บทที่ 55“มันเป็นอะไรคะ มีเจ้าของมั้ย ถ้าไม่มีหนูจะเอาไปรักษานะคะ” ธรินดาถามอย่างอ่อนโยนพลางทอดมองสุนัขตัวน้อยด้วยความสงสารและเวทนาไม่แพ้กัน“ไม่มีค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นหนูจะเอามันไปรักษานะคะ” เสียงหวานใสบอกกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก่อน แล้วขยับเข้าไปอุ้มลูกหมาตัวนั้นพร้อมกับกล่าวปลอบขวัญมันด้วยน้ำเสียงเอื้ออารีโดยไม่มีท่าทางรังเกียจแม้แต่น้อย “อย่าเป็นอะไรนะลูก เดี๋ยวแม่จะพาหนูไปหาหมอเอง”ว่าแล้วร่างบางก็อุ้มสุนัขตัวน้อยตรงไปยังรถสปอร์ตสีแดงราคาหลายสิบล้าน ท่ามกลางสายตาที่มองตามอย่างทึ่งๆ ของพนักงานสาวคนนั้น“เดี๋ยวค่ะๆ”“คะพี่?” ธรินดาหันกลับไปมองเมื่อพนักงานสาวคนนั้นเรียกเธอพร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าส่งให้“พี่ช่วยค่ะ ขอบคุณมากนะคะสำหรับน้ำใจ ฝากเจ้าตัวเล็กด้วยนะคะ”“ไม่เป็นไรค่ะพี่ หนูสัญญาว่าจะพาไปรักษาและมันจะต้องหาย ขอบคุณพี่เช่นกันสำหรับน้ำใจที่มีค่ะ” ธรินดาไม่ยอมรับเงิน แต่สัญญาอย่างหนักแน่นพร้อมกับกล่าวขอบคุณ ก่อนจะขยับไปเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถโดยมีปรัชญ์ก้าวตามติดๆ“นี่เธอบ้าหรือเปล่า จู่ๆ ก็ปรี่เข้าไปอุ้มมันแบบไม่ระวังอย่างนั้น เกิดมันเป็นหมาบ้าขึ้นมาจะทำไง” “มันไ
บทที่ 56ปริ๊นนน...เสียงแตรรถคันหนึ่งดังขึ้นหลังจากที่ธรินดาเดินมาได้สักพักหนึ่ง เมื่อเธอหันไปมองก็เห็นว่ารถคันนั้นคือรถสปอร์ตสีแดงราคาแพงของปรัชญ์ เขาหักพวงมาลัยเข้าข้างทางแล้วลดกระจกรถลง “คุณปรัชญ์...” “ขึ้นรถ!” เขาบอกห้วนๆ แต่ธรินดาก็ปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ เล็กไม่อยากรบกวนคุณ”“ฉันบอกให้ขึ้นรถไงธรินดา” ธรินดาไม่ฟังเสียง ซ้ำยังทำท่าว่าจะเดินต่อไป ปรัชญ์จึงเปิดประตูก้าวพรวดพราดลงจากรถ แล้วเดินดุ่มๆ ตรงไปยังร่างเล็ก และโดยที่หญิงสาวไม่คาดคิด เขาก็อุ้มทั้งคนทั้งหมายัดใส่หน้ารถตัวเองทันที“รัดเข็มขัดซะ” เขาสั่งอีกรอบ พอธรินดาชักช้าเขาก็จัดการโน้มตัวมาจัดการดึงเข็มขัดรัดให้เสียเอง ตาสองคู่สบประสานกันชั่วขณะ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขารวยรดลงมาพร้อมกับละลายทิฐิในหัวใจของธรินดาลงไปกว่าครึ่ง “คุณปรัชญ์กลับมาทำไมคะ” “ฉันไม่อยากทิ้งเมียตัวเองไว้กับหมาขี้โรคและไม่อยากให้เธออุ้มหมาตะลอนไปหาผู้ชายอื่น”คำตอบของเขาไม่นุ่มหูเลยสักนิด ทำให้คนที่กำลังใจชื้นเริ่มโกรธอีกครั้ง “ห้ามเรียกมันว่าหมาขี้โร
