บทที่ 68ห้องที่เคยอยู่คนเดียวมานานหลายปีบัดนี้ดูอ้างว้างไปหมด เมื่อใครบางคนกลับไปแล้วตามที่เธอขอร้อง ร่างบางนั่งซึมอยู่บนเตียง ชันเข่าขึ้นแล้วซุกหน้าลงกับเข่าตัวเอง ก่อนจะสะอื้นไห้ออกมาจนตัวโยน เพื่อระบายความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ข้างใน ผ่านไปเกือบชั่วโมงแต่น้ำตาก็ยังไหลริน พวงแก้มที่เคยใสสะอาดบัดนี้แดงก่ำและเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของความเจ็บปวด ดวงตาแสนอ่อนบางก็บวมช้ำขึ้น มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่สามารถพูดหรือบอกกับใครได้ นอกจากร้องไห้กับตัวเองเงียบๆ เช่นเดียวกับที่เธอร้องไห้คิดถึงพ่อแม่ยามค่ำคืนในบ้านเด็กกำพร้าเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียก เสียงที่แว่วมาให้ได้ยินนั้นทำให้ธรินดารู้ว่าคนที่เคาะอยู่ข้างนอกนั้นคือชนิศา หญิงสาวรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง ก่อนจะร้องตอบกลับไปว่าให้ชนิศารอสักครู่ แล้วรีบเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำเพื่อไม่ให้ชนิศาได้เห็นว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่ หากทว่าหน้าตาอันแดงก่ำกับดวงตาที่บวมช้ำนั้นก็ไม่อาจจะบิดบังสายตาของชนิศาได้ “เรามารบกวนหรือเปล่า” ชนิศาถามอย่าง
บทที่ 69“จิระ” ธรินดาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมารอพบตนทำไมจึงได้แต่เรียกชื่อเขาสั้นๆ“กำลังจะไปไหนเหรอ เราไปส่งมั้ย”“เราจะไปสนามบินน่ะ วันนี้ต้องกลับบ้านแล้ว” เสียงหวานตอบไปอย่างเป็นปกติและไม่มีแววว่ายังถือโทษโกรธเคืองเขาในเรื่องคืนนั้นเลย เพราะจิระเองก็เจ็บหนักเอาการเหมือนกัน“เราคงไม่ได้เจอเล็กอีกแล้วใช่มั้ย” สายตาของจิระมีแววอาลัยอาวรณ์อย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินหญิงสาวพูดประโยคนั้น ธรินดาเรียนจบแล้วและคงได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่างไม่มีปัญหา ขณะที่เขาเองยังต้องเรียนอีกหนึ่งเทอมเพราะมัวแต่เกเรและไม่ค่อยใส่ใจกับการเรียนเท่าใดนัก จึงจบช้ากว่าเกณฑ์ไปหนึ่งเทอม“อื้อ...ก็เราเรียนจบแล้วไง คงไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอกันแล้วละ”“ขนาดตอนยังเรียนอยู่เล็กยังหลบหน้าเราตลอดเลย แต่ก็อย่างว่าเราไม่มีอะไรสู้แฟนเล็กได้เลยนี่นะ จะให้เล็กสนใจเราได้ยังไง” จิระอดที่จะตัดพ้ออย่างผู้แพ้ไม่ได้“ถ้าจิระจะมาพูดกับเราเรื่องนี้ เราไม่พูดด้วยนะ เราจะกลับบ้าน” ธรินดาตัดบทเพราะไม่อยากเจ็บปวดกับสถานะระหว่างเธอกับปรัชญ์ที่หลุดมาจากปากของจิระ“เดี๋ยวก่อนสิเล็ก ฟังเราก่อน เขาแค่จะมาขอโทษเล็กเรื่องวันนั้น เราเพิ่งรู้ว่าแฟนเล็
