บทที่ 53“เธออยากได้อะไรหรือเปล่า” ปรัชญ์ถามขึ้นเป็นประโยคแรก หลังจากปล่อยให้บรรยากาศในรถที่แล่นไปตามถนนซึ่งค่อนข้างจะโล่งเพราะเป็นเช้าวันเสาร์เงียบมานาน พลอยทำให้คนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ รู้สึกเกร็งและหายใจไม่ทั่วท้องมาตลอดทางธรินดาหันไปมองหน้าคนถามแวบหนึ่ง เห็นหน้าเขายังคงนิ่งเฉย บ่งบอกได้ชัดว่ายังโกรธเรื่องที่เธอไม่ยอมตามใจอยู่ จึงได้แต่ตอบคำถามด้วยเสียงเรียบๆ และระมัดระวังตัว “อยากได้รองพื้นค่ะ” “เธอแต่งหน้าด้วยเหรอ” คราวนี้เป็นปรัชญ์ที่หันมามองเสี้ยวหน้าหวานใสที่ไร้เครื่องสำอางนั้นบ้าง “เปล่าค่ะ” ตอบเบาๆ หากเป็นยามปกติเธอไม่เคยคิดจะใช้เครื่องสำอางพวกนี้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มันจำเป็น เธอคงไม่กล้าเดินเข้าหอพักหรือไปเรียนในสภาพที่มีรอยคิสมาร์กเต็มคอไปหมดเช่นนี้แน่ๆ “แล้วจะเอาไปทำอะไร รองพื้นเขาเอาไว้ใช้ปกปิดริ้วรอยบนใบหน้านี่ อ้อ...ลืมไปว่าที่คอและที่เนินอกก็ปกปิดได้” พูดจบก็ตามมาด้วยรอยยิ้มที่คลี่แย้มบนเรียวปากหยักได้รูป เป็นยิ้มแรกที่ธรินดาเห็นตั้งแต่ที่เขาพากลับออกมาจากคอนโดฯ แต่มันกลับไม่ใช่รอยยิ้มที่ทำให้เธอสบายใจเล
บทที่ 54“เล็กไม่มีวันรู้สึกบ้าๆ แบบนั้นกับคุณปรัชญ์แน่ ปล่อยเล็กค่ะ” ธรินดาปฏิเสธพร้อมกับพยายามบิดแขนออก“ถ้าไม่หึงแล้วทำไมจะต้องรีบเดินหนี”“เล็กบอกแล้วไงว่าเล็กไม่ได้...”“ฉันหิว แล้วก็ขี้เกียจเถียงกับเด็กที่ปากกับใจไม่ตรงกัน” ปรัชญ์ตัดบทแล้วลากเธอเข้าไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณที่เขาและเธอเถียงกันเมื่อเข้าไปนั่งข้างในเขาก็จัดการสั่งอาหารสองชุด สำหรับตัวเองชุดหนึ่ง สำหรับธรินดาชุดหนึ่ง โดยไม่ยอมถามว่าเธอหิวหรือไม่ หลังจากที่พนักงานนำอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟให้เขาก็บังคับให้เธอกิน“กินซะ ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วไม่ใช่เหรอ นอกจากกาแฟ”“เล็กไม่นึกอยากกินอะไรเลยค่ะ เห็นอาหารก็นึกอยากอ้วก” ธรินดาบอกพลางเบือนหน้าหนีจากอาหารตรงหน้าด้วยสีหน้าพะอืดพะอม“เธอยังไม่ท้องหรอกน่า ครั้งแรกฉันก็ป้องกัน เมื่อคืนฉันก็ยังไม่ได้เธอ ส่วนเมื่อกี้เธอก็ไม่ยอมตามใจฉัน”“เล็กไม่ได้กลัวเรื่องนั้น เล็กก็แค่...”“เมาค้าง” ปรัชญ์ตัดบททั้งที่เธอพูดยังไม่จบอีกเช่นเคย “แล้วปกติเธอเมาค้างนานแค่ไหน”“บอกแล้วไงคะว่านี่เพิ่งครั้งแรกของเล็ก”ธรินดาไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดหรือถูกใจเขานัก พอเธอพูดคำว่
