หมิงหลันใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่อย่างน้อยนิดของนางหลบหนีออกมาจากห้องนั้นก่อนที่ท่านจอมมารจะตื่น นางจัดการทำให้ห้องนอนอยู่ในสภาพเดิม ทั้งผ้าปูเตียงที่ขาวสะอาดและไหสุราที่มีจำนวนเท่ากับท่านจอมมารที่ดื่มเข้าไป ถุงเงินที่เขาโยนให้นางก็มิได้นำมาด้วยหมิงหลันพาตัวเองเดินไปยังประตูเมืองเพื่อจะกลับไปที่เผ่ามาร แต่ทว่านางกลับพบเจอกับท่านพี่เทียนจุน..เขาอยู่ในชุดผ้าแพร ดูแล้วน่าจะเป็นทหารที่มียศยิ่งใหญ่พอสมควร“หมิงหลัน เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย ทำไมสีหน้าของเขาถึงได้ซีดเซียวเช่นนั้น..”เขายกมือขึ้นมาเพื่อจะสัมผัสลงไปที่ใบหน้าของนาง แต่ทว่าหมิงหลันรีบยกมือขึ้นมาเพื่อปัดมือของเขาออกไป“ข้าไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ จึงกำลังจะเดินทางกลับบ้าน”เทียนจุนสั่งลูกน้องของเขาในเฝ้าประตูเมืองต่อไปก่อนที่เขาจะประคองหมิงหลันโดยไม่รอให้นางได้อนุญาต“ข้าจะพาเจ้าไปส่งเอง บ้านของแม่นางไป๋อยู่ที่ไหนกัน?”หมิงหลันกำลังจะอ้าปากปฏิเสธเขา แต่ทว่าความเหนื่อยล้าเข้าโจมตีนางอย่างหนักทำให้นางสลบลงในอ้อมแขนของเทียนจุน เขารีบพานางไปที่สำนักตรวจการซึ่งเป็นที่ทำงานของเขาและเรียกหมอเทวดามาตรวจดูอาการ..“ลมปราณของแม่นางผู้นี้นับว่าแปลกมายิ่
กว่าหมิงหลันจะฟื้นขึ้นมาก็ล่วงเลยไปจนถึงบ่ายวันที่สอง นางลุกขึ้นจากเตียงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ ป่านนี้มิใช่ว่าคนที่เผ่ามารจะตามหาตัวนางจนวุ่นไปหมดหรอกใช่ไหมหมิงหลันลงจากเตียงพร้อมกับรีบสวมรองเท้าอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูห้องถูกเปิดออกพอดี เทียนจุนยกถาดข้าวและกาน้ำชาเดินเข้ามาเพราะหมิงหลันยังมิได้ทานสิ่งใดลงท้องตั้งแต่เมื่อวานแล้ว“ขอบคุณท่านเทียนจุนที่ช่วยเหลือ เพียงแต่ข้าหายจากบ้านมานานแล้ว เกรงว่าป่านนี้คนที่บ้านจะเป็นห่วงไม่อาจรั้งรอทานอาหารเหล่านี้ที่ท่านจัดเตรียมไว้ให้ได้"หมิงหลันก้มหน้าลงเพื่อขอโทษเขาจากใจจริง ใบหน้าของเทียนจุนมิได้มีท่าทีโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย“แม่นางไป๋มิต้องเป็นกังวล ข้าไม่ได้คิดเล็กนิดน้อยถึงกับจะโกรธเคืองเรื่องเพียงแค่นี้ เอาไว้วันหน้าเราค่อยพบเจอกันใหม่ก็ยังไม่สาย มาเถิดข้าจะไปส่ง”หมิงหลันส่งยิ้มให้ท่านเทียนจุน ไม่ว่าเมื่อใดท่านพี่เทียนจุนก็เป็นพี่ชายที่แสนดีกับนางเสมอเลย ครั้งนี้ก็เช่นกัน..ข้าจะต้องหาทางตอบแทนท่านด้วยการช่วยท่านผ่านด่านเคราะห์นี้ไปให้ได้ถึงแม้ว่าจะผิดธรรมเนียมของเทพเซียนก็ตาม..เทียนจุนเดินมาส่งหมิงหลันที่
