เมื่อเห็นการมาถึงของฉู่เฉินซวี่ฮวงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอธิบายสถานการณ์อย่างคร่าวๆ แล้วถามด้วยความหวังอันริบหรี่ว่า "น้องฉู่เฉิน มีวิธีอะไรช่วยได้บ้างไหม?"“ยังพอวิธีช่วยได้อยู่ แต่หลังจากที่จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง” ฉู่เฉินรู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์เป็นอย่างไ รเพราะเขาเคยปรึกษาเรื่องนี้กับไป๋หรันมาก่อน“อะไรจะสำคัญไปกว่าเรื่องนี้อีกล่ะ น้องฉู่เฉินรีบมาช่วยข้าช่วยลูกสาวก่อน แล้วข้าจะสัญญากับเจ้าทุกอย่างไม่ว่าจะยังไงก็ตาม” แน่นอนว่าซวี่หรันนั้นสำคัญมากที่สุดในหัวใจของซวี่ฮวง“เอาล่ะ แต่ในขณะที่ข้าลงมือ ข้าต้องการให้ทุกคนรวมทั้งท่านและภรรยาของท่านออกไปก่อน และห้ามแอบดูเด็ดขาด เพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความลับของข้า” ฉู่เฉินร้องร้องขอก่อนที่จะลงมือ ใครจะไปรู้ว่าซวี่ฮวงจะมีท่าทีอย่างไร เมื่อเห็นไป๋หรัน เพราะยังไงลูกสาวเขาก็ถูกผีพวกนี้สิง“ท่านเจ้าเมือง เขาเป็นใคร? อย่าปล่อยให้ความวิตกกังวลมาบดบังการตัดสินใจของท่าน พวกเราทุกคนล้วนแต่ล้มเหลวในการรักษา แล้วไอ้หนุ่มหน้าอ่อนนี่จะทำอะไรได้!ชายสูงอายุคนหนึ่งพูดขึ้นมาแทรกขึ้นมา หลังจากที่ซวี่ฮวงขอความช่วยเหลือจาก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซวี่หรันหยุดหอบหายใจและลุกขึ้นนั่งทันที จ้องมองไปที่ไป๋หรันอย่างไม่ละสายตาในทางกลับกัน ฉู่เฉินเหมือนไม่สนใจการกระทำของไป๋หรัน จึงหลับตาลงอย่างเงียบๆ และบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ประตู เหตุผลที่เขาเฝ้าประตูก็เพราะกลัวว่าผีที่อยู่ในร่างของซวี่หรันจะหาโอกาสหนี และยังสามารถเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้อีก“หยุดทำเรื่องน่ากลัวนี้ได้แล้ว ออกมาคุยกันเถอะ” ไป๋หรันพูดอีกครั้ง“ใครจะคิดล่ะว่าในสถานที่เล็กๆ อย่างเมืองอินทรีทะยานเวหา ข้าจะได้พบเจอกับเจ้า” ในที่สุดซวี่หรันก็พูด แต่นั่นไม่ใช่เสียงของเธอ แต่เป็นน้ำเสียงของคนชราที่เหนื่อยล้า“นั่นเป็นเพราะการับรู้ของเจ้ามีข้อจำกัด” ไป๋หรันตอบอย่างตรงไปตรงมา“ข้าอยากรู้ว่านัก พวกเราตัวตนที่อยู่บนวิถีนอกรีต ใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นไปตามกฏของโลก ไฉนเจ้ามาอยู่กับมนุษย์ได้อย่างไร” ซวี่หรันถามโดยเหลือบมองที่ฉู่เฉินซึ่งเฝ้าประตูอยู่“นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า พวกเรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า คืนผู้หญิงที่เจ้าสิงร่างเสียมาซะ คืนแก่นแท้ของนางมาด้วย แล้วพวกเราจะปล่อยเจ้าไป เจ้าจะว่าอย่างไร?” น้ำเสียงของไป๋หรันดูเหมือนจะเป็นการเจรจา