บทที่ 57ได้ยินคำขู่เช่นนั้นธรินดาก็ไม่กล้าจะถามหรือพูดอะไรให้เขารำคาญใจอีก เธอรัดเข็มขัดและนั่งเงียบๆ ไปตลอดทางจนกระทั่งปรัชญ์ขับรถมาส่งถึงหน้าหอพัก เธอก็ปลดเข็มขัดเพื่อจะลงจากรถ“เดี๋ยวก่อน” ปรัชญ์เรียกไว้พร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าส่งให้เธอจำนวนหนึ่ง “เก็บเงินนี้ไว้ใช้เผื่ออยากได้อะไร” “เล็กไม่รับค่ะ เงินที่แม่ใหญ่ให้เล็กก็พอใช้แล้ว” ธรินดาปฏิเสธและไม่ยอมรับเงินจากเขา “นั่นเงินแม่ แต่นี่เงินผัวป่ะ” “เก็บเงินของคุณปรัชญ์ไว้ให้เมียคนอื่นๆ ของคุณปรัชญ์เถอะค่ะ น่าจะมีหลายคน เล็กไม่อยากเบียดเบียนส่วนแบ่งใคร” ไม่รู้เพราะอะไรธรินดาจึงเผลอพูดจาประชดประชันเขาไปแบบนั้น อาจเป็นเพราะเธอคิดว่าเขากำลังให้เงินเธอเหมือนกับที่เขาให้ผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขามีอะไรด้วย“ผู้หญิงคนอื่นที่ฉันมีเซ็กซ์ด้วย ฉันไม่นับว่าเป็นเมีย ฉันนับเธอคนเดียว เมียที่ฉันได้ในคืนเดือนแรม” ปรัชญ์ย้ำพลางหลุบตาลงมองจี้สร้อยที่เขาใส่ให้เธอกับมือเมื่อเช้านี้ ธรินดาเพิ่งจะเข้าใจความหมายของจี้ที่เขาซื้อให้ก็ตอนนี้เอง เขาให้ของสิ่งนี้ก็เพื่อเป็นการตีตราและตอกย้ำว่าเธอคือสมบัติของเขา“เล็กไ
บทที่ 58โน้ตย่อซึ่งถูกจดด้วยลายมือเป็นระเบียบ อ่านเข้าใจง่าย บ่งบอกความตั้งใจของผู้จด ตอนนี้มีสภาพที่ค่อนข้างยับย่น เพราะมันถูกยืมไปถ่ายเอกสารหลายต่อหลายครั้ง ธรินดาชินเสียแล้วกับเรื่องแบบนี้ เพราะเวลาใกล้จะสอบทีไรเพื่อนๆ ในภาควิชามักจะขอยืมโน้ตย่อของเธอไปถ่ายเอกสารอ่านอยู่เสมอ พรุ่งนี้การสอบปลายภาควิชาแรกของเทอมสุดท้ายก็จะมาถึงแล้ว ธรินดาหยิบเลกเชอร์มาอ่านอีกครั้งเพื่อทบทวนและจบลงในตอนเย็นหลังตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้วร่างบางลุกจากโต๊ะ เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียง กดโทร.หาแม่ใหญ่เพื่อขอกำลังใจในวันสอบปลายภาควันแรกที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ และเพื่อไถ่ถามถึงบางอย่างที่เธอแอบกังวลมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่กล้าที่จะโทร.ถามกับเจ้าตัวโดยตรง อีกทั้งเธอไม่รู้ว่าจะติดต่อกับเขาด้วยวิธีไหน จะว่าแปลกมากก็ใช่ที่เธอไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของปรัชญ์และไม่มีช่องทางใดๆ ในการติดต่อปรัชญ์เลย แต่มันก็เป็นเรื่องปกติระหว่างเขากับเธอที่ไม่เคยจะติดต่อสื่อสารส่วนตัวกันมาแต่ไหนแต่ไร“ว่าไงหนูเล็กของแม่” เสียงที่ตอบมาจากปลายสายเป็นน้ำเสียงที่เจือด้วยความดีใจเช่นเดียวกับทุกครั้งที่เธอโทร.หา“พรุ่งนี้เล็กจะสอบ
