เฉินอันหนิงรีบก้าวไปรั้งเอาไว้ไม่ให้แม่ทัพผู้กล้าหาญคุกเข่าให้ ไม่ว่าจะเรื่องที่นี่ หรือเรื่องอีกเรือนก็เกี่ยวข้องกับเฉินซูเหมยและนาง นางหรือจะกล้ารับคำขอบคุณ นางส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องทำเช่นนั้น เรื่องนี้แท้จริงแล้ว เกี่ยวข้องกับข้าโดยตรง ข้าไม่ควรได้รับคำขอบคุณเลย”
“บอกพวกท่านตามตรง ในห้องนี้มีธูปราคะ มีคนวางแผนเอาไว้ และผู้ที่เป็นเหยื่อที่แท้จริง...คือท่านแม่ทัพเหลย กับคุณหนูสักคนที่มาร่วมงานในครั้งนี้”
“เรื่องมันเป็นเช่นใดกันแน่อาหนิง เหยื่อจริง ๆ คือพี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไร?” เป็นเหลยเซียนหนิงที่สอบถามขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้เช่นกัน
เฉินอันหนิงถอนใจอีกครั้งก่อนจะบอกเล่า “เรื่องเป็นเช่นนี้...ตั้งแต่เรื่องของซูเหมยเปิดเผย สถานะของนางก็ตกต่ำลง นางจึงแค้นข้า ก่อนนี้มีข่าวลือข้ากับท่านแม่ทัพเหลย นางคิดว่าข้ามีใจให้ท่านแม่ทัพ จึงคิดทำลายวาสนา”
“นางวางแผนให้ข้าพลาดท่าให้บุตรชายใต้เท้าเยี่ยซึ่งมีอนุเต็มบ้าน ขณะเดียวกันนางก็วางแผนทำให้
ทั้งที่ค่ำคืนนี้ภายในพระราชวังมีการแสดงแต่ผู้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงขั้นหนึ่งกลับไม่ได้อยู่ภายในพระราชวัง วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนางเหนื่อยล้าเกินกว่าจะปั้นหน้ายิ้มต้อนรับผู้คน จึงได้แอบหนีออกมานัยน์ตาหงส์ภายใต้หน้ากากจิ้งจอกทอดมองสองฟากฝั่งของตลาดสายหลักในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยการประดับประดาโคมไฟก่อนจะเหลือบมองใครอีกคนที่ปกปิดใบหน้าไว้ภายใต้หน้ากากเสือที่ยืนอยู่ข้าง ๆคนผู้นี้นี่อย่างไร ทั้งที่ไม่ยอมรับและหาข้ออ้างใด ๆ มาพูดกับนาง แต่กลับยินยอมเดินตามนางมาเที่ยวเล่นในตลาด และในตอนนี้ยังมาเดินข้าง ๆ แทนการเดินตามหลัง...มิคิดว่าตนต่ำต้อยแล้วหรือ?“จะกลับไปหาพี่จิวหลินอีกหรือ” ทั้งที่ไม่อยากจะสอบถามแล้ว แต่สุดท้ายนางก็อยากจะลองถามอีกสักครั้ง เผื่อว่าบุรุษผู้นี้จะเปลี่ยนใจขึ้นมาแต่ก็...ไม่เลย“กลับพะย่ะค่ะ” จิวหูตอบอย่างฉะฉาน ไร้วี่แววลังเล ต่อให้ใจห่วงทางนี้เช่นไร ทว่าก็ไม่อาจจะเปลี่ยนความตั้งใจของตนได้ อย่างไรเขาก็จะติดตามศิษย์พี่ใหญ่จนกว่าอีกฝ่ายจะได้หวนคืนกลับสู่ที่ที่ควรอ
นัยน์ตาโศกทอดมองประตูตำหนักที่เปิดกว้างออกหลังจากที่ถูกปิดตายมานานนับเดือนก่อนจะเบือนหน้าหนียามที่บุรุษในชุดสีเหลืองอร่ามลายมังกรก้าวผ่านประตูนั้นมาพร้อมกับสตรีอาภรณ์สีแดงชาดประดับลายมังกร คนทั้งคู่ก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันแห่งแคว้นเฉินทว่าสำหรับเฉินอันหนิงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินแล้วคนทั้งคู่เป็นเพียงแค่ชายโฉด หญิงชั่วที่ปล้นบัลลังก์ของผู้อื่นเท่านั้น“ยังจองหองได้อีกเช่นนั้นหรือพี่หญิงของข้า” น้ำเสียงเย้ยหยันมากกว่าจะเป็นมิตรส่งมาก่อนที่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์อย่างเฉินซูเหมยจะกรีดกรายเข้ามาใกล้พี่สาวต่างมารดาที่สถานะยามนี้คืออดีตองค์หญิงแห่งราชวงค์ก่อนสายตาวาวโรจน์จ้องเขม็งไม่ปกปิดความอาฆาตแค้นพร้อม