"จะเป็นไปได้เหรอ?" หนิงชิงเสว่ยิ้มอย่างขมขื่นช่องว่างที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาดูไร้ก้นบึ้งลึกลงไปกว่า 1 กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย ไม่ต้องพูดถึงคน แม้แต่ก้อนหินที่กลิ้งลงไปก็ยังแตกเป็นเสี่ยงๆ เยว่ฟู่หลงก็เดินเข้ามาและแนะนำว่า "จริงๆ แล้วก็สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ต่อ ท้ายที่สุดปรมาจารย์ฉู่ในฐานะปรมาจารย์วรยุทธ ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาสามารถเอามาเปรียบเทียบได้"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ร่างกายของหนิงชิงเสว่ก็แข็งทื่อ และเธอก็เงยหน้าขึ้นมองทั้งสองอีกครั้ง "จะ... จริงเหรอ?"ความหวังเล็กๆได้ลุกโชนในดวงตาของเธอเว่ยอิงลั่วพยักหน้า "แน่นอน ดังนั้นคุณไม่สามารถมองโลกในแง่ร้ายได้ เราได้ส่งสัญญาณความช่วยเหลือออกไปแล้ว ตอนนี้เราแค่รอให้การช่วยเหลือมาถึง"“หน่วยกู้ภัยจะใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะมาถึง?” หนิงชิงเสว่เต็มไปด้วยความดีใจ"ฉันเองก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น"สีหน้าของเว่ยอิงลั่วเปลี่ยนเป็นยากลำบาก "แต่อย่างเร็วที่สุดจะใช้เวลาสี่ชั่วโมง เนื่องจากอุปกรณ์หลายชิ้นไม่สะดวกในการขนส่งทางอากาศ จึงต้องขนส่งทางบกเท่านั้น"สี่ชั่วโมง…ความหวังที่หนิงชิงเสว่จุดประกายขึ้นอย่างยากลําบากก็ดับสลายลงอีกครั้งสี่
ที่ขอบเหว เยว่ฟู่หลงส่งหนิงชิงเสว่ลงไปในหลุมลึกอย่างระมัดระวังเว่ยอิงลั่วยืนอยู่ข้างๆ หัวใจของเธอบีบรัดด้วยความกังวลแม้ว่าหนิงชิงเสว่จะถูกมัดด้วยเชือก แต่เธอก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุในที่สุด ร่างของหนิงชิงเสว่ก็หายลับไปจากสายตาของพวกเขาจากนั้น เยว่ฟู่หลงก็นั่งลงบนพื้น ถอนหายใจด้วยความโล่งอกราวกับว่าภาระถูกยกออกจากบ่าแล้ว: "ฉันหวังว่าคุณหนูหนิงจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย"เขาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นเว่ยอิงลั่วยืนอยู่ที่ขอบเหว เธอจมอยู่ในความคิดขณะที่เธอมองลงไป“อิงลั่ว เธอกำลังคิดอะไรอยู่?” เยว่ฟู่หลงถามเมื่อฟื้นคืนสติแล้ว จู่ๆ เว่ยอิงลั่วก็พูด "ตาเยว่ พลังแห่งความรักนั้นแข็งแกร่งที่สุดในโลกจริงๆ หรือ?"เยว่ฟู่หลงสงสัยว่าทำไมเธอถึงถามแบบนั้นเว่ยอิงลั่วพูดต่อ "ฉันต้องบอกว่าคุณหนูหนิงทำให้ฉันประทับใจมาก"“มาเพื่อตามหาปรมาจารย์ฉู่ เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอ ซึ่งได้ผ่านความยากลำบากนับไม่ถ้วน เพื่อมาที่ทะเลสาบต้าจิ่ว และเมื่อมาถึงเธอเดินไม่ได้แล้ว กลับคลานบนพื้นมาแทน จนทำให้เล็บก็หักด้วยซ้ำ”“แม้จะรู้ว่าปรมาจารย์ฉู่ตกลงไปในเหวลึก โดยที่รู้ว่าเป็นตายร้ายด
นอกเหนือจากนั้น เนื่องจากอุณหภูมิใต้ดินที่ต่ำ เธอจึงตัวสั่นจากความหนาวเหน็บอย่างควบคุมไม่ได้หากไม่ใช่เพราะความแน่วแน่ที่ยังหลงเหลืออยู่ลึกๆ ในใจเธอที่คอยสนับสนุนเธอไว้ เธออาจจะยอมแพ้ไปแล้วรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความอ่อนแอจากร่างกาย หนิงชิงเสว่กัดริมฝีปากที่แห้งแตกเพื่อพยายามทําให้ตัวเองมีสติในเวลาเดียวกัน ความสิ้นหวังก็เกิดขึ้นในใจของเธอ "ฉันไม่สามารถช่วยเขาได้จริง ๆ เหรอ?"ในสภาวะมึนงง ความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาแห่งความสุขที่เธอได้ใช้ชีวิตร่วมกับฉู่เฉินก็แวบขึ้นมาในจิตใจของเธอทันใดนั้นเธอก็ลืมตาขึ้น กัดริมฝีปากแรงๆ และพยายามปลุกตัวเองให้ตื่น“หนิงชิงเสว่ ไม่เอาน่ะ เธอไม่สามารถยอมแพ้ได้ เขา... เขายังคงรอให้เธอไปช่วยเขาอยู่…”“ลืมคำสัญญาที่เคยให้ไว้ไปแล้วเหรอ?”“คุณลืมไปแล้วหรือว่าพี่สาวคนที่หกยังคงนอนอยู่บนเตียง ชีวิตของเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย รอให้ตัวเธอพาน้องเสี่ยวสือโถ่วกลับไปช่วยอยู่นะ?”หนิงชิงเสว่พูดคำเหล่านี้ในใจของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านไปอีกชั่วโมงหนึ่ง และคราวนี้เธอลงไปได้เพียงห้าสิบเมตรเท่านั้นในที่สุดเธอก็เห็นสิ่งที่ดูเหมือนต้นไม้ที่อยู่เบื้องล่างเธอประมาณสิบเม
หนิงชิงเสว่ตื่นตระหนกทันที และรีบปรับสมดุลของร่างกาย เพื่อให้ได้สมดุลและปล่อยมือข้างหนึ่งไปตบตะเกียงไฟที่อยู่เหนือศีรษะของเธอหลังจากพยายามตบไปไม่กี่ครั้ง ตะเกียงไฟก็ไม่ตอบสนอง แถมยังร่วงลงสู่เหวเบื้องล่างอย่างไร้ที่สิ้นสุดอีกด้วยตอนนี้แหล่งกำเนิดแสงเดียวของเธอได้หายไปแล้วเรื่องทำให้หนิงชิงเสว่รู้สึกค่อนข้างจะสิ้นหวังแต่สิ่งที่ทําให้เธอสิ้นหวังมากขึ้นไปอีก ก็คือจู่ๆ เธอรู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อยเหนือศีรษะเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่ามีฝนตกลงสองสามหยดบนใบหน้าของเธอไม่นานนั้น ฝนก็ตกหนักมากขึ้น เริ่มตกเทตกหนักลงมา จนทำให้เสื้อผ้าของเธอเปียกโชกอย่างรวดเร็ว“สวรรค์ ถ้าฉันหนิงชิงเสว่คนนี้ เคยลบลู่สวรรค์และดูหมิ่นเทพเจ้าในอดีต ก็ไม่จำเป็นต้องลงโทษฉันในตอนนี้เลยนะเจ้าคะ”หนิงชิงเสว่ร้องไห้ออกมาอย่างรู้สึกท้อแท้ใจเป็นอย่างมากแต่เธอก็ต้องปาดน้ำตาและเคลื่อนตัวต่อไปในความมืดเพราะได้เสียแหล่งกำเนิดแสงไปแล้ว เธอจึงก้าวขาพลาดไปหลายครั้ง จนร่างของเธอตกลงไปหลายเมตรก่อนจะกระแทกเข้ากับก้อนหินบนหน้าผาในที่สุดส่งผลให้หลังของเธอได้ความเจ็บปวดแสนสาหัส เกือบจะทำให้เธอหมดสติไปแต่เธอก็ยังคง
"แคร้ก!"อย่างไรก็ตามเมื่อหนิงชิงเสว่ตกลงสู่พื้นดิน เกิดเสียงกระดูกหักก็ดังมาจากเท้าขวา หลังจากนั้นเธอรู้สึกว่าร่างกายถูกกระแทกเข้าอย่างแรง ซึ่งทำให้เธอแทบจะหยุดหายใจไปเพราะด้วยความเจ็บปวดนี้วิสัยทัศน์ของหนิงชิงเสว่มืดลง และเธอก็หมดสติไปในที่สุด…………เวลาผ่านไปไม่นาน และในที่สุดหนิงชิงเสว่ก็ถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้งด้วยสายฝนที่ตกลงมาสู่พื้นดินเมื่อเธอลืมตาขึ้น ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นโดยมีตะเกียงไฟที่ตกมาก่อนหน้านี้อยู่ข้างๆ ในขณะนี้ ความเจ็บปวดประทุขึ้นมาจากข้อเท้าขวาหนิงชิงเสว่ลุกขึ้นนั่ง ถลกขากางเกงขึ้นเพื่อตรวจสอบและพบว่าข้อเท้าบวมอย่างรุนแรง ซึ่งบ่งบอกถึงกระดูกแตกได้อย่างชัดเจนและเธอก็พบว่า ตอนนี้เหลือลูกปัดเพียงเม็ดเดียวบนหน้าอก ทำให้น้ำตาไหลอาบบนใบหน้าของเธออย่างควบคุมไม่ได้เธอต้องการช่วยน้องเสี่ยวสือโถวแต่น้องเสี่ยวสือโถวก็ได้ช่วยชีวิตเธอไว้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่เธอไม่รู้ตัวหนิงชิงเสว่ตระหนักดีว่า ถ้าไม่ใช่เพราะลูกปัดที่ระเบิดออกมาและช่วยชีวิตเธอเอาไว้นั้น อาการบาดเจ็บของเธอคงจะแย่ยิ่งกว่าข้อเท้าแตก เธออาจจะตายจากการร่วงลงมาไปแล้วเธอปาดน้ำตาอย่างไม่
เมื่อเห็นฉู่เฉินอีกครั้ง หนิงชิงเสว่รู้สึกตื้นตันมากจนน้ำตาไหลออกมาเธอไม่รู้ว่า เธอต้องต่อสู้อดทนกับความยากลำบากมามากเพียงใดระหว่างทางมาที่นี่ แม้ว่าจะวนเวียนอยู่บนปากเหวแห่งความตายมาหลายครั้งก็ตามแต่สุดท้ายก็โชคดีพอที่เธอได้พบน้องเสี่ยวสือโถวในที่สุดหนิงชิงเสว่ไม่มีเสียเวลามาคิดมากไปกว่านี้ และรีบกระโดดลงไปในน้ำทันทีโดยที่เธอไม่ได้คำนึงถึงความลึกของแม่น้ำใต้ดินนี้ด้วยซ้ำ หรือแม้แต่จะคิดว่ามีอันตรายใดๆ ซึ่งจะแอบแฝงอยู่ข้างล่างนั้นหรือไม่สิ่งที่เธอคิดอย่างเดียวคือ ต้องช่วยเหลือฉู่เฉินให้เร็วที่สุดน้ำเย็นมาก เย็นเข้าจนถึงกระดูก แต่โชคดีที่กระแสน้ำนั้นไม่แรงมากนักหนิงชิงเสว่ลากเท้าขวาที่หักและค่อย ๆ ลุยลงไปในน้ำที่ค่อยๆ ลึกไปถึงเอวและหน้าอกของเธอเธอตะเกียกตะกายย่างมาก เพราะรู้สึกเหมือนขาของเธอเต็มไปด้วยตะกั่วและถ่วงการเคลื่อนไหว ทำให้เคลื่อนไหวอย่างยากลำบากเธอว่ายน้ำไม่เป็น ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถว่ายข้ามไปได้โดยตรง เธอต้องรักษาสมดุลในขณะที่เคลื่อนตัวไปหาฉู่เฉินอย่างสิ้นหวังสิบเมตร...แปดเมตร...เจ็ดเมตร...เมื่อน้ำกำลังจะเกือบท่วมมิดศรีษะของเธอแล้วก็ได้มาถึง ใกล้กับ
แม้ว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์วรยุทธ แต่เขาไม่ได้เป็นอมตะและยังคงเป็นมนุษย์ที่มีเลือดและเนื้อฉู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก้มศีรษะลงเพื่อตรวจสอบร่างกายตัวเอง พบว่าเสื้อผ้าและกางเกงของเขาขาดรุ่งริ่งหลายแห่ง นอกจากนี้ยังมีรอยแผลเป็นสดๆ บนร่างกายอีกด้วยสายตาของฉู่เฉินเป็นประกายวาวขึ้น ในขณะที่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาจะหมดสติไปหากจำไม่ผิด เขากำลังไล่ตามจินเทียนเซิงไปที่ขอบหลุมยักษ์ และจินเทียนเซิงถูกต้อนจนจนมุม เลยเลือกที่จะทำลายตัวเองการระเบิดจากปรมาจารย์วรยุทธที่ทำลายตัวเองนั้นเทียบได้กับแผ่นดินไหว ทำให้พื้นดินถล่มและฉู่เฉินก็ตกลงไปในหลุมนั้นฉู่เฉินปีนออกมาจากก้นหลุม ลากร่างที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสของเขา ไปถึงแม่น้ำใต้ดินและสลบไป“ไม่รอบคอบเสียเลย”เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ฉู่เฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและส่ายหัวด้วยความผิดหวังเขาน่าจะคาดