บทที่ 58โน้ตย่อซึ่งถูกจดด้วยลายมือเป็นระเบียบ อ่านเข้าใจง่าย บ่งบอกความตั้งใจของผู้จด ตอนนี้มีสภาพที่ค่อนข้างยับย่น เพราะมันถูกยืมไปถ่ายเอกสารหลายต่อหลายครั้ง ธรินดาชินเสียแล้วกับเรื่องแบบนี้ เพราะเวลาใกล้จะสอบทีไรเพื่อนๆ ในภาควิชามักจะขอยืมโน้ตย่อของเธอไปถ่ายเอกสารอ่านอยู่เสมอ พรุ่งนี้การสอบปลายภาควิชาแรกของเทอมสุดท้ายก็จะมาถึงแล้ว ธรินดาหยิบเลกเชอร์มาอ่านอีกครั้งเพื่อทบทวนและจบลงในตอนเย็นหลังตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้วร่างบางลุกจากโต๊ะ เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียง กดโทร.หาแม่ใหญ่เพื่อขอกำลังใจในวันสอบปลายภาควันแรกที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ และเพื่อไถ่ถามถึงบางอย่างที่เธอแอบกังวลมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่กล้าที่จะโทร.ถามกับเจ้าตัวโดยตรง อีกทั้งเธอไม่รู้ว่าจะติดต่อกับเขาด้วยวิธีไหน จะว่าแปลกมากก็ใช่ที่เธอไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของปรัชญ์และไม่มีช่องทางใดๆ ในการติดต่อปรัชญ์เลย แต่มันก็เป็นเรื่องปกติระหว่างเขากับเธอที่ไม่เคยจะติดต่อสื่อสารส่วนตัวกันมาแต่ไหนแต่ไร“ว่าไงหนูเล็กของแม่” เสียงที่ตอบมาจากปลายสายเป็นน้ำเสียงที่เจือด้วยความดีใจเช่นเดียวกับทุกครั้งที่เธอโทร.หา“พรุ่งนี้เล็กจะสอบ
บทที่ 59“มันชื่ออะไร”“หมีพู”“หมีพู!”“อุทานทำเหี้ยอะไรวะ”“แม่งก็ชื่อมันคิกขุฉิบหายดิ เฮ้ย...เสียชื่อว่ะ เป็นหมาอดีตนักเลงหัวไม้เบอร์หนึ่งของเชียงใหม่ทั้งทีเสือกชื่อหมีพู”“มึงจะอะไรนักหนากับหมากู ทีมึงยังเลี้ยงแมวยังกะผู้หญิง” คราวนี้ปรัชญ์ขึ้นมึงกู นั่นบ่งบอกว่าอารมณ์ชักจะขึ้นแล้ว“ถึงกูจะเลี้ยงแมว แต่แมวกูชื่อเมสซี่ ชื่อของนักฟุตบอลผู้โด่งดัง แต่นี่อะไรหมามึงเสือกชื่อหมีพู”“จะชื่ออะไรก็ช่างหมากูเถอะ ไม่เสือกสักเรื่อง กูขอ” “เออๆ ไม่เสือกก็ไม่เสือก แค่สงสัยเท่านั้นแหละ ช่วงนี้แกแม่งทำตัวแปลกๆ นี่หว่า แล้วนี่หายหัวไปไหนมาวะปรัชญ์ ไม่เห็นหน้ามาสองอาทิตย์แล้ว เห็นอีกทีก็โผล่มาพร้อมกับหมาตัวนี้ อย่าบอกนะว่าไปกรุงเทพฯ มาอีก” รังสิมันต์ยังไม่วายดักคอ ทั้งๆ ที่เขาอยู่เชียงใหม่และแทบไม่ได้ไปไหนนอกจากออฟฟิศในตัวเมือง เขายังสามารถคาดเดาความเคลื่อนไหวของเพื่อนสนิทอย่างปรัชญ์ได้อย่างแม่นยำ ราวกับเป็นฝาแฝดที่พออีกคนหนึ่งทำอะไรอีกคนก็จะรู้สึกไปด้วยราวกับสื่อถึงกันได้ก็ไม่ปาน “ถ้าไปแล้วไง เขาไม่ได้มีติดประกาศว่าห้ามไม่ให้ฉันเข้ากรุงเทพฯ นี่” “เออ