ๆ กับร้องตวาดเสียงดังลั่น “ออกไปให้ห่างจากข้า นังอสรพิษ”ยามที่น้องสาวต่างมารดาเข้ามาใกล้เฉินอันหนิงให้รู้สึกสะอิดสะเอียดจนแทบจะอาเจียน ยิ่งภาพเหตุการณ์นองเลือดที่ผ่านพ้นมาไม่นานผุดขึ้นมาในหัวนางก็ยิ่งเคียดแค้นคนตรงหน้านังงูพิษผู้นี้กับสามีชั่วข้าของมันร่วมมือกันสังหารได้กระทั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน วางยาสังหารได้กระทั่งบิดา ฆ่าล้างตระกูลขุนนางไปนับสิบโดยไม่รู้สึกรู้สา นางมิใช่คน
ความอบอุ่นอันคุ้นเคยปลุกให้เฉินอันหนิงรู้สึกตัวตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างมึนงงก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะความหนักอึ้งที่เปลือกตา นี่คือโลกหลังความตายเช่นนั้นหรือ ไยดูคุ้นเคยยิ่ง…“เจ้าก้อนแป้งขี้เซาจะให้พ่อรออีกนานเพียงใดกัน” สุรเสียงอันคุ้นเคยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้นจากใกล้ ๆ เรียกให้นางต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งนั่นเสียงของเสด็จพ่อมิใช่หรือ…ไม่เพียงแค่เสียงแต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ที่นางรักยิ่งกว่าผู้ใดยังมาอยู่ตรงหน้านางอีกด้วย ดวงตาของนางร้อนผ่าว เฉินอันหนิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าเสด็จพ่อในยามยังหนุ่มจะยิ้มอ่อนโยนอยู่เบื้องหน้านาง“เสด็จพ่อ อะ” ความปิติยินดีที่ได้พบบิดาอีกครั้งชะงักกึกยามที่เอื้อนเอ่ยเรียกออกไปทว่าเสียงที่ได้ยินกลับแปลกประหลาด“เป็นอันใดไปเจ้าก้อนแป้งน้อย ฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงร้องไห้เล่า” เฉินไท่เสียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเอ่ยถามพร้อมกับยื่นพระหัตถ์อบอุ่นมาลูบศีรษะเล็ก ๆ ของธิดาองค์โตเป็นการปลอบประโลมยามที่เห็นหยดน้ำตาเม็ดโตกำลังจะไหลอาบแก้มยามพระหัตถ์คุ้นเคยของพระบิดายื่นมาสัมผัสเฉินอันหนิงทั้งสับสนและอบอุ่นในคราเดียวกัน นี่คือความอบอุ่นที่นางคุ้นเคยอย่างแน่นอย ห
แม้จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินกว่าจะเชื่อ และสับสนว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายเฉินอันหนิงก็ยึดเอาความคิดนี้เป็นเหตุผลอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนางหวนกลับมาแล้ว… หวนกลับมาในวันวานที่ยังคงสงบสุขนอกจากเสด็จแม่ที่จากไปเพราะอาการเจ็บป่วย ทุกคนยังคงอยู่และเกมชิงอำนาจก็ยังมิได้เริ่ม…มีเพียงการช่วงชิงความโปรดปรานเพื่อตำแหน่งฮองเฮาที่ว่างอยู่เท่านั้นดีล่ะ ในเมื่อได้หวนกลับมาในวันคืนเก่า นางจะไม่ยอมให้เหตุการณ์มันเป็นเช่นเดิมอีกไม่มีวัน!!!นางขอเอาชีวิตใหม่เป็นเดิมพัน !“อะแฮ่ม” ปล่อยให้เงียบกันอยู่ไม่นานเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ก็กระแอมขึ้นหลังจากที่เถียงไม่ออกมาครู่ใหญ่ บุรุษสูงศักดิ์กว่าคนทั้งแผ่นดินหันมาหาธิดาองค์โตก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พ่อยอมรับว่าพ่อผิด เจ้าก้อนแป้งยกโทษให้พ่อได้หรือไม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีก”เจ้าก้อนแป้งของโอรสสวรรค์ลอบสูดหายใจหนัก ๆ ทันทีที่คิดได้ว่าตนควรทำสิ่งใด นางเชิดหน้าบ่ายหนีพร้อมทั้งยกมือกอดอกอย่างเอาแต่ใจก่อนจะเอ่ยอย่างแสนงอน “หนิงเอ๋อร์ไม่ยกโทษให้เสด็จพ่อหรอกเพคะ เสด็จพ่อรักน้องคนใหม่มากกว่าหนิงเอ๋อร์”“โธ่ เจ้าก้อนแป้ง พ่อจะไปรักผู้ใดมากกว่าเจ้าได้”“แ
