บทที่ 65ร่างบางผละออกห่างเงียบๆ เดินไปหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็ก เปิดตู้เย็นหยิบน้ำแข็งมาใส่ในผ้าขนหนูผืนนั้น จากนั้นก็ขยับมายืนตรงหน้าร่างสูงอีกครั้ง แตะผ้าห่อน้ำแข็งบนปากเขาเบาๆ โดยที่สายตาคมจับจ้องมองตลอดเวลา แต่เธอก็ไม่สนใจยังคงค่อยๆ ประคบน้ำแข็งให้ที่รอยแผลบนใบหน้านั้น ก่อนจะละมือลงจับมือใหญ่ขึ้น แล้วทำเช่นเดียวกับแผลที่ใบหน้าของเขาเมื่อครู่นี้“เธอจะใส่ใจกับคนเลวๆ อย่างฉันทำไม”“เล็กเป็นคนทำให้คุณเจ็บนี่คะ”ธรินดาพูดออกมาเป็นประโยคแรก หลังจากใช้เพียงการเคลื่อนไหวของร่างกายแทนคำพูดทั้งหมดอยู่นาน“ก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ”“เล็กไม่เคยคิดจะทำร้ายใคร”“แต่ฉันเต็มใจให้เธอทำร้าย” ปรัชญ์พูดพลางวางมือลงบนมือเล็กที่กำลังประคบน้ำแข็งบนมือของเขา ขณะที่ธรินดาเอาแต่ก้มหน้านิ่ง“เล็ก...”เขาเรียกชื่อเล่นเธอเป็นครั้งแรกอย่างอ่อนโยน จนธรินดาต้องเงยหน้าขึ้นสบตาสีสนิมเหล็กของเขาอย่างไม่รู้ตัวปรัชญ์จ้องลึกลงไปในดวงตาเรียวหวานแน่วนิ่ง ส่วนคนถูกจ้องเต็มไปด้วยอาการหวั่นไหวหวาดหวั่นอยากจะหลบสายตานั้น แต่ก็เหมือนถูกตอกตรึงเอาไว้จนลืมขยับเขยื้อนไปชั่วขณะ กระทั่งใบหน้าคมคร้ามค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงมาหาพร้อมกับลมหา
บทที่ 66สายมากแล้ว…หากเป็นวันอื่นธรินดาคงจะตื่นมาอาบน้ำ แต่งตัว ลงไปกินข้าว หรือไม่ก็เดินทางไปมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว หากทว่าวันนี้ร่างเล็กยังคงนอนหลับใหลอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงขนาดห้าฟุตที่เคยนอนสบายๆ แต่ตอนนี้มันดูแคบลงถนัดตาเมื่อมีร่างใหญ่ของใครอีกคนมานอนอยู่แนบข้างร่างบางสะดุ้งเบาๆ และตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเตือนที่ดังรัวๆ จากโทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่หัวเตียง คิ้วเรียวได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จำได้ว่าตัวเองไม่ได้เอาโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า เพราะเมื่อคืนนี้หลังจากมาถึง เธอก็มีเรื่องทะเลาะกับปรัชญ์ หลังจากนั้นเธอก็ทำประคบแผลให้เขาจนกลายเป็นเลยเถิดตาคู่สวยมองไปข้างๆ ก็เห็นว่าตอนนี้ปรัชญ์ยังคงหลับสนิท ลำแขนแข็งแรงพาดอยู่บนเอวของเธออย่างประกาศความเป็นเจ้าของ มือเล็กยื่นไปจับแขนข้างนั้นออกจากเอวตัวเองเบาๆ อย่างพยายามระวังไม่ได้เขาตื่น เพราะตอนนี้เธอยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเขาธรินดาขยับลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบเอาโทรศัพท์ที่ตอนนี้ก็ยังดังเตือนอยู่รัวๆ เธอปลดล็อกหน้าจอด้วยระบบสแกนลายนิ้วมือ แล้วก็ต้องมุ่นคิ้วราวกับผูกโบอีกครา เมื่อเห็นว่าตัวเลขแจ้งเตือนในแอพเฟซบุ๊กและไลน์