บทที่ 70“มาแล้วเหรอลูกสาวคนสวยของแม่” แม่เลี้ยงลักษิกาอ้าแขนรอกอดลูกสาวด้วยความดีใจทันทีที่เห็นธรินดาเดินเข้ามายังอาคารผู้โดยสาร หญิงสาวปล่อยให้แม่ใหญ่กอดหอมจนพอใจ จากนั้นก็ค่อยยกมือขึ้นไหว้อินแปงเหมือนเช่นทุกครั้ง “คิดถึงแม่ใหญ่จังค่ะ”“แม่คิดถึงหนูเล็กมากกว่าซะอีก มารอบนี้ไม่ต้องกลับไปอีกแล้วใช่มั้ย จะอยู่กับแม่ตลอดไปแล้วใช่มั้ยลูก” แม่เลี้ยงลักษิกาถามอย่างมีความสุขตามประสาคนเป็นแม่ที่อยากให้ลูกอยู่ใกล้ๆ แม้ธรินดาจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่นางก็รักปานแก้วตาดวงใจไม่ต่างอะไรกับลูกชายทั้งสอง“ไม่กลับไปแล้วค่ะแม่ใหญ่ เล็กเรียนจบแล้ว ต่อไปเล็กจะอยู่กับแม่ใหญ่ที่บ้านของเรา” ธรินดาตอบไปทั้งๆ ที่ไม่มั่นใจแม้แต่นิดเลยว่าจะทำได้ เธอจะเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริงมากแค่ไหนก็ยังไม่รู้ ก็ได้แต่หวังและภาวนากับตัวเองว่าขอให้ความรักของแม่ใหญ่ที่มีต่อเธอชนะความรู้สึกเจ็บปวดทุกอย่างที่กำลังรุมเล่นงานหัวใจดวงน้อยอยู่ในตอนนี้ร่างบางนั่งตอนหลังคู่กับแม่บุญธรรมเช่นเดิม ปกติยามที่รถแล่นใกล้จะถึงคุ้มลักษิกาความสุขจะหลั่งไหลท่วมท้นเข้ามาในหัวใจของธรินดา แม้จะไม่ได้เกิดที่นี่ แต่ที่ตรงนี้ก็เป็นที่ที่เธอเติ
บทที่ 71เย็นวันนั้นหลังมื้อค่ำผ่านไป แม่เลี้ยงลักษิกาก็ชวนลูกทั้งสองไปคุยกันต่อในห้องนั่งเล่น โดยมีหมีพูคอยวิ่งตามธรินดาไปไม่ห่าง พอเธอนั่งมันก็กระดิกหางอ้อนจนหญิงสาวต้องก้มลงมาอุ้มขึ้นไปนั่งบนตัก ปราณต์มองภาพนั้นยิ้มๆ เพราะขนาดเขาหมีพูยังไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ แต่กับธรินดามันคุ้นเคยด้วยอย่างรวดเร็ว คงจะเป็นอย่างที่แม่ของเขาบอกว่าหมามันมีสัญชาตญาณว่าใครใจดีกับมันกระมังแม่เลี้ยงคุยสัพเพเหระ ถามถึงเรื่องคลินิกของปราณต์เสร็จก็รำพึงอย่างดีใจที่ต่อจากนี้ธรินดาไม่ต้องกลับไปเรียนและอยู่ห่างจากบ้านอีกแล้ว ขณะที่ทั้งสามกำลังนั่งคุยกันอย่างมีความสุขอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของแม่เลี้ยงลักษิกาก็ดังขึ้น แม่เลี้ยงหยิบขึ้นมาดูพร้อมทั้งอุทานออกมาอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่.โทร.มาหาตนเป็นใคร “ตายแล้วตาปรัชญ์โทร.มา นี่แม่ไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมตาปราณต์หนูเล็ก สงสัยวันนี้ฝนจะตกห่าใหญ่แน่ๆ” “ไม่ได้ตาฝาดหรอกครับแม่ รีบรับเถอะครับ เดี๋ยวปรัชญ์เปลี่ยนใจวางสายไปซะก่อนนะ” ปราณต์เตือนผู้เป็นแม่ด้วยสีหน้ายิ้มๆ เมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ของท่าน ที่ยิ้มไม่ใช่อะไร ยิ้มเพราะทั้งแม่และน้
