บทที่9“ท่านพี่ หมายความว่าอย่างไงที่ว่าหลิวเหว่ยเขามีแม่นางที่ทำตัวเหมือนฮูหยินคอยเฝ้าจวนอยู่แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้ออกมาพบใครเลยแม้แต่ท่าน”“ใครเป็นคนทำให้เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้กัน” เหลียงฮูหยินชักสีหน้าไม่พอใจ“จะมีใครได้ก็คนบังคับรถม้าสิเจ้าคะ ห้ามติดหนิเขาจะเจ้าคะท่านพี่ไม่ได้ห้ามไม่ให้เขาพูด หากเขาจะบอกจะกล่าวก็ว่าผิดไม่ได้นะเจ้าคะ” ชายมีอายุถอนหายใจ ก่อนจะยอมเล่าเรื่องที่เห็นให้กับภรรยาฟัง“มีหญิงสาวอายุประมาณเดียวกันกับหลิวเหว่ยอาศัยอยู่กับเขาจริง เจ้าตัวไม่ออกมาพบข้าด้วยซ้ำ มีแค่นางที่ออกมาเอ่ยวาจาน่ารังเกียจ ดูจากท่าทางแล้วจะเป็นหญิงสาวที่ไร้การศึกษา” เหลี่ยงฮูหยินเอามือทาบอก “แต่หลิวเหว่ยมิใช่คนเช่นนั้นนี่เจ้าคะ ทำไมกัน” ดวงตาคมที่แม้จะมีอายุแล้วก็ยังเห็นได้ชัดถึงความมั่นคงหันมองภรรยาของตน“เจ้าไม่รู้หรอกว่าชายหนุ่มนั้น บางทีก็เผลอทำผิดเพราะความไม่ตั้งใจ หากไม่ได้มั่นคงจริงย่อมมีหวั่นไหวไปได้ เป็นข้าที่มองผิดไปเอง ตอนนี้ก็คงเหลือแค่ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายให้จบสิ้นไปก็เท่านั้น”“ข้าไม่ยกเลิกนะเจ้าคะท่านพ่อ” ลู่จื้อที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้เอ่ยเสียงดังจนบิดาต้องมองอย่างตำห
บทที่10“ที่จริงเพราะสาเหตุนั้นข้าจึงคิดว่า ในเมื่อทำตามคำสัญญาที่ให้เอาไว้ไม่ได้ก็ควรจะยกเลิกการหมั้นหมายเสียขอรับ” คนมีอายุเดือดจนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว “คำพูดเห็นแก่ได้พวกนี้ ไม่นึกเลยว่าจะออกจากปากของเจ้า ตลอดมาพวกเราไม่รู้จักตัวตนของหยุนหลิวเหว่ยเลยสินะ” และแม้ว่าอีกฝ่ายจะตำหนิหรือต่อว่ามากสักแค่ไหน หลิวเหว่ยก็ไม่เถียงเลยแม้แต่คำเดียวไม่แก้ต่างไม่แก้ตัว ทำเพียงก้มหน้ารับ“แล้วแม่นางคนนั้นนางเป็นใคร” ถึงแม้อย่างไรก็อยากจะรู้ว่าทำไมถึงเลือกที่จะชมชอบไปกับหญิงไร้สกุลเช่นนั้นราชครูจึงเอ่ยถามออกไป“นางและบิดาเป็นคนที่ช่วยเหลือข้าเอาไว้ขอรับ อีกทั้งระหว่างทางกลับมาจนถึงตอนนี้นางก็ดูแลข้าเป็นอย่างดีข้าจึงทิ้งนางไม่ได้ อีกอย่างบิดาของนางก็ฝากฝั่งนางเอาไว้กับข้า” หลิวเหว่ยพูดต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้รู้เลยว่าที่ด้านนอกลู่จื้อกำลังแอบฟังอยู่ หากเป็นเขาเมื่อก่อน ได้ยินเสียงกุกกักเท่านั้นคงจะรู้แน่ ๆ แต่ไม่ใช่ยามนี้“ข้าคงถามผิดไป นางเป็นอะไรกับเจ้า” ท่าทางอึกอักของชายหนุ่มทำให้คนมีอายุหนักใจ เพราะนี่ก็คงชัดแล้วว่าหญิงสาวคนนั้นคงเป็นมากกว่าสาวใช้ แต่จะเป็นถึงอนุหรือแท้จริงแล้วชายหนุ่มจะวางนาง