หมิงหลันไล้ปลายนิ้วลงไปบนกลีบดอกไม้ที่นางปลูกเอาไว้ ช่วงนี้นางอยู่คนเดียวบ่อยขึ้นเพราะว่าท่านพี่ไป๋เฉียนมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงานแต่ง ในที่สุดพี่สาวของนางก็จะได้แต่งงานกับคนที่รักแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก..นางกลับมาที่แดนบุปผาได้สองเดือนกว่าแล้ว สองเดือนแล้วที่ไร้เงาของท่านจอมมาร แต่ทว่าเขากลับปรากฏเด่นชัดอยู่ในความฝันของนาง ทุกครั้งที่หลับตายังคงมีแต่ใบหน้าของเขา ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองจะดีขึ้นเมื่อกลับมาอยู่ในแดนบุปผาที่คุ้นเคย ทว่าไม่เลยสักนิด..เคยรักเขาอย่างไรก็ยังคงรักเขาเช่นนั้น คำนึงถึงเขาอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปสักนิดเดียว..อีกเรื่องคือนางยังมิได้พบเจอท่านสัจจะเทพเทียนจุนเลย ทั้งๆ ที่เขาเขียนจดหมายมาขอพบนางมากมายนับไม่ถ้วน แต่นางไม่แม้แต่จะเปิดอ่านจดหมายของเขาสักฉบับในใจยังคงมีความรู้สึกผิดอัดแน่นเต็มหัวใจ ที่ท่านสัจจะเทพเทียนจุนต้องขึ้นมาที่สวรรค์ชั้นฟ้าก่อนเวลาอันควร ล้วนแต่เป็นความผิดของนางทั้งสิ้นเขาจำเรื่องที่ไปเผชิญด่านเคราะห์มิได้ แต่ว่านางจดจำได้ถึงการตายของเขาที่ยังคงติดตรึงอยู่ในสายตา ท่านจอมมารในยามนั้นไร้ความปรานีอีกทั้งเขายังมองที่ใบหน้าของห
ดวงตาของหมิงหลันเบิกกว้างอย่างตกใจ นางยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“หมิงหลัน หากว่าเจ้ามิได้รักข้า ไม่เป็นไรเลยเพราะว่าข้าจะดูแลเจ้าเองนับจากนี้ ไม่ต้องเอาชื่อเสียงของข้ามากล่าวอ้างเพราะว่าข้าไม่สนใจมันเลยสักนิดเดียว..”หมิงหลันรู้สึกอึดอัดจนไม่รู้ว่าจะเอาตาไปไว้ที่ไหนดี“ขะ..ข้ามิคิดว่าท่านพี่จะกล่าวเรื่องนั้นออกมา”ความกระอักกระอ่วนเจือปนอยู่ในน้ำเสียง พร้อมกับฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินถอยหลังเทียนจุนยกยิ้มด้วยความเจ็บปวด เขาเอื้อมมือไปรับไหสุราดอกท้อพันปีที่หมิงหลันส่งให้ ไม่เป็นผลดีเลยสักนิดที่เขากล่าวออกไปเช่นนั้น มันยิ่งสร้างความอึดอัดให้กับหมิงหลันและเขา การตัดสินใจทำอะไรไปตามอารมณ์นั้น..ไม่สมเป็นเขาเลย“สุราดอกท้อนี่ ข้าจะดื่มมันให้ดีเลยล่ะ พี่ไปก่อนนะหมิงหลัน เอาไว้เจอกันอีกครั้งวันงานแต่งของไป๋เฉียนและอันฉี”เทียนจุนยกมือขึ้นมาลูบผมของหมิงหลันเบาๆ ด้วยความเอ็นดู“อย่าลำบากใจกับคำกล่าวของข้าเลย หากเจ้าทำแบบนี้มันยิ่งสร้างความเจ็บปวดในใจให้ข้ายิ่งนัก เช่นนั้นเรากลับไปเป็นพี่น้องเหมือนเดิม เหมือนกับว่าคำเมื่อครู่ที่ข้ากล่าวออกไป เจ้าไม่ได้ยินก็แล้วกัน”
ดวงตาคู่สวยของหมิงหลันพลันเบิกกว้างขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อนางได้ทอดสายตามองออกไปยังบ้านหลังน้อยที่ท่านเทพม่อเกวียนพานางมาที่นี่ตั้งอยู่ตรงเขตรอยต่อของเมืองมนุษย์กับสวรรค์ชั้นฟ้า เดิมทีที่นี่คือบ้านของเทพีจันทรา แต่ทว่าเทพีจันทราย้ายไปอยู่กับอารักษ์เสิ่น เทพผู้บันทึกเรื่องราวต่างๆ บนสวรรค์ แถมเขายังเป็นบิดาผู้มากความสามารถของเทพม่อเกวียนด้วย“หากว่าเทียนจุนล่วงรู้ เขาจะต้องโกรธข้าจนไม่ยอมพูดด้วยเป็นแน่”ถึงแม้จะตัดพ้อออกไปเช่นนั้นแต่บนใบหน้าของเทพม่อเกวียนกับยกยิ้มขึ้นมาอย่างเอ็นดู ดอกสาลี่น้อยดอกนี้เขามองเห็นนางมาตั้งแต่ที่นางยังไม่ได้เป็นเซียน เฝ้ามองการเติบโตของดอกไม้สีขาวนวลจนบัดนี้นางกลายเป็นเทพบุปผาที่งดงามเสียยิ่งกว่าเทพีองค์ใดบนสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้เสียอีกในใจของม่อเกวียนนั้นมองหมิงหลันเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง และในยามที่น้องสาวของเขามีเรื่องราวอึดอัดใจ แน่นอนว่าเขาย่อมต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนาง ถึงแม้การให้ความช่วยเหลือนั่นจะทำให้เขาผิดใจกับเทียนจุนก็ตามที“ข้าเชื่อว่าท่านสัจจะเทพเทียนจุนจะต้องเข้าใจข้า และเข้าใจท่านเทพม่อเกวียนด้วย.."ใบหน้างามหมองคล้ำยิ่งนัก ม่อเกวียนไม่รู้ว
ม่อเกวียนยกมือขึ้นมานวดที่บริเวณหว่างคิ้วเบาๆ เหมือนกับว่าเขากำลังคุยกับดอกไม้ ไม่ใช่คุยกับเทพบุปผา..นางคุยไม่รู้เรื่องหรือว่าเขากำลังไม่รู้เรื่องกันแน่“หมิงหลัน ข้าบอกไปแล้วว่าเด็กคนนี้ ลูกในท้องของเจ้าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพ่อของเขา หากว่าเขาไม่มีพ่อ ท่านจอมมารจะต้องสงสัยเมื่อถึงเวลานั้น เรื่องที่เจ้ามองว่าในยามนี้มันอาจจะเล็กน้อยมันจะกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นนำพาไปสู่สงครามระหว่างเผ่ามารและเผ่าสวรรค์เลยก็ได้”หมิงหลันส่งยิ้มให้กับท่านเทพม่อเกวียน“ท่านเทพให้คุณค่ากับข้ามากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านจอมมารไม่มีทางทำสงครามเพราะข้าเหมือนกับที่ท่านจอมมารทำสงครามกับองค์รัชทายาทจงจิ้งโหวหรอก เพราะว่าท่านจอมมารไม่ได้รักข้าอย่างที่ท่านรักเทพีเสวียนม่าน ข้าจะอยู่ที่นี่กับลูกของข้า ขอบคุณที่ท่านเทพม่อเกวียนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ หากว่าไม่มีท่านข้าก็ไม่รู้จะอยู่ที่ไหนแล้วเจ้าค่ะ”รอยยิ้มของหมิงหลันมันทำให้ม่อเกวียนพูดไม่ออก นางส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองในแบบที่เขาไม่คิดมากก่อนว่าจะพบเจอรอยยิ้มเช่นนี้บนใบหน้าของหมิงหลัน“ข้า..ช่วยเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้แล้วสินะ”“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ
การเดินทางไปที่เมืองบาดาลที่แสนยากลำบากนั้นคุ้มค่ามากจริงๆ วันที่เขาทะเลาะกับหมิงหลัน หลี่เจ๋อฮั่นก็มานั่งคิดทบทวนเรื่องของเขาและนางผลปรากฏว่าคนผิดตั้งแต่แรกมันคือเขาที่อยากเอาชนะพี่ใหญ่จนหูตามืดบอดไปหากจะถามว่าเขารู้สึกอย่างไรกับหมิงหลัน แน่นอนว่าเขาชอบนาง..มากๆ เลยล่ะเพียงแต่หากเขาดึงดันต่อไป มันไร้ประโยชน์อย่างที่ท่านแม่พูดจริงๆ หมิงหลันไม่มีทางหันกลับมาชอบเขาเพราะว่านางอุทิศชีวิตในการรักพี่ใหญ่เช่นนั้นสิ่งเดียวที่คนเช่นเขาจะทำได้ และให้เรากลับมามองหน้ากันอีกครั้งอย่างไม่ตะขิดตะขวงในใจก็คือ การเป็นเพื่อนกัน“ขอบคุณหมิงหลัน เจ้าเองก็เป็นสหายคนแรกของข้าเช่นกัน อ่า..