บทที่ 55“มันเป็นอะไรคะ มีเจ้าของมั้ย ถ้าไม่มีหนูจะเอาไปรักษานะคะ” ธรินดาถามอย่างอ่อนโยนพลางทอดมองสุนัขตัวน้อยด้วยความสงสารและเวทนาไม่แพ้กัน“ไม่มีค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นหนูจะเอามันไปรักษานะคะ” เสียงหวานใสบอกกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก่อน แล้วขยับเข้าไปอุ้มลูกหมาตัวนั้นพร้อมกับกล่าวปลอบขวัญมันด้วยน้ำเสียงเอื้ออารีโดยไม่มีท่าทางรังเกียจแม้แต่น้อย “อย่าเป็นอะไรนะลูก เดี๋ยวแม่จะพาหนูไปหาหมอเอง”ว่าแล้วร่างบางก็อุ้มสุนัขตัวน้อยตรงไปยังรถสปอร์ตสีแดงราคาหลายสิบล้าน ท่ามกลางสายตาที่มองตามอย่างทึ่งๆ ของพนักงานสาวคนนั้น“เดี๋ยวค่ะๆ”“คะพี่?” ธรินดาหันกลับไปมองเมื่อพนักงานสาวคนนั้นเรียกเธอพร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าส่งให้“พี่ช่วยค่ะ ขอบคุณมากนะคะสำหรับน้ำใจ ฝากเจ้าตัวเล็กด้วยนะคะ”“ไม่เป็นไรค่ะพี่ หนูสัญญาว่าจะพาไปรักษาและมันจะต้องหาย ขอบคุณพี่เช่นกันสำหรับน้ำใจที่มีค่ะ” ธรินดาไม่ยอมรับเงิน แต่สัญญาอย่างหนักแน่นพร้อมกับกล่าวขอบคุณ ก่อนจะขยับไปเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถโดยมีปรัชญ์ก้าวตามติดๆ“นี่เธอบ้าหรือเปล่า จู่ๆ ก็ปรี่เข้าไปอุ้มมันแบบไม่ระวังอย่างนั้น เกิดมันเป็นหมาบ้าขึ้นมาจะทำไง” “มันไ
บทที่ 56ปริ๊นนน...เสียงแตรรถคันหนึ่งดังขึ้นหลังจากที่ธรินดาเดินมาได้สักพักหนึ่ง เมื่อเธอหันไปมองก็เห็นว่ารถคันนั้นคือรถสปอร์ตสีแดงราคาแพงของปรัชญ์ เขาหักพวงมาลัยเข้าข้างทางแล้วลดกระจกรถลง “คุณปรัชญ์...” “ขึ้นรถ!” เขาบอกห้วนๆ แต่ธรินดาก็ปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ เล็กไม่อยากรบกวนคุณ”“ฉันบอกให้ขึ้นรถไงธรินดา” ธรินดาไม่ฟังเสียง ซ้ำยังทำท่าว่าจะเดินต่อไป ปรัชญ์จึงเปิดประตูก้าวพรวดพราดลงจากรถ แล้วเดินดุ่มๆ ตรงไปยังร่างเล็ก และโดยที่หญิงสาวไม่คาดคิด เขาก็อุ้มทั้งคนทั้งหมายัดใส่หน้ารถตัวเองทันที“รัดเข็มขัดซะ” เขาสั่งอีกรอบ พอธรินดาชักช้าเขาก็จัดการโน้มตัวมาจัดการดึงเข็มขัดรัดให้เสียเอง ตาสองคู่สบประสานกันชั่วขณะ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขารวยรดลงมาพร้อมกับละลายทิฐิในหัวใจของธรินดาลงไปกว่าครึ่ง “คุณปรัชญ์กลับมาทำไมคะ” “ฉันไม่อยากทิ้งเมียตัวเองไว้กับหมาขี้โรคและไม่อยากให้เธออุ้มหมาตะลอนไปหาผู้ชายอื่น”คำตอบของเขาไม่นุ่มหูเลยสักนิด ทำให้คนที่กำลังใจชื้นเริ่มโกรธอีกครั้ง “ห้ามเรียกมันว่าหมาขี้โร
