รถตู้สำหรับครอบครัวแล่นเข้ามาจอดในบริเวณคฤหาสน์หลังใหญ่บริเวณโดยรอบตกแต่งได้อย่างหน้าอยู่และลงตัวกลมกลืนกับตัวคฤหาสน์หลังสีขาวสะอาดตา
"ถึงแล้วลูก"นี่คือเสียงของผู้เป็นพ่อที่ดังขึ้นก่อนที่ประตูรถจะเปิดออก "ไม่ต้องกังวลอะไรนะลูก แม่จะคอยอยู่ข้าง ๆหนูเอง"ปิ่นมุกได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ ไปให้พูดเป็นแม่ก่อนที่เธอจะก้าวขาลงจากรถ ร่างบางของปิ่นมุกในวันนี้อยู่ในชุดเดรสสีขาวมุกซึ่งชุดนี้เป็นชุดแบรนด์ที่เธอออกแบบขึ้น ซึ่งชุดนี้สามารถทำยอดขายได้อย่างถล่มทลายเรียกได้ว่าเพียงแค่สามวันเท่านั้นชุดที่เธอใส่อยู่ในตอนนี้ถูกขายจนหมดเรียบ นี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เธอภาคภูมิใจไม่เสียแรงที่อุตส่าห์เรียนด้านนี้มา "มากันแล้วเหรอวะ"ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าคมเข้มเดินออกมาต้อนรับ ซึ่งนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าสัวรังสิมันต์นั้นเองที่เดินออกมาต้อนรับเพื่อนสนิท "ถ้ากูไม่มามึงก็คงไม่เห็น" "มึงนี่ยังกวนตีนกูไม่เคยเปลี่ยน"สองเพื่อนรักโผเข้ากอดกัน มิตรภาพของทั้งสองยาวนานมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย "นี่น่ะเหรอ หนูปิ่นมุกตัวสวยได้คุณหญิงจริง ๆ เลยนะครับ" "คุณรังสิมันต์ก็ชมเกินไปนะคะ"เพียงเพ็ญถึงกับดีใจที่ใคร ๆ ก็ชมว่าลูกสาวสวยเหมือนเธอ "สวัสดีค่ะคุณลุง" "คุณลงคุณลุงอะไรกัน เรียกพ่อเถอะอีกไม่นานหนูก็จะมาเป็นลูกสะใภ้ของบ้านนี้แล้ว"เจ้าสัวรังสิมันต์มองว่าที่ลูกสะใภ้ของตัวเองนั้นด้วยความชอบใจ ผู้หญิงอย่างลูกสาวเพื่อนคนนี้สิ ถึงเหมาะที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ ทั้งสวย เพรียบพร้อมทั้งชาติตระกูลดี เรียนเก่งจบปริญญามาตั้งแต่เมืองนอก แถมยังขยันทำงานมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองแถมยังเป็นรองประธานบริษัทอีก แบบนี้ไม่อยากให้เขาได้มาเป็นลูกสะใภ้ได้ยังไงล่ะ "แล้วนี่เจ้าลูกชายตัวร้ายของมึงรู้หรือยังว่ะ ว่าต้องจดทะเบียนสมรสกับลูกสาวของกูวันนี้" "หึ"เพียงแค่มองเข้าไปนัยน์สายตาของเพื่อนรัก เจ้าสัวธนินท์ก็รู้ได้โดยทันที "เข้าไปในบ้านกันเถอะ ทนายของกูกับเจ้าหน้าที่จากเขตมาถึงได้สักพักแล้ว"สองเพื่อนรักกอดคอกันเดินเข้าไปโดยที่มีปิ่นมุกและผู้เป็นแม่เดินตามหลังเข้าไปติด ๆ ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสูทสีดำเรียบง่ายสาวเท้าเดินฮำเพลงลงบันไดมาอย่างอารมณ์ดี โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า อิสระภาพของชายโสดกำลังจะหมดไปภายในอีกไม่ช้า สองเท้าเดินก้าวเข้าไปในห้องรับแขก ดวงตาคู่คมเบิกโพลงเมื่อเห็นพ่อและแม่ของเขากำลังนั่งคุยอยู่กับครอบครัวของเจ้าสัวธนินท์เพื่อนรักเพื่อนตายของผู้เป็นพ่อ แถมการมาเยือนของเจ้าสัวธนินท์ในครั้งนี้ มีว่าที่เจ้าสาวของเขานั่งอยู่ด้านข้างด้วย "นี่มันอะไรกันครับคุณพ่อ คุณแม่" "แกอย่ามาเสียมารยาทต่อหน้าแขกของพ่อนะขุนเขา"นัยน์ตาเรียบนิ่งและดุดันทำเอาขุนเขานั้นถึงกับเสียวสันหลังวาบ เมื่อเขาได้เจอโหมดนิ่งของผู้เป็นพ่อ "มานั่งข้าง ๆ แม่สิขุน"ฝ่ามือเรียวบางของผู้เป็นแม่ตบลงบนโซฟาด้านข้างอย่างแผ่วเบา แต่แววตาคมกริบของผู้เป็นแม่นั้นทำเอาขุนเขาต้องรีบเดินเข้าไปนั่ง "สวัสดีคุณน้าทั้งสองสิขุน"ผู้เป็นแม่กัดฟันกระซิบบอกพร้อมกับเล็บแหลมที่จิกลงที่เอว ความเจ็บแปลบทำให้ขุนเขาถึงกับนั่งตัวตรง มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาพนมอย่างอัตโนมัติ "สวัสดีครับคุณน้า"ทั้งสองเพียแค่พยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้ เจ้าสัวธนินท์มองว่าที่ลูกเขยที่นั่งตัวเกร็งด้วยแววตาที่ส่งสัย ก่อนที่มุมปากจะระบายยิ้มออกมาเมื่อเขาได้เห็นว่าอะไรที่ทำให้คนอย่างขุนเขานั่งตัวเกร็งขนาดนี้ "สวัสดีพี่เขาสิลูก"แววตาเย็นชาหันไปมองใบหน้าของคนที่เธอจะต้องร่วมใช้ชีวิตด้วย ซึ่งแววตาของขุนเขาก็กำลังจ้องมองมาที่เธออยู่เหมือนกัน "สวัสดีค่ะ"น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยกล่าวสวัสดี