“เค่อซุน ถวายพระพรกู้หลุนอันหนิงกงจู่ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พันปี พัน ๆ ปี” น้ำเสียงนอบน้อมแฝงไปด้วยความเคารพและหนักแน่นดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างกายสูงใหญ่คุกเข่าลงตรงหน้าของกู้หลุนกงจู่แห่งแคว้นะเฉิน
เฉินอันหนิงมองใบหน้าคุ้มเคยที่ไม่ได้พบเจอถึงสองปีเต็มของเค่อซุนที่มาเข้าเฝ้าทันทีที่คณะทูตจากแคว้นเฉินถูกพามายังที่พำนักรับรองอาคันตุกะก่อนจะคลี่ยิ้มให้ “ลุกขึ้นเถิด...ฟู่จื่อหลิง”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เค่อซุนหรือที่ตอนนี้จะต้องเป็นฟู่จื่อหลิง คุณชายสามแห่งสกุลฟู่ทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปสอบถามน้องชาย “พี่รองไม่ได้มาหรือเจ้าสี่”
“พี่สะใภ้ใกล้คลอดแล้ว องค์หญิงจึงไม่ให้เขาตามเสด็จ ตอนนี้คงคลอดแล้วกระมัง”
“เช่นนี้กลับไป ข้าก็ได้อุ้มก้อนน้อยเลยนะสิ” ผู้ได้รับหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าของกลุ่มยอดฝีมือที่ถูกส่งมาให้แก่จิวหลิงที่ต้องห่างจากพี่น้องมานับสองปียกยิ้มทันทีเมื่อคิดถึงหลานคนแรกของบ้าน เสร็จภารกิจก็ได้เวลาที่เขาจะได้กลับบ้าน มิคาดกลับไปหนนี้เขาจะได้อุ้มหลานโดยไม่ต้องรอ...พี่
นัยน์ตาโศกทอดมองประตูตำหนักที่เปิดกว้างออกหลังจากที่ถูกปิดตายมานานนับเดือนก่อนจะเบือนหน้าหนียามที่บุรุษในชุดสีเหลืองอร่ามลายมังกรก้าวผ่านประตูนั้นมาพร้อมกับสตรีอาภรณ์สีแดงชาดประดับลายมังกร คนทั้งคู่ก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันแห่งแคว้นเฉินทว่าสำหรับเฉินอันหนิงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินแล้วคนทั้งคู่เป็นเพียงแค่ชายโฉด หญิงชั่วที่ปล้นบัลลังก์ของผู้อื่นเท่านั้น“ยังจองหองได้อีกเช่นนั้นหรือพี่หญิงของข้า” น้ำเสียงเย้ยหยันมากกว่าจะเป็นมิตรส่งมาก่อนที่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์อย่างเฉินซูเหมยจะกรีดกรายเข้ามาใกล้พี่สาวต่างมารดาที่สถานะยามนี้คืออดีตองค์หญิงแห่งราชวงค์ก่อนสายตาวาวโรจน์จ้องเขม็งไม่ปกปิดความอาฆาตแค้นพร้อม ๆ กับร้องตวาดเสียงดังลั่น “ออกไปให้ห่างจากข้า นังอสรพิษ”ยามที่น้องสาวต่างมารดาเข้ามาใกล้เฉินอันหนิงให้รู้สึกสะอิดสะเอียดจนแทบจะอาเจียน ยิ่งภาพเหตุการณ์นองเลือดที่ผ่านพ้นมาไม่นานผุดขึ้นมาในหัวนางก็ยิ่งเคียดแค้นคนตรงหน้านังงูพิษผู้นี้กับสามีชั่วข้าของมันร่วมมือกันสังหารได้กระทั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน วางยาสังหารได้กระทั่งบิดา ฆ่าล้างตระกูลขุนนางไปนับสิบโดยไม่รู้สึกรู้สา นางมิใช่คน