เรื่องที่หนักอึ้งในใจของข้ามานานก็คลี่คลายออกไปแล้ว เช่นนั้นกลับเผ่ามารด้วยกันไหม? ไปในฐานะสหายของข้าก็ได้”หมิงหลันหัวเราะเบาๆ“ข้าจะกลับไปที่นั่นแน่ แต่ยังไม่ใช่วันนี้เจ๋อฮั่น..”หลี่เจ๋อฮั่นมองหน้าของหมิงหลันอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะกล่าวอำลา เขาใช้เวลากับนางมามากพอแล้ว“เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ พอดีมีนัดกับเทพีคนงามที่ศาลาด้านนั้น”หลี่เจ๋อฮั่นชี้ไปที่เทพีผู้หนึ่งซึ่งกำลังมองมาที่เขาอย่างใจจดใจจ่อ หมิงหลันส่งยิ้มที่แสนยินดี
หลังจากกล่าวจบเสวียนม่านก็เดินจากไปทิ้งให้หมิงหลันยืนแข็งค้างอยู่ตรงนั้นเซียนน้อยยื่นมือมาจับมือของหมิงหลันเอาไว้“ท่านเทพบุปผา หากว่าท่านไม่ไหวข้าคิดว่าเรานั่งพักกันตรงนี้ก่อนดีไหมขอรับ”ความเจ็บปวดที่ถูกกระทำซ้ำๆ มันทำให้หมิงหลันเริ่มจะรู้สึกชินชาซะแล้ว นางเจ็บปวดมาไม่รู้กี่ครั้งเพียงเพราะได้ยินว่าท่านจอมมารรักเทพีเสวียนม่าน“ท่านรักจอมมารอย่างนั้นหรือครับ?”เซียนน้อยพาหมิงหลันมานั่งพักที่ศาลาริมน้ำ เขารินน้ำชาให้พร้อมๆ กับมองหน้าของนางด้วยสีหน้าแห่งความเป็นห่วง“ไม่ปิดบังเจ้า ข้ารักท่านจอมมาร”“เหลือเชื่อจริงๆ เลย ท่านคือเทพที่งดงามที่สุดในสวรรค์ชั้นฟ้า แต่กลับหลงรักจอมมารอัปลักษณ์ผู้นั้น”หมิงหลันยกแก้วน้ำชาร้อนๆ ขึ้นมาดื่ม“อันที่จริงความรักของข้ามันไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกหรอกนะ แต่ท่านจอมมารตัวจริงไม่ได้อัปลักษณ์เลยสักนิด ข่าวลือที่เจ้าได้ยินมานั้นผิดพลาดแล้วเซียนน้อย”เซียนน้อยหัวเราะเบาๆ“แล้วป้าคนเมื่อครู่ เป็นคนรักของท่านจอมมารอย่างนั้นหรือ?”หมิงหลันก้มมองน้ำชาในถ้วยก่อนที่นางจะหมุนวนข้อมือไปมาเบาๆ“เคยเป็นคนรักละมั้ง เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่ได้รู้เรื่องสักเท่าไหร่ เท่าที่ข้าร
วันเวลาที่หลี่เจ๋อเชี่ยนรอคอยในที่สุดก็เดินทางมาถึงเสียที เขารอคอยมาเนิ่นนานมากทีเดียวจนกว่าจะถึงวันที่เราได้แต่งงานกัน เขาจะได้ประกาศก้องออกไปให้ดังไกลไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนว่าเทพบุปผาหมิงหลัน นางคือภรรยาของจอมมารผู้นี้“ข้ามิคิดว่าภรรยาจะสามารถงดงามได้มากยิ่งขึ้นไปอีก..”เมื่อกล่าวจบหลี่เจ๋อเชี่ยนก็หอมแก้มหมิงหลันแรงๆ ท่ามกลางพิธีแต่งงานที่พวกเขากำลังคำนับฟ้าดินท่านอดีตจอมมารถึงกับกระแอมออกมาเสียงดัง“เจ๋อเชี่ยน..ทำพิธีให้เสร็จก่อนสิเจ้าลูกคนนี้!!"เสียงหัวเราะดังขึ้นมาในทันที แขกในงานไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะได้เห็นภาพของท่านจอมมารที่ดูอ่อนโยนและทนุถนอมท่านเทพบุปผาเช่นนี้หมิงหลันร้องไห้อยู่สามวันสามคืนเลยทีเดียว ยิ่งใกล้ถึงกำหนดแต่งงานนางยิ่งรู้สึกตื้นตันใจ ทั้งๆ ที่เรามีเจ้าตัวน้อยซึ่งเป็นพยานรักตั้งสองคนแล้ว แต่หมิงหลันก็ยังอดรู้สึกตื้นตันไม่ได้ทุกที“อย่าร้องสิ ในวันแต่งานของเราเจ้าควรจะยิ้มเยอะๆ ให้ผู้คนที่มาร่วมงานลือให้ไกลเป็นพันลี้ว่าท่านจอมมารเป็นคนดียิ่งนัก เขาทำให้ภรรยาแย้มยิ้มได้ตลอดงาน..”เมื่อได้ฟังดังนั้นหมิงหลันก็หัวเราะออกมาเบาๆ“คำสาบานของข้านั้นเรียบง่ายยิ่งนัก ถึงแม
เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เดินหน้าแล้วมักจะไม่มีวันย้อนกลับ และตัวเขา..ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสียเวลาในชีวิตไปนานมากเลยทีเดียว“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะคุณชาย..เชิญนั่งรอที่ชั้นบนได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการนำชาเลิศรสและขนมหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านน้ำชาเราไปส่งให้ท่านถึงที่โต๊ะเลย..”ท่านเทพดวงชะตาบอกกับเขาว่าเขาควรจะทำอะไรที่เป็นการไถ่โทษที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้ชีวิตของสตรีผู้หนึ่งพังลง และในยามนี้จงจิ้งโหวกำลังกระทำการไถ่โทษนางในแบบของเขาอยู่ครั้งหนึ่งเราทั้งสองคนคือสารเลว แต่ทว่าในครั้งนี้เขาจะสอนเสวียนม่านด้วยตัวเอง ว่าการทำความดีมันง่ายดายยิ่งกว่าการว่าร้ายผู้อื่น..“ข้ามาที่ร้านน้ำชาแห่งนี้บ่อยมากทีเดียว แต่กลับไม่เคยเห็นสามีของเถ้าแก่เนี้ยเลย..”เขาถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่านางคือหญิงหม้าย แต่ถึงอย่างนั้นจงจิ้งโหวคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นการสนทนาที่ค่อนข้างดีมากทีเดียวระหว่างเขาและนาง“ข้าไม่มีสามีเจ้าค่ะ จะเรียกว่ายังไม่มีสามีก็ยังไงอยู่ เพราะว่าข้าคือหญิงหม้ายที่พึ่งผ่านการหย่าร้างมา..คุณชายท่านนี้สนใจในตัวหญิงหม้ายผู้นี้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”จงจิ้งโหวมองหน้าของเสวียนม่าน เขายกมุมปากขึ้นสูงเล็
หลี่เจ๋อเชี่ยนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้คือกลิ่นหอมของหมู่มวลบุปผาพร้อมๆ กับกลิ่นไอของแสงแดดนี่เขากำลังฝันกลางวันอยู่หรืออย่างไร เผ่ามารถึงได้ดูแปลกตาเช่นนี้ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้ไอขุ่นมัว แสงของดวงตะวันสามารถส่องกระทบมาบนพื้นหญ้าได้อย่างชัดเจน และบนพื้นดินที่เคยเป็นสีดำสนิท ยามนี้มันกลับเขียวขจีไปทั่วทั้งดินแดนมวลบุปผาชูช่ออวดโฉมเบ่งบาน มุมปากของหลี่เจ๋อเชี่ยนหยักยิ้มขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดที่ฝังแน่นในใจ มิใช่ว่ายามนี้หมิงหลันอยู่ที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเดินออกไปจากห้อง หมิงหลันก็เดินเข้ามาพร้อมๆ กับถาดน้ำชาในมือ สาวใช้ที่เดินตามนางเข้ามาสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะว่าพวกนางพยายามอย่างมากในการห้ามท่านเทพบุปผาไม่ให้นางทำงานแต่ด้วยนิสัยของหมิงหลันแล้ว นางไม่ถนัดเรื่องการมีคนรับใช้..