บทที่ 60“แต่แกมันไม่แค่เลวในระดับธรรมดา แกมันโคตรเลวมาก แถมยังเป็นพ่อหม้ายอีกต่างหาก” ปรัชญ์ยัดเยียดและตอกย้ำตำหนิทุกอย่างที่มีในตัวรังสิมันต์เพื่อจะให้อีกฝ่ายเลิกล้มความตั้งใจของตัวเอง“ก็แล้วยังไง ระดับความเลวของฉันกับแกมันก็ไม่ต่างกันหรอกน่า แล้วเรื่องความเป็นพ่อหม้ายของฉันก็คงไม่มีปัญหาเพราะยังไงตอนนี้ฉันก็ตัวคนเดียว ไม่มีพันธะใดๆ กับใครทั้งสิ้น” รังสิมันต์ถามกลับอย่างยอกย้อน“ใช่แกกับฉันเลวไม่ต่างกัน แต่แกเสือกมีเมียเก็บด้วยน่ะสิวะ!”“ไม่ใช่เมีย แค่นางบำเรอ ที่ระบายอารมณ์ ทาสในเรือนเบี้ย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่แกอยากจะเรียก แต่อย่าเรียกว่า ‘เมีย’ เพราะผู้หญิงเลวๆ บางคนก็ไม่เหมาะกับคำนั้น” น้ำเสียงนั้นซีเรียสจริงจังอีกครั้ง บ่งบอกถึงความเกลียดชังรังเกียจต่อคนที่ตัวเองกำลังพูดถึง“แกแม่งทั้งชั่วทั้งเลวว่ะ” ปรัชญ์อดด่าไม่ได้เพราะเวทนาผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นที่ตกเป็นทาสอารมณ์และเครื่องมือระบายความแค้นของรังสิมันต์“ก็ชั่วไม่มากไปกว่าแกเท่าไหร่หรอก อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าแกทำอะไรอยู่” รังสิมันต์ดักคอปรัชญ์บ้าง ทั้งคู่จึงไม่ต่างอะไรกับไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่“รู้แล้วไง” ปรัชญ์ยักไหล่อย่างไ
บทที่ 61“เล็กดูคล่องแคล่วเนอะ คงมาวัดบ่อยมาก” ชนิศาเอ่ยขึ้นหลังจากทั้งคู่ทำบุญเสร็จเรียบร้อยแล้ว“เราไปวัดกับแม่ใหญ่บ่อยๆ น่ะ ไปตั้งแต่เด็กจนโตเลยละ แม่ใหญ่ชอบพาไปทำบุญใส่บาตรในวันพระ บางทีก็ชวนไปปฏิบัติธรรมบ้าง ถือศีลบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะพาสวดมนต์นั่งสมาธิในห้องพระ”“ถึงว่าเล็กดูเป็นคนใจเย็น อยู่ใกล้ๆ แล้วรู้สึกเย็นตาเย็นใจ” “แต่ก็มีคนชอบว่าเรา ว่าทำตัวไม่สมวัย ไม่มีชีวิตชีวา บางครั้งก็ไล่เราไปบวชชีให้มันจบๆ ไปซะ” ธรินดาเผลอพูดในสิ่งที่ตัวเองโดนใครบางคนค่อนแขวะอยู่บ่อยๆ “ใครนะปากร้ายชะมัด เป็นเราจะตบสักฉาดสองฉาด” “เชื่อเถอะว่าศาไม่กล้าตบหรอก เขาร้ายจะตาย” “อย่าบอกนะว่าคนคนนั้นก็คือ...พี่ปรัชญ์!” ชนิศาอุทานออกมาเสียงดังในตอนท้าย ก่อนจะต่อด้วยอาการหลุดขำ เมื่อนึกถึงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลา แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะปากร้ายเช่นนั้นกับน้องสาวที่ออกจะน่ารักอย่างธรินดา ธรินดาไม่ตอบแต่พยักหน้านิดๆ เป็นเชิงยอมรับว่าชนิศาเดาถูก “เราชินแล้วละ” “พี่ปรัชญ์พูดเล่นหรอกเราว่า” “คน
