ฝนตกหนักนอกหน้าต่างยังคงเทลงมาอย่างหนัก ฝนตกหนักเช่นนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็สามารถเข้าใจได้เมื่อถึงช่วงเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลหูของฉู่เฉินกระตุกเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินเสียงเด็กๆ หัวเราะและเล่นกันข้างนอกลานบ้าน ครู่ต่อมา หลังจากที่เขาจิบเหล้าแล้ว แล้วก็ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาและโศกเศร้าของหญิงสาวคนหนึ่งฉู่เฉินไม่สนใจ และเสียงกระแอมไอจากชายชราที่ค่อยๆจางหายไปฉู่เฉินรู้ว่าลานบ้านของเขาอยู่ที่ริมด้านตะวันออกสุด และบริเวณด้านข้างก็เป็นทางตันเขาวางถ้วยลง เทอีกถ้วยแล้วก้าวออกไปข้างนอก ขณะที่เขาเปิดประตู ดูเหมือนว่าฝนทั้งหมดในโลกจะกลายเป็นเลือดชั่วครู่หนึ่ง ในชั่วพริบตา ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ มีเพียงสายฝนที่โปรยลงมารอบๆ ลานบ้าน และไม่มีความผิดปกติใดๆฉู่เฉินนำเก้าอี้ไปที่ประตู นั่งลง และควบคุมรัศมีของเขาให้เพียงพอสำหรับการกันน้ำฝนมีเสียงเคาะประตูมาจากด้านนอกประตูลานเล็กๆฉู่เฉินกำลังจะลุกขึ้นไปเปิดประตูแต่เสียงเคาะประตูก็หยุดลงอย่างกระทันหันพอฉู่เฉินนั่งลงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ฉู่เฉินก็เลือกที่จะเมินเฉยและนั่งจิบเหล้าบนเก้าอี้หลังจาก
คำพูดของไป๋หรันเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ฉู่เฉินหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ประตู เพื่อส่งสัญญาว่าให้ไป๋หรันออกไปได้และไปหาคนอื่นไป๋หรันก็หยุดพล่ามเรื่องไร้สาระของเธอลงในที่สุด ฉู่เฉินก็กลับเข้าไปในห้องและปิดประตูลง เพื่อนอนหลับ ส่วนไป๋หรันใครจะไปสนใจว่าเธออยากนอนหรือไม่นอนหลับจนถึงรุ่งเช้าในตอนเช้า ได้ถูกเสียงพ่อบ้านซวี่เรียกหาจากด้านนอกลานบ้าน โดยบอกว่าท่านเจ้าเมืองเชิญฉู่เฉินไปร่วมรับประทานอาหารเช้า ซึ่งเป็นงานเลี้ยงของครอบครัวของท่านเจ้าเมือง และฉู่เฉินบังเอิญอยู่ที่นี่ จึงได้รับเชิญไปด้วยเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามฉู่เฉินเก็บห้องให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นจึงเดินตามพ่อบ้านซวี่ไปที่จวนเจ้าเมืองระหว่างทาง ฉู่เฉินถามออกมาว่า “เมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นใช่ไหม?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อบ้านซวี่ก็ลังเลที่จะพูด แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรเลยฉู่เฉินก็เข้าใจทันทีเดินตามพ่อบ้านซวี่ไปที่ห้องจัดเลี้ยงเมื่อวานไม่ได้สนใจอะไรนัก แค่ให้ความสนใจกับเจ้าเมืองซวี่ฮวงเท่านั้นเช้านี้ดูเหมือนว่าจวนของเจ้าเมืองค่อนข้างโอ่อ่า มีสิงโตหินสีขาวตั้งอยู่ทั้งสองด้านและได้แกะส