กิริยาวาจาตามฉบับคนที่ถูกครอบครัวอบรมสั่งสอนมาดียิ่งทำให้ เจ้าสัวรังสิมันต์และคุณหญิงกิ่งกาญจน์ชอบใจในตัวของลูกสะใภ้คนนี้มากขึ้นไปอีก "สวัสดี" "เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้ว เชิญเจ้าหน้าที่เลยครับ"เจ้าหน้าที่จากเขตล้วงเอาเอกสารสำหรับการจดทะเบียนสมรสที่เตรียมไว้ออกมาจากกระเป๋าวางลงบนโต๊ะที่วางอยู่ตรงกลาง ขุนเขาแทบจะตกลงจากโซฟาเมื่อได้เห็นเอกสารที่วางอยู่ สีน่าตกตะลึงหันไปหาพ่อและแม่ของตัวเองเพื่อต้องการคำอธิบาย "นี่มันอะไรกันครับคุณพ่อ คุณแม่" "ก็เอกสารสำหรับการจดทะเบียนสมรสยังไงล่ะ เซ็นซะสิ เดี๋ยวหนูปิ่นมุกจะได้เซ็นต่อ" "นี่พ่อกับแม่กำลังเล่นตลกอะไรอยู่กันครับ ไม่มีทางผมไม่เซ็นเด็ดขาด"คนที่ไม่เต็มใจปฎิเสธหัวชนฝา เขาไม่มีทางแต่งงานหรือจดทะเบียนสมรสบ้า ๆ นี่กับผู้หญิงที่เขาไม่ได้รักอย่างแน่นอน "ถ้าแกไม่เซ็น แกก็อย่าหวังว่าจะได้ทรัพย์สมบัติไปจากฉันแม้แต่แดงเดียวไอ้ขุน เพราะมรดกทั้งหมดฉันจะยกให้หนูปิ่นมุก" "คุณพ่อ"ไม่ใช่แค่ขุนเขาที่ตกใจ ปิ่นมุกเองก็เช่นที่จู่ ๆ เจ้าสัวรังสิมันต์นั้นก็จะยกมรดกให้กับเธอ "ฉันพูดจริงถ้าแกไม่เชื่อก็ถามคุณโชคดู ถ้าแกไม่ยอมจดทะเบียนสมรสฉันจะยกทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสร้างมากับมือให้หนูปิ่นมุก แต่ถ้าแกยอมเซ็นทั้งแกและหนูปิ่นมุกจะได้ครองตำแหน่งประธานบริษัทร่วมกัน" "จริงเหรอคุณโชค" "จริงครับคุณขุนเขา นี่ครับเอกสารที่เจ้าสัวให้ผมไปเขียนมา"เลขาคนสนิทวางเอกสารสำคัญลงบนโต๊ะ ความร้อนใจของขุนเขารีบคว้าเอกสารแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านโดยทันที ข้อความที่อยู่ด้านในระบุเอาไว้ตามที่พ่อของเขาพูดมาตั้งแต่ข้างต้นทุกอย่าง ถ้าเขาไม่แต่งงานกับปิ่นมุกทรัพย์สินทุกอย่างหรือแม้แต่ตำแหน่งประธานบริษัทพ่อของเขาก็จะยกทุกอย่างให้กับเธอ กระดาษแผ่นนั้นถูกขยำจนเป็นก้อนกลม ๆ ก่อนที่จะถูกปาทิ้งอย่างไม่ใยดี สร้างความโกรธและความตกใจให้คนที่นั่งดูอยู่ "พ่อ ผมเป็นลูกพ่อนะ พ่อจะยกทุกสิ่งทุกอย่างให้คนอื่นได้ยังไง" "ทำไมฉันจะยกให้หนูปิ่นไม่ได้ ในเมื่อแกมันไม่เอาไหนเลยตาขุน วัน ๆแกเอาแต่เที่ยวเคยสนใจงานในบริษัทบ้างไหม แต่แกดูหนูปิ่นมุกสิก้าวหน้ากว่าแกเป็นไหน ๆ ทั้งมีกิจการเป็นของตัวเองแถมยังต้องช่วยครอบครัวทำงานอีก แล้วดูแกสิวัน ๆ แกทำอะไรบ้างนอกจากเที่ยวและมัวแต่ไปอยู่กับแม่นางแบบนั้น"คำพูดของคนเป็นพ่อเหมือนกับคมมีดนับพันเล่มทิ่มแทงไปทั่วทั้งร่างกาย และคำพูดเหล่านั้นมันบาดลึกลงไปในใจทำให้เขานึกโกรธแค้นหญิงสาวอยู่ในใจที่ผู้เป็นพ่อกล้าเอาเขาไปเปรียบเทียบกับเธอ "คุณลุงคะ"เสียงหวานชวนฟังของปิ่นมุกดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้หันไปมองที่เธอเป็นตาเดียว "หนูมีข้อเสนอ แต่หนูไม่รู้ว่าคุณลุงจะเห็นด้วยเหมือนกับหนูหรือเปล่า" "ไหนหนูปิ่นลองว่าข้อเสนอของหนูมา"คำตอบของเจ้าสัวรังสิมันต์ทำให้มุมปากเล็กกระตุกยิ้ม สายตาไร้ความรู้สึกมองไปยังผู้ชายที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ตรงหน้าของเธอ "การแต่งงานในครั้งนี้ของหนูกับคุณขุนเขามันไม่ได้เกิดจากความรักตั้งแต่แรก แต่เมื่อทุกอย่างมันล้มเลิกไม่ได้ หลังจากที่แต่งงานครบหนึ่งปีถ้าหนูกับคุณขุนเขาเราไม่ได้รักกัน หนูขอให้เราทั้งสองคนจดทะเบียนหย่ากันได้ไหมคะ"คำพูดที่ออกมาจากปากของปิ่นมุกทำให้ทุกคนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่ขุนเขาที่แทบจะไม่เชื่อหูของตัวเองในสิ่งที่ได้ยิน "ปิ่นลูก"พ่อของเธอถึงกับส่ายน่าไปมาเพื่อต้องการให้เธอหยุดพูดในสิ่งต่อจากนี้ ส่วนผู้เป็นแม่ได้แต่มองลูกสาวด้วยความสงสารความรู้สึกของลูกเธอย่อมรู้ดีเป็นที่สุด "หนูพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า" "หนูรู้ตัวดีค่ะ แต่ถ้าแต่งงานกับไปแล้วอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข ไม่มีความรักให้แก่กันและกันแล้วจะอยู่ด้วยกันไปทำไม