บทที่ 59“มันชื่ออะไร”“หมีพู”“หมีพู!”“อุทานทำเหี้ยอะไรวะ”“แม่งก็ชื่อมันคิกขุฉิบหายดิ เฮ้ย...เสียชื่อว่ะ เป็นหมาอดีตนักเลงหัวไม้เบอร์หนึ่งของเชียงใหม่ทั้งทีเสือกชื่อหมีพู”“มึงจะอะไรนักหนากับหมากู ทีมึงยังเลี้ยงแมวยังกะผู้หญิง” คราวนี้ปรัชญ์ขึ้นมึงกู นั่นบ่งบอกว่าอารมณ์ชักจะขึ้นแล้ว“ถึงกูจะเลี้ยงแมว แต่แมวกูชื่อเมสซี่ ชื่อของนักฟุตบอลผู้โด่งดัง แต่นี่อะไรหมามึงเสือกชื่อหมีพู”“จะชื่ออะไรก็ช่างหมากูเถอะ ไม่เสือกสักเรื่อง กูขอ” “เออๆ ไม่เสือกก็ไม่เสือก แค่สงสัยเท่านั้นแหละ ช่วงนี้แกแม่งทำตัวแปลกๆ นี่หว่า แล้วนี่หายหัวไปไหนมาวะปรัชญ์ ไม่เห็นหน้ามาสองอาทิตย์แล้ว เห็นอีกทีก็โผล่มาพร้อมกับหมาตัวนี้ อย่าบอกนะว่าไปกรุงเทพฯ มาอีก” รังสิมันต์ยังไม่วายดักคอ ทั้งๆ ที่เขาอยู่เชียงใหม่และแทบไม่ได้ไปไหนนอกจากออฟฟิศในตัวเมือง เขายังสามารถคาดเดาความเคลื่อนไหวของเพื่อนสนิทอย่างปรัชญ์ได้อย่างแม่นยำ ราวกับเป็นฝาแฝดที่พออีกคนหนึ่งทำอะไรอีกคนก็จะรู้สึกไปด้วยราวกับสื่อถึงกันได้ก็ไม่ปาน “ถ้าไปแล้วไง เขาไม่ได้มีติดประกาศว่าห้ามไม่ให้ฉันเข้ากรุงเทพฯ นี่” “เออ
บทที่ 60“แต่แกมันไม่แค่เลวในระดับธรรมดา แกมันโคตรเลวมาก แถมยังเป็นพ่อหม้ายอีกต่างหาก” ปรัชญ์ยัดเยียดและตอกย้ำตำหนิทุกอย่างที่มีในตัวรังสิมันต์เพื่อจะให้อีกฝ่ายเลิกล้มความตั้งใจของตัวเอง“ก็แล้วยังไง ระดับความเลวของฉันกับแกมันก็ไม่ต่างกันหรอกน่า แล้วเรื่องความเป็นพ่อหม้ายของฉันก็คงไม่มีปัญหาเพราะยังไงตอนนี้ฉันก็ตัวคนเดียว ไม่มีพันธะใดๆ กับใครทั้งสิ้น” รังสิมันต์ถามกลับอย่างยอกย้อน“ใช่แกกับฉันเลวไม่ต่างกัน แต่แกเสือกมีเมียเก็บด้วยน่ะสิวะ!”“ไม่ใช่เมีย แค่นางบำเรอ ที่ระบายอารมณ์ ทาสในเรือนเบี้ย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่แกอยากจะเรียก แต่อย่าเรียกว่า ‘เมีย’ เพราะผู้หญิงเลวๆ บางคนก็ไม่เหมาะกับคำนั้น” น้ำเสียงนั้นซีเรียสจริงจังอีกครั้ง บ่งบอกถึงความเกลียดชังรังเกียจต่อคนที่ตัวเองกำลังพูดถึง“แกแม่งทั้งชั่วทั้งเลวว่ะ” ปรัชญ์อดด่าไม่ได้เพราะเวทนาผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นที่ตกเป็นทาสอารมณ์และเครื่องมือระบายความแค้นของรังสิมันต์“ก็ชั่วไม่มากไปกว่าแกเท่าไหร่หรอก อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าแกทำอะไรอยู่” รังสิมันต์ดักคอปรัชญ์บ้าง ทั้งคู่จึงไม่ต่างอะไรกับไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่“รู้แล้วไง” ปรัชญ์ยักไหล่อย่างไ