ความอบอุ่นอันคุ้นเคยปลุกให้เฉินอันหนิงรู้สึกตัวตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างมึนงงก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะความหนักอึ้งที่เปลือกตา นี่คือโลกหลังความตายเช่นนั้นหรือ ไยดูคุ้นเคยยิ่ง…“เจ้าก้อนแป้งขี้เซาจะให้พ่อรออีกนานเพียงใดกัน” สุรเสียงอันคุ้นเคยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้นจากใกล้ ๆ เรียกให้นางต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งนั่นเสียงของเสด็จพ่อมิใช่หรือ…ไม่เพียงแค่เสียงแต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ที่นางรักยิ่งกว่าผู้ใดยังมาอยู่ตรงหน้านางอีกด้วย ดวงตาของนางร้อนผ่าว เฉินอันหนิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าเสด็จพ่อในยามยังหนุ่มจะยิ้มอ่อนโยนอยู่เบื้องหน้านาง“เสด็จพ่อ อะ” ความปิติยินดีที่ได้พบบิดาอีกครั้งชะงักกึกยามที่เอื้อนเอ่ยเรียกออกไปทว่าเสียงที่ได้ยินกลับแปลกประหลาด“เป็นอันใดไปเจ้าก้อนแป้งน้อย ฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงร้องไห้เล่า” เฉินไท่เสียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเอ่ยถามพร้อมกับยื่นพระหัตถ์อบอุ่นมาลูบศีรษะเล็ก ๆ ของธิดาองค์โตเป็นการปลอบประโลมยามที่เห็นหยดน้ำตาเม็ดโตกำลังจะไหลอาบแก้มยามพระหัตถ์คุ้นเคยของพระบิดายื่นมาสัมผัสเฉินอันหนิงทั้งสับสนและอบอุ่นในคราเดียวกัน นี่คือความอบอุ่นที่นางคุ้นเคยอย่างแน่นอย ห
แม้จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินกว่าจะเชื่อ และสับสนว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายเฉินอันหนิงก็ยึดเอาความคิดนี้เป็นเหตุผลอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนางหวนกลับมาแล้ว… หวนกลับมาในวันวานที่ยังคงสงบสุขนอกจากเสด็จแม่ที่จากไปเพราะอาการเจ็บป่วย ทุกคนยังคงอยู่และเกมชิงอำนาจก็ยังมิได้เริ่ม…มีเพียงการช่วงชิงความโปรดปรานเพื่อตำแหน่งฮองเฮาที่ว่างอยู่เท่านั้นดีล่ะ ในเมื่อได้หวนกลับมาในวันคืนเก่า นางจะไม่ยอมให้เหตุการณ์มันเป็นเช่นเดิมอีกไม่มีวัน!!!นางขอเอาชีวิตใหม่เป็นเดิมพัน !“อะแฮ่ม” ปล่อยให้เงียบกันอยู่ไม่นานเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ก็กระแอมขึ้นหลังจากที่เถียงไม่ออกมาครู่ใหญ่ บุรุษสูงศักดิ์กว่าคนทั้งแผ่นดินหันมาหาธิดาองค์โตก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พ่อยอมรับว่าพ่อผิด เจ้าก้อนแป้งยกโทษให้พ่อได้หรือไม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีก”เจ้าก้อนแป้งของโอรสสวรรค์ลอบสูดหายใจหนัก ๆ ทันทีที่คิดได้ว่าตนควรทำสิ่งใด นางเชิดหน้าบ่ายหนีพร้อมทั้งยกมือกอดอกอย่างเอาแต่ใจก่อนจะเอ่ยอย่างแสนงอน “หนิงเอ๋อร์ไม่ยกโทษให้เสด็จพ่อหรอกเพคะ เสด็จพ่อรักน้องคนใหม่มากกว่าหนิงเอ๋อร์”“โธ่ เจ้าก้อนแป้ง พ่อจะไปรักผู้ใดมากกว่าเจ้าได้”“แ