จริงไหมคะสู้เลิกกันไปเสียดีกว่าอย่างน้อยเราทั้งสองอาจจะยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้" "และอีกอย่างหนูคิดว่า การที่คุณขุนเขาจะได้อยู่กับคนที่เขารักมันก็อาจจะทำให้เขามีความสุขมากกว่าการที่จะต้องทนอยู่กับคนที่เขาไม่ได้รักตลอดไปมันคงไม่ได้หรอกค่ะ"ขุนเขาจ้องเข้าไปนัยน์ตาของปิ่นมุกเพื่อค้นหาความรู้สึกของเธอในตอนนี้แต่ทุกอย่างมันกลับว่างเปล่า "ก็ได้ ถ้าหนูต้องการแบบนั้นลุงก็ตกลง" "ขอบคุณค่ะ" "แล้วแกล่ะ ไอ้ขุนแกจะเอายังไงว่ามา"แววตาคมกริมจ้องหน้าของปิ่นมุกอีกครั้ง แววตาของเขาในตอนนี้นั้นแทบจะเผาไหม้ร่างกายของเธอให้แหลกเป็นจุน "ก็ได้ครับ ผมจะยอมแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ แต่ถ้าภายในหนึ่งปีผมกับเธอเราทั้งคู่ไม่ได้รักกัน ผมต้องการที่จะเซ็นใบหย่ากับเธอ"เขาคิดว่าความรักที่เขามีให้กับม่านรุ้งเข็มแข็งพอที่จะไม่ให้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเข้ามาแทรก แต่ขุนเขาคงลืมนึกไปว่าหัวใจของคนเราไม่ได้แกร่งเหมือนกับหินผาทะเบียนสมรสที่มีชื่อของทั้งสองปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษถูกยื่นไปให้กับสามีภรรยาป้ายแดงที่นั่งอยู่บนโซฟา ขุนเขาเพียงแค่ปรายสายตามองแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะหยิบใบทะเบียนสมรส "ขอบคุณนะคะ"มือเรียวเล็กยื่นไปรับใบทะเบียนสมรส แววตาเรียบนิ่งมองชื่อของตัวเองก่อนที่จะเก็บใส่ซองใว้อย่างเป็นระเบียบ "เอาล่ะในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีหมดทุกอย่างแล้ว ถ้าอย่างนั้นเชิญทุกคนไปทานข้าวเช้ากันดีกว่า แม่บ้านคงจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว" "เชิญทางนี้เลยค่ะ"ทุกคนเดินตามคุณหญิงของบ้านออกไป เหลือไว้แค่เพียงลูกชายกับผู้เป็นพ่อที่ยังคงยืนจ้องหน้าไม่ไปไหน "พ่อทำแบบนี้ทำไม พ่อก็รู้ว่าผมไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น" "แล้วแกอยากแต่งงานกับใคร แม่นางแบบนั่นน่ะเหรอ หึ อย่าฝันให้มันมากนัก" "พ่อจงเกลียดจงชังอะไรรุ้งเธอนักหนา" "แกยังไม่รู้จักสันดานของนางนั่นดีพอ ถ้าแกรู้จักนางนั่นดีแกจะไม่ถามคำถามแบบนี้กับพ่อ ขุนเขา"บางทีคนเป็นพ่อก็นึกเกลียดตัวเองเหมือนกันที่ความฉลาดของเขามันไม่สามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกชายได้ มันถึงได้หลงไหลแม่นางแบบคนนั้นจนหน้ามืดตามัวจนไม่เห็นความเลวของแม่นางแบบคนนั้นเลย แววตาฉายถึงความสงสัยว่าผู้เป็นพ่อของ
เมื่อพ่อและแม่ของเธอไม่เหลือทางเลือกอะไรไว้ให้ ก็เลยทำให้ตอนนี้เธอต้องมานั่งร่วมใช้อากาศกับผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีป้ายแดงของเธอ ความเงียบภายในรถมันทำให้คนที่ไม่เต็มใจที่จะมารู้สึกอึดอัดซึ่งก็ไม่ต่างจากคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยที่ปรายสายตามามองหญิงสาวที่นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ "นี่คุณ"ปิ่นมุกเพียงแค่ปรายสายตาไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเพียงเท่านั้นก่อนที่จะหันไปมองทางนอกหน้าต่าง ขุนเขาถึงกับหัวเสียไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าเมินเฉยต่อผู้ชายที่แสนจะหล่อเหลาอย่างเขามาก่อน ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรก "นี่คุณ" ".." "นี่ปิ่นมุก ผมเรียกคุณตั้งนานคุณไม่ได้ยินเลยหรือไงห้ะ" "นี่คุณเรียกฉันเหรอคะ"ใครจะไปรู้ล่ะเห็นเรียก ๆ คุณ ๆ "ใช่สิ ในรถมีแค่คุณกับผมถ้าไม่ให้ผมเรียกคุณแล้วจะให้ผมเรียกใคร"ปิ่นมุกถึงกับลอบถอนหายใจ คิดผิดคิดถูกกันแน่ที่ยอมตกลงไปจดทะเบียนสมรสกับคนสติไม่สมประกอบแบบนี้ "คุณเรียกฉันมีธุระอะไรอย่างนั้นเหรอคะ"ดีหน่อยที่ตอนนี้รถจอดติดไฟแดง เธอถึงกล้าที่จะชวนเขาคุย ขุนเขาหันมามองหน้าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายก่อนที่จะเอ่ยปากถามในสิ่งที่เขาสงสัย "เท่าไหร่" "อะไรคะ เท