บทที่ 62 แสงสีและเสียงดนตรีซึ่งทั้งเล่นสดสลับกับเสียงเพลงเร้าใจที่ถูกรีมิกซ์จากดีเจยิ่งกระตุ้นเร้าให้ผู้คนที่เข้ามาใช้บริการในผับแห่งนี้ อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นเต้นตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนาน บ้างก็กำลังยกแก้วขึ้นชน บ้างก็กำลังยกเครื่องดื่มที่ส่วนใหญ่จะมีแอลกอฮอล์ผสมขึ้นดื่ม แม้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ย่างกรายเข้ามาในสถานที่แบบนี้อีก แต่ธรินดาก็ไม่สามารถปฏิเสธเพื่อนได้ ด้วยเพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเพื่อนสนิทอย่างชนิศา อีกทั้งเพื่อนๆ ในภาควิชาที่รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดีก็มาร่วมงานกันหลายคน ทำให้เธอต้องมาในที่สุด ธรินดานั่งดูเพื่อนๆ เต้นรำและดื่มอย่างสนุกสนานพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อได้เห็นความสนุกสนานแบบบ้าๆ บอๆ ที่เพื่อนๆ แสดงออกกัน คืนนี้เธอไม่ยอมแตะแอลกอฮอล์ ชนิศาเองก็ปรามเอาไว้ก่อนแล้วว่าห้ามไม่ให้ใครผสมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ให้กับเธอซึ่งเพื่อนๆ ก็เข้าใจดีทุกคน เครื่องดื่มของธรินดาจึงเป็นแค่น้ำเปล่าที่ไม่เติมแม้แต่น้ำแข็งเท่านั้น เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงห้าทุ่ม ระดับความสนุกก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มแน่นขน
บทที่ 63ผลัวะ!เมื่อถูกต่อยจิระก็เลือดขึ้นหน้า เขาจะเอาคืนบ้าง ร่างผอมสูงถลาเข้าไปเพื่อจะปล่อยหมัดใส่หน้าหล่อๆ ของปรัชญ์ แต่ปรัชญ์เบี่ยงตัวหลบแถมยังสวนกลับไปด้วยหมัดลุ่นๆ เต็มปากเต็มจมูกของจิระเข้าอีกหมัดร่างกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามขยับย่างสามขุมตามไปกระชากคอเสื้อของหนุ่มรุ่นน้องด้วยสีหน้าถมึงทึง จิระที่โดนเข้าไปสองหมัดก็มีอาการบ้าเลือด เพราะทั้งเจ็บทั้งอาย เขาสะบัดตัวเต็มแรงสวนหมัดเข้าใส่หน้าปรัชญ์คืนได้หมัดหนึ่ง แต่โดนตอบโต้ด้วยการรัวหมัดเข้าใส่กลับมาเป็นชุด“คุณปรัชญ์! อย่าค่ะ!”ธรินดาร้องห้ามอย่างตกใจ เพราะสภาพของจิระเริ่มจะสะบักสะบอม แต่ปรัชญ์ไม่ฟังเสียง ความจริงเขาราล้างจากเรื่องชกต่อยมานานหลายปีแล้ว แต่ยามที่จำเป็นต้องทำมันเขาก็ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกันจิระแม้จะเจ็บปานใดทว่าก็ไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ง่ายๆ ยังสะบัดตัวจนหลุดและเหวี่ยงหมัดเพื่อเอาคืนปรัชญ์ให้ได้ แต่ทว่าก็วืดโดนแต่ลม มิหนำซ้ำยังจะโดนปรัชญ์เล่นงานเข้าให้อีก ทว่าก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่านั้นก็มีคนมาล็อกตัวของปรัชญ์เอาไว้ เช่นเดียวกับที่เพื่อนของจิระที่มาดึงจิระไว้ ส่วนเพื่อนๆ ของธรินดาก็กรูกันมาดูเหตุการณ์พร้อมกับกา