ฮ่องเต้ไท่เสียนใช้เวลากับองค์หญิงใหญ่อีกเล็กน้อยและออกจากตำหนักไปเมื่อถึงเวลาประชุมเช้า พระองค์ยังต้องไปจัดการกับฎีกาอีกหลายฉบับ ไหนจะขุนนางพูดมากนั่นอีก เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างยากเย็นยิ่ง จะใช้เวลากับบุตรสาวทั้งวันก็มิได้“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงฉะฉานทว่ายังมิเข็มแข็งหนักแน่นอย่างบุรุษโตเต็มวัยดังขึ้นหลังจากที่โอรสสวรรค์ออกมานอกตำหนักขององค์หญิงได้ไม่ไกล สายตาคู่คมกริบทอดมองเจ้าหนูน้อยที่สูงกว่าเจ้าก้อนแป้งของตนไม่มากที่คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้น“มาหาเจ้าก้อนแป้งสินะ”“พะย่ะค่ะ” เด็กชายวัยแปดหนาวตอบรับอย่างไม่หลบตา โอรสสวรรค์จ้องมองท่าทีนั้นพลางพยักหน้าอย่างพอพระทัย แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่กลับมิได้มีท่าทีเกรงกลัวต่อสิ่งใด ซ้ำท่าทียังองอาจและฉายแววเก่งกล้ามิใช่น้อย บิดาเป็นเช่นไรบุตรก็เป็นเช่นนั้น…ไม่เสียแรงที่เขาให้มาเป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายเจ้าก้อนแป้ง“เจ้าก้อนแป้งเพิ่งหายไข้ ระวังอย่าให้นางต้องลมนาน ๆ ด้วยเล่า”“กระหม่อมจะระวังพะย่ะค่ะ” ฟู่จื่อเหยียน บุตรชายของฟู่เสวียนหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรผู้ได้รับหน้าที่คอยเป็นเพื่อนเล่
ฟู่จื่อเหยียนนั่งรอองค์หญิงตัวน้อยเงียบ ๆ โดนมิได้พูดจาใด ๆ โดยนิสัยใจคอแล้วคุณชายตระกูลฟู่นับว่าพูดน้อยและสุขุมกว่าเด็กชายในวัยเดียวกัน การที่คุณชายฟู่นั่งเงียบอยู่จึงมิใช่เรื่องชวนให้ประหลาดใจ ผู้ใดบ้างในตำหนักอันหนิงแห่งนี้มิทราบว่าแม้จะเป็นคุณชายที่สุขุมเช่นนี้หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงกลับอ่อนโยนและห่วงใยองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างยิ่ง“พี่เหยียน”“อย่าวิ่งสิพะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะทรงหกล้ม” เสียงนั้นอ่อนโยนแต่ก็แฝงความดุเล็กน้อย คล้ายกับยามที่เสด็จพ่อดุนาง องค์หญิงตัวน้อยยิ้มให้พร้อมกับบอกอย่างมั่นใจ“หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก ไม่อย่างแน่นอน”“ทรงมั่นใจเกินไป”“คิกคิก ท่านห่วงเกินไปแล้ว หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก” ไม่ตรัสเปล่า องค์หญิงตัวน้อยยังทรงวิ่งไปรอบ ๆ ตัวเขาอย่างนึกสนุก“โธ่”“พี่เหยียนก็มาวิ่งด้วยกันสิ มา” นิ้วเล็ก ๆ เอื้อมมาจับแขนแข็งแรงก่อนจะออกแรงให้เขาวิ่งด้วย คล้ายกับทุก ๆ วัน ราวกับเด็กไร้เดียงสาวที่ในหัวมีเพียงเรื่องการเที่ยวเล่น กินและนอน ฟู่จื่อเหยียนแม้จะห่วงพระวรกายองค์หญิงน้อยทว่าก็มิได้ขัดใจคนเพิ่งหายไข้ ยอมวิ่งเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงโดยไม่อิดออดองค์หญิงเพิ่งหายไข้ มิควรขัดใจ..
เฉินอันหนิงล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดลึก ๆ ไยความทรงจำไม่กลับมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเล่า จะให้นางสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับกี่ชาติกัน!มาตอนนี้ให้นางจำได้เพื่ออะไรกัน...องค์หญิงน้อยแต่ภายในผ่านร้อนผ่าวหนาวมาแล้วถึงสองชีวิตบ่นกับตนในใจอีกหลายคำก่อนจะหลับไปอีกครั้งนางฝันอีกแล้ว หากแต่มิใช่ฝันถึงตนเองที่เป็นคะนิ้ง หรือฝันบอกเหตุดั่งเช่นในชาติที่แล้ว หากแต่เป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อหาในนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อนจะไปประชุมในฝัน...เหตุการณ์หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วบุรุษอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งโอบประคองร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้ ลูบไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน หากแต่นางมิอาจรู้สึกใด ๆ ได้อีก“ท่านบอกว่าโตขึ้นจะแต่งให้ข้า เหตุใดจึงไม่รอข้าเล่าองค์หญิง” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวดเอ่ยตัดพ้อกับร่างไร้ลมหายใจพร้อมกับกอดเอาไว้แน่นองค์ชายสามเฉินอี้หลงข่มน้ำตาเอาไว้มิให้หลั่งรินออกมาพลางมองด้วยความฉงน มิรู้เลยว่าเหตุใดชายผู้นี้จึงได้ผลักเขาออกและโอบกอดร่างพี่สาวของเขาเอาไว้อย่างหวงแหนเช่นนั้น ทว่าเขาเองก็มิอาจให้เป็นเช่นนี้ได้จึงกลั้นใจเอ่ยขึ้น “สหาย ข้าขอพี่สาวข้าคืนเถิด ข้าอยากให้นางได้ไปอ
เฉินอันหนิงตระหนักได้ว่ามิควรเปลี่ยนแปลงการเรื่องราวของพี่เหยียน ในเมื่อนางเองก็หาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่เจอ และหากช่วยเหลือพี่เหยียนให้อยู่ข้างกายต่อไปรังแต่จะทำให้เขาเป็นอันตราย เช่นนั้นก็ให้เขาไปพบเจอเรื่องราวข้างนอกเพื่อเป็นไปตามเนื้อเรื่องของเขาก็แล้วกัน...หากแต่บทสรุปสุดท้ายนางมิอาจยินยอมให้เป็นเช่นในฝันได้จะให้พี่เหยียนผู้นั้นมาตายตามนางได้อย่างไรในเมื่อชาตินี้นางจะไม่ตายเปลี่ยนการออกจากแคว้นไปของพี่เหยียนไม่ได้ เพื่อตัวของเขาเองก็ไม่เป็นไรแต่นางปรับแก้สถานการณ์อื่นมิให้ต้องพบจุดจบเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่แก้ไขเล็กน้อย...คงมิเป็นอันใด“แล้วจะแก้เรื่องใดกัน”นางพึมพำเพียงลำพังได้ไม่นานอี้กงกงก็เข้ามาโค้งคำนับและรายงาน “องค์หญิง ฉินกงกงมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”“ให้เข้ามา”“ฉินกงกง!” องค์หญิงน้อยกระโดดมาหาคนมาใหม่ทันทีอย่างคุ้นเคย แม้ว่าจะทำให้ผู้มีอายุใจหายใจคว่ำไปไม่น้อยเพราะเกรงว่าจะหกล้มก็ตาม ฉินกงกง ขันทีอาวุโสจากตำหนักชินอ๋องโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน “วันนี้ชินอ๋องมาเฝ้าไท่เฟย จึงให้ข้าน้อยนำถังหูลู่และขนมกุ้ยฮวาจากร้านประจำมาถวายองค์หญิงพะย่ะค่ะ”“เส