เขาส่งยิ้มให้กับภรรยาผู้งดงามยิ่งกว่าผู้ใดในสี่ทะเลแปดดินแดน หลี่เจ๋อเชี่ยนเดินเข้าไปหาหมิงหลันโดนที่นางยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำเขาโอบกอดและฝังใบหน้าลงไปบนเรือนผมด้วยความคำนึงถึง“ภรรยา..ข้าหลับไปนานพอสมควรเลยอย่างนั้นหรือ?”หมิงหลันหลับตาลงช้าๆ นางยกมื
“ตามกฎแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเทพแห่งดวงชะตาแต่ทว่าข้าไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวของเหล่าเซียนได้เลย..”สีหน้าของท่านเทพดวงชะตานั้นเต็มไปด้วยสีหน้าขมขื่น จงจิ้งโหวปรายตามองไปยังสวนที่แสนกว้างใหญ่ของเขา“แต่ท่านก็แหกกฎนั้นเพื่อบอกท่านแม่ของข้านี่”เทพซื่อมิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่นางจะแย้มยิ้มขึ้นมาจางๆ“ข้าไม่เคยเข้าหาเจ้าเพียงเพราะว่าในอนาคตเจ้าจะได้เป็นองค์รัชทายาทหรือว่าองค์เง็กเซียนเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ตำหนักดวงชะตาของข้านั้น ข้ามักจะชอบนั่งทำงานที่ริมหน้าต่างและเมื่อมองทอดสายตาออกมาด้านนอกหน้าต่างนั้น มันทำให้ข้าได้เห็นเด็กชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่เงียบๆ หน้าสระบัว..ในยามนั้นข้าเพียงคิดว่านั่นคือเรื่องราวที่แปลกพอสมควรเพราะว่าเด็กในวัยเดียวกันควรจะวิ่งเล่นหรือไม่ก็ท่องเที่ยวไปทั่วสวนของแดนบุปผาแล้ว แต่เด็กชายผู้นั้นกลับไม่กระทำการที่เด็กในวัยเด็กกันทำ ข้ามองเด็กคนนั้นมานานหลายสิบปี จนข้าตัดสินใจเข้าไปพูดคุยเพราะข้าอยากรู้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เด็กน้อยผู้นั้นดูเศร้าหมองได้ถึงเพียงนั้น การพูดคุยของข้านั้น เป็นการท้าทายความอดทนของข้ามากทีเดียวเพราะว่าเขามิได้ยินยอมพูดกับข้าในทันทีที่ข้าเอ
ท่านเทพซื่อมิ่งเดินเข้าไปหาองค์รัชทายาทจงจิ้งโหวที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า ในมือของเด็กน้อยผู้นั้นถือถ้วยน้ำชาเอาไว้และมันยิ่งกำถ้วยในมือเอาไว้แน่นมากยิ่งขึ้นเมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ครั้งหนึ่งเมื่อยามที่นางยังอยู่บนแดนสวรรค์ นางพบเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารมากกว่าใครๆ ทั้งๆ ที่เขาเป็นหนึ่งในโอรสของสวรรค์แต่ทว่ากลับมิได้รับความเคารพจากผู้ใดเลย จงจิ้งโหวเป็นเด็กที่เก็บตัวเงียบอยู่ในมุมมืดเพียงผู้เดียว ไม่ได้ออกมาวิ่งเล่นดังเช่นเด็กคนอื่น เนื่องจากหอดวงชะตาอยู่ไม่ไกลจากตำหนักชมจันทร์ที่จงจิ้งโหวอาศัย เมื่อมองเด็กน้อยผู้นี้นานๆ เข้า ท่านเทพซื่อมิ่งก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา“เหตุใดถึงมีเพียงองค์ชายผู้เดียวที่มานั่งชมสระบัวอยู่ตรงนี้เพคะ”นางตามตื๊ออยู่นานทีเดียวกว่าจงจิ้งโหวจะยินยอมพูดด้วย“นี่คือบันทึก..เกี่ยวกับดวงชะตาอย่างนั้นหรือขอรับ”เขาใช้มือลูบไล้ลงไปบนแผ่นไม้ที่จารึกดวงชะตาของเหล่ามนุษย์เอาไว้ด้วยความประหลาดใจ รอยยิ้มน้อยๆ ของเด็กที่ไม่เคยพบเจอสิ่งใดนอกจากสระบัวและดวงจันทร์ข้างๆ ตำหนัก มันทำให้ท่านเทพซื่อมิ่งอดรู้สึกเวทนามิได้“พระองค์..อยากอ่านหรือไม่เพคะ”ในแววตาที่ไร้เดียงสาปรากฏร่องรอยค