ฮ่องเต้ไท่เสียนใช้เวลากับองค์หญิงใหญ่อีกเล็กน้อยและออกจากตำหนักไปเมื่อถึงเวลาประชุมเช้า พระองค์ยังต้องไปจัดการกับฎีกาอีกหลายฉบับ ไหนจะขุนนางพูดมากนั่นอีก เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างยากเย็นยิ่ง จะใช้เวลากับบุตรสาวทั้งวันก็มิได้“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงฉะฉานทว่ายังมิเข็มแข็งหนักแน่นอย่างบุรุษโตเต็มวัยดังขึ้นหลังจากที่โอรสสวรรค์ออกมานอกตำหนักขององค์หญิงได้ไม่ไกล สายตาคู่คมกริบทอดมองเจ้าหนูน้อยที่สูงกว่าเจ้าก้อนแป้งของตนไม่มากที่คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้น“มาหาเจ้าก้อนแป้งสินะ”“พะย่ะค่ะ” เด็กชายวัยแปดหนาวตอบรับอย่างไม่หลบตา โอรสสวรรค์จ้องมองท่าทีนั้นพลางพยักหน้าอย่างพอพระทัย แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่กลับมิได้มีท่าทีเกรงกลัวต่อสิ่งใด ซ้ำท่าทียังองอาจและฉายแววเก่งกล้ามิใช่น้อย บิดาเป็นเช่นไรบุตรก็เป็นเช่นนั้น…ไม่เสียแรงที่เขาให้มาเป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายเจ้าก้อนแป้ง“เจ้าก้อนแป้งเพิ่งหายไข้ ระวังอย่าให้นางต้องลมนาน ๆ ด้วยเล่า”“กระหม่อมจะระวังพะย่ะค่ะ” ฟู่จื่อเหยียน บุตรชายของฟู่เสวียนหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรผู้ได้รับหน้าที่คอยเป็นเพื่อนเล่
ฟู่จื่อเหยียนนั่งรอองค์หญิงตัวน้อยเงียบ ๆ โดนมิได้พูดจาใด ๆ โดยนิสัยใจคอแล้วคุณชายตระกูลฟู่นับว่าพูดน้อยและสุขุมกว่าเด็กชายในวัยเดียวกัน การที่คุณชายฟู่นั่งเงียบอยู่จึงมิใช่เรื่องชวนให้ประหลาดใจ ผู้ใดบ้างในตำหนักอันหนิงแห่งนี้มิทราบว่าแม้จะเป็นคุณชายที่สุขุมเช่นนี้หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงกลับอ่อนโยนและห่วงใยองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างยิ่ง“พี่เหยียน”“อย่าวิ่งสิพะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะทรงหกล้ม” เสียงนั้นอ่อนโยนแต่ก็แฝงความดุเล็กน้อย คล้ายกับยามที่เสด็จพ่อดุนาง องค์หญิงตัวน้อยยิ้มให้พร้อมกับบอกอย่างมั่นใจ“หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก ไม่อย่างแน่นอน”“ทรงมั่นใจเกินไป”“คิกคิก ท่านห่วงเกินไปแล้ว หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก” ไม่ตรัสเปล่า องค์หญิงตัวน้อยยังทรงวิ่งไปรอบ ๆ ตัวเขาอย่างนึกสนุก“โธ่”“พี่เหยียนก็มาวิ่งด้วยกันสิ มา” นิ้วเล็ก ๆ เอื้อมมาจับแขนแข็งแรงก่อนจะออกแรงให้เขาวิ่งด้วย คล้ายกับทุก ๆ วัน ราวกับเด็กไร้เดียงสาวที่ในหัวมีเพียงเรื่องการเที่ยวเล่น กินและนอน ฟู่จื่อเหยียนแม้จะห่วงพระวรกายองค์หญิงน้อยทว่าก็มิได้ขัดใจคนเพิ่งหายไข้ ยอมวิ่งเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงโดยไม่อิดออดองค์หญิงเพิ่งหายไข้ มิควรขัดใจ..
เฉินอันหนิงล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดลึก ๆ ไยความทรงจำไม่กลับมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเล่า จะให้นางสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับกี่ชาติกัน!มาตอนนี้ให้นางจำได้เพื่ออะไรกัน...องค์หญิงน้อยแต่ภายในผ่านร้อนผ่าวหนาวมาแล้วถึงสองชีวิตบ่นกับตนในใจอีกหลายคำก่อนจะหลับไปอีกครั้งนางฝันอีกแล้ว หากแต่มิใช่ฝันถึงตนเองที่เป็นคะนิ้ง หรือฝันบอกเหตุดั่งเช่นในชาติที่แล้ว หากแต่เป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อหาในนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อนจะไปประชุมในฝัน...เหตุการณ์หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วบุรุษอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งโอบประคองร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้ ลูบไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน หากแต่นางมิอาจรู้สึกใด ๆ ได้อีก“ท่านบอกว่าโตขึ้นจะแต่งให้ข้า เหตุใดจึงไม่รอข้าเล่าองค์หญิง” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวดเอ่ยตัดพ้อกับร่างไร้ลมหายใจพร้อมกับกอดเอาไว้แน่นองค์ชายสามเฉินอี้หลงข่มน้ำตาเอาไว้มิให้หลั่งรินออกมาพลางมองด้วยความฉงน มิรู้เลยว่าเหตุใดชายผู้นี้จึงได้ผลักเขาออกและโอบกอดร่างพี่สาวของเขาเอาไว้อย่างหวงแหนเช่นนั้น ทว่าเขาเองก็มิอาจให้เป็นเช่นนี้ได้จึงกลั้นใจเอ่ยขึ้น “สหาย ข้าขอพี่สาวข้าคืนเถิด ข้าอยากให้นางได้ไปอ
เฉินอันหนิงตระหนักได้ว่ามิควรเปลี่ยนแปลงการเรื่องราวของพี่เหยียน ในเมื่อนางเองก็หาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่เจอ และหากช่วยเหลือพี่เหยียนให้อยู่ข้างกายต่อไปรังแต่จะทำให้เขาเป็นอันตราย เช่นนั้นก็ให้เขาไปพบเจอเรื่องราวข้างนอกเพื่อเป็นไปตามเนื้อเรื่องของเขาก็แล้วกัน...หากแต่บทสรุปสุดท้ายนางมิอาจยินยอมให้เป็นเช่นในฝันได้จะให้พี่เหยียนผู้นั้นมาตายตามนางได้อย่างไรในเมื่อชาตินี้นางจะไม่ตายเปลี่ยนการออกจากแคว้นไปของพี่เหยียนไม่ได้ เพื่อตัวของเขาเองก็ไม่เป็นไรแต่นางปรับแก้สถานการณ์อื่นมิให้ต้องพบจุดจบเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่แก้ไขเล็กน้อย...คงมิเป็นอันใด“แล้วจะแก้เรื่องใดกัน”นางพึมพำเพียงลำพังได้ไม่นานอี้กงกงก็เข้ามาโค้งคำนับและรายงาน “องค์หญิง ฉินกงกงมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”“ให้เข้ามา”“ฉินกงกง!” องค์หญิงน้อยกระโดดมาหาคนมาใหม่ทันทีอย่างคุ้นเคย แม้ว่าจะทำให้ผู้มีอายุใจหายใจคว่ำไปไม่น้อยเพราะเกรงว่าจะหกล้มก็ตาม ฉินกงกง ขันทีอาวุโสจากตำหนักชินอ๋องโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน “วันนี้ชินอ๋องมาเฝ้าไท่เฟย จึงให้ข้าน้อยนำถังหูลู่และขนมกุ้ยฮวาจากร้านประจำมาถวายองค์หญิงพะย่ะค่ะ”“เส
ทั้งที่ค่ำคืนนี้ภายในพระราชวังมีการแสดงแต่ผู้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงขั้นหนึ่งกลับไม่ได้อยู่ภายในพระราชวัง วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนางเหนื่อยล้าเกินกว่าจะปั้นหน้ายิ้มต้อนรับผู้คน จึงได้แอบหนีออกมานัยน์ตาหงส์ภายใต้หน้ากากจิ้งจอกทอดมองสองฟากฝั่งของตลาดสายหลักในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยการประดับประดาโคมไฟก่อนจะเหลือบมองใครอีกคนที่ปกปิดใบหน้าไว้ภายใต้หน้ากากเสือที่ยืนอยู่ข้าง ๆคนผู้นี้นี่อย่างไร ทั้งที่ไม่ยอมรับและหาข้ออ้างใด ๆ มาพูดกับนาง แต่กลับยินยอมเดินตามนางมาเที่ยวเล่นในตลาด และในตอนนี้ยังมาเดินข้าง ๆ แทนการเดินตามหลัง...มิคิดว่าตนต่ำต้อยแล้วหรือ?“จะกลับไปหาพี่จิวหลินอีกหรือ” ทั้งที่ไม่อยากจะสอบถามแล้ว แต่สุดท้ายนางก็อยากจะลองถามอีกสักครั้ง เผื่อว่าบุรุษผู้นี้จะเปลี่ยนใจขึ้นมาแต่ก็...ไม่เลย“กลับพะย่ะค่ะ” จิวหูตอบอย่างฉะฉาน ไร้วี่แววลังเล ต่อให้ใจห่วงทางนี้เช่นไร ทว่าก็ไม่อาจจะเปลี่ยนความตั้งใจของตนได้ อย่างไรเขาก็จะติดตามศิษย์พี่ใหญ่จนกว่าอีกฝ่ายจะได้หวนคืนกลับสู่ที่ที่ควรอ
เฉินอันหนิงรีบก้าวไปรั้งเอาไว้ไม่ให้แม่ทัพผู้กล้าหาญคุกเข่าให้ ไม่ว่าจะเรื่องที่นี่ หรือเรื่องอีกเรือนก็เกี่ยวข้องกับเฉินซูเหมยและนาง นางหรือจะกล้ารับคำขอบคุณ นางส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องทำเช่นนั้น เรื่องนี้แท้จริงแล้ว เกี่ยวข้องกับข้าโดยตรง ข้าไม่ควรได้รับคำขอบคุณเลย”“บอกพวกท่านตามตรง ในห้องนี้มีธูปราคะ มีคนวางแผนเอาไว้ และผู้ที่เป็นเหยื่อที่แท้จริง...คือท่านแม่ทัพเหลย กับคุณหนูสักคนที่มาร่วมงานในครั้งนี้”“เรื่องมันเป็นเช่นใดกันแน่อาหนิง เหยื่อจริง ๆ คือพี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไร?” เป็นเหลยเซียนหนิงที่สอบถามขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้เช่นกันเฉินอันหนิงถอนใจอีกครั้งก่อนจะบอกเล่า “เรื่องเป็นเช่นนี้...ตั้งแต่เรื่องของซูเหมยเปิดเผย สถานะของนางก็ตกต่ำลง นางจึงแค้นข้า ก่อนนี้มีข่าวลือข้ากับท่านแม่ทัพเหลย นางคิดว่าข้ามีใจให้ท่านแม่ทัพ จึงคิดทำลายวาสนา”“นางวางแผนให้ข้าพลาดท่าให้บุตรชายใต้เท้าเยี่ยซึ่งมีอนุเต็มบ้าน ขณะเดียวกันนางก็วางแผนทำให้