“เสด็จพ่อ!!!” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสร้องเรียกบุรุษผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดในทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งอย่างไม่รักษากิริยาเข้าไปเกาะแขนพระบิดาฮ่องเต้ไท่เสียนมิได้ขุ่นเคืองกับท่าทีของพระธิดาองค์โตแม้แต่น้อย กลับกันพระองค์กลับชื่นชอบท่าทีสดใสราวกับดวงตะวันที่เจิดจรัสเช่นนี้ของบุตรสาวมากกว่าท่าทีอ่อนช้อยเป็นไหน ๆ “นึกอย่างไรมาหาพ่อถึงที่นี่เจ้าก้อนแป้ง”“หนิงเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อเพคะ” ผู้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงห้องทรงพระอักษรทั้งที่ไม่ได้มีรับสั่งเรียกหาเอ่ยอย่างออดอ้อนก่อนจะถูกอุ้มไปวางบนตักและหอมแก้วเสียฟอดใหญ่“พ่อรู้เจ้ามิได้คิดถึงพ่อเพียงเท่านั้น แต่พ่อก็ยินดีที่เจ้าคิดถึง” “เสด็จอาทรงฟ้องเสด็จพ่ออีกแล้วหรือเพคะ”“เขาไม่ได้ฟ้อง เพียงเกริ่นให้พ่อฟังเท่านั้น” บุรุษสูงศักดิ์กล่าวแย้งให้พระอนุชาที่พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก่อนหน้าที่บุตรสาวจะเข้ามา พระอนุชาองค์นี้ย่อมช่วยเหลือพูดให้องค์หญิงน้อยบ้างแล้วพระองค์จึงพอทราบเรื่องราวอยู่บ้าง“ก้อนแป้งของพ่อไม่อยากไปงานเลี้ยงเช่นนั้นหรือ”“หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบงานเลี้ยงเพคะ ไปอารามซุยหลิงกับเสด็จย่าไท่เฟยได้บุ
“เค่อซุน ถวายพระพรกู้หลุนอันหนิงกงจู่ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พันปี พัน ๆ ปี” น้ำเสียงนอบน้อมแฝงไปด้วยความเคารพและหนักแน่นดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างกายสูงใหญ่คุกเข่าลงตรงหน้าของกู้หลุนกงจู่แห่งแคว้นะเฉินเฉินอันหนิงมองใบหน้าคุ้มเคยที่ไม่ได้พบเจอถึงสองปีเต็มของเค่อซุนที่มาเข้าเฝ้าทันทีที่คณะทูตจากแคว้นเฉินถูกพามายังที่พำนักรับรองอาคันตุกะก่อนจะคลี่ยิ้มให้ “ลุกขึ้นเถิด...ฟู่จื่อหลิง”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เค่อซุนหรือที่ตอนนี้จะต้องเป็นฟู่จื่อหลิง คุณชายสามแห่งสกุลฟู่ทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปสอบถามน้องชาย “พี่รองไม่ได้มาหรือเจ้าสี่”“พี่สะใภ้ใกล้คลอดแล้ว องค์หญิงจึงไม่ให้เขาตามเสด็จ ตอนนี้คงคลอดแล้วกระมัง”“เช่นนี้กลับไป ข้าก็ได้อุ้มก้อนน้อยเลยนะสิ” ผู้ได้รับหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าของกลุ่มยอดฝีมือที่ถูกส่งมาให้แก่จิวหลิงที่ต้องห่างจากพี่น้องมานับสองปียกยิ้มทันทีเมื่อคิดถึงหลานคนแรกของบ้าน เสร็จภารกิจก็ได้เวลาที่เขาจะได้กลับบ้าน มิคาดกลับไปหนนี้เขาจะได้อุ้มหลานโดยไม่ต้องรอ...พี่