ท้ายที่สุดแล้ว เป็นฉู่เฉินที่เป็นคนยืนกรานที่จะมาที่นี่ขั้นตอนต่อไปนั้นง่ายกว่ามากฉู่เฉินแกล้งทำเป็นเรียกหาเจ้าเมือง ซวี่ฮวงและคนอื่นๆ โดยบอกว่าตัวเองได้แก้ไขต้นตอของเรื่องแล้วแม้ว่าซวี่ฮวงจะเดินเข้ามาและถามคำถามมากมาย แต่ฉู่เฉินก็ตอบทีละคำถามอย่างไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ราวกับว่าเป็นฉู่เฉินจริงๆ ที่เป็นคนปราบผีเองซวี่ฮวงรู้สึกขอบคุณอย่างมากและยืนกรานที่จะให้ฉู่เฉินอยู่ที่จวนเจ้าเมือง เพื่อพูดคุยกันในที่สุด ฉู่เฉินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป และใช้ข้ออ้างว่าต้องการรักษาอาการบาดเจ็บภายซวี่หรันต่อ และขอตัวออกไปและกลับไปที่ลานเล็กๆขั้นตอนต่อไปคือเรื่องรางวัลของเขาก่อนหน้านั้น ได้มีการตกลงกันว่าหากซวี่หรันจะได้รับการรักษาแล้ว ซวี่ฮวงก็สัญญาที่จะช่วยเขาในเรื่องบางอย่างเดิมทีฉู่เฉินกำลังวางแผนที่จะขอให้ซวี่ฮวงช่วยเขาสืบสวนเรื่องของผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนนี้ฉู่เฉินเปลี่ยนใจแล้วหากพูดถึงผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ ซวี่ฮวงก็จะสนใจกับเรื่องนี้ด้วย และบางทีอาจจะไม่สามารถปกปิดเรื่องของผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ได้ ซึ่งเป็นการดีกว่าที่จะสืบสวนอย่างลับๆ ด้วยตัวเองเขาตัดสินใจขอให้ซวี่ฮวงช่วยตามหาช
ฉู่เฉินบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ซวี่ฮวงก็แสดงความเต็มใจที่จะสนับสนุนเขา แต่ฉู่เฉินปฏิเสธอย่างสุภาพท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นเรื่องของความลับเกี่ยวกับผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะไม่ให้ซวี่ฮวงเข้าร่วมหลังจากออกจากจวนเจ้าเมืองแล้ว ฉู่เฉินก็ได้ปลอมตัว เมื่อเขาแน่ใจว่าจะไม่มีใครจำเขาได้ จึงได้ตัดสินใจไปสอบสวนตามลำพังเขามาถึงสถานที่ซึ่งดูเหมือนเป็นร้านที่สกปรกและมีเสียงดัง อย่างน้อยก็จากภายนอกชายวัยกลางคนเข้ามาในร้าน นั่นคือฉู่เฉินที่ปลอมตัวมา เดิมทีฉู่เฉินตั้งใจจะแต่งตัวเป็นชายชรา แต่เมื่อตระหนักว่าเขาขาดกลิ่นของคนแก่ เขาจึงตัดสินใจว่ารูปลักษณ์วัยกลางคนน่าจะดูน่าเชื่อถือมากกว่า ดังนั้นชายวัยกลางคนที่มีเคราดกจึงเดินเข้าไปในร้านชายวัยกลางคนที่มีหน้านิ่วคิ้วขมวดจึงปรากฏตัวขึ้นในร้านเมื่อเข้าไปข้างใน ก็เห็นภาพด้านหน้านั้น เต็มไปด้วยซากศพของสัตว์ประหลาดบางชนิด รวมถึงกระดูก แขนขา ขน และแม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆ อีกทันทีที่ฉู่เฉินเข้ามา คนที่ดูเหมือนพนักงานก็เดินเข้ามาหาเขา“ท่านครับ ต้องการซื้ออะไรครับ?” พนักงานถามฉู่เ