กริ๊ง เสียงประตูร้านที่ดังขึ้นยามเมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามาทำให้ พนักงานที่อยู่ในร้านหันมามองก็เห็นเจ้านายสาวของตัวเองเดินเข้ามาด้วยสภาพที่ไม่ว่าดูยังไงคนที่เป็นเจ้านายก็สวยอย่างหาที่ติไม่ได้ แต่ครั้งนี้คงจะไม่ใช่เมื่อสายตาของลูกน้องเห็นรอยแดงช้ำตรงแขนทั้งสองข้าง "คุณปิ่น แขนไปโดนอะไรมาคะเนี้ย" "เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวขนมช่วยไปซื้อยามาให้ฉันหน่อยนะนี่จ้ะเงิน"ธนาบัตรใบสีม่วงถูกยื่นไปให้พนักงานภายในร้าน ทั้งที่เจ็บแขนแทบยกขึ้นไม่ไหวแต่เธอก็ต้องแสดงสีหน้าเรียบนิ่งเอาไว้ "ค่ะ เดี๋ยวขนมจะรีบไปซื้อมาให้เลยค่ะ" "เดี๋ยวจ้ะขนม เอายาถุงนี้ไปทิ้งด้วยนะมันใกล้จะหมดอายุแล้วฉันไม่อยากใช้ กลัวเป็นผื่นคัน" "ได้ค่ะคุณปิ่น"ขนมรับถุงจากมือของเจ้านายก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปซื้อยาให้ผู้เป็นนายจากร้านขายยาที่อยู่ไม่ไกล ปิ่นมุกเดินเข้ามานั่งบนโซฟาภายในห้องทำงานก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาดู รอยแดงช้ำในตอนนี้มันคงจะอยู่ติดตัวของเธอไปหลายวันเอาเป็นว่าตอนนี้เธอคงจะไม่เข้าไปในบ้านใหญ่สักพัก และเธอก็ภาวะนาให้รอยช้ำที่แขนทั้งสองข้างหายทันก่อนที่จะถึงวันแต่งงานภายในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ฤกษ์ที่แม่ของขุ
"คุณปิ่นคะ มีคนมาหาค่ะ" "ใครกัน"นั่นสิใครกันเพราะตอนนี้เป็นเวลาเย็นซึ่งเป็นเวลาที่เธอเลิกงานและกำลังจะกลับบ้านน้อยคนนักที่จะเข้ามาพบเธอในช่วงเวลานี้ "ผมเอง"น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นก่อนที่ร่างของขุนเขาจะปรากฎกายมายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องทำงาน "ผู้ชายคนนี้แหละค่ะที่ต้องการพบคุณปิ่น" "ขนมไปเก็บของเถอะจ้ะ แล้วก็ฝากปิดร้านให้ด้วยนะ" "ได้ค่ะคุณปิ่น"หลังจากที่ขนมเดินออกไปภายในห้องทำงานก็ตกอยู่ในความเงียบ แววตาคมกริบมองไปที่แขนของหญิงสาวที่ยังคงเป็นรอยแดงช้ำ "ยังเจ็บแขนอยู่ไหม" "คุณมีธุระอะไรคะถึงได้มาหาฉัน"สายตาสงสารหรือแววตาที่สื่อถึงความรู้สึกผิดเธอไม่ต้องการ "คุณแม่ให้ผมมารับคุณไปส่งที่บ้าน" "ไม่จำเป็นหรอกคะฉันกลับแท๊กซี่เองได้"เธอไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงอย่างเขาตลอดไป และเธอก็ไม่อยากที่จะเข้าใกล้ผู้ชายที่อันตรายแบบเขาด้วย ยิ่งอยู่ใกล้ก็รู้สึกถึงความอันตราย "อย่ามาอวดดีกับผมปิ่นมุก" "ฉันไม่ได้อวดดีค่ะ แต่ฉันยืนยันที่จะกลับด้วยตัวเอง โอ๊ย"ความเจ็บที่ต้นแขกเพราะถูกแรงกระชากทำให้ปิ่นมุกถึงกับต้องร้องออกมา แววตาเรียบนิ่งมองฝ่ามือหนาที่จับแขนของเธอเอาไว้ "ปล่
และมันก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อเช้าวันต่อมารูปของขุนเขาและม่านรุ้งที่กำลังดินเนอร์มื้อหรูท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติกถูกวางลงบนปกหนังสือGossipบันเทิงทุกฉบับ พร้อมกับคำบรรยายที่ทำเอาคนที่ได้อ่านต่างคิดกันไปต่าง ๆ นา ๆว่า ทั้งคู่มีแพลนที่จะเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์ในไม่ช้านี้ ปึก "นี่มันอะไรกันขุน ไหนอธิบายให้แม่กับพ่อเข้าใจหน่อยว่ารูปบ้า ๆ ที่อยู่ในหนังสือนี่มันคืออะไร"สายตาเรียบนิ่งมองรูปที่เขาไปดินเนอร์กับแฟนสาวที่ปรากฎอยู่ในหลังสือ ก่อนที่จะหันไปมองพ่อและแม่ที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ "ก็แค่ผมกับรุ้งไปดินเนอร์กันสองคนมันผิดตรงไหนครับ" "นี่แกยังมีหน้ามาถามอีกเหรอว่าผิดตรงไหน หรือจะต้องให้แม่บอกแกว่ามันผิดตรงที่แกมีเมียแล้ว" "รุ้งเธอก็เป็นเมียของผมเหมือนกันนะครับ"สายตาของคุณหญิงกิ่งกาญจน์แทบจะถลนออกมาจากเบ้าตา ไม่ต่างจากสีหน้าของเจ้าสัวรังสิมันต์ที่เรียบตึงขึ้นอย่างถนัดตา "แกบอกว่าแม่นางแบบนั่นเป็นเมียของแกเหมือนกันใช่ไหมไอ้ขุน"คำถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แอบแฝงไปด้วยความดุดันทำเอาขุนเขาเสียวสันหลังวาบ ยิ่งเมื่อเขาได้เห็นสายตาเรียนนิ่งมันยิ่งทำให้เขาลุกเดินออกไปจากห้อ
"ขยันเป็นข่าวจังเลยนะแกในแต่ละวัน"ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีพั้นช์ขยับยิ้มออกมาอย่างถูกอกถูกใจ ใครจะคิดล่ะว่าการที่เธอออกไปดินเนอร์เมื่อวานจะกลายเป็นข่าวดังในระดับประเทศของวันนี้ แถมหัวข้อข่าวยังทำให้เธอถูกอกถูกใจยิ่งขึ้นไปอีก "ดูเหมือนว่าแกมีความสุขมากเลยนะตอนนี้" "แน่นอน ฉันมีความสุขมาก"ผู้จัดการที่พ่วงด้วยตำแหน่งเพื่อนซี้อย่างนิต้าถึงกับต้องกลอกสายตาไปมาอย่างนึกหมั้นไส้เพื่อนรักอย่างม่านรุ้งที่นั่งจิบไวน์อย่างมีความสุขกับข่าวใหม่ในวันนี้ "เออนี่ แล้วงานถ่ายแบบที่พัทยาคราวที่แล้วที่ฉันไม่ได้ไปด้วยเป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม" "ระดับนางแบบแถวหน้าของเมืองไทยอย่างฉันไม่มีคำว่าพลาด ทุกอย่างเรียบร้อยแกวางใจได้" "ก็ดี เออนี่ฉันได้ข่าวมาว่าทางแบรนด์เสื้อผ้าPMที่กำลังมาแรงในตอนนี้กำลังจะเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่และทางเจ้าของแบรนด์กำลังหานางแบบเพื่อที่จะเอาไปใส่งานที่จะจัดการเดินแบบ แกสนใจไหม" "แบรนด์เสื้อผ้าอะไรฉันไม่เคยได้ยิน"คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเป็นปมเมื่อเอ่ยถามถึงแบรนด์เสื้อผ้าที่ผู้จัดการของตัวเองเอ่ยถึง "นี่แกไปอยู่ที่ไหนมาห๊ะ ถึงไม่รู้จักเสื้อผ้าแบรนด์นี้" "เ
"ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ"มือบางของทั้งคู่จับมือทักทายกันตามประสา สายตาของขุนเขามองคนที่เป็นภรรยาที่ยืนยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรที่เขาพาคนรู้ใจเขามาเลือกเสื้อผ้าในร้านของเธอ แถมเธอยังไม่คิดที่จะหันมาชายตาแลเขาอีกนี่เธอไม่เห็นเขาที่ยืนอยู่หรืออย่างไรกัน ดูสิยืนคุยกับคนรักของเขาอย่างเพลิดเพลินเลย "ถ้าคุณม่านรุ้งสนใจตัวไหนบอกปิ่นได้เลยนะเดี๋ยวปิ่นจะจัดการให้" "ขอบคุณมากเลยนะคะคุณปิ่น ดูสิคะขุนคุณปิ่นเธอใจดีกับรุ้งด้วย"ม่านรุ้งหันไปซบหน้าลงกับท่อนแขนของแฟนหนุ่มอย่างคนที่ดีอกดีใจ แววตาเจ้าเล่ห์ของคนที่คิดแผนอะไรได้มองไปยังภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ยืนนิ่ง ฝ่ามือหนาโอบเอวบางแบบเข้ากับลำตัวก่อนที่จมูกโด่งก้มลงแตะกับแก้มขาว สายตาของคนที่อยู่เหนือกว่ามองมาที่คนกำลังยืนนิ่งเหมือนเขาต้องการบอกให้เธอรู้ว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดสำคัญกับเขาเพียงไหน "อุ๊ย ขุนทำอะไรอายคุณปิ่นมุกเธอบ้างสิคะ" "ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณรุ้งปิ่นไม่ถือ" "รุ้งต้องขอโทษแทนแฟนของรุ้งด้วยนะคะที่ชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อ ขุนทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะคะอายคุณปิ่นบ้างสิ"ม่านรุ้งหันไปเอ็ดแฟนหนุ่มอย่างไม่จริงจังมากนัก โดยที่เธอไม่รู้เลยว่
"ไม่ว่าง"ทุกคนที่อยู่ภายในร้านหันไปมองที่ขุนเขาเป็นตาเดียวไม่เว้นแม้แต่ม่านรุ้งที่ต้องละสายตาจากโทรศัพท์หันมาสนใจแฟนหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนตะเบ่งเสียงออกไปด้วยความไม่พอใจ "คุณเป็นใครกันครับถึงได้มาตอบคำถามแทนคุณมุกของผม" "ก็ผมเป็นผะ.. เป็นลูกค้าของร้านนี้ยังไงล่ะ"อารมณ์ร้อนรุ่มที่กระจายอยู่ข้างในทำให้เขาเกือบที่จะเผลอพูดเรื่องที่ปิดบังเอาไว้ออกไป "เป็นแค่ลูกค้ามีสิทธิ์อะไรล่ะครับ คนรู้จักก็ไม่ใช่ จริงไหมครับคุณปิ่นมุก"คนที่ยืนหอบช่อดอกไม้อยู่ได้แต่ส่งยิ้มให้ "แต่ผมเป็นลูกค้า และผมก็คิดว่าคนที่เป็นเจ้าของร้านควรจะอยู่บริการลูกค้าให้เสร็จก่อนดีกว่านะครับ ก่อนที่จะออกไปเที่ยวที่ไหนกับใคร"ประโยคสุดท้ายคนที่ยืนมองด้วยความไม่พอใจได้แต่กัดฟันพูด นึกในใจว่าถ้าเธอออกไปตามคำเชิญชวนของผู้ชายคนนี้ก็คงจะได้เห็นดีกัน "คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะคะดิฉันเป็นมืออาชีพพอที่รู้ว่าอะไรควรมาก่อนมาหลัง ดิฉันแยกแยะออกค่ะว่าอะไรมันคือเรื่องงานและอะไรมันคือเรื่องส่วนตัว" "เอาเป็นว่าหลังจากที่เสร็จลูกค้ารายนี้แล้ว ปิ่นจะไปกับคุณนะคะคุณภูผา"สองมือหนาของขุนเขากำเข้าหาแน่น เมื่อได้ยินคำตอบที่ออกมาจากปากของภรรยาสาว สายตา