สองเดือนต่อมาการเดินทางจากต้าเฉินถึงต้าไห่ใช้เวลาทั้งสิ้นหกสิบห้าวัน เป็นหกสิบห้าวันที่จะกล่าวว่าราบรื่นก็ราบรื่น แต่จะกล่าวว่าทุลักทุเลเล็กน้อยก็ว่าได้เช่นกันสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ...“แม่นางเสียน” น้ำเสียงหยาดเยิ้มที่เอ่ยเรียกฉุดให้เฉินอันหนิงที่เผลอขบคิดถึงการเดินทางนับสองเดือนที่ผ่านมาได้สติและหันสายตาไปมองนี่อย่างไรเล่าผู้ที่ทำให้การเดินทางของพวกนางทุลักทุเลมาเล็กน้อยแทนที่จะราบรื่นน่ะ“แม่นางหลัน มีอันใดหรือ” นางสอบถามอีกฝ่ายพร้อมกับลอบสังเกตท่าทีอีกฝ่ายไปด้วย หลันซิ่วอิงคือสตรีที่นางพบเจอระหว่างทางจากแคว้นลั่วหยางมายังแคว้นไห่ ในตอนที่เจออีกฝ่าย หลันซิ่งอิงกำลังประสบปัญหาเพราะถูกกลุ่มนักฆ่าตามไล่ล่าเพราะไม่อาจเมินเฉยต่อคนต้องการความช่วยเหลือ นางจึงให้เฉินซีหานเข้าไปช่วยเหลือสตรีตรงหน้าเองไว้ ทั้งยังให้นางร่วมเดินทางมาด้วยเมื่อได้รู้ว่ามีจุดหมายปลายทางเป็นแคว้นไห่เช่นกันลำพังหลันซิ่วอิง ไม่ได้ทำให้การเดินทางของนางและคณะมีปัญหา
ได้เห็นดรุณีน้อยชอบใจ เฉินอันหนิงก็พลอยยิ้มไปด้วย สำหรับนางฟู่จื่อเหยาเป็นดั่งน้องสาวผู้หนึ่ง อาจจะตั้งแต่ตอนที่อุ้มครั้งแรกเมื่อครั้งยังเป็นเด็กทารกนั่นล่ะ ที่นางเห็นเด็กน้อยอาภัพมารดาผู้นี้เป็นน้องสาวและปรารถนาให้ยิ้มอยู่เสมอ แต่บางครั้งน้องสาวผู้นี้ก็ถามในสิ่งที่ไม่ควรถามอยู่เช่นกัน...“พี่สาว...พี่สาวจะไปหาพี่ใหญ่หรือไม่เจ้าคะ” ดั่งเช่นตอนนี้ที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพังที่คอกม้าจนสามารถพูดคำสามัญได้ น้องสาวผู้นี้ ถึงนางจะมองเป็นน้องสาวอย่างไร แต่สุดท้ายก็เป็นน้องสาวของคนผู้นั้นอยู่ดี“ไม่ เหตุใดข้าต้องไปหาคนอย่างเขา” นางตอบโดยไม่หันกลับไปมองน้องสาวบุญธรรมผ่านมาสองปี ความขุ่นเคืองในใจมิได้ลดน้อยลง ความรู้สึกอื่นก็เช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้เล่า แม้บุปผามีใจ หากสายน้ำไร้รัก ก็ย่อมต้องปล่อยให้ผ่านไป...นางมิใช่คนที่จะไปบังคับข่มเหงผู้ใดและเมื่อพูดไปแล้วว่าไม่สนใจ ก็ย่อมไม่เก็บเรื่องของเขามาใส่ใจอีกป่านนี้บุรุษผู้นั้นคงมีฮูหยินไปแล้วกระมัง นางจะไปหาเขาทำไมกั
นางใช้เวลาไม่นานก็มาปรากฏตัวหน้าห้องทรงพระอักษรเป็นที่เรียบร้อย ใบหน้างามล่มเมืองปั้นให้ดูปกติที่สุดก่อนจะเผยยิ้มส่งให้บิดาในทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้อง“เสด็จพ่อ”“แคว้นไห่ส่งราชสาร์นเชิญมา” ไม่รอให้พระธิดาองค์โตสอบถามใด ๆ ฮ่องเต้ไท่เสียนก็บอกเล่าสาเหตุที่เรียกให้มาหาในทันทีพร้อมกับยื่นพระราชสาร์นให้ “ต้าไห่เปลี่ยนฮ่องเต้แล้ว”คำบอกเล่ามิใช่เรื่องน่าตกใจอันใด ฮ่องเต้ไท่เสียนเองก็มิได้แปลกใจใด ๆ อันเนื่องมาจากบุตรสาวได้บอกเล่าให้ฟังมาก่อนแล้วเฉินอันหนิงกวาดสายตาอ่านตัวอักษรในราชสาร์นที่แสนคุ้นเคยก่อนจะระบายยิ้ม จิวหลิงเขียนราชสาร์นฉบับนี้ด้วยตัวเองไม่ผิดแน่และในราชสาร์นก็บอกเล่าว่าตนได้จัดการอดีตฮ่องเต้ทรราชเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดี จึงส่งสาร์นฉบับนี้มาเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ เชื้อพระวงค์และคณะทูตจากต้าเฉินมาร่วมในงานพระราชพิธีเถลิงราชสมบัติที่จะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าอีกทั้งยังทิ้งข้อความลับไว้ในพระราชสาร์น กำชับให