เจ้าเมืองซวี่ฮวงยังคงถ่อมตัวและสุภาพ เกือบจะปฏิบัติต่อฉู่เฉินราวกับพี่น้องแต่ฉู่เฉินคิดผิดแม้ว่างานเลี้ยงกำลังจะจบลง ท่านเจ้าเมืองซวี่ฮวงก็ไม่ได้พูดถึงสิ่งใดที่เขาต้องการให้ช่วยเพียงแต่ขออภัยสำหรับความไม่พร้อมในการต้อนรับของเมืองอินทรีทะยานเวหา และขอความเข้าใจจากฉู่เฉินหลังอาหารเช้า ซวี่ฮวงก็เป็นฝ่ายกล่าวคำอำลา และไปจัดการเรื่องต่างๆ โดยปล่อยให้พ่อบ้านซวี่พาฉู่เฉิน ไปเดินชมเมืองแทนแขกและเจ้าภาพจึงแยกย้ายกันไปเช่นนี้ระหว่างทาง พ่อบ้านซวี่ได้พาฉู่เฉินไปยังบริเวณที่พลุกพล่านของเมือง แม้ว่าฉู่เฉินจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อโน้มน้าวว่าเขาสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง แต่เขาก็สามารถทำมันได้เพียงลำพัง แต่พ่อบ้านซวี่พูดอย่างดื้อรั้นว่าหากเจ้าเมืองสั่งให้เขานำทาง เขาก็จะต้องนำทางให้ฉู่เฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปฏิบัติตาม โดยใคร่ครวญหาข้อแก้ตัวที่จะปลีกตัวออกไปโชคดีที่พ่อบ้านซวี่ตระหนักดีว่าการติดตามฉู่เฉินตลอดเวลานั้นไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม จึงทิ้งเขาไว้ตามลำพังหลังจากที่พวกเขาไปถึงย่านที่พลุกพล่านของเมืองฉู่เฉินจึงได้มีเวลาตรวจสอบญาณของเขาอย่างเต็มที่ โดยมุ่งเน้นไปที่จิตสัมผัสศัก
เห็นได้ชัดว่าฉู่เฉินไม่มีวิธีแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ถ้าออกหน้าลงมือเอง ก็สามารถฆ่าผีได้ แต่ซูหรานก็จะถูกฝังไปพร้อมกับผีตนนั้นด้วย“มันยากนิดหน่อย แต่หากข้าติดต่อกับคนคนนั้นได้ ก็ยังมีทางอยู่ แม้ว่ามันอาจจะต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างก็ตาม” ไป๋หรันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด“งั้นช่วยอธิบายให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม ฉันค่อนข้างสนใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผี” ฉู่เฉินถามอย่างสนใจ“พูดง่ายๆ ก็คือ เหตุที่ผียังคงครอบครองร่างคนเป็นอยู่เพราะยังไม่ได้กลืนกินแก่นแท้จนหมด หรือจะพูดอีกอย่างคือ แก่นแท้ของคนเป็นยังอยู่ในตัวผี ตราบเท่าที่ฉันยังขึ้นเข้าไปสิงร่างของนาง กลืนกินผีร้ายและคืนแก่นแท้ให้กับผู้หญิงไป ผู้หญิงคนนั้นก็จะรอด!” ไป๋หรันพูดออกมาตรงๆ“ถ้าสามารถคืนแก่นแท้แก่หญิงสาวได้ด้วยการกลืนผี แล้วทำไมต้องมีของแลกเปลี่ยนด้วย?” ฉู่เฉินถามอีกครั้ง และยังคงระแวดระวังไป๋หรันอยู่บ้าง“ท่านคิดว่าแก่นแท้มันเป็นเรื่องง่ายๆ ทั่วไปเหรอ? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สูญเสียเวลาไปเลย แก่นแท้หลังจากถูกผีกลืนกินไปแล้ว จะคนธรรมดาจะทนไหวได้อย่างไร ข้าต้องถ่ายแก่นแท้กลับเข้าไปให้ใหม่ เข้าใจไหม”เมื่อได้ยินความสงสัยของฉู่เฉิน ไป๋หรัน