บทที่ 61“เล็กดูคล่องแคล่วเนอะ คงมาวัดบ่อยมาก” ชนิศาเอ่ยขึ้นหลังจากทั้งคู่ทำบุญเสร็จเรียบร้อยแล้ว“เราไปวัดกับแม่ใหญ่บ่อยๆ น่ะ ไปตั้งแต่เด็กจนโตเลยละ แม่ใหญ่ชอบพาไปทำบุญใส่บาตรในวันพระ บางทีก็ชวนไปปฏิบัติธรรมบ้าง ถือศีลบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะพาสวดมนต์นั่งสมาธิในห้องพระ”“ถึงว่าเล็กดูเป็นคนใจเย็น อยู่ใกล้ๆ แล้วรู้สึกเย็นตาเย็นใจ” “แต่ก็มีคนชอบว่าเรา ว่าทำตัวไม่สมวัย ไม่มีชีวิตชีวา บางครั้งก็ไล่เราไปบวชชีให้มันจบๆ ไปซะ” ธรินดาเผลอพูดในสิ่งที่ตัวเองโดนใครบางคนค่อนแขวะอยู่บ่อยๆ “ใครนะปากร้ายชะมัด เป็นเราจะตบสักฉาดสองฉาด” “เชื่อเถอะว่าศาไม่กล้าตบหรอก เขาร้ายจะตาย” “อย่าบอกนะว่าคนคนนั้นก็คือ...พี่ปรัชญ์!” ชนิศาอุทานออกมาเสียงดังในตอนท้าย ก่อนจะต่อด้วยอาการหลุดขำ เมื่อนึกถึงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลา แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะปากร้ายเช่นนั้นกับน้องสาวที่ออกจะน่ารักอย่างธรินดา ธรินดาไม่ตอบแต่พยักหน้านิดๆ เป็นเชิงยอมรับว่าชนิศาเดาถูก “เราชินแล้วละ” “พี่ปรัชญ์พูดเล่นหรอกเราว่า” “คน
บทที่ 62 แสงสีและเสียงดนตรีซึ่งทั้งเล่นสดสลับกับเสียงเพลงเร้าใจที่ถูกรีมิกซ์จากดีเจยิ่งกระตุ้นเร้าให้ผู้คนที่เข้ามาใช้บริการในผับแห่งนี้ อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นเต้นตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนาน บ้างก็กำลังยกแก้วขึ้นชน บ้างก็กำลังยกเครื่องดื่มที่ส่วนใหญ่จะมีแอลกอฮอล์ผสมขึ้นดื่ม แม้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ย่างกรายเข้ามาในสถานที่แบบนี้อีก แต่ธรินดาก็ไม่สามารถปฏิเสธเพื่อนได้ ด้วยเพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเพื่อนสนิทอย่างชนิศา อีกทั้งเพื่อนๆ ในภาควิชาที่รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดีก็มาร่วมงานกันหลายคน ทำให้เธอต้องมาในที่สุด ธรินดานั่งดูเพื่อนๆ เต้นรำและดื่มอย่างสนุกสนานพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อได้เห็นความสนุกสนานแบบบ้าๆ บอๆ ที่เพื่อนๆ แสดงออกกัน คืนนี้เธอไม่ยอมแตะแอลกอฮอล์ ชนิศาเองก็ปรามเอาไว้ก่อนแล้วว่าห้ามไม่ให้ใครผสมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ให้กับเธอซึ่งเพื่อนๆ ก็เข้าใจดีทุกคน เครื่องดื่มของธรินดาจึงเป็นแค่น้ำเปล่าที่ไม่เติมแม้แต่น้ำแข็งเท่านั้น เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงห้าทุ่ม ระดับความสนุกก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มแน่นขน