เฉินอันหนิงมองท่าทีของสหายด้วยรอยยิ้ม ย้อนคิดไปถึงเมื่อหนึ่งปีก่อนขึ้นมา ตอนที่ผู้คนได้รู้ว่าเหลยเซียนหนิงถอนหมั้นกับเสียนฟู่ถังแล้วก็เป็นวันที่มีงานมงคลของเสียนฟู่ถังกับฟ่านซูเซียน โชคดีที่ตอนนั้นแม่ทัพเหลยได้รับราชโองการให้ไปคุมการสร้างเขื่อนที่เมืองถงอันทางตอนใต้ เหล่าแม่สื่อจึงยังไม่มีโอกาสเข้ามาพูดคุยทว่าหนึ่งปีก่อนแม่ทัพเหลยจิ้งเสร็จสิ้นภารกิจกลับมายังจวนในเมืองหลวง นับจากนั้นเหล่าแม่สื่อก็มายังจวนแม่ทัพบูรพาไม่หวาดไม่ไหว แม้แต่หรงฮองเฮาก็มีท่าทีอยากจะได้สหายของบุตรสาวมาเป็นพระชายารัชทายาท ด้วยไม่อยากแต่งเข้าราชวงค์ และไม่อยากเกี่ยวดองกับขุนนางที่จ้องแต่จะหาผลประโยชน์จากตำแหน่งของผู้เป็นพี่ชาย เหลยเซียนหนิงจึงต้องสร้างเรื่อง...และเรื่องที่เหลยเซียนหนิงสร้างก็คือการจัดฉากเล่นงานองครักษ์ของสหายเช่นนาง ไม่รู้ว่าสหายผู้นี้ไปทำเช่นไรเค่อซินจึงได้ยอมให้ท่านลุงฟู่ส่งแม่สื่อไปพูดคุย ทว่าท่าทีของทั้งคู่ไม่ได้มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องเหลยเซียนหนิงบอกกับนางและเว่ยหนิงว่าการแต่งงานครั้งนี้นางได้ตกลงกับเค่อซินแล้ว
สองปีต่อมาสิ่งที่ผ่านไปรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ก็คือวันเวลา เผลอเพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป และเปลี่ยนเป็นหนึ่งชั่วยาม หนึ่งวัน หนึ่งเดือน จนกระทั่งล่วงเลยไปหนึ่งปี สองปีอย่างรวดเร็วและแสนสั้นสองปี...หากจะกล่าวว่ายาวนาน มันก็ยาวนานแต่หากจะบอกว่าช่างแสนสั้น มันก็ผ่านไปรวดเร็วระยะเวลาสองปีมานี้สำหรับเฉินอันหนิงแล้วทั้งมิได้เนิ่นนาน และมิได้รวดเร็ว อาจจะเพราะนางมิได้เฝ้ารอผู้ใดจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันทั้งยาวนานและเนิ่นนาน และอาจจะเพราะนางใช้เวลาไปกับการพัฒนาแคว้นและทำการค้า วันเวลาของนางจึงเป็นเช่นนี้ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที...รอบข้างก็มีความเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วแคว้นต้าเฉินในตอนนี้นับได้ว่าเป็นแคว้นที่ร่ำรวย ราษฏรมีกินมีใช้ นักเดินทางและพ่อค้าคหบดีต่างแคว้นก็พลุกพล่านทำให้การใช้จ่ายภายในแคว้นเป็นไปได้ด้วยดีกิจการของนางที่ร่วมกับเว่ยหนิงและนายท่านแห่งหอเทียนหลินก็เป็นไปได้ดี ไม่ว่าจะเป็นตลาดย่านการค้าที่นางกว้านซื้อที่ดินมาสร้างให้เหมือนกับห้างสรรพสินค้าในยุคอนาคต ที่เป็นแหล
งานสถาปนาแคว้นนับเป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่ ชาวบ้านต่างประดับประดาบ้านช่องและจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลอง ประโคมดนตรีเป็นเวลาถึงเจ็ดวัน ภายในพระราชวังก็มีการเฉลิมฉลองใหญ่ต้อนรับอาคันตุกะที่มาร่วมแสดงความยินดีเช่นกัน แต่ก็จัดเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น ส่วนในวันที่เหลือหากอาคันตุกะจากต่างแคว้นประสงค์จะอยู่ต่อเพื่อท่องเที่ยวก็สามารถพักยังที่รับรองที่จัดเอาไว้ให้ได้ต่อเมื่อเทศกาลการเฉลิมฉลองจบลงผู้คนก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ภายในพระราชวังเองก็กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติเช่นกัน