"พี่จัดการตามที่เห็นสมควรได้เลยครับ" "แกไม่ติดใจอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแล้วแน่นะ"ปลายสายถามอย่างต้องการความแน่ใจ "หึ ไม่แล้วล่ะครับ ผู้หญิงแบบนั้นผมคงไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อนร่วมโลกแล้วล่ะครับ"นัยน์ตาอ่อนแสงมองแผ่นหลังขาวนวลของผู้เป็นภรรยา ริมฝีปากหยักหนาขยับพูดกับคนในที่อยู่ในสายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก "แกใจเด็ดมากเลยรู้ไหมขุนเขา ฉันล่ะยอมรับในตัวของแกจริง ๆ " "อะไรที่ทำให้พี่คิดแบบนั้นครับ"ดวงตาคมกริบยังคงทอดมองไปยังร่างอุ้ยอ้ายของภรรยาที่กำลังอุ้มท้องลูกชายวัยเจ็ดเดือนของเขาอยู่ ใบหน้าสวยของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานเมื่อได้ออกมาเที่ยวพักผ่อนหลังจากนอนอุดอู้อยู่แต่บ้านเพราะด้วยอาการแพ้ท้องมาหลายเดือน สองเท้าเรียวเล็กถูกสวมด้วยรองเท้าแตะสีเดียวเข้ากับชุดคลุมสีขาวเดินก้าวไปตามหาดทายสีขาว ด้านหน้าของเธอนั้นคือท้องทะเลสีครามกับบรรยากาศในช่วงเย็น และอีกไม่กี่นาทีดวงตะวันก็คงจะลาลับขอบฟ้าก่อนจะเปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นแสงจันทราแทน "ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นก็คงยังมีความรู้สึกดี ๆ หลงเหลือให้กับแฟนเก่าอยู่บ้าง" "ความรู้สึกพวกนั้นมันตายจากผมไปหมดแล้วครับ ตั้งแต่เรื่องที่เ
ความเงียบยังคงปกคลุมภายในห้องรับแขกเมื่อทั้งสองครอบครัวต่างนั่งมองหน้าสบตากันด้วยความหนักใจ เห็นแต่จะมีเพียงขุนเขาคนเดียวที่นั่งกระสับกระส่ายอย่างคนร้อนรุ่มอยู่ในใจ "ทุกคนเงียบกันทำไมครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มีความคิดที่จะหย่ากับปิ่นเลยสักนิด ทุกคนก็รู้ ปิ่นเองก็รู้ดีว่าผมรักปิ่น"แววตาของเขาฉายแววแน่วแน่ยามเมื่อลอบมองเธอ "ขุนเขา ใจเย็น ๆ แล้วฟังหนูปิ่นพูดก่อนนะลูก" "เมียกำลังจะขอหย่าจะให้ผมใจเย็นได้ยังไงครับแม่"คุณหญิงกิ่งกาญจน์ถึงกับมีสีหน้าหนักใจ ไม่รู้วันนี้ลูกชายของตัวเองไปกินอะไรผิดสำแดงมา ถึงค้านหัวชนฝาไม่ฟังความอะไรเลย "ไอ้ขุน พ่อว่าแกใจเย็น ๆ ตามที่แม่แกบอกก่อนนะ แกเงียบปากให้หนูปิ่นได้พูดอะไรบ้าง แกเอาแต่แหกปากโวยวายแล้วหนูปิ่นจะมีโอกาสพูดได้อย่างไร" "พ่อไม่เป็นผมพ่อไม่เข้าใจหรอกว่าการที่จะต้องถูกเมียทิ้งมันเจ็บปวดขนาดไหน" "เห้อ อาการหนักแล้วลูกกู"เจ้าสัวรังสิมันต์ถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการคิดเองเออเองของเจ้าลูกชาย "ขุนเขาลูก นั่งลงก่อนนะคะเด็กดี"คำพูดเปรียบดั่งสายน้ำเย็นเฉียบของคุณหญิงเพียงเพ็ญทำเอาคนเจ้าอารมณ์เริ่มสงบนิ่งลง เธอรู้ดีว่าการ
คำบอกรักในคืนวันนั้นก่อเกิดเป็นความรักอันแสนเปี่ยมล้นในวันนี้ ช่วงเวลาชั่งพัดผ่านไปเร็วเสียจริง ๆ แต่ก็นั่นเถอะความรักของทั้งเขาและเธอก็ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ความกังวลหายไปจากใจเมื่อความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายถูกเปิดเผยกันออกมาอย่างหมดเปลือก ความรู้สึกของทั้งคู่ที่คิดตรงต่อกันนั้นมันทำให้ทั้งสองเปิดใจศึกษาเรียนรู้การใช้ชีวิตคู่มากยิ่งขึ้น ดวงตากลมโตมองแท่งสีขาวที่อยู่ในมือ ไออุ่นไร้รูปร่างที่ไม่อาจจะบรรยายได้เอ่อล้นขึ้นมาเติมหัวใจทีละเล็ก ขีดสีแดงสองขีดนั้นมันทำให้คนที่กำลังจะได้เป็นแม่ถึงกับน้ำตาเอ่อคลอ ฝ่ามือเรียวเล็กอันสั่นเทาค่อย ๆ ยกขึ้นมาวางนาบบนหน้าท้องแบบราบซึ่งตอนนี้กำลังมีเจ้าก้อนความรักของเธออยู่ในนั้น หลังจากความเลวร้ายผ่านพ้นไป ชีวิตเธอก็เปรียบเหมือนเจ้าหญิงในนิยายที่มีเจ้าชายคอยดูแลเป็นอย่างดี ใครเล่าจะคิดว่าผู้ชายไม่เอาไหนอย่างขุนเขา จะเข้าไปบริหารงานในบริษัทจนทำให้ตอนนี้ตนเองเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการและผู้บริหารคนอื่น ๆ เมื่อเขาสามารถทำให้มูลค่าของกำไรไตรมาสของปีนี้เพิ่มขึ้นได้อีกเท่าตัว นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง สร้างความภูมิใจให้กับเจ้าสัวรังสิมันต์แ