“กรี๊ด!!!”เสียงกรีดร้องดังลั่นจากภายในเรือนรับรองขุนนางเรียกให้ขุนนางรวมถึงเหล่าฮูหยินและคุณหนูคุณชายเกิดความสงสัย บ้างก็ลุกไปมองหาต้นเสียง บ้างก็พูดคุยสอบถามกันเฉินซูเหมยที่แอบมองกิริยาของผู้คนยกยิ้มอย่างเลือดเย็น คงจะเป็นไปตามแผนของนางแล้วอย่างแน่นอน อีกครู่ผู้คนก็คงจะไปมุงดูและตกตะลึงจนไร้เรี่ยวแรงกับสิ่งที่ได้พบเห็น...กู้หลุนอันหนิงกงจู่นอนเปลือยเปล่าอยู่กับบุตรชายรองเสนาบดีที่ขึ้นชื่อว่าเสเพลและมีอนุเต็มบ้านอย่างไรเล่า...“นี่มัน...”“นี่มันคุณชายเจียง” ทว่าเสียงของคนที่ไปมุงดูกลับมิใช่อย่างที่คาดคิด เฉินซูเหมยเบิกตากว้าง ว่าอย่างไรนะ คุณชายเจียงหรือ?ในใจภาวนาว่าไม่ใช่ พร้อมกับรีบเบียดเสียดฝ่าผู้คนเข้าไปภายในห้องคุณชายเจียง...หากมีคุณชายเจียงหลายคนนางคงไม่ตกใจ ทว่าคุณชายเจียงที่มีสิทธิ์เข้างานเลี้ยงในวันนี้มีเพียงเจียงเหิง คนรักของนาง ทั้งในชาตินี้และชาติที่แล้ว ผู้ที่จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้เคียงคู่กับนางในวันหน้า
ฮ่องเต้ไท่เสียนส่งเสียงกระแอมเบา ๆ เมื่อทุกคนเงียบเสียงลงจึงตรัสต่อ “ยังไม่จบเท่านี้ ยังมีพระราชโองการฉบับที่สอง...อ่านต่อไป”“พระราชโองการฉบับที่สอง...” เหรินกงกงลากเสียงก่อนจะเอ่ยพระนามขององค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงอันหนิงรับราชโองการ...”“เฉินอันหนิงรับราชโองการ” ร่างเล็กคุกเข่าลงทั้งที่งุนงง ยังคงคาดเดาไม่ได้ว่าราชโองการที่เกี่ยวข้องกับตนนั้นคือสิ่งใด เหรินกงกงรอให้องค์หญิงผู้เป็นที่โปรดปรานที่สุดพรั่งพร้อมจึงประกาศราชโองการด้วยเสียงดังฟังชัด“ด้วยก่อนหน้านี้ไร้ตำแหน่งรัชทายาท องค์หญิงใหญ่เฉินอันหนิงจึงต้องคอยช่วยเหลือแบ่งเบาราชกิจฮ่องเต้มาเป็นเวลานาน ผลงานเป็นที่ประจักษ์ เหล่าขุนนางมิคัดค้านและเห็นสมควร จึงมีพระบัญชาแต่งตั้งองค์หญิงใหญ่เฉินอันหนิงขึ้นเป็นกู้หลุนอันหนิงกงจู่ องค์หญิงขั้นที่หนึ่ง มอบทหารหนึ่งหมื่นนาย เหล่าองครักษ์รุ่นเยาว์อีกหนึ่งพันคน ยอดฝีมืออีกห้าร้อยคน และจวนทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงอีกหนึ่งหลัง ทางทิศใต้ของเมืองหลวงอีกหนึ่งหลัง จบราชโองก