บทที่ 67“งั้นก็หันมาสบตากับฉันสิ แล้วคุยกันดีๆ” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนและนุ่มหูลงในตอนท้าย พร้อมกับปล่อยมือเธอข้างหนึ่งแล้วขยับมาจับปลายคางมน บังคับให้หันมาสบตากันเช่นเดิม“เมื่อคืนนี้คุณเข้าไปอยู่ในห้องตรงข้ามกับห้องเล็กได้ยังไงคะ” ธรินดาคร้านจะเอาความกับเขา เพราะรู้ว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์ ปรัชญ์ไม่มีทางจะรู้สึกผิดอะไรอยู่แล้ว“คนอื่นเขาอยู่ห้องในหอพักนี้ได้ยังไงล่ะ” เขาตอบแบบเล่นลิ้น ไม่ยอมบอกตรงๆ ว่าตัวเองลงทุนมาเช่าห้องพักไว้ที่นี่ ก็เพื่อจะได้คีย์การ์ดเข้ามาในหอพักแห่งนี้ได้ตลอดเวลา และที่สำคัญห้องที่เขาเช่านั้นมันอยู่ตรงข้ามกับห้องของธรินดา ส่วนเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นย้ายออกมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เขาเสนองานในบริษัทยักษ์ใหญ่ของกวินภพให้ แถมยังออกค่าเช่าหอพักที่ใหม่ให้อีกสามเดือนต่างหากธรินดานึกถึงวันที่เธอคุยกับวิชญานีซึ่งเป็นคนดูแลหอพักในเช้าวันนั้นที่เธอเห็นว่าคนตรงข้ามห้องย้ายออก วิชญานีบอกว่ามีคนมาเช่าต่อแล้ว แต่เธอไม่คิดว่าคนคนนั้นจะเป็นปรัชญ์“คุณลงทุนทำขนาดนี้เพื่ออะไร”“เพื่อเธอ…”เป็นคำตอบที่แสนจะสั้น ทว่ากลับเป็นคำคำเดียวที่ทำให้ธรินดาหยุดชะงักและลืมคำถามอื่นๆ ไปหมดสิ้น
บทที่ 68ห้องที่เคยอยู่คนเดียวมานานหลายปีบัดนี้ดูอ้างว้างไปหมด เมื่อใครบางคนกลับไปแล้วตามที่เธอขอร้อง ร่างบางนั่งซึมอยู่บนเตียง ชันเข่าขึ้นแล้วซุกหน้าลงกับเข่าตัวเอง ก่อนจะสะอื้นไห้ออกมาจนตัวโยน เพื่อระบายความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ข้างใน ผ่านไปเกือบชั่วโมงแต่น้ำตาก็ยังไหลริน พวงแก้มที่เคยใสสะอาดบัดนี้แดงก่ำและเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของความเจ็บปวด ดวงตาแสนอ่อนบางก็บวมช้ำขึ้น มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่สามารถพูดหรือบอกกับใครได้ นอกจากร้องไห้กับตัวเองเงียบๆ เช่นเดียวกับที่เธอร้องไห้คิดถึงพ่อแม่ยามค่ำคืนในบ้านเด็กกำพร้าเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียก เสียงที่แว่วมาให้ได้ยินนั้นทำให้ธรินดารู้ว่าคนที่เคาะอยู่ข้างนอกนั้นคือชนิศา หญิงสาวรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง ก่อนจะร้องตอบกลับไปว่าให้ชนิศารอสักครู่ แล้วรีบเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำเพื่อไม่ให้ชนิศาได้เห็นว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่ หากทว่าหน้าตาอันแดงก่ำกับดวงตาที่บวมช้ำนั้นก็ไม่อาจจะบิดบังสายตาของชนิศาได้ “เรามารบกวนหรือเปล่า” ชนิศาถามอย่าง
