่ไหมที่เป็นคนส่งข้อความบ้า ๆ นั่นไปหาผม" "ใช่ ฉันเป็นคนส่งไปเอง"คำตอบของเซบาสเตียนทำเอาอารมณ์ของขุนเขาเดือดพล่าน ขายาว ๆ ทั้งสองข้างก้าวมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาโกรธเคืองอย่างถึงขีดสุด มือที่ถือปืนถึงกับเกิดอาการสั่นจนทำเขาต้องควบคุมมันเอาไว้ "แล้วตอนนี้เมียผมอยู่ที่ไหน พี่ได้ทำอะไรเธอหรือเปล่า" "แ
"พวกโง่ แค่เมียกูคนเดียวยังไม่มีปัญญาหาเจอ"ใบหน้าสง่างามของขุนเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย แววตาเกรี้ยวกราดกวาดมองลูกน้องของตัวเองที่เรียงแถวยืนก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา ภายในห้องรับแขกชั่งร้อนระอุดังกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ เหล่าลูกน้องแทบจะก้มหน้าจนติดกับพื้น เมื่อเจ้านายตัวเองมองพวกเขาราวกับจะฉีกออกเป็นชิ้น ๆ "พวกผมขอโทษครับนาย แต่แถวนั้นมืดมากเราไม่สามารถเห็นรถต้องสงสัยหรือว่าสิ่งที่น่าเป็นพิรุธได้เลยครับ" "ดึกแบบนั้นมันจะมีรถกี่คันวิ่งออกจากโรงแรมล่ะไอ้พวกโง่ ไปเลยนะพวกมึงไปตามหาตัวของเมียกูให้เจอ ถ้าพวกมึงไม่เจอก็อย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีก"สีหน้าดุร้ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของเราลูกน้อง ทำเอาการ์ดนับสิบต้องรีบวิ่งออกไปจากห้องรับแขก "ไอ้พวกโง่"ร่างหนาใหญ่กระแทกตัวลงนั่งลงบนโซฟาอย่างกลัดกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าเมียของเขาหายตัวไปไหน เดินกลับมาที่รถก็เห็นข้าวของมากมายหล่นกระจายอยู่ข้างรถ ไร้วี่แววของคนเป็นภรรยา ในใจมันร้อนรุ่มกลัวว่าอีกคนจะเป็นอะไรหรือจะได้รับอันตราย จนต้องเกณฑ์ลูกน้องออกตามหา แต่มันก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน เพราะมุมจอดรถของเขากล้องวงจรปิดดันมาเสีย แถมลานจอดรถตอนนั้นยังไร้
ย้อนกลับไป ยามรุ่งเช้าของวันเดียวกัน ณ โกดังท่าเรือส่งสินค้า ของ ตระกูล สุริยะศิวา ซ่า น้ำสีขุนถังใหญ่ถูกสาดลงไปบนร่างเย้ายวนของคนหลับใหลอยู่บนพื้น ความเย็นบวกกับกลิ่นเหม็นทำให้คนที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ กรี๊ด "อ๊าย นี่มันอะไรกับเนี่ย ไอ้พวกบ้าพวกแกเล่นอะไรกัน"เสียงกรีดร้องโวยวายตามเมื่อได้ลืมตาตื่น ร่างเปียกปอนลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากเพราะว่ามือทั้งสองข้างถูกจับไขว้หลังมัดติดกันเอาไว้ กรี๊ด "นี่มันอะไรกัน พวกแกมันฉันไว้ทำไม แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ"น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดใส่ชายชุดดำร่างใหญ่ ซึ่งเธอจำได้ว่าคนพวกนี้เป็นลูกน้องของเซบาสเตียน "เซบาสเตียน คุณอยู่ที่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"นี่เขาต้องการเล่นบ้าอะไรกันทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่าหลังจากได้ตัวของปิ่นมุกก็จะปล่อยเธอไป "จะเสียงดังไปทำไมกัน ไม่เจ็บคอหรือไง" "นี่คุณกำลังเล่นตลกอะไรกับฉันอยู่ แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะเซบาสเตียน"ดวงตาดุร้ายจ้องมองไปยังชายร่างกำยำที่เดินออกมาจากมุมมืด แววตาดุร้ายแฝงไปด้วยความอำมหิตโหดเหี้ยมมันทำให้คนแหกปากร้องในตอนแรกสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว แววตานี้มันเหมือนกับแววตาที่เขาให้มอ