บทที่ 64“เล็กไม่หิวค่ะ...” เสียงหวานที่ตอบนั้นค่อนข้างอู้อี้เพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ “งั้นเดี๋ยวพี่จอดแถวๆ ริมแม่น้ำให้นะ ไปยืนมองน้ำรับลม เผื่อน้องเล็กจะสบายใจขึ้น”รังสิมันต์บอกด้วยความหวังดี ก่อนจะตีไฟเลี้ยวจอดรถบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จากนั้นก็เดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้ธรินดาลงจากรถ เดินไปหยุดอยู่ริมแม่น้ำที่มีแผงเหล็กกั้นเอาไว้ แขนเล็กเท้ากับราวเหล็ก ตามองไปยังสายน้ำที่ถูกไฟจากหลายทิศทางส่องสะท้อน ลมเย็นๆ ของอากาศยามดึกพัดโชยมาปะทะใบหน้า ทำให้ความร้อนรุ่มหนักอึ้งในใจค่อยๆ เบาบางลงร่างสูงของรังสิมันต์ขยับมายืนข้างๆ เขาวางมือบนราวเหล็กแบบเดียวกับที่ธรินดาทำ เพื่อให้หญิงสาวรู้สึกว่าตอนนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียว“กำลังคิดอะไรอยู่ เล่าให้พี่ฟังได้มั้ย” รังสิมันต์ถามเสียงนุ่มหลังจากที่ไม่ได้ใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับใครมานานจนแทบจะจำมันไม่ได้ว่าตัวเองพูดแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่“เล็กไม่มีอะไรจะเล่าค่ะพี่ตะวัน แค่อยากขอร้องไม่ให้พี่ตะวันบอกเรื่องนี้กับแม่ใหญ่และพี่ปราณต์”“ทำไมล่ะ”“คุณปรัชญ์กำลังจะแต่งงาน เล็กไม่อยากให้มีปัญหาอะไรที่เกิดจากเล็กเป็นต้นเหตุค่ะ” หญ
บทที่ 65ร่างบางผละออกห่างเงียบๆ เดินไปหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็ก เปิดตู้เย็นหยิบน้ำแข็งมาใส่ในผ้าขนหนูผืนนั้น จากนั้นก็ขยับมายืนตรงหน้าร่างสูงอีกครั้ง แตะผ้าห่อน้ำแข็งบนปากเขาเบาๆ โดยที่สายตาคมจับจ้องมองตลอดเวลา แต่เธอก็ไม่สนใจยังคงค่อยๆ ประคบน้ำแข็งให้ที่รอยแผลบนใบหน้านั้น ก่อนจะละมือลงจับมือใหญ่ขึ้น แล้วทำเช่นเดียวกับแผลที่ใบหน้าของเขาเมื่อครู่นี้“เธอจะใส่ใจกับคนเลวๆ อย่างฉันทำไม”“เล็กเป็นคนทำให้คุณเจ็บนี่คะ”ธรินดาพูดออกมาเป็นประโยคแรก หลังจากใช้เพียงการเคลื่อนไหวของร่างกายแทนคำพูดทั้งหมดอยู่นาน“ก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ”“เล็กไม่เคยคิดจะทำร้ายใคร”“แต่ฉันเต็มใจให้เธอทำร้าย” ปรัชญ์พูดพลางวางมือลงบนมือเล็กที่กำลังประคบน้ำแข็งบนมือของเขา ขณะที่ธรินดาเอาแต่ก้มหน้านิ่ง“เล็ก...”เขาเรียกชื่อเล่นเธอเป็นครั้งแรกอย่างอ่อนโยน จนธรินดาต้องเงยหน้าขึ้นสบตาสีสนิมเหล็กของเขาอย่างไม่รู้ตัวปรัชญ์จ้องลึกลงไปในดวงตาเรียวหวานแน่วนิ่ง ส่วนคนถูกจ้องเต็มไปด้วยอาการหวั่นไหวหวาดหวั่นอยากจะหลบสายตานั้น แต่ก็เหมือนถูกตอกตรึงเอาไว้จนลืมขยับเขยื้อนไปชั่วขณะ กระทั่งใบหน้าคมคร้ามค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงมาหาพร้อมกับลมหา