“ครั้งหนึ่งยามเมื่อหมู่มวลวสันต์ผลิบาน แสงแรกของดวงตะวันฉายชัดลงมา บรรยากาศบนแดนสวรรค์นั้นทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่น อ้อมกอดแรกของสตรีที่มิใช่มารดาโอบกอดลงมาบนร่างกายเล็กๆ ของข้า ในครั้งที่ข้าเป็นเด็ก เพราะว่าข้าคือโอรสที่เกิดจากพระสนมจึงมิมีใครคอยดูแล ยกเว้นเทพที่แสนใจดีผู้หนึ่ง นางสอนข้าเดินหมาก อ่านเขียน แต่งกลอน..”แววตาในยามที่จงจิ้งโหวกล่าวถึงสตรีผู้นั้นมันช่างดูเศร้าหมองจนหมิงหลันอดจะรู้สึกสงสารเขาไม่ได้เลย“ข้าที่ไม่มีใคร รู้สึกดีใจและขอบคุณมากๆ เมื่อท่านเทพผู้นั้นปฏิบัติกับข้าดีเหมือนกับว่าข้าคือบุตรชายของนาง..”คล้ายหัวใจของจงจิ้งโหวถูกทุบจนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาหลับตาลงช้าๆ เพื่อข่มความเจ็บปวดเอาไว้“แล้ว..ยามนี้ท่านเทพผู้นั้นอยู่ที่ใดกันเล่าเพคะ”“...นางมิได้อยู่บนแดนสวรรค์ ข้าถูกช่วงชิงนางไปเพราะอดีตจอมมารหลงรักนางตั้งแต่แรกพบ หมิงหลันข้าน่ะไม่เคยมีใครเลยในชีวิต ข้ามีนางที่นับถือราวกับมารดาแท้ๆ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ทว่าเรื่องน่าตลกมันเริ่มฉายชัดในยามที่ข้าเติบใหญ่ เมื่อพี่น้องทยอยล้มตายอย่างไร้สาเหตุและมีข้าเพียงผู้เดียวนั้นที่มีชีวิตรอด ข้าที่เป็นเพียงโอรสที่เกิด
หมิงหลันตรึงสายตาเย็นชาเอาไว้ที่รอยยิ้มขององค์รัชทายาทจงจิ้งโหว มุมปากของนางยกสูงขึ้นมาเล็กน้อย รอยยิ้มเล็กๆ ที่ปรากฏบนใบหน้างามนั่นจางหายไปอย่างรวดเร็วจนองค์รัชทายาทจงจิ้งโหวไม่ทันได้มองเห็น“เจ้าเองก็หวาดกลัวเหมือนกันใช่หรือไม่..สงครามน่ะ”“หากหม่อมฉันตอบว่าไม่รู้สึกหวาดกลัวหม่อมฉันคงจะโกหกแล้วเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันคิดว่าปัญหาทุกทางย่อมมีทางออกเสมอ กับเรื่องนี้ก็เช่นกัน”ไม่รู้ทำไมจงจิ้งโหวถึงได้รู้สึกว่าเทพบุปผาผู้นี้จะสามารถพูดคุยเพื่อคลายเหงาให้เขาได้บ้าง เพราะแววที่แสนเย็นชาหรือเพราะว่าน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่แยแสของนางกันแน่ ที่มันชวนให้เขารู้สึกว่านางมิใช่สตรีที่จะพุ่งเข้าหาเขา เพียงเพราะล่วงรู้ว่าเขาคือองค์รัชทายาทสวรรค์“ทำไม..เจ้าถึงไม่สนใจข้าเลยล่ะ ทั้งๆ ที่หากเปรียบเทียบกับจอมมาร ข้าเหนือกว่าเขาแทบจะทุกด้าน”ดวงตาของหมิงหลันกระตุกเล็กน้อย เหนือกว่าทุกด้าน? ตรงไหนกัน?หากเป็นเรื่องใบหน้า สามีของนางย่อมเหนือกว่าและหากเป็นเรื่องความดี จริงอยู่ที่เมื่อก่อนท่านจอมมารมิใช่คนที่ดีสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่เราได้พูดคุยปรับความเข้าใจ ในยามนี้เขาคือชายที่ดีที่สุดในสายตาของนาง..“