เปลือกตาอันแสนหนักอึ้งค่อย ๆ เปิดขึ้นหลังจากหลับใหลมาร่วมหลายชั่วโมง ความเจ็บตรงบริเวณท้ายทอยทำให้เปลือกตาบางต้องปิดลงอีกครั้งก่อนจะเปิดขึ้น เพดานขาวสะอาดตา คือสิ่งแรกยามเมื่อเปิดเปลือกตาเห็น กลิ่นอายภายในห้องนอนของบุรุษเพศมันทำให้เธอต้องดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ภายในห้องนอนตกแต่งด้วยสีขาวสะอาดตาแต่ยังคงแฝงไปด้วยความหรูหราชนิดที่ว่าเธอต้องอ้าปากค้าง ริมฝีปากเรียวเล็กขบเม้มเข้าหาสายตากวาดมองไปทั่วทั้งห้อง ที่นี่มันไม่ใช่ห้องของเธอ และมันก็ไม่ใช่ห้องของขุนเขา แล้วนี่มันเป็นห้องของใครกัน ดวงตากลมโตฉายแววสงสัยอย่างปิดไม่มิด เธอจำได้ว่าหลังจากเสร็จงานเธอกำลังเอาของมาเก็บที่รถของขุนเขา แล้วก็โดนชายชุดดำพร้อมกับร่างของม่านรุ้งเข้ามากระชากแขนแล้วหลังจากนั้นก็ไม่สามารถจำอะไรได้อีกเลยทุกอย่างมันดับมืด รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในห้องนอนของใครก็ไม่รู้ แกร๊ก แอด "ตื่นแล้วเหรอคะคุณผู้หญิง"ผู้หญิงในชุดแม่บ้านเดินเข้ามาในห้องนอนอย่างที่ปิ่นมุกไม่ได้ทันตั้งตัว ความกลัวมันทำให้เธอต้องขยับตัวถอนหนีจนแผ่นหลังแนบชิดติดกับหัวเตียง ดวงตากลมโตมองแม่บ้านสาวด้วยความหวาดระแวง "ไม่ต้องกลัวดิฉันหรอกค่ะ ดิฉันไม่มีวันคิ
สายตาฉ่ำหวานทอดมองไปยังชายหนุ่มรูปหล่อ ริมฝีปากกระตุกยิ้มใบหน้าหวานเชิดขึ้นเพราะคิดว่ายังไง ๆ ชายหนุ่มก็คงยังไม่หมดรักเธอ และเขาก็จะกลับมาหาเธอตามที่เคยได้สัญญาเอาไว้ ถึงจะมีข่าวในทางไม่ดีออกมาขุนเขาก็ต้องรับในตัวตนของเธอได้ ใช้มารยาหลอกล่อนิด ๆ หน่อยคนโง่งมงายก็เชื่อคำพูดหวาน ๆ ง่ายดายเหมือนกับอดีตที่แล้วมา 'แต่เธอคงจะลืมไปแล้วว่า กาลเวลาเปลี่ยนไปก็ทำให้ใจคนเปลี่ยนไปเหมือนกัน' "เราไปจากตรงนี้ดีกว่าครับปิ่น ผมได้กลิ่นไม่ค่อยจะดี"ฝ่ามือหนาเอื้อมไปคว้ามือเรียวเล็กกุมเอาไว้ นัยน์ตาสีดำสนิทสาดแววลุ่มลึกจ้องมองหน้าหญิงสาวอีกคนอย่างไร้ความรู้สึกอีกต่อไป "จะรีบไปไหนละคะขุน ไม่ดีใจหรือยังไงคะที่รุ้งกลับมา"สองเท้าบนส้นสูงขนาดห้านิ้วก้าวขายาวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาทอประกายวาววับราวกับไข่มุกกวาดมองไปทั่วทั้งร่างกายกำยำ ฝ่ามือเรียวเล็กหมายจะเอื้อมไปแตะแขนล่ำซำแต่ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ปัดออกไป ใบหน้าหล่อเหลาแสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาม่านรุ้งถึงกับหน้าซีกเผือก แขกในงานเริ่มหันมามอง ทำเอาม่านรุ้งต้องรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าโดยทันที "ไม่เอาสิคะขุน อย่าทำกับรุ้งแบบนี้สิคะ ไม่น่ารักเ
ห้องบอลรูมขนาดใหญ่ถูกออแกไนซ์ชื่อดังเนรมิตงานเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ออกมาได้ตามความต้องการของผู้จัดงาน ด้านหน้าของงานจะมีหุ่นจำลองโดยมีชุดเสื้อผ้าหลากหลายรูปสวมทับมันเอาไว้ เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ของปีนี้ตอบโจทย์คุณผู้หญิงทุกช่วงวัย มีทั้งของวัยรุ่นทั่วไป วัยทำงาน และปีนี้เธอต้องการวางแผนพุ่งเป้าไปยังเหล่าคุณหญิงคุณนายที่มีอายุแค่ยังคงรักความสวยงาม ไลฟสไตล์เสื้อผ้าของปีนี้เธอจะมีทั้งแนวสาวหวาน และแนวผู้หญิงชอบแต่งตัวลุ๊คเซ็กซี่ยังคงมีความหรูหราแอบแฝง แขกทุกคนต่างมองชุดเหล่านั้นด้วยความสนใจ เพราะทุกครั้งเจ้าของแบรนด์จะออกแบบชุดออกมาอย่างไม่ซ้ำใคร และครั้งนี้เองก็เช่นกัน ปิ่นมุกถือว่าเป็นผู้นำด้านเสื้อผ้าคนหนึ่งของประเทศไทยในตอนนี้ ซึ่งกว่าเธอจะมายืนอยู่ถึง จุดจุดนี่มันไม่ได้ง่าย ต้องผ่านอะไรมามากมายจนบางครั้งเธอรู้สึกเหนื่อย แต่ด้วยใจรักจึงต้องฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นจนได้มามีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองดั่งทุกวันนี้ 'หนูปิ่นมุกนี่เก็งจังเลยนะ ออกแบบเสื้อผ้าได้สวยเชียว เห็นทีดิฉันต้องไปสมัครเป็นลูกค้าประจำเสียแล้วสิ' 'นั่นสิคะ ดิฉันเห็นแล้วอยากจะกวาดซื้อไปให้หมดเลยค่ะ สวยทุกชุดเลย