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ห้ะ แล้วนี่พี่มาเมืองไทยเมื่อไหร่ทำไมไม่บอกผม"ฝ่ามือหนายกขึ้นมาเท้าสะเอว น้ำเสียงติดเข้มเอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องของตัวเองที่ยืนเก๊กหล่อจิบเหล้าอย่างสบายใจ "ก็แค่มาพักผ่อน อีกสองสามวันเดี๋ยวก็กลับ" "อย่ามาโกหก คนที่มีงานกองเป็นภูเขาจนท่วมหัวอย่างพี่น่ะหรือจะมีเวลามาพักผ่อน"ดวงตาคมกริบมองพี่ชายด้วยสายตาจับผิด คนอย่างเซบาสเตียนเจ้าพ่อมาเฟียนะหรือมีเวลาว่างมาพักผ่อนถึงเมืองไทย ใครจะไปเชื่อลง "ตั้งแต่มีเมียรู้สึกว่าแกฉลาดมากขึ้นเลยนะขุนเขา" "นี่พี่คงไม่กำลังหลอกด่าผมอยู่ใช่หรือเปล่า" "ก็แล้วแต่แกจะคิด"เซบาสเตียนยกไหล่ทั้งสองข้าง ฝ่าเท้าใหญ่ก้าวมายังโซฟาสีขาวตรงกลางห้อง ร่างกำยำกระแทกตัวนั่งลงจิบเหล้าในแก้วอย่างสบายใจ ต่างจากน้องชายอีกคนที่ยืนมองเขาหน้าตูม "พี่ใช่ไหมที่เป็นคนส่งข้อความบ้า ๆ นั่นไปหาผม" "ใช่ ฉันเป็นคนส่งไปเอง"คำตอบของเซบาสเตียนทำเอาอารมณ์ของขุนเขาเดือดพล่าน ขายาว ๆ ทั้งสองข้างก้าวมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาโกรธเคืองอย่างถึงขีดสุด มือที่ถือปืนถึงกับเกิดอาการสั่นจนทำเขาต้องควบคุมมันเอาไว้ "แล้วตอนนี้เมียผมอยู่ที่ไหน พี่ได้ทำอะไรเธอหรือเปล่า" "แ
"พวกโง่ แค่เมียกูคนเดียวยังไม่มีปัญญาหาเจอ"ใบหน้าสง่างามของขุนเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย แววตาเกรี้ยวกราดกวาดมองลูกน้องของตัวเองที่เรียงแถวยืนก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา ภายในห้องรับแขกชั่งร้อนระอุดังกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ เหล่าลูกน้องแทบจะก้มหน้าจนติดกับพื้น เมื่อเจ้านายตัวเองมองพวกเขาราวกับจะฉีกออกเป็นชิ้น ๆ "พวกผมขอโทษครับนาย แต่แถวนั้นมืดมากเราไม่สามารถเห็นรถต้องสงสัยหรือว่าสิ่งที่น่าเป็นพิรุธได้เลยครับ" "ดึกแบบนั้นมันจะมีรถกี่คันวิ่งออกจากโรงแรมล่ะไอ้พวกโง่ ไปเลยนะพวกมึงไปตามหาตัวของเมียกูให้เจอ ถ้าพวกมึงไม่เจอก็อย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีก"สีหน้าดุร้ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของเราลูกน้อง ทำเอาการ์ดนับสิบต้องรีบวิ่งออกไปจากห้องรับแขก "ไอ้พวกโง่"ร่างหนาใหญ่กระแทกตัวลงนั่งลงบนโซฟาอย่างกลัดกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าเมียของเขาหายตัวไปไหน เดินกลับมาที่รถก็เห็นข้าวของมากมายหล่นกระจายอยู่ข้างรถ ไร้วี่แววของคนเป็นภรรยา ในใจมันร้อนรุ่มกลัวว่าอีกคนจะเป็นอะไรหรือจะได้รับอันตราย จนต้องเกณฑ์ลูกน้องออกตามหา แต่มันก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน เพราะมุมจอดรถของเขากล้องวงจรปิดดันมาเสีย แถมลานจอดรถตอนนั้นยังไร้
ย้อนกลับไป ยามรุ่งเช้าของวันเดียวกัน ณ โกดังท่าเรือส่งสินค้า ของ ตระกูล สุริยะศิวา ซ่า น้ำสีขุนถังใหญ่ถูกสาดลงไปบนร่างเย้ายวนของคนหลับใหลอยู่บนพื้น ความเย็นบวกกับกลิ่นเหม็นทำให้คนที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ กรี๊ด "อ๊าย นี่มันอะไรกับเนี่ย ไอ้พวกบ้าพวกแกเล่นอะไรกัน"เสียงกรีดร้องโวยวายตามเมื่อได้ลืมตาตื่น ร่างเปียกปอนลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากเพราะว่ามือทั้งสองข้างถูกจับไขว้หลังมัดติดกันเอาไว้ กรี๊ด "นี่มันอะไรกัน พวกแกมันฉันไว้ทำไม แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ"น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดใส่ชายชุดดำร่างใหญ่ ซึ่งเธอจำได้ว่าคนพวกนี้เป็นลูกน้องของเซบาสเตียน "เซบาสเตียน คุณอยู่ที่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"นี่เขาต้องการเล่นบ้าอะไรกันทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่าหลังจากได้ตัวของปิ่นมุกก็จะปล่อยเธอไป "จะเสียงดังไปทำไมกัน ไม่เจ็บคอหรือไง" "นี่คุณกำลังเล่นตลกอะไรกับฉันอยู่ แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะเซบาสเตียน"ดวงตาดุร้ายจ้องมองไปยังชายร่างกำยำที่เดินออกมาจากมุมมืด แววตาดุร้ายแฝงไปด้วยความอำมหิตโหดเหี้ยมมันทำให้คนแหกปากร้องในตอนแรกสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว แววตานี้มันเหมือนกับแววตาที่เขาให้มอ