บทที่ 69“จิระ” ธรินดาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมารอพบตนทำไมจึงได้แต่เรียกชื่อเขาสั้นๆ“กำลังจะไปไหนเหรอ เราไปส่งมั้ย”“เราจะไปสนามบินน่ะ วันนี้ต้องกลับบ้านแล้ว” เสียงหวานตอบไปอย่างเป็นปกติและไม่มีแววว่ายังถือโทษโกรธเคืองเขาในเรื่องคืนนั้นเลย เพราะจิระเองก็เจ็บหนักเอาการเหมือนกัน“เราคงไม่ได้เจอเล็กอีกแล้วใช่มั้ย” สายตาของจิระมีแววอาลัยอาวรณ์อย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินหญิงสาวพูดประโยคนั้น ธรินดาเรียนจบแล้วและคงได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่างไม่มีปัญหา ขณะที่เขาเองยังต้องเรียนอีกหนึ่งเทอมเพราะมัวแต่เกเรและไม่ค่อยใส่ใจกับการเรียนเท่าใดนัก จึงจบช้ากว่าเกณฑ์ไปหนึ่งเทอม“อื้อ...ก็เราเรียนจบแล้วไง คงไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอกันแล้วละ”“ขนาดตอนยังเรียนอยู่เล็กยังหลบหน้าเราตลอดเลย แต่ก็อย่างว่าเราไม่มีอะไรสู้แฟนเล็กได้เลยนี่นะ จะให้เล็กสนใจเราได้ยังไง” จิระอดที่จะตัดพ้ออย่างผู้แพ้ไม่ได้“ถ้าจิระจะมาพูดกับเราเรื่องนี้ เราไม่พูดด้วยนะ เราจะกลับบ้าน” ธรินดาตัดบทเพราะไม่อยากเจ็บปวดกับสถานะระหว่างเธอกับปรัชญ์ที่หลุดมาจากปากของจิระ“เดี๋ยวก่อนสิเล็ก ฟังเราก่อน เขาแค่จะมาขอโทษเล็กเรื่องวันนั้น เราเพิ่งรู้ว่าแฟนเล็
บทที่ 70“มาแล้วเหรอลูกสาวคนสวยของแม่” แม่เลี้ยงลักษิกาอ้าแขนรอกอดลูกสาวด้วยความดีใจทันทีที่เห็นธรินดาเดินเข้ามายังอาคารผู้โดยสาร หญิงสาวปล่อยให้แม่ใหญ่กอดหอมจนพอใจ จากนั้นก็ค่อยยกมือขึ้นไหว้อินแปงเหมือนเช่นทุกครั้ง “คิดถึงแม่ใหญ่จังค่ะ”“แม่คิดถึงหนูเล็กมากกว่าซะอีก มารอบนี้ไม่ต้องกลับไปอีกแล้วใช่มั้ย จะอยู่กับแม่ตลอดไปแล้วใช่มั้ยลูก” แม่เลี้ยงลักษิกาถามอย่างมีความสุขตามประสาคนเป็นแม่ที่อยากให้ลูกอยู่ใกล้ๆ แม้ธรินดาจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่นางก็รักปานแก้วตาดวงใจไม่ต่างอะไรกับลูกชายทั้งสอง“ไม่กลับไปแล้วค่ะแม่ใหญ่ เล็กเรียนจบแล้ว ต่อไปเล็กจะอยู่กับแม่ใหญ่ที่บ้านของเรา” ธรินดาตอบไปทั้งๆ ที่ไม่มั่นใจแม้แต่นิดเลยว่าจะทำได้ เธอจะเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริงมากแค่ไหนก็ยังไม่รู้ ก็ได้แต่หวังและภาวนากับตัวเองว่าขอให้ความรักของแม่ใหญ่ที่มีต่อเธอชนะความรู้สึกเจ็บปวดทุกอย่างที่กำลังรุมเล่นงานหัวใจดวงน้อยอยู่ในตอนนี้ร่างบางนั่งตอนหลังคู่กับแม่บุญธรรมเช่นเดิม ปกติยามที่รถแล่นใกล้จะถึงคุ้มลักษิกาความสุขจะหลั่งไหลท่วมท้นเข้ามาในหัวใจของธรินดา แม้จะไม่ได้เกิดที่นี่ แต่ที่ตรงนี้ก็เป็นที่ที่เธอเติ