บทที่ 72ตอนสายของวันต่อมา คุ้มลักษิกาก็ได้ต้อนรับว่าที่สะใภ้และทีมงานช่างภาพที่บินตรงจากกรุงเทพฯ เพื่อมาเก็บภาพพรีเวดดิ้งตามที่แม่ของเจ้าบ่าวต้องการ แต่กว่าจะได้เริ่มถ่ายจริงๆ เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว เพราะมาถึงแม่เลี้ยงลักษิกาก็จัดอาหารเลี้ยงต้อนรับอย่างดี จากนั้นช่างแต่งหน้าทำผมก็จับว่าที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวไปแต่งตัวโดยใช้เวลานานพอสมควรปรัชญ์และนัสรินต่างหล่อสวยสง่าในชุดล้านนาแบบชาวเหนือซึ่งชุดนี้แต่งให้เข้ากับบรรยากาศของคุ้ม ทั้งคู่โพสท่าคู่กันอย่างสวยงามตามที่ช่างภาพบอก ท่ามกลางสายตาของแม่เลี้ยงลักษิกาที่มองอย่างชื่นชมและปลื้มปริ่มในใจ และมีอยู่ช่วงหนึ่งขณะที่ทั้งคู่เปลี่ยนท่าใหม่จากยืนเป็นนั่ง จู่ๆ หมีพูซึ่งวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นก็วิ่งเข้าไปป่วนโดยการขึ้นไปนั่งตักปรัชญ์และเห่าบ๊อกๆ ใส่ช่างภาพที่พยายามจะเข้ามาจับมันออกไป“หนูเล็กดูสิ ดูท่าเจ้าตัวป่วนจะหวงพ่อ เห่าพวกช่างภาพใหญ่เลย” แม่เลี้ยงลักษิกาหันไปคุยกับธรินดาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ“เดี๋ยวเล็กไปอุ้มมันออกมาเองค่ะแม่ใหญ่”ว่าแล้วร่างบางก็ตรงไปหาหมีพูซึ่งตอนนี้ยังนั่งอยู่บนตักของปรัชญ์อย่างไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน ธรินดาน
บทที่ 73ธรินดาลุกขึ้นพร้อมกับหยิบตะกร้าและยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดคราบน้ำตาออกจากสองแก้ม จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อจะพาตัวเองกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงเสียที แต่แล้วร่างบางก็ต้องแข็งทื่อเมื่อมีอ้อมกอดของคนที่เธออยากจะวิ่งหนีมากที่สุดร้อยรัดพันธนาการเข้าที่เอวเล็ก ตามมาด้วยเสียงทุ้มคุ้นหูที่กระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงซึ่งช่างกรีดหัวใจอันอ่อนแอให้บาดเจ็บไปมากกว่าเดิม “อยู่นี่นี่เอง ตามหาตั้งนาน” “ปล่อยเล็กค่ะ...” ธรินดาพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วอยากหันหน้ากลับไปหาและกอดตอบเขาตามที่หัวใจโหยหาเสียเหลือเกิน แต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือแค่อ้อนวอนให้เขาปล่อยเท่านั้น “เธอร้องไห้ทำไม” ปรัชญ์ไม่สนอาการเฉยชานั้น สนแต่น้ำเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกราวกับคนเป็นหวัด ซึ่งเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่ “เล็กเปล่า” “เพราะฉันใช่ไหม?” “ไม่เกี่ยวกับคุณปรัชญ์หรอกค่ะ ปล่อยเล็กเถอะค่ะ เล็กไม่อยากให้ใครมาเห็น” ร่างบางเริ่มดิ้นขลุกขลักและสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของเขาด้วยแรงกายแรงใจที่เหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น“ลืม