ฉู่เฉินหันศีรษะไปมอง จากในระยะการมองเห็นที่ปลายตรอก มีคนตัวเล็กและใหญ่คู่หนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวล้วนปรากฏตัวอีกครั้ง เด็กน้อยยังคงจ้องมองที่ฉู่เฉิน ดวงตาสีแดงสดคู่หนึ่งมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่องบนใบหน้าซีดขาวราวกับหิมะผู้ใหญ่ที่จับมือเด็กไว้ ซึ่งใบหน้านั้นได้สร้างความน่าประหลาดใจอย่างมาก ซึ่งเหมือนมีผ้าขาวผืนใหญ่คลุมหัวเอาไว้ ปิดหู จมูก คิ้ว และปากผีสองตัว ใหญ่หนึ่งและเล็กหนึ่ง เดินเข้ามาหาฉู่เฉินทีละก้าวแม้ว่าพวกเขาจะเดินโยกเยกมาที่ประตูหน้าลานบ้าน แต่ฉู่เฉินก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน เขาก้าวเข้าไปข้างหน้า และยืนอยู่ที่ขอบบันได เหมือนกำลังรอให้พวกเขาเข้ามาเด็กที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดซึ่งจ้องมองไปที่ฉู่เฉินที่ไม่สะทกสะท้าน และเปิดปาดพูด: "เนื้อของเจ้ามีกลิ่นหอมมาก ข้าขอชิมสักหน่อยได้ไหม? ข้าขอกินไม่กี่คำจริงๆ ได้ไหม?"คำพูดของเด็กนั้นช้ามาก และก้าวเท้าเดินมาอย่างไม่หยุด จากนั้นเดินผ่านฉู่เฉินไป แต่หัวของเขายังคงจ้องมองไปที่ฉู่เฉินตลอด แม้ว่าร่างกายของเขาเคลื่อนไหวไป แต่หัวของเขาบิดเพื่อที่จะหันไปทางฉู่เฉินเสมอผู้ใหญ่ที่จับมือเด็กเป็นคนแรกที่โจมตี และกระโดดไปทางฉู่เฉินฉ
เมื่อเห็นการมาถึงของฉู่เฉินซวี่ฮวงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอธิบายสถานการณ์อย่างคร่าวๆ แล้วถามด้วยความหวังอันริบหรี่ว่า "น้องฉู่เฉิน มีวิธีอะไรช่วยได้บ้างไหม?"“ยังพอวิธีช่วยได้อยู่ แต่หลังจากที่จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง” ฉู่เฉินรู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์เป็นอย่างไ รเพราะเขาเคยปรึกษาเรื่องนี้กับไป๋หรันมาก่อน“อะไรจะสำคัญไปกว่าเรื่องนี้อีกล่ะ น้องฉู่เฉินรีบมาช่วยข้าช่วยลูกสาวก่อน แล้วข้าจะสัญญากับเจ้าทุกอย่างไม่ว่าจะยังไงก็ตาม” แน่นอนว่าซวี่หรันนั้นสำคัญมากที่สุดในหัวใจของซวี่ฮวง“เอาล่ะ แต่ในขณะที่ข้าลงมือ ข้าต้องการให้ทุกคนรวมทั้งท่านและภรรยาของท่านออกไปก่อน และห้ามแอบดูเด็ดขาด เพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความลับของข้า” ฉู่เฉินร้องร้องขอก่อนที่จะลงมือ ใครจะไปรู้ว่าซวี่ฮวงจะมีท่าทีอย่างไร เมื่อเห็นไป๋หรัน เพราะยังไงลูกสาวเขาก็ถูกผีพวกนี้สิง“ท่านเจ้าเมือง เขาเป็นใคร? อย่าปล่อยให้ความวิตกกังวลมาบดบังการตัดสินใจของท่าน พวกเราทุกคนล้วนแต่ล้มเหลวในการรักษา แล้วไอ้หนุ่มหน้าอ่อนนี่จะทำอะไรได้!ชายสูงอายุคนหนึ่งพูดขึ้นมาแทรกขึ้นมา หลังจากที่ซวี่ฮวงขอความช่วยเหลือจาก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซวี่หรันหยุดหอบหายใจและลุกขึ้นนั่งทันที จ้องมองไปที่ไป๋หรันอย่างไม่ละสายตาในทางกลับกัน ฉู่เฉินเหมือนไม่สนใจการกระทำของไป๋หรัน จึงหลับตาลงอย่างเงียบๆ และบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ประตู เหตุผลที่เขาเฝ้าประตูก็เพราะกลัวว่าผีที่อยู่ในร่างของซวี่หรันจะหาโอกาสหนี และยังสามารถเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้อีก“หยุดทำเรื่องน่ากลัวนี้ได้แล้ว ออกมาคุยกันเถอะ” ไป๋หรันพูดอีกครั้ง“ใครจะคิดล่ะว่าในสถานที่เล็กๆ อย่างเมืองอินทรีทะยานเวหา ข้าจะได้พบเจอกับเจ้า” ในที่สุดซวี่หรันก็พูด แต่นั่นไม่ใช่เสียงของเธอ แต่เป็นน้ำเสียงของคนชราที่เหนื่อยล้า“นั่นเป็นเพราะการับรู้ของเจ้ามีข้อจำกัด” ไป๋หรันตอบอย่างตรงไปตรงมา“ข้าอยากรู้ว่านัก พวกเราตัวตนที่อยู่บนวิถีนอกรีต ใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นไปตามกฏของโลก ไฉนเจ้ามาอยู่กับมนุษย์ได้อย่างไร” ซวี่หรันถามโดยเหลือบมองที่ฉู่เฉินซึ่งเฝ้าประตูอยู่“นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า พวกเรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า คืนผู้หญิงที่เจ้าสิงร่างเสียมาซะ คืนแก่นแท้ของนางมาด้วย แล้วพวกเราจะปล่อยเจ้าไป เจ้าจะว่าอย่างไร?” น้ำเสียงของไป๋หรันดูเหมือนจะเป็นการเจรจา
ท้ายที่สุดแล้ว เป็นฉู่เฉินที่เป็นคนยืนกรานที่จะมาที่นี่ขั้นตอนต่อไปนั้นง่ายกว่ามากฉู่เฉินแกล้งทำเป็นเรียกหาเจ้าเมือง ซวี่ฮวงและคนอื่นๆ โดยบอกว่าตัวเองได้แก้ไขต้นตอของเรื่องแล้วแม้ว่าซวี่ฮวงจะเดินเข้ามาและถามคำถามมากมาย แต่ฉู่เฉินก็ตอบทีละคำถามอย่างไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ราวกับว่าเป็นฉู่เฉินจริงๆ ที่เป็นคนปราบผีเองซวี่ฮวงรู้สึกขอบคุณอย่างมากและยืนกรานที่จะให้ฉู่เฉินอยู่ที่จวนเจ้าเมือง เพื่อพูดคุยกันในที่สุด ฉู่เฉินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป และใช้ข้ออ้างว่าต้องการรักษาอาการบาดเจ็บภายซวี่หรันต่อ และขอตัวออกไปและกลับไปที่ลานเล็กๆขั้นตอนต่อไปคือเรื่องรางวัลของเขาก่อนหน้านั้น ได้มีการตกลงกันว่าหากซวี่หรันจะได้รับการรักษาแล้ว ซวี่ฮวงก็สัญญาที่จะช่วยเขาในเรื่องบางอย่างเดิมทีฉู่เฉินกำลังวางแผนที่จะขอให้ซวี่ฮวงช่วยเขาสืบสวนเรื่องของผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนนี้ฉู่เฉินเปลี่ยนใจแล้วหากพูดถึงผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ ซวี่ฮวงก็จะสนใจกับเรื่องนี้ด้วย และบางทีอาจจะไม่สามารถปกปิดเรื่องของผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ได้ ซึ่งเป็นการดีกว่าที่จะสืบสวนอย่างลับๆ ด้วยตัวเองเขาตัดสินใจขอให้ซวี่ฮวงช่วยตามหาช