แต่ก็ใช่ว่าจะสงบสุข ผู้คนต่างให้คามสนใจท่าทีของจวนสกุลเจียง หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในวังที่เล็ดลอดออกมาสกุลมู่ไม่นับว่าตกต่ำ แม่ทัพฟ่านรุ่งเรืองเช่นไร รองแม่ทัพและเหล่านายกองก็ย่อมรุ่งเรืองตามไปด้วย สกุลเจียงคิดจะทำเช่นไรย่อมต้องดูสีหน้าสกุลมู่ให้มากเหล่าขุนนางย่อมรับรู้สถานการณ์ของสกุลเจียงมากกว่าชาวบ้าน ใต้เท้าเจียงผู้เป็นบิดาของเจียงเหิงอยู่ใต้บารมีของสกุลเถียน สนับสนุนเถียนเจาอี๋มาโดยตลอด เมื่อเถียนเจาอี๋ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นสกุลเจียงก็พลอยต
ทั้งที่ค่ำคืนนี้ภายในพระราชวังมีการแสดงแต่ผู้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงขั้นหนึ่งกลับไม่ได้อยู่ภายในพระราชวัง วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนางเหนื่อยล้าเกินกว่าจะปั้นหน้ายิ้มต้อนรับผู้คน จึงได้แอบหนีออกมานัยน์ตาหงส์ภายใต้หน้ากากจิ้งจอกทอดมองสองฟากฝั่งของตลาดสายหลักในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยการประดับประดาโคมไฟก่อนจะเหลือบมองใครอีกคนที่ปกปิดใบหน้าไว้ภายใต้หน้ากากเสือที่ยืนอยู่ข้าง ๆคนผู้นี้นี่อย่างไร ทั้งที่ไม่ยอมรับและหาข้ออ้างใด ๆ มาพูดกับนาง แต่กลับยินยอมเดินตามนางมาเที่ยวเล่นในตลาด และในตอนนี้ยังมาเดินข้าง ๆ แทนการเดินตามหลัง...มิคิดว่าตนต่ำต้อยแล้วหรือ?“จะกลับไปหาพี่จิวหลินอีกหรือ” ทั้งที่ไม่อยากจะสอบถามแล้ว แต่สุดท้ายนางก็อยากจะลองถามอีกสักครั้ง เผื่อว่าบุรุษผู้นี้จะเปลี่ยนใจขึ้นมาแต่ก็...ไม่เลย“กลับพะย่ะค่ะ” จิวหูตอบอย่างฉะฉาน ไร้วี่แววลังเล ต่อให้ใจห่วงทางนี้เช่นไร ทว่าก็ไม่อาจจะเปลี่ยนความตั้งใจของตนได้ อย่างไรเขาก็จะติดตามศิษย์พี่ใหญ่จนกว่าอีกฝ่ายจะได้หวนคืนกลับสู่ที่ที่ควรอ
เฉินอันหนิงรีบก้าวไปรั้งเอาไว้ไม่ให้แม่ทัพผู้กล้าหาญคุกเข่าให้ ไม่ว่าจะเรื่องที่นี่ หรือเรื่องอีกเรือนก็เกี่ยวข้องกับเฉินซูเหมยและนาง นางหรือจะกล้ารับคำขอบคุณ นางส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องทำเช่นนั้น เรื่องนี้แท้จริงแล้ว เกี่ยวข้องกับข้าโดยตรง ข้าไม่ควรได้รับคำขอบคุณเลย”“บอกพวกท่านตามตรง ในห้องนี้มีธูปราคะ มีคนวางแผนเอาไว้ และผู้ที่เป็นเหยื่อที่แท้จริง...คือท่านแม่ทัพเหลย กับคุณหนูสักคนที่มาร่วมงานในครั้งนี้”“เรื่องมันเป็นเช่นใดกันแน่อาหนิง เหยื่อจริง ๆ คือพี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไร?” เป็นเหลยเซียนหนิงที่สอบถามขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้เช่นกันเฉินอันหนิงถอนใจอีกครั้งก่อนจะบอกเล่า “เรื่องเป็นเช่นนี้...ตั้งแต่เรื่องของซูเหมยเปิดเผย สถานะของนางก็ตกต่ำลง นางจึงแค้นข้า ก่อนนี้มีข่าวลือข้ากับท่านแม่ทัพเหลย นางคิดว่าข้ามีใจให้ท่านแม่ทัพ จึงคิดทำลายวาสนา”“นางวางแผนให้ข้าพลาดท่าให้บุตรชายใต้เท้าเยี่ยซึ่งมีอนุเต็มบ้าน ขณะเดียวกันนางก็วางแผนทำให้