แคว้นเฉินเป็นหนึ่งในแคว้นใหญ่ที่เรืองอำนาจอาคันตุกะที่มาร่วมงานวันครบรอบการสถาปนาแคว้นในครั้งนี้จึงมีมากมายจากหลากหลายแคว้น แม้แต่แคว้นไห่ที่อยู่ไกลออกไปก็ยังส่งไท่จื่อและองค์หญิงมาร่วมงาน เฉินอันหนิงไม่สนใจใครเป็นพิเศษแม้แต่ไท่จื่อและองค์หญิงจากแคว้นไห่คนเหล่านั้นไม่ได้น่าสนใจเลยสักนิด...หากมีผู้ใดน่าสนใจเป็นพิเศษแล้วล่ะก็...คงจะเป็นพี่น้องสกุลเหลยอย่างแม่ทัพเหลยจิ้งและน้องสาวอย่างเหลยเซียนหนิงที่วันนี้ดูจะโดดเด่นทั้งพี่ทั้งน้องนั่นล่ะ“ท่านแม่ทัพเหลยช่างหล่อเหลาองอาจ...ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าสตรีผู้ใดจะได้ครอบครองตำแหน่งฮูหยิน จะเป็นข้าหรือไม่”และ...ฟังจากเสียงพูดคุยแล้วผู้อื่นก็ให้ความสนใจสองพี่น้องเช่นกันถึงแม้จะดูสนใจแค่ผู้พี่ก็เถิดองค์หญิงอันหนิงไม่เอ่ยสิ่งใดทำเพียงนั่งเงียบจิบชาและขนมที่ถูกนำมาถวาย ด้วยตำแหน่งที่นั่งแล้ว คงไม่มีผู้ใดคิดว่านางจะได้ยิน แต่นางก็ได้ยินอย่างชัดเจน...เช่นนั้นก็ฟังเงียบ ๆ แล้วกันเหล่าสตรีที่เพ้อถึงแม่ทัพหนุ่มยังคงพูดค
ช่วงใกล้วันสถาปนาแคว้นของทุกปีเป็นช่วงที่ภายในวังหลวงเต็มไปด้วยความยุ่งวุ่นวาย อันเนื่องมาจากต้องคอยต้อนรับอาคันตุกะจากแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมเฉลิมฉลอง ช่วงเวลานี้นับเป็นช่วงเวลาที่เฉินอันหนิงรู้สึกทรมานอย่างถึงที่สุด เพราะนางต้องช่วยหรงฮองเฮาต้อนรับอาคันตุกะและเหล่าอ๋องที่เดินทางกลับมาร่วมงาน...ตั้งแต่เริ่มมีแขกมาถึง นางก็มิได้หนีออกไปเที่ยวหรือแม้แต่พบปะสหายทั้งสองเลยแม้แต่ครั้งเดียวนี่มัน...ไม่ทรมานเกินไปหรือแต่ก็ใช่ว่าจะทรมานไปซะหมด...“ท่านอา” เสียงร้องเรียกด้วยความยินดีดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่องค์หญิงลำดับที่หนึ่งมาหยุดตรงหน้าของบุรุษวัยสามสิบต้น ๆ ที่เดินมาพร้อมกับสตรีใบหน้างดงาม เป็นชินอ๋องและชินหวางเฟยที่ในครั้งนี้ยอมมาร่วมงานสถานปนาแคว้นในรอบสิบสองปี ด้านหลังของทั้งคู่ยังมีท่านชายและท่านหญิงน้อยฝาแฝดที่เป็นโซ่ทองคล้องใจของพวกเขาติดตามมาพร้อมกับเหล่าองครักษ์ด้วยองค์หญิงอันหนิงพุ่งเข้ามาเกาะแขนผู้เป็นอาในทันทีทว่าก็ถูกตำหนิไม่จริงจังอีกเช่นทุกครั้ง“ทำตัวเป็นเด็กไป
ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ...แล้วชอบบุรุษเช่นใดเล่า?“แล้วเจ้าชื่นชอบบุรุษเช่นไร” เป็นเว่ยหนิงที่สอบถามขึ้น ทว่าคำถามนั้นกลับมิได้คำตอบที่น่าพอใจเหลยเซียนหนิงกลอกตาก่อนจะเอ่ย “ข้าไม่ชอบบุรุษเช่นใดทั้งนั้น ข้าเพียงชื่นชอบมองเป็นอาหารตามิได้อยากจะครอบครอง...”“ข้าไม่อาจขัดใจพี่ใหญ่หรือทำร้ายจิตใจเขา แต่ข้าก็ไม่อยากแต่งให้เขา พวกเจ้ามีหนทางที่ทำให้ข้าไม่ต้องแต่งกับเขาหรือไม่”“หากไม่อยากแต่งกับเขาก็มีแต่แต่งกับคนอื่นด้วยเหตุสุดวิสัยตัดหน้าเขา” เว่ยหนิงเสนอแนวทางที่ไม่นับว่าดี...แต่ก็ไม่นับว่าแย่ แล้วก็หันไปยังสหายผู้สูงศักดิ์ “น้องชายนางมีหลายคน เจ้าเลือก ๆ สักคนแล้วสร้างเรื่องว่าเป็นลิขิตฟ้าอันใดเช่นนั้นดีหรือไม่”“ข้าไม่อยากแต่งเข้าราชวงค์”“เช่นนั้นก็ลูกขุนนางสักคน” เว่ยหนิงเสนอความคิดเห็นพลางยกตัวอย่างลูกหลานขุนนางตงฉินมาสามถึงสี่คนที่นางรู้จัก “บุตรชายท่านเสนาบดีก็รูปงาม ทั้งยังเป็นบัณฑิต บุตรชา