บทที่11หลิวเหว่ยกัดปากด้านในจนเลือดซิบ ก่อนจะเอ่ยคำที่ทำร้ายจิตใจทุกคนออกไป เพราะเขาทนไม่ไหวแล้ว“ข้าไม่ได้รักเจ้าแล้วเสี่ยวจื้อ” ชายหนุ่มสะบัดมือบอบบางที่เกาะกุมแขนเขา พลางรีบเดินออกจากจวนเหลียง เขาไม่สบตาใครทั้งสิ้นพยายามเดินให้ถึงรถม้าของตน และเมื่อถึงก็ต้องเร่งหยิบผ้าขึ้นมาปิดปาก แต่ดูเหมือนผ้าจะไม่เพียงพอเมื่อครู่เขารู้สึกอึดอัดมากจนต้องรีบตัดบท ไม่เช่นนั้นความลับที่ปิดบังเอาไว้ก็คงจะเปิดเผยเป็นแน่ชายหนุ่มมองผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดในมือ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นด้ายแดงที่ข้อมือของตน พอเห็นดังนั้นใจก็หวิวขึ้นมาหากเมื่อครู่ลู่จื้อเห็นมันคงจะไม่มีทางเชื่อคำของเขาเป็นแน่ หญิงสาวแม้จะเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ๆ แต่แท้จริงแล้วนิสัยดื้อดึง อยากรู้ต้องรู้ หากมีคนบอกนางสักเรื่องที่นางไม่เคยรู้มาก่อนหรือได้รู้มาอีกอย่าง ลู่จื้อจะไม่ลังเลเลยที่จะให้อีกฝ่ายพิสูจน์จนนางคลายความสงสัย“ขอให้นางไม่เห็นด้วยเถอะ” ชายหนุ่มขยับนิ้วที่เปื้อนเลือดเล็กน้อยแม้จะเช็ดแล้วไปจับที่ด้ายแดงนั่นเบา ๆแม้จะเป็นเพียงแค่ข้าคนเดียวและเจ้าไม่มีทางรู้แต่เขาอยากบอกกับหญิงสาวว่าความรักที่เขามีให้อีกฝ่ายมันจะยังเป็น
บทที่12แม้การที่ไปรบครั้งนี้จะทำให้เขาต้องบาดเจ็บ แต่เมื่อวันที่เขาจากไปลู่จื้อก็จะรู้ทุกอย่าง นางคงจะสาปแช่งโครงกระดูกของเขาไปตามหลัง แต่ก็ช่างเถอะหลิวเหว่ยหยิบเอากระบอกลวดลายสวยงามขึ้นมาดู บันทึกในนั้นถูกเขียนเต็มจนเกือบหน้าสุดท้าย เขาพยายามไม่เขียนยาวแต่เขียนทุกวัน แค่สักประโยคต่อวันถึงหญิงสาวที่รักนอกจากนั้นในนี้ก็ได้อธิบายเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ชายแดนเอาไว้ด้วย และตอนนี้วันที่หนึ่งพันหนึ่งร้อยเก้าสิบห้า ทำเจ้าเสียใจอีกแล้ว ชายหนุ่มเขียนตัวอักษรเล็ก ๆ ลงไปก่อนจะเผลอไอและมีเลือดกระเซ็นไปโดนม้วนบันทึกนั่นเขาเปิดย้อนกลับไปอ่าน ถึงช่วงแรก ๆ ที่เขาตื่นเต้นที่ได้นำทัพออกรบ ผลงานแต่ละครั้งเข้าตาทั้งคนในกองทัพและศัตรูจนโดนเพ่งเล่งและถึงแม้ถูกลอบสังหารหลายต่อหลายครั้ง และยังบาดเจ็บบางเวลาออกรบ แต่เขาก็ไม่เคยกลัวเลยสักครั้ง เพราะคิดถึงลู่จื้อตลอด คิดว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาเจอกับหญิงสาวรักแรกและรักเดียวของเขา ได้แต่งงานและมีบุตรชายบุตรสาวให้อุ้มชูอีกหลายคน เขากับนางจะร่วมกันสร้างครอบครัวให้อบอุ่นเพราะตอนที่เขาไม่เหลืออะไรเขามีเพียงนาง หลิวเหว่ยนึกไปถึงช่วงแรก ๆ ที่เขาเข้าไปอยู่จ
บทที่13“แม่นางเหลียง เป็นเจ้าอีกแล้วหรือ มิใช่ว่าวันนั้นท่านพี่ไปคุยกับบิดาของแม่นางที่จวนจบแล้วหรือ” แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน เพราะหลิวเหว่ยไม่ได้นอนซมจนลุกไม่ได้ เขาเดินอยู่ที่สวนในเรือนก่อนจะเห็นซูจินคุยกับใครสักคนที่ประตูใหญ่ ทันทีที่เห็นใบหน้าสวยหัวใจของชายหนุ่มก็กระตุก เขาเร่งเข้าไปเปลี่ยนชุดที่ดูไม่เจ็บป่วยเหมือนตอนนี้ ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้ง แน่นอนว่าหญิงสาวทั้งสองยังคงต่อปากต่อคำกันลู่จื้อเป็นคนไม่ยอมคน แม้นางจะไม่พูดคำหยาบคายแบบที่สาวชาวบ้านแบบซูจินพูด แต่แน่นอนว่าคำแต่ละคำที่ออกจากปากนั้นน่ากลัวกว่าเสียอีก และหลังจากวันนั้นที่เขาบอกชัดไปแล้วว่าไม่รักแต่หญิงสาวยังคิดจะมาที่นี่อีก เห็นทีเรื่องที่เขากังวลคงเกิดขึ้นแล้ว“ซูจินเจ้าจะไปไหนก็ไป” เพราะแอบฟังอยู่ครู่ใหญ่จึงรู้สึกไม่พอใจในคำของซูจินเกือบจะเผลอตำหนินางออกไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็เปลี่ยนเป็นพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ แทน“แม่นางเหลียง ตอนนี้พวกเราไม่ได้เป็นคู่หมายกันแล้ว จะให้เจ้าเข้ามาในจวนของชายหนุ่มที่ยังมิได้แต่งงานอีกทั้งไร้ซึ่งบิดามารดาหรือผู้ใหญ่อยู่ในเรือนคงไม่เหมาะ หากอยากพุดคุยก็ตามข้าไปที่โรงน้ำชาเถิด” รอยยิ้มเศร้า
บทที่14“ไม่!” หลิวเหว่ยปฏิเสธทันที เขาไม่ต้องเสียเวลาคิด แค่เขารับนางมาอยู่ในเรือนก็มากพอแล้ว และที่ยอมให้นางได้แตะเนื้อต้องตัวก็เพราะมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เขาไม่ทันรู้ตัวตอนที่เขาหมดสติ ทหารส่วนใหญ่ต้องออกไปรบ พวกแม่ทัพนายกองต้องไปจัดการคนที่ลอบเข้ามาทำร้าย จึงมีนายกองคนหนึ่งที่บ้านอยู่ที่เมืองนี้เรียกให้บุตรสาวมาช่วยดูแลเขาตื่นขึ้นมาก็เห็นนางเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แล้วตอนนั้นมันเป็นเหตุสุดวิสัย และก็ทำให้เขาจำต้องยอมรับนางมา แต่ถ้าจะให้อะไรที่มากกว่านั้นคงทำไม่ได้“เจ้าไปได้แล้ว”ซูจินคิดว่าแผนของตนเองจะง่ายกว่านี้เสียอีก แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยินยอมพร้อมใจง่าย ๆ เชอะนางเผลอแสดงกิริยาไม่งามออกมาจนเหล่าสาวใช้แอบมอง“มองอะไรกันเล่าไม่เคยเห็นคนหรือไง จะไปไหนก็ไปเลยนะ” ตอนแรกนางไล่สาวใช้ทั้งสองออกไปแต่เพียงครู่เดียวก็ตะโกนเรียกเอาไว้“ไปเตรียมน้ำร้อนให้ข้าหน่อย” สาวใช้ขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าไม่เตรียมเองเล่า ฐานะของเจ้าที่นี่ ท่านแม่ทัพก็บอกชัดแล้วว่าเป็นสาวใช้เฉกเช่นเดียวกับพวกเรา” หนึ่งในสาวใช้เอ่ยและมันยิ่งทำให้ซูจินโมโห“มันต้องต่างกันอยู่แล้วพวกเจ้าเข้าห้องนอนของท่านแม่ทัพได้หรือ” สุดท้า
บทที่15“คุณหนูขอรับวันนี้ท่านแม่ทัพมีแขกคงไม่สะดวกจะพบคุณหนูหรอกขอรับ” ที่จริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็ลำบากใจ เพราะคำสั่งนี้เป็นของซูจิน นางไม่อยากให้หลิวเหว่ยเจอกับหญิงสาวตรงหน้านี้ แต่ดูเหมือนสวรรค์จะเข้าข้างลู่จื้อเมื่อยามนี้หลิวเหว่ยเดินออกมาส่งเฉิงอี้ด้วยตัวเองจนเจอเข้ากับลู่จื้อ“เป็นข้าเคยพูดคำเช่นนั้นหรือเวลามีแขกก็แค่บอกให้แขกอีกคนไปรอ เหตุใดจะต้องไล่กลับ” หลิวเหว่ยเผลอตัวอีกครั้ง อาจจะเพราะใจจริงเขาก็อยากพบเจอกับลู่จื้อ อยากเจอให้ได้บ่อยที่สุดก่อนที่จะทำอะไรเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้ในยามโพล้เพล้เขาเริ่มมองเห็นไม่ชัดเสียแล้ว“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนดีกว่านะขอรับท่านแม่ทัพจะได้ต้อนรับแขกได้สะดวก” เฉิงอี้บอกพลางลอบมองดูใบหน้าของหญิงสาวที่มาขอพบท่านแม่ทัพ คุณหนูผู้นี้งดงามและกิริยาเรียบร้อย และระหว่างที่เขาก้าวเดินออกจากจวนตระกูลหยุนก็ได้ยินเข้าพอดี“แม่นางเหลียงมีธุระอะไรหรือ” หลิวเหว่ยพยายามปั้นเสียงให้เฉยชามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ลู่จื้อทำเพียงยิ้มจาง ๆ ตอบรับ“ข้ามาขอผ้าเช็ดหน้าที่ข้าเคยปักให้ท่านเมื่อตอนก่อนที่ท่านจะไปศึกคืน” หลิวเหว่ยมองหญิงสาวอย่าง
บทที่16หลังจากได้ยินคำสั่งเช่นนั้นซูจินก็เฝ้านับวันนับคืนรอว่าเมื่อไรแม่นางเหลียงที่นางไม่ชอบขี้หน้าจะมา เพราะหากอีกฝ่ายมานางก็จะได้แสดงให้ดูเสียทีว่าใครกันเป็นฮูหยินของตระกูลหยุนซูจินผู้นี้เยี่ยงไรล่ะและนางก็ไม่ต้องรอนานเมื่อลู่จื้อเดินทางมาที่จวนสกุลหยุน ครั้งนี้ซูจินออกไปต้อนรับอีกฝ่ายเข้ามาด้านในอย่างอารมณ์ดีจนลู่จื้อเองยังแอบสงสัยในอาการและท่าทางของนาง“ท่านพี่คงจะมาช้าเสียหน่อย แม่นางเหลียงก็รอไปก่อนนะเจ้าคะ” น้ำเสียงสะบัด ๆ ที่ได้ยินจนชินทำให้ลู่จื้อไม่คิดมากอะไรอีกต่อไปสักพักหลิวเหว่ยก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับซูจิน ลู่จื้อกัดริมฝีปากจนเลือดแทบไหลเมื่อเห็นว่าซูจินช่วยชายหนุ่มแต่งตัว“แม่นางเหลียงข้าว่าข้าเอ่ยชัดหลายครั้งแล้วนะ” แม้จะได้ยินคำเช่นนั้นแต่ลู่จื้อก็พยายามทน “เพราะคำที่ข้าได้ยินจากท่านนั้นมันดูจะไม่ตรงกับใจของท่านแม่ทัพน่ะสิเจ้าคะ ข้าเลยต้องวนเวียนมาเพื่อความแน่ใจ” แต่ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกันซูจินที่เดินออกไปเมื่อครู่ย้อนกลับเข้ามาพร้อมกับถ้วยยาบำรุง“แม่นางเหลียงคงไม่ถือสานะเจ้าคะ อย่างไรท่านก็รู้ ๆ อยู่แล้วใครเป็นใครไม่ได้ถือเป็นแขกนอกอะไร พอดีน้ำแกงบำรุงกำลั
บทที่30“อี้อัน เออร์หมิง เลิกฝึกดาบแล้วมากินขนมได้แล้ว” ลู่จื้อเดินไปหาสามีที่มีใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริงมากนัก ผมของเขาเริ่มเปลี่ยนสีเร็วกว่าที่ควร ร่างกายก็เริ่มไม่แข็งแรง ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ร่างกายกลับเหมือนชายวัยกลางคนแต่ถึงกระนั้นนางก็ยินดีที่สุดแล้วเพราะอย่างน้อย ๆ ผ่านมาเกือบจะเจ็ดปีแล้ว แต่สามีของนางก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากกว่านี้ แน่นอนว่าคงไปช่วยงานแม่ทัพหานไม่ได้อย่างแต่ก่อนแต่หลิวเหว่ยฝึกบุตรชายทั้งสองก็ไม่ถือว่าหนักหนาจนเกินไป “ท่านพี่น้ำชาเจ้าค่ะ” ลู่จื้อเอ่ยก่อนจะจับผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นเช็ดไปตามกรอบหน้าของสามี“ท่านแม่มิเห็นเช็ดให้ข้าบ้าง” อี้อัน เด็กชายวัยเกือบหกขวบเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ให้ข้าเช็ดให้มา ๆ ” น้องชายวันสี่ขวบหัวเราะขำพี่ชายที่ดูคล้ายจะอิจฉาบิดาของตน ต่างกับเออร์หมิงที่ติดท่านตามากกว่า ดาบฝึกได้แต่เจ้าตัวกลับชอบที่จะอ่านเขียนเรียนตำรา สมแล้วที่เป็นหลานที่ได้ใช้แซ่เหลียง หลานชายที่จะสืบสกุลเหลียงของราชครูมิเหมือนบุตรชายคนแรกอย่างอี้อันที่ชื่นชอบการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ใช้อาวุธหรือไม่ แม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะมีอายุเพียงแค่นี้แต่ความสามารถก็เรียกได
บทที่29หลิวเหว่ยและลู่จื้อกลับเมืองหลวงมาช่วยท่านราชครูจัดการเรื่องต่าง ๆ ในจวน แต่บางครั้งแม่ทัพหานก็มาขอให้หลิวเหว่ยไปช่วยดูการฝึกเหล่านายทหารใหม่ ไม่ได้ให้ไปออกกำลังฝึกทหาร เพียงแค่ให้ไปนั่งดูการซ้อมเพื่อขวัญกำลังใจ อย่างไรหลิวเหว่ยก็เปรียบเสมือนวีรบุรุษสงครามในศึกคราก่อนงิ้วเรื่องเดิมเกี่ยวกับความรักที่น่าสงสารระหว่างหนึ่งแม่ทัพหนึ่งบุตรสาวของราชครู ถูกปรับเปลี่ยนเสียใหม่จนเป็นที่นิยมไปทั่วทั้งเมืองหลวงหรือแม้กระทั่งหัวเมืองเรื่องความรักมั่น และเชื่อใจในคนรักของตน จับใจหนุ่มสาวยิ่งนัก แม้จะเป็นเรื่องเล่าในโรงงิ้ว แต่ก็มีคนไม่น้อยที่คาดเดาได้ว่าแม่ทัพและคุณหนูผู้นั้นคือใคร จึงมักมีเสียงนินทากระทบกระเทียบอยู่เสมอยามงิ้วเรื่องนั้นเล่น หญิงสาวบางคนว่างิ้วเรื่องนั้นประโลมโลกจนเกินพอดี บุตรสาวราชครูในงิ้วช่างโง่งมเหลือเกิน เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่กลับหลงใหลชายหนุ่มที่ใกล้ตาย ลู่จื้อฟังคำนินทานั้นก็เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ใครจะว่านางโง่งม นางหาได้ใส่ใจไม่ เพราะท้ายที่สุดเป็นนางที่ได้รักแท้เอาไว้ในกำมือคนที่จับกลุ่มนินทาชีวิตรักของผู้อื่น หาความรักได้ดีเท่าครึ่งที่นางมีหรือไม่ ก็ไม่ สา
บทที่28ความเจ็บปวดในร่างกายและความร้อนแบบที่เคยเป็นตอนที่โดนพิษเข้าไปช่วงแรก ๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่หลิวเหว่ยก็ไม่แสดงอาการอะไรให้ลู่จื้อเห็นมากนัก เพราะเขากลัวว่าภรรยาจะเป็นกังวลมิใช่ว่าเคยเป็นอย่างนี้ครั้งแรกเสียหน่อย และถ้าหากทนไม่ไหวจริง ๆ ยาแก้เจ็บแก้ปวดที่นางว่าก็คงไม่ต้องหรอก เพราะร่างกายจะทำให้เขาหมดสติไปเอง เหมือนเมื่อตอนที่โดนครั้งแรกลู่จื้อมองสามีก็รู้ว่าอีกคนกำลังอดทน นางไม่เอ่ยอะไรเพราะไม่ว่าคำไหนก็พูดออกไปยากทั้งนั้น หญิงสาวทำเพียงแค่เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมา ให้กับคนเป็นสามีก็เท่านั้น“เป็นอย่างไรบ้างอาการมาครบแล้วหรือยัง” เหมือนหมอเทวดาจะรู้ว่าชายหนุ่มกำลังพยายามอดทนต่อหน้าภรรยาของตน “ขอรับท่านหมอ” มือที่เหี่ยวย่นลูบเคราตนเองก่อนจะใช้เข็มแทงเข้าไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายหลิวเหว่ย พอดึงออกมาปลายเข็มเป็นสีดำขึ้นมาทันที“น่าจะได้เวลาแล้ว” คนมีอายุพูดก่อนจะเดินไปหยิบยามาให้กับหลิวเหว่ย ชายหนุ่มรีบรับไปกินในทันที เขารู้มาหลายวันแล้วว่าลิ้นของตนเองไม่รับรู้รสชาติไปแล้ว แต่เพราะอย่างอื่นในร่างกายยังคงดีจึงไม่ได้พูดอะไร จะเสียดายก็แค่จะไม่สามารถรับรู้รสชาติอาหารที่ลู่จื้อทำ แม้
บทที่27“เช่นนั้นคนผู้นี้ก็คือคนที่เจ้ารักษาไม่ได้ในรอบหลายปีสินะตาเฒ่า” หลิวเหว่ยมองชายสูงอายุสองคนคุยกันราวกับเขาและลู่จื้อมิได้อยู่ตรงนี้“ใช่ข้ารักษาไม่ได้เพราะไม่มีว่านตู๋” เสียงหัวเราะดังลั่นหลุดออกมาจากคนที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “เจ้าเองก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ ถ้าหากข้าบอกว่าข้ามีบางสิ่งที่จะทำให้เจ้าอาจจะรักษาเขาได้ เจ้าจะยอมแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่” ทั้งสองพูดคุยเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายของตนเองแต่สำหรับลู่จื้อไม่ใช่“ท่านหมอเทวดา ท่านอาจารย์ หากมีอะไรที่ช่วยสามีของข้าได้ ก็ได้โปรดช่วยด้วยเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะยอมทำทุกอย่างเอง” ยังไม่ทันจะจบประโยคของหญิงสาวผู้เป็นสามีก็เอ่ยขึ้น “ไม่นะเสี่ยวจื้อ ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องรักษาก็ได้”ดวงตาของผู้เฒ่าทั้งสองมองไปยังคนตรงหน้า “เจ้าจะแลกเปลี่ยนอะไรก็เอามา แต่ชีวิตของเขามิใช่เรื่องที่เจ้าจะมาทำเป็นเล่น พวกเราในเมืองนี้ทุกคนล้วนเป็นหนี้เขา” หมอเทวดาเห็นท่าว่าการเย้ากันระหว่างสหายจะเลยเถิดจนทำให้ภรรยาของคนป่วยคิดมาก จึงรีบตัดบทเสียงจิ๊ปากดังจากผู้เฒ่าที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “ข้ามีโสมที่ปลูกใกล้กับว่านตู๋ คนที่ให้ข้ามาบอกว่ามันจะมีสรรพคุ
บทที่26ลู่จื้อเช็ดเนื้อเช็ดตัวสามีของนาง ทั้ง ๆ ที่หมอเทวดาบอกว่าอาการเช่นนี้จะไม่มีอีกแล้ว แต่คงเพราะเหนื่อยจากการเดินทางสุดท้ายไข้ของชายหนุ่มก็ขึ้น ในการพักโรงเตี๊ยมที่สอง โชคยังดีที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีบ่อน้ำแร่ร้อนซึ่งทำให้สมุนไพรที่ใช้แช่อาบตัวนั้นได้ผลดีขึ้นกว่าเก่าอาการไข้จึงมีเพียงแค่ไม่กี่วันแล้วก็เดินทางต่อได้ ลู่จื้อไม่ได้พูดถึงความลำบากที่ต้องดูแลสามี มันไม่ได้ลำบากเลยสักนิด แต่มันหนักใจเสียมากกว่าที่เห็นเขาต้องเจ็บป่วยและทรมาน“พ้นเขาลูกนี้ไปก็จะถึงหมู่บ้านของอาเฉิงแล้ว” ลู่จื้อมองตามไปอย่างยิ้ม ๆ “สวยจังนะเจ้าคะ”“อื้อสวยพี่ก็เพิ่งรู้ว่าหมู่บ้านที่อาเฉิงอยู่งดงามถึงเพียงนี้ แต่เขาก็ต้องไปรบ” แม้ว่าจะเป็นหน้าที่แต่บางครั้ง ลู่จื้อก็อยากตัดพ้อสวรรค์บ้างเหมือนกันที่ต้องให้พี่หลิวเหว่ยของนางนั้นรับเคราะห์แต่เพียงผู้เดียวและสำหรับลู่จื้อแล้วชื่อเสียงที่หลิวเหว่ยได้มาจากการกระทำครั้งนี้นางก็ไม่สนใจเลยสักนิด ที่จริงเป็นหลิวเหว่ยคิดไปเองว่ามันสำคัญ แน่นอนมันสำคัญสำหรับคนอื่นไม่ใช่ในสายตาของนาง“ท่านพี่มาเช่นนี้ไม่ได้บอกก่อนเขาจะอยู่หรือไม่เจ้าคะ หมู่บ้านก็ดูเงียบ ๆ พิกล” หลิว