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับท่าน?”พนักงานสังเกตเห็นสีหน้าของฉู่เฉินและคิดว่าเงินของเขาอาจจะไม่พอ แต่อย่างไรก็ตาม แทนที่จะเพิกเฉยต่อฉู่เฉิน เขากลับมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง จากนั้นโน้มตัวลงมาเพื่อกระซิบ“ท่านครับ ถ้ามีเงินไม่พอ ร้านพวกเรามีข้อเสนอให้ครับ ไม่ทราบว่าท่านสนใจไหม?”“โอ้? ลองพูดมาหน่อยสิ” ฉู่เฉินตอบโดยแสร้งแกล้งทำเป็นสนใจเมื่อเห็นเช่นนี้ พนักงานก็รู้สึกมั่นใจในการตัดสินของตัวเองมากขึ้น ดูเหมือนลูกค้ารายนี้ต้องการเงินจริงๆ ซึ่งทำให้พนักงานมีคาดหวังกับข้อเสนอที่กำลังจะบอกไป“ท่านครับ ท่านอาจจะไม่รู้ แต่ร้านของพวกเราได้ติดประกาศภารกิจครับ ข้าเห็นว่าวรยุทธของท่านก็ไม่เลว ท่านสนใจที่จะรับภารกิจไหม?”พนักงานหยุดชั่วคราวหลังจากนำเสนอ“ลองพูดต่อหน่อย” ฉู่เฉินแสร้งทำทีว่าสนใจแน่นอนว่าเขามาถูกที่แล้ว“มันเป็นการค้นหาและไล่ล่าใครบางคน และหลังจากทำสำเร็จแล้ว ท่านจะได้รับรางวัลเป็นเหรียญทองหรือค่าตอบแทนอื่นๆ หากท่านต้องการรับภารกิจจริงๆ ข้าจะพาท่านไปพบกับพี่เถาซึ่งเป็นผู้จัดการร้านครับ” พนักงานคนนั้นอธิบาย“ตกลง นำทางไปเลย” ฉู่เฉินเห็นด้วยโดยไม่ลังเล รู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องกลัวเมื
“แน่นอน สำหรับเจ้า ภารกิจนี้แบ่งได้เป็นสองส่วนคือ ค้นหาบุคคลในภาพให้เจอแล้วจะถือว่าภารกิจสำเร็จและรับหนึ่งร้อยเหรียญทอง แต่ถ้าเจ้าฆ่าบุคคลนี้และนำศพกลับมาได้อีก ก็จะได้รับรางวัลคือหนึ่งหมื่นเหรียญทอง” พี่เถาประกาศรางวัลเสร็จในหนึ่งลมหายใจพูดตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะเป้าหมายคือตัวเอง ฉู่เฉินคงถูกล่อลวงไปแล้ว นอกจากนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาฆ่าคนสามคนที่ประตูเมืองและได้รับเหรียญทองมาหลายเหรียญจากการปล้นคนตายเพื่อให้การปลอมตัวเข้าถึงบทบาทได้อย่างสมจริงยิ่งขึ้น ฉู่เฉินแสร้งทำเป็นตื่นเต้นและพูด“จริงเหรอ? แค่พบคนๆ นี้ก็สามารถรับเหรียญทองหนึ่งร้อยเหรียญทองแล้วรึ? หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็ต้องขอบคุณพี่เถาด้วย”“อย่าเพิ่งตื่นเต้นเกินไป เนื่องจากเจ้าตัดสินใจที่จะรับภารกิจนี้ ข้าจะบอกเจ้าอีกสักหน่อย นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งที่รับภารกิจนี้อีก ซึ่งก็อยู่ในระดับมหากาฬช่วงต้น ชื่อโจวหง เหมือนว่าจะพักที่โรงเตี๊ยมถงฟู่” พี่เถาพูดเสริม“ขอบคุณพี่เถาสำหรับโอกาสนี้ ข้าจะไปตามหาคนคนนี้ทันที” ฉู่เฉินแสร้งทำเป็นกลัวว่าคนอื่นจะไปถึงที่นั่นก่อนแล้วรีบออกไป“เอาเลย แต่จงจำเอาไว้ อย่าทำตัวเป็นจุดสนใจ”