บทที่ 71เย็นวันนั้นหลังมื้อค่ำผ่านไป แม่เลี้ยงลักษิกาก็ชวนลูกทั้งสองไปคุยกันต่อในห้องนั่งเล่น โดยมีหมีพูคอยวิ่งตามธรินดาไปไม่ห่าง พอเธอนั่งมันก็กระดิกหางอ้อนจนหญิงสาวต้องก้มลงมาอุ้มขึ้นไปนั่งบนตัก ปราณต์มองภาพนั้นยิ้มๆ เพราะขนาดเขาหมีพูยังไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ แต่กับธรินดามันคุ้นเคยด้วยอย่างรวดเร็ว คงจะเป็นอย่างที่แม่ของเขาบอกว่าหมามันมีสัญชาตญาณว่าใครใจดีกับมันกระมังแม่เลี้ยงคุยสัพเพเหระ ถามถึงเรื่องคลินิกของปราณต์เสร็จก็รำพึงอย่างดีใจที่ต่อจากนี้ธรินดาไม่ต้องกลับไปเรียนและอยู่ห่างจากบ้านอีกแล้ว ขณะที่ทั้งสามกำลังนั่งคุยกันอย่างมีความสุขอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของแม่เลี้ยงลักษิกาก็ดังขึ้น แม่เลี้ยงหยิบขึ้นมาดูพร้อมทั้งอุทานออกมาอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่.โทร.มาหาตนเป็นใคร “ตายแล้วตาปรัชญ์โทร.มา นี่แม่ไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมตาปราณต์หนูเล็ก สงสัยวันนี้ฝนจะตกห่าใหญ่แน่ๆ” “ไม่ได้ตาฝาดหรอกครับแม่ รีบรับเถอะครับ เดี๋ยวปรัชญ์เปลี่ยนใจวางสายไปซะก่อนนะ” ปราณต์เตือนผู้เป็นแม่ด้วยสีหน้ายิ้มๆ เมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ของท่าน ที่ยิ้มไม่ใช่อะไร ยิ้มเพราะทั้งแม่และน้
บทที่ 72ตอนสายของวันต่อมา คุ้มลักษิกาก็ได้ต้อนรับว่าที่สะใภ้และทีมงานช่างภาพที่บินตรงจากกรุงเทพฯ เพื่อมาเก็บภาพพรีเวดดิ้งตามที่แม่ของเจ้าบ่าวต้องการ แต่กว่าจะได้เริ่มถ่ายจริงๆ เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว เพราะมาถึงแม่เลี้ยงลักษิกาก็จัดอาหารเลี้ยงต้อนรับอย่างดี จากนั้นช่างแต่งหน้าทำผมก็จับว่าที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวไปแต่งตัวโดยใช้เวลานานพอสมควรปรัชญ์และนัสรินต่างหล่อสวยสง่าในชุดล้านนาแบบชาวเหนือซึ่งชุดนี้แต่งให้เข้ากับบรรยากาศของคุ้ม ทั้งคู่โพสท่าคู่กันอย่างสวยงามตามที่ช่างภาพบอก ท่ามกลางสายตาของแม่เลี้ยงลักษิกาที่มองอย่างชื่นชมและปลื้มปริ่มในใจ และมีอยู่ช่วงหนึ่งขณะที่ทั้งคู่เปลี่ยนท่าใหม่จากยืนเป็นนั่ง จู่ๆ หมีพูซึ่งวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นก็วิ่งเข้าไปป่วนโดยการขึ้นไปนั่งตักปรัชญ์และเห่าบ๊อกๆ ใส่ช่างภาพที่พยายามจะเข้ามาจับมันออกไป“หนูเล็กดูสิ ดูท่าเจ้าตัวป่วนจะหวงพ่อ เห่าพวกช่างภาพใหญ่เลย” แม่เลี้ยงลักษิกาหันไปคุยกับธรินดาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ“เดี๋ยวเล็กไปอุ้มมันออกมาเองค่ะแม่ใหญ่”ว่าแล้วร่างบางก็ตรงไปหาหมีพูซึ่งตอนนี้ยังนั่งอยู่บนตักของปรัชญ์อย่างไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน ธรินดาน