เวลาต่อมา“อาหนิง เจ้าซุกซ่อนสิ่งใดไว้ภายในข่าวเสีย ๆ หาย ๆ บอกข้ามาซะดี ๆ” คำถามที่ไม่มีความอ้อมค้อมถูกถามขึ้นในทันทีที่สั่งสุราและอาหารมาเป็นที่เรียบร้อย คำถามนี้ไม่ใช่ของเว่ยหนิงแต่เป็นของเหลยเซียนหนิงที่สงสัยมาโดยตลอดการได้พูดคุยทำให้นางสัมผัสได้ว่าองค์หญิงอันหนิงที่คนเขาเล่าลือนั้นมิใช่เช่นนั้นไปเสียหมด แม้ว่าเฉินอันหนิงจะดื่มสุราแต่กลับมิได้มีท่าทีสนใจชายหนุ่มรูปงามหรือคิดปล้นชิงบุรุษของผู้อื่น ยิ่งตอนที่นายท่านของหอเทียนหลินออกมาต้อนรับ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถูกองค์หญิงของแคว้นแทะโลมหรือพูดจาหยอกเอิ้นทว่าชื่อเสียงที่ไปถึงชายแดนนั้น...“ชื่อเสียงของเจ้าที่ชายแดนนับว่าร้ายกาจ เป็นองค์หญิงจอมโฉด ปล้นชิง ล่อลวงบุรุษของผู้อื่น ทั้งยังลุ่มหลงในสุราเมรัย ผิดขนบธรรมเนียมสตรีในห้องหอ หากไม่พอใจผู้ใดก็ให้ฆ่าได้ทันที ชื่นชอบการกลั่นแกล้งพี่น้องและนางกำนัลอ่อนแอแม้แต่สนมนางในพบเจอยังถูกอาละวาดจนพ่ายแพ้ แต่...ตัวตนของเจ้าไม่ใช่เช่นนั้นเลย”“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?” น
หอซุยฉีทั้งที่ชวนทั้งแม่ทัพบูรพาและคนของเขา ทว่าผู้ที่มานั่งร่วมโต๊ะกับนางมีเพียงแค่เหลยจิ้งและเสียนฟู่ถัง รองแม่ทัพหนึ่งในสองของเขาเท่านั้นที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับนาง ส่วนรองแม่ทัพที่มีนามว่าชิงเว่ยและทหารติดตามขอแยกไปอีกโต๊ะ การอยู่ต่อหน้าบรรดาท่านอ๋องและองค์หญิงเป็นเรื่องที่พวกเขารู้สึกลำบากใจ นางก็พอจะเข้าใจได้“แม่ทัพเหลย ข้าขอถามท่าน...ไม่ทราบว่าท่านอายุเท่าใด ท่านดูอายุมากกว่าพวกข้าไม่กี่ปีเท่านั้น” ผู้ที่ชื่นชอบการรบทัพจับศึกอย่างเฉินซีหานย่อมชื่นชอบคบค้ากับแม่ทัพนายกอง ทันทีที่นั่งลงเฉินซีหานก็ส่งคำถามให้เหลยจิ้งอย่างชวนคุยทันที“ทูลท่านอ๋อง ปีนี้กระหม่อมย่างเข้ายี่สิบเอ็ดพะย่ะค่ะ”“ยี่สิบเอ็ดเท่านั้นแต่กลับเชี่ยวชาญการรบทัพจับศึก นับถือนับถือ นอกจากเสด็จอาแล้ว ท่านเป็นอีกคนที่ข้านับถือ ข้าขอดื่มให้ท่าน”“ท่านอ๋องตรัสเกินไป กระหม่อมไม่กล้ารับพะย่ะค่ะ” นอกจากความเก่งกาจแล้ว เหลยจิ้งผู้นี้ยังมีความอ่อนน้อมอีกด้วย นับได้ว่าน่าคบหาทีเดี