บทที่25“พี่มีเพื่อนบ้านอยู่นอกเมืองเห็นว่าเป็นเขาที่งดงามเจ้าอยากจะไปหรือไม่” ลู่จื้อไม่ปฏิเสธอีกคนอยู่แล้ว หญิงสาวมองคนรักที่แม้จะดูคล้ายกับคนปกติไม่ได้เป็นอะไรแต่เหงื่อที่ซึมอยู่น้อย ๆ ที่ขมับก็ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวก็รู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้างเหมือนกันมือเรียวยกผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดเหงื่อนั่นออก “หากท่านพี่เจ็บปวดหรือเป็นอะไรก็ต้องบอกข้าทันทีนะเจ้าคะ ห้ามฝืนเด็ดขาด” แม้แต่เอ่ยคำเช่นนั้นออกไปแต่ก็ไม่แน่ใจว่าคนดื้อรั้นอย่างหลิวเหว่ยจะยอมเชื่อฟังนางไหมเพราะพี่หลิวเหว่ยที่นางรู้จักที่จริงก็ดื้ออยู่พอควร “ถ้าไม่บอกเจ้าแล้วพี่จะบอกใครกัน” ลู่จื้อหัวเราะคิกคัก “ไม่ต้องมาเย้าข้าเลย ก่อนหน้านี้ถ้าข้าไม่ดึงดันคงไม่มีทางรู้ ว่าแต่บนเขาที่ว่ามีอะไรบ้างหรือเจ้าคะ” หลิวเหว่ยส่ายหน้า “พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่เขามาเยือนแถวนั้นจึงอยากจะไปเยี่ยมเขาบ้าง เขาเป็นคนที่พี่ไว้ใจตอนที่ไปรบน่ะ”“จะต้องเป็นสหายที่ดีของท่านพี่แน่ ๆ แต่ว่าหนทางยังอีกยาว ท่านพี่เล่าเรื่องที่สนามรบให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ” หลิวเหว่ยมีสีหน้าแปลกใจ “ในบันทึกพวกนั้นเจ้ายังอ่านไม่เต็มที่อีกหรือ” ลู่จื้อทำหน้างอน “ก็นั่งรถม้าไปตั
บทที่24วันงานมงคลของแม่ทัพหยุนและบุตรสาวของท่านราชครูเหลียงเป็นอะไรที่เรียกได้ว่าแปลกกว่างานอื่น ๆ แม่ทัพหนุ่มนำขบวนรับตัวเจ้าสาวมาที่จวนตระกูลหยุนเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษที่อยู่ในนั้น ก่อนที่จะย้อนกลับไปที่ตระกูลเหลียงเพื่อทำพิธีที่เหลือทั้งคำนับฟ้าดินและส่งตัวเจ้าสาวเข้าห้องหอก็ล้วนทำที่ตระกูลเหลียงทั้งสิ้น ทุกคนจึงรับรู้กันทั่วว่าแม่ทัพหนุ่มนั้นแต่งเข้าบ้านภรรยาบรรดาแม่ทัพนายกองที่ชายหนุ่มเคยช่วยชีวิตและร่วมรบต่างมาร่วมแสดงความยินดี และยังมีของกำนัลจากฮ่องเต้ส่งมาให้อีก นี่เรียกได้ว่าเป็นงานมงคลที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของเมืองหลวงเลยก็ว่าได้เพราะท่านราชครูก็เป็นที่รู้จักของขุนนางมากมาย ส่วนแม่ทัพหยุนนั้นก็เป็นที่ยอมรับจากบรรดาขุนนางฝ่ายบู๊ทำให้หลิวเหว่ยต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะขอตัวจากบรรดาแขกและเข้ามาหาลู่จื้อในห้องหอได้ภาพที่เขาฝันว่าจะได้เห็นอยู่ทุกคืนตั้งแต่รู้ตัวว่ารักนาง หญิงสาวที่เขารักกำลังนั่งรออยู่ที่เตียง รอให้เขาไปเปิดผ้าให้นาง“พี่หลิวเหว่ยหรือเจ้าคะ” ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไร เขาขยับเข้าไปใกล้กับหญิงสาวในชุดแดง “พี่หลิวเหว่ยอย่าแกล้งข้าสิเจ้าคะ ท่านพี่” หลิวเหว่ยยังไม่ได้เป
บทที่23“ท่านแม่ทัพช่วงนี้เป็นช่วงที่อาการจะต้องกำเริบใช่หรือไม่” หมอเทวดาเคยมารักษาหลิวเหว่ยรอบที่แล้วกลับมาช่วยดูแลชายหนุ่มอีกครั้ง“ไม่แล้วขอรับ ต้องขอบคุณท่านหมอ สมแล้วที่ทุกคนต่างเรียกท่านว่าหมอเทวดา” ชายชราเคราขาวลูบเคราตนเองเรื่อย ๆ ราวกับคิดอะไรสักอย่าง “ยาพิษที่เจ้าโดนมันร้ายกาจมาก ทุกวันนี้ที่อยู่ได้ก็เพราะยาล้างพิษของหมอหลวง ส่วนยาที่ข้าจัดเอาไว้ให้ในช่วงสิบกว่าวันก่อนงานมงคลของเจ้าจะเริ่ม ก็ทำได้เพียงยื้ออาการไม่ให้มีไข้ก็เท่านั้น อะไรที่จะเสื่อม มันก็ยังคงเสื่อมต่อไปห้ามไม่ได้ จะว่าไปก็มีอยู่อย่าง สมุนไพรหายากว่านตู๋ แม้ว่าตัวว่านจะเป็นพิษร้ายแรง แต่หากใช้ในปริมาณที่พอเหมาะก็จะสามารถสงบอาการของเจ้าได้” หลิวเหว่ยฟังคำของหมอเทวดาอย่างมีความหวัง “แล้วว่านนี้ต้องหาที่ใดหรือท่านหมอ”หมอเทวดาส่ายหน้า “ร้อยปีมีต้นหนึ่งตั้งแต่เกิดมาข้าก็ยังไม่เคยเห็นเองกับตา เพียงแค่เจอในตำราที่บรรพบุรุษเขียนเอาไว้”ใบหน้าของหลิวเหว่ยหมองลงในทันควัน ขนาดว่าพยายามที่จะไม่คาดหวังแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังอดที่จะหวังไม่ได้อยู่ดี “ท่านหมอแค่ให้ข้าได้ใช้ชีวิตกับนางในช่วงนี้เยี่ยงคนธรรมดาก็ถือว่าดีมากแล้ว
บทที่22เส้นทางในจวนที่มาอยู่ตั้งแต่เด็กจนเป็นหนุ่มเป็นสิ่งที่คุ้นเคย มองไปทางไหนก็มีแต่ความทรงจำที่ดี ไม่เคยมีสักช่วงที่เขารู้สึกอึดอัดใจตอนที่อยู่ที่นี่ ผู้คนที่นี่ล้วนดีต่อเขา“พี่หลิวเหว่ย เป็นเช่นไรบ้าง เมื่อครู่ก่อนที่จริงก็พักใหญ่แล้วได้ยินเสียงโวยวายแต่ท่านพ่อส่งคนมาบอกไม่ให้ข้าออกไป” หลิวเหว่ยมองใบหน้าที่เขาเฝ้าฝันถึงตลอดมา “พี่ให้แม่ทัพหานเป็นผู้ใหญ่มาสู่ขอเจ้า ขอโทษนะเสี่ยวจื้อที่คิดเองโดยไม่ถามความเห็นเจ้า” ลู่จื้อส่งยิ้มให้อีกฝ่าย แน่นอนว่ามีความไม่พอใจ แต่หากนางมัวแต่โกรธวันเวลาก็จะยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก ระหว่างนางกับพี่หลิวเหว่ยตอนนี้เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าเหลือเวลามากน้อยเพียงใด แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็จะใช้มันให้มีความสุขที่สุด“ต่อไปเจ้าเป็นคนนำดีหรือไม่” คำพูดของหลิวเหว่ยช่างน่าขันยิ่งนัก มีผู้ใดให้ภรรยาเป็นผู้นำกันบ้าง “ในเมื่อเจ้าจะต้องดูแลทุกอย่าง และเมื่อครู่ท่านลุงยังขอให้ข้าแต่งเข้าสกุล แต่หากมีบุตร ซึ่งก็มิรู้ว่าจะมีได้หรือไม่ต้องลองถามท่านหมอดู ก็จะให้ใช้แซ่ข้า หากเรามีบุตรได้สักสองสามคนก็ดีสินะ ให้เป็นแซ่ข้าหนึ่งคน แซ่เจ้าหนึ่งคน” ลู่จื้อมองคนที่เอ่ยคำเหล่า