บทที่ 74งานแต่งงานของปรัชญ์และนัสรินจะมีขึ้นในอีกสองวันข้างหน้าแล้ว ชุดของธรินดาที่แม่เลี้ยงลักษิกาสั่งตัดไว้สองชุดก็เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ดังนั้นวันนี้แม่เลี้ยงจึงพาลูกสาวเข้ากรุงเทพฯ ล่วงหน้า ส่วนปราณต์ไม่ได้ไปด้วยกันเพราะยังติดงาน เขาจึงจะตามไปในวันรุ่งขึ้นการมากรุงเทพฯ ของเจ้านายในครั้งนี้สำอางไม่ได้ป่วยแถมยังกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เมื่อทราบว่าวันมะรืนนี้ก็จะเป็นงานแต่งงานของคุณปรัชญ์ของนางแล้ว คราวที่แล้วสำอางยังไม่เห็นว่าที่เจ้าสาวของปรัชญ์เพราะมัวแต่ป่วยอยู่ แต่คราวนี้คงได้เห็นเพราะแม่เลี้ยงสั่งให้ไปช่วยตระเตรียมของในระหว่างพิธีแห่ขันหมากด้วยวันแรกที่มาอยู่บ้านในกรุงเทพฯ ผ่านไปแบบเรียบง่าย เพราะมีเพียงแม่เลี้ยงลักษิกาและธรินดาอยู่กันเพียงลำพัง ส่วนปรัชญ์ไม่ได้กลับมานอนบ้าน ซึ่งหญิงสาวคิดว่าเขาคงอยู่ที่คอนโดมิเนียมของเขา ธรินดาค่อนข้างสบายใจที่เป็นเช่นนั้น เพราะแม้จะทำใจได้ในระดับหนึ่งแล้ว พอใกล้วันจริงๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองยังอ่อนแอและเจ็บปวดอยู่มากเหลือเกิน คงไม่ค่อยดีนักหากต้องเผชิญหน้ากับเขาในยามนี้บ่ายวันต่อมาปราณต์ก็บินตามมาสมทบ ทว่าตัวว่าที่เจ้าบ่าวก็ย
บทที่ 75เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น แม่เลี้ยงลักษิกากับธรินดาต่างต้องตื่นแต่เช้าเพื่อให้ช่างแต่งหน้าทำผม ขณะที่ปราณต์ไม่ค่อยอะไรมากเพราะเป็นผู้ชายบวกกับเป็นคนที่รูปร่างหน้าตาดีอยู่แล้ว จึงแค่แต่งตัวด้วยชุดสูทสุภาพและเซตผมแค่นิดๆ หน่อยๆ เขาก็หล่อเหลาพอจะทำหน้าที่เป็นพี่ชายเจ้าบ่าวในวันสำคัญเช่นนี้ได้แล้ว เมื่อทั้งสามลงมายังชั้นล่าง ปรัชญ์ก็ทำให้ทุกคนแปลกใจไม่น้อย เพราะร่างสูงยืนรออยู่หน้าบันไดอยู่ก่อนแล้ว ทว่ากลับยังไม่ได้สวมชุดเจ้าบ่าวแต่อย่างใด สีหน้าและแววตาของเขาเคร่งขรึมเช่นเดียวกับเย็นเมื่อวาน แต่ดูเหมือนจะมากกว่าด้วยซ้ำในสายตาคนมอง“ทำไมถึงยังไม่แต่งตัวล่ะตาปรัชญ์ ถึงจะเช้าอยู่ก็เถอะ แต่เราก็ต้องเผื่อเวลารถติดด้วยสิลูก” คนเป็นแม่ถามและเร่งอยู่ในที“ผมมีเรื่องอยากจะพูดกับแม่” ปรัชญ์ตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบๆ ทว่าฟังดูเป็นเรื่องที่ซีเรียสมาก จนแม่เลี้ยงลักษิกาเริ่มมีลางสังหรณ์แปลกๆ เมื่อทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของลูกชายคนเล็กชวนให้หายใจไม่ทั่วท้อง นางรู้ดีว่ายามใดที่ปรัชญ์เป็นแบบนี้ นั่นหมายความว่าเขาจริงจังมาก“เรื่องอะไร สำคัญมากไหม ถ้าไม่สำคัญ เอาไว้เราค่อยคุยกันทีหลังได้ไหม”“เป็นเรื่