บทที่ 57ได้ยินคำขู่เช่นนั้นธรินดาก็ไม่กล้าจะถามหรือพูดอะไรให้เขารำคาญใจอีก เธอรัดเข็มขัดและนั่งเงียบๆ ไปตลอดทางจนกระทั่งปรัชญ์ขับรถมาส่งถึงหน้าหอพัก เธอก็ปลดเข็มขัดเพื่อจะลงจากรถ“เดี๋ยวก่อน” ปรัชญ์เรียกไว้พร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าส่งให้เธอจำนวนหนึ่ง “เก็บเงินนี้ไว้ใช้เผื่ออยากได้อะไร” “เล็กไม่รับค่ะ เงินที่แม่ใหญ่ให้เล็กก็พอใช้แล้ว” ธรินดาปฏิเสธและไม่ยอมรับเงินจากเขา “นั่นเงินแม่ แต่นี่เงินผัวป่ะ” “เก็บเงินของคุณปรัชญ์ไว้ให้เมียคนอื่นๆ ของคุณปรัชญ์เถอะค่ะ น่าจะมีหลายคน เล็กไม่อยากเบียดเบียนส่วนแบ่งใคร” ไม่รู้เพราะอะไรธรินดาจึงเผลอพูดจาประชดประชันเขาไปแบบนั้น อาจเป็นเพราะเธอคิดว่าเขากำลังให้เงินเธอเหมือนกับที่เขาให้ผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขามีอะไรด้วย“ผู้หญิงคนอื่นที่ฉันมีเซ็กซ์ด้วย ฉันไม่นับว่าเป็นเมีย ฉันนับเธอคนเดียว เมียที่ฉันได้ในคืนเดือนแรม” ปรัชญ์ย้ำพลางหลุบตาลงมองจี้สร้อยที่เขาใส่ให้เธอกับมือเมื่อเช้านี้ ธรินดาเพิ่งจะเข้าใจความหมายของจี้ที่เขาซื้อให้ก็ตอนนี้เอง เขาให้ของสิ่งนี้ก็เพื่อเป็นการตีตราและตอกย้ำว่าเธอคือสมบัติของเขา“เล็กไ
บทที่ 58โน้ตย่อซึ่งถูกจดด้วยลายมือเป็นระเบียบ อ่านเข้าใจง่าย บ่งบอกความตั้งใจของผู้จด ตอนนี้มีสภาพที่ค่อนข้างยับย่น เพราะมันถูกยืมไปถ่ายเอกสารหลายต่อหลายครั้ง ธรินดาชินเสียแล้วกับเรื่องแบบนี้ เพราะเวลาใกล้จะสอบทีไรเพื่อนๆ ในภาควิชามักจะขอยืมโน้ตย่อของเธอไปถ่ายเอกสารอ่านอยู่เสมอ พรุ่งนี้การสอบปลายภาควิชาแรกของเทอมสุดท้ายก็จะมาถึงแล้ว ธรินดาหยิบเลกเชอร์มาอ่านอีกครั้งเพื่อทบทวนและจบลงในตอนเย็นหลังตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้วร่างบางลุกจากโต๊ะ เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียง กดโทร.หาแม่ใหญ่เพื่อขอกำลังใจในวันสอบปลายภาควันแรกที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ และเพื่อไถ่ถามถึงบางอย่างที่เธอแอบกังวลมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่กล้าที่จะโทร.ถามกับเจ้าตัวโดยตรง อีกทั้งเธอไม่รู้ว่าจะติดต่อกับเขาด้วยวิธีไหน จะว่าแปลกมากก็ใช่ที่เธอไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของปรัชญ์และไม่มีช่องทางใดๆ ในการติดต่อปรัชญ์เลย แต่มันก็เป็นเรื่องปกติระหว่างเขากับเธอที่ไม่เคยจะติดต่อสื่อสารส่วนตัวกันมาแต่ไหนแต่ไร“ว่าไงหนูเล็กของแม่” เสียงที่ตอบมาจากปลายสายเป็นน้ำเสียงที่เจือด้วยความดีใจเช่นเดียวกับทุกครั้งที่เธอโทร.หา“พรุ่งนี้เล็กจะสอบ
บทที่ 59“มันชื่ออะไร”“หมีพู”“หมีพู!”“อุทานทำเหี้ยอะไรวะ”“แม่งก็ชื่อมันคิกขุฉิบหายดิ เฮ้ย...เสียชื่อว่ะ เป็นหมาอดีตนักเลงหัวไม้เบอร์หนึ่งของเชียงใหม่ทั้งทีเสือกชื่อหมีพู”“มึงจะอะไรนักหนากับหมากู ทีมึงยังเลี้ยงแมวยังกะผู้หญิง” คราวนี้ปรัชญ์ขึ้นมึงกู นั่นบ่งบอกว่าอารมณ์ชักจะขึ้นแล้ว“ถึงกูจะเลี้ยงแมว แต่แมวกูชื่อเมสซี่ ชื่อของนักฟุตบอลผู้โด่งดัง แต่นี่อะไรหมามึงเสือกชื่อหมีพู”“จะชื่ออะไรก็ช่างหมากูเถอะ ไม่เสือกสักเรื่อง กูขอ” “เออๆ ไม่เสือกก็ไม่เสือก แค่สงสัยเท่านั้นแหละ ช่วงนี้แกแม่งทำตัวแปลกๆ นี่หว่า แล้วนี่หายหัวไปไหนมาวะปรัชญ์ ไม่เห็นหน้ามาสองอาทิตย์แล้ว เห็นอีกทีก็โผล่มาพร้อมกับหมาตัวนี้ อย่าบอกนะว่าไปกรุงเทพฯ มาอีก” รังสิมันต์ยังไม่วายดักคอ ทั้งๆ ที่เขาอยู่เชียงใหม่และแทบไม่ได้ไปไหนนอกจากออฟฟิศในตัวเมือง เขายังสามารถคาดเดาความเคลื่อนไหวของเพื่อนสนิทอย่างปรัชญ์ได้อย่างแม่นยำ ราวกับเป็นฝาแฝดที่พออีกคนหนึ่งทำอะไรอีกคนก็จะรู้สึกไปด้วยราวกับสื่อถึงกันได้ก็ไม่ปาน “ถ้าไปแล้วไง เขาไม่ได้มีติดประกาศว่าห้ามไม่ให้ฉันเข้ากรุงเทพฯ นี่” “เออ
บทที่ 60“แต่แกมันไม่แค่เลวในระดับธรรมดา แกมันโคตรเลวมาก แถมยังเป็นพ่อหม้ายอีกต่างหาก” ปรัชญ์ยัดเยียดและตอกย้ำตำหนิทุกอย่างที่มีในตัวรังสิมันต์เพื่อจะให้อีกฝ่ายเลิกล้มความตั้งใจของตัวเอง“ก็แล้วยังไง ระดับความเลวของฉันกับแกมันก็ไม่ต่างกันหรอกน่า แล้วเรื่องความเป็นพ่อหม้ายของฉันก็คงไม่มีปัญหาเพราะยังไงตอนนี้ฉันก็ตัวคนเดียว ไม่มีพันธะใดๆ กับใครทั้งสิ้น” รังสิมันต์ถามกลับอย่างยอกย้อน“ใช่แกกับฉันเลวไม่ต่างกัน แต่แกเสือกมีเมียเก็บด้วยน่ะสิวะ!”“ไม่ใช่เมีย แค่นางบำเรอ ที่ระบายอารมณ์ ทาสในเรือนเบี้ย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่แกอยากจะเรียก แต่อย่าเรียกว่า ‘เมีย’ เพราะผู้หญิงเลวๆ บางคนก็ไม่เหมาะกับคำนั้น” น้ำเสียงนั้นซีเรียสจริงจังอีกครั้ง บ่งบอกถึงความเกลียดชังรังเกียจต่อคนที่ตัวเองกำลังพูดถึง“แกแม่งทั้งชั่วทั้งเลวว่ะ” ปรัชญ์อดด่าไม่ได้เพราะเวทนาผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นที่ตกเป็นทาสอารมณ์และเครื่องมือระบายความแค้นของรังสิมันต์“ก็ชั่วไม่มากไปกว่าแกเท่าไหร่หรอก อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าแกทำอะไรอยู่” รังสิมันต์ดักคอปรัชญ์บ้าง ทั้งคู่จึงไม่ต่างอะไรกับไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่“รู้แล้วไง” ปรัชญ์ยักไหล่อย่างไ