เปลือกตาอันแสนหนักอึ้งค่อย ๆ เปิดขึ้นหลังจากหลับใหลมาร่วมหลายชั่วโมง ความเจ็บตรงบริเวณท้ายทอยทำให้เปลือกตาบางต้องปิดลงอีกครั้งก่อนจะเปิดขึ้น เพดานขาวสะอาดตา คือสิ่งแรกยามเมื่อเปิดเปลือกตาเห็น กลิ่นอายภายในห้องนอนของบุรุษเพศมันทำให้เธอต้องดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ภายในห้องนอนตกแต่งด้วยสีขาวสะอาดตาแต่ยังคงแฝงไปด้วยความหรูหราชนิดที่ว่าเธอต้องอ้าปากค้าง ริมฝีปากเรียวเล็กขบเม้มเข้าหาสายตากวาดมองไปทั่วทั้งห้อง ที่นี่มันไม่ใช่ห้องของเธอ และมันก็ไม่ใช่ห้องของขุนเขา แล้วนี่มันเป็นห้องของใครกัน ดวงตากลมโตฉายแววสงสัยอย่างปิดไม่มิด เธอจำได้ว่าหลังจากเสร็จงานเธอกำลังเอาของมาเก็บที่รถของขุนเขา แล้วก็โดนชายชุดดำพร้อมกับร่างของม่านรุ้งเข้ามากระชากแขนแล้วหลังจากนั้นก็ไม่สามารถจำอะไรได้อีกเลยทุกอย่างมันดับมืด รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในห้องนอนของใครก็ไม่รู้ แกร๊ก แอด "ตื่นแล้วเหรอคะคุณผู้หญิง"ผู้หญิงในชุดแม่บ้านเดินเข้ามาในห้องนอนอย่างที่ปิ่นมุกไม่ได้ทันตั้งตัว ความกลัวมันทำให้เธอต้องขยับตัวถอนหนีจนแผ่นหลังแนบชิดติดกับหัวเตียง ดวงตากลมโตมองแม่บ้านสาวด้วยความหวาดระแวง "ไม่ต้องกลัวดิฉันหรอกค่ะ ดิฉันไม่มีวันคิ
สายตาฉ่ำหวานทอดมองไปยังชายหนุ่มรูปหล่อ ริมฝีปากกระตุกยิ้มใบหน้าหวานเชิดขึ้นเพราะคิดว่ายังไง ๆ ชายหนุ่มก็คงยังไม่หมดรักเธอ และเขาก็จะกลับมาหาเธอตามที่เคยได้สัญญาเอาไว้ ถึงจะมีข่าวในทางไม่ดีออกมาขุนเขาก็ต้องรับในตัวตนของเธอได้ ใช้มารยาหลอกล่อนิด ๆ หน่อยคนโง่งมงายก็เชื่อคำพูดหวาน ๆ ง่ายดายเหมือนกับอดีตที่แล้วมา 'แต่เธอคงจะลืมไปแล้วว่า กาลเวลาเปลี่ยนไปก็ทำให้ใจคนเปลี่ยนไปเหมือนกัน' "เราไปจากตรงนี้ดีกว่าครับปิ่น ผมได้กลิ่นไม่ค่อยจะดี"ฝ่ามือหนาเอื้อมไปคว้ามือเรียวเล็กกุมเอาไว้ นัยน์ตาสีดำสนิทสาดแววลุ่มลึกจ้องมองหน้าหญิงสาวอีกคนอย่างไร้ความรู้สึกอีกต่อไป "จะรีบไปไหนละคะขุน ไม่ดีใจหรือยังไงคะที่รุ้งกลับมา"สองเท้าบนส้นสูงขนาดห้านิ้วก้าวขายาวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาทอประกายวาววับราวกับไข่มุกกวาดมองไปทั่วทั้งร่างกายกำยำ ฝ่ามือเรียวเล็กหมายจะเอื้อมไปแตะแขนล่ำซำแต่ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ปัดออกไป ใบหน้าหล่อเหลาแสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาม่านรุ้งถึงกับหน้าซีกเผือก แขกในงานเริ่มหันมามอง ทำเอาม่านรุ้งต้องรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าโดยทันที "ไม่เอาสิคะขุน อย่าทำกับรุ้งแบบนี้สิคะ ไม่น่ารักเ
ห้องบอลรูมขนาดใหญ่ถูกออแกไนซ์ชื่อดังเนรมิตงานเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ออกมาได้ตามความต้องการของผู้จัดงาน ด้านหน้าของงานจะมีหุ่นจำลองโดยมีชุดเสื้อผ้าหลากหลายรูปสวมทับมันเอาไว้ เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ของปีนี้ตอบโจทย์คุณผู้หญิงทุกช่วงวัย มีทั้งของวัยรุ่นทั่วไป วัยทำงาน และปีนี้เธอต้องการวางแผนพุ่งเป้าไปยังเหล่าคุณหญิงคุณนายที่มีอายุแค่ยังคงรักความสวยงาม ไลฟสไตล์เสื้อผ้าของปีนี้เธอจะมีทั้งแนวสาวหวาน และแนวผู้หญิงชอบแต่งตัวลุ๊คเซ็กซี่ยังคงมีความหรูหราแอบแฝง แขกทุกคนต่างมองชุดเหล่านั้นด้วยความสนใจ เพราะทุกครั้งเจ้าของแบรนด์จะออกแบบชุดออกมาอย่างไม่ซ้ำใคร และครั้งนี้เองก็เช่นกัน ปิ่นมุกถือว่าเป็นผู้นำด้านเสื้อผ้าคนหนึ่งของประเทศไทยในตอนนี้ ซึ่งกว่าเธอจะมายืนอยู่ถึง จุดจุดนี่มันไม่ได้ง่าย ต้องผ่านอะไรมามากมายจนบางครั้งเธอรู้สึกเหนื่อย แต่ด้วยใจรักจึงต้องฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นจนได้มามีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองดั่งทุกวันนี้ 'หนูปิ่นมุกนี่เก็งจังเลยนะ ออกแบบเสื้อผ้าได้สวยเชียว เห็นทีดิฉันต้องไปสมัครเป็นลูกค้าประจำเสียแล้วสิ' 'นั่นสิคะ ดิฉันเห็นแล้วอยากจะกวาดซื้อไปให้หมดเลยค่ะ สวยทุกชุดเลย