“อ๋อ พี่โจว ช่างมีความรู้กว้างขวางจริงๆ ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมายจากท่าน” ฉู่เฉินพูด“ไม่เลย ข้าแค่หวังว่าในอนาคต น้องชายจะสามารถแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลในภาพได้เช่นกัน”คำพูดของโจวหงไม่สำคัญ แต่ท่าทางของเขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตัวเองได้บอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมายไปแล้ว หากรู้เรื่องใดก็ควรนำมาแบ่งปันเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉู่เฉินก็พูดขึ้น: “แน่นอน”โดยทั่วไปแล้วการสนทนาค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าฉู่เฉินจะขอตัวกลับและพูดคำอำลา โจวหงก็ยังลงมาส่งเขาด้านล่างหลังจากออกจากโรงเตี๊ยมของโจวหงแล้ว ฉู่เฉินก็ไปร้านอาหารที่ไปบ่อยๆ เมื่อพบสถานที่อันเงียบสงบ เขาจึงถอดหน้ากากออกและคืนสู่ตัวตนที่แท้จริงก่อนจะมุ่งหน้ากลับบ้านตลอดทางกลับไปที่ลานส่วนตัว ฉู่เฉินกำลังคิดทบทวนว่าทำให้ตัวเองตายก่อน จากนั้นแทรกซึมเข้าไปในหอคอยเงาทมิฬได้อย่างไรในที่สุดเหยาหลิงเฉินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและจึงพูด“ค้นหาศพแล้วทำลายหน้าทิ้ง แบบนี้ไม่ได้เหรอ?”“แต่ศพปลอมจะสามารถหลอกพวกเขาได้จริงหรือ?” ฉู่เฉินฟังคำแนะนำของเหยาหลิงเฉิน แต่ยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย“นายไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น อย่างน้อยคนที่เรียกว่าพี่เถาก
“เอาล่ะ ผู้อาวุโสมาดูดซับกันเลยดีกว่า”หลังจากที่ฉู่เฉินพูดจบ ก็นั่งขัดสมาธิลง และรอให้เหยาหลิงเฉินเสนอแนะไม่ถึงครึ่งชั่วโมง มีคลื่นความร้อนไหลเข้ามาในร่างกาย ฉู่เฉินยังคงสงบ เพราะรู้ว่านี่คือการถ่ายถอดกำลังภายในเหยาหลิงเฉิน หลังจากลดพลังผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์แล้วฉู่เฉินมองคลื่นความร้อนไหลที่ไหลวนเวียนภายในร่างกายหนึ่งรอบ ในขณะที่คลื่นความร้อนไหลค่อยๆ ลดลง ในรอบที่สอง จากนั้นคลื่นความร้อนไหลก็หายไปอย่างสมบูรณ์ โดยแสดงว่าฉู่เฉินดูดซับมันจนหมดแล้วจากการตรวจสอบจากภายในของฉู่เฉิน เขาพบว่าวรยุทธไม่ได้เพิ่มขึ้นถึงกึ่งหนึ่งเลยฉู่เฉินไม่เชื่อและปล่อยรัศมีทั้งหมดออกมา และแน่นอนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ด้วยความสับสน เขาดึงรัศมีกลับมาอีกครั้งแต่ผู้คนจำนวนมากในเมืองสัมผัสได้ถึงรัศมีนี้ หลายคนรีบวิ่งหนีออกจากประตู แต่รัศมีนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว จึงทำได้แค่มองไปรอบๆ อย่างไม่มีความหมายโจวหงจากโรงเตี๊ยม พี่เถาจากร้านค้า และนักรบระดับมหากาฬผู้ทรงพลังอีกสองสามคนที่ฉู่เฉินไม่รู้จัก ทั้งช่วงต้น กลาง และปลายต่างก็สังเกตเห็น เพราะเมืองเฟยหยิงเป็นที่พำนักของผู้มีอำนาจมากมายซวี่ฮวงก็สัมผัสได้ถึง