รุ่งเช้าหลี่เจ๋อฮั่นยังคงตื่นแต่เช้าเพื่อมารดน้ำผักและดอกไม้มากมายที่ปลูกเอาไว้ด้านหน้าบ้านหลังน้อย เขารู้สึกได้เลยว่านี่คือช่วงเวลาที่มีไม่บ่อยเท่าไหร่นักในชีวิตของเขา การได้อยู่เงียบๆ ในป่าไผ่ที่ไม่ได้พบเจอผู้คนมากมาย ได้ร้องเพลงร่ำสุราเงียบๆ กับหมิงหลันที่เอาแต่ดูเขาดื่มฝ่ายเดียวเขาพึ่งรู้เหมือนกันว่านางทำอาหารอร่อยมากจนน่าตกใจ“เจ๋อฮั่น..อันที่จริงเจ้าไม่ต้องรดน้ำผักพวกนี้ก็ได้ พวกมันเกิดมาจากพลังปราณของข้าเพราะอย่างนั้นมันไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า”หลี่เจ๋อฮั่นหัวเราะเบาๆ ในลำคอ“ใต้หล้านี้คงมีเพียงเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่ชอบทำอะไรที่มันแปลกไปจากเดิม..หมิงหลันเจ้าลองปลูกผักพวกนี้โดยที่ไม่ใช่พลังของเจ้าดูสักครั้งบ้างหรือยัง บางทีการกระทำเช่นนั้นอาจจะทำให้เจ้าได้พบเจอกับความแปลกใหม่ก็เป็นได้”หมิงหลันใช้มือของนางเก็บผักกาดมาจากแปลง“เจ๋อฮั่น เอาไว้คราวหน้าข้าจะลองทำตามที่เจ้าว่าดูก็แล้วกัน แต่ยามนี้มิใช่ว่าเรายังไม่ทันได้ทานมื้อเช้ากันหรอกหรือ?”หมิงหลันเดินเข้ามาในครัวพร้อมๆ กับหั่นผักกาดและตั้งเตา นางกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบากพร้อมๆ กับที่ใส่ผงสีขาวลงไปในอาหารที่กำลังปรุงนี่คือยาน
“ท่านผู้มีพระคุณคงกำลังมีแขก ข้ากระทำการอันเป็นการล่วงเกินเวลาพักผ่อนของท่านรึเปล่าขอรับ”ท่าทีนอบน้อมของเขาทำให้หมิงหลันรู้สึกแปลกพิลึกมากทีเดียว นางมิคิดว่าองค์รัชทายาทของชาวสวรรค์จะมีความสามารถในการปลอมตัวเช่นนี้ หากว่าเขาแนบเนียนจนแทบจะมองไม่ออกเช่นนี้ก็มิได้น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอกว่าเหตุใดเสวียนม่านถึงได้เลือกเขา..แต่สตรีผู้นั้นก็หวั่นไหวเพราะอำนาจขององค์รัชทายาทเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนี่“ขออภัยพี่ชายด้วย แต่ในวันนั้นที่ข้าจ่ายค่าหมั่นโถวให้ท่าน เรียกได้ว่าเป็นการกระทำที่เล็กน้อยยิ่งนัก อีกทั้งข้าไม่คิดเก็บเอามาเป็นบุญคุณอะไรทั้งนั้น ขอพี่ชายอย่าเรียกขานข้าว่าผู้มีพระคุณอีก ให้คิดซะว่าเรามิได้ติดค้างอะไรทั้งนั้น”“แต่ว่า..”“พี่สะใภ้ของข้ากล่าวเช่นไรก็เอาตามนั้นเถิด อีกทั้งยามนี้เราตั้งใจจะมาพักผ่อนดื่มชาเป็นการส่วนตัว คงจะดีหากว่าท่านไม่มารบกวนเวลาของพวกเรา”เมื่อเห็นว่าชายผู้นั้นไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอยตามคำของหมิงหลันเลยแม้แต่นิดเดียว หลี่เจ๋อฮั่นจึงออกหน้าให้ชายผู้นั้นก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินจากไป“เรารีบไปกันเถอะเจ๋อฮั่น ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”หมิงหลันรู้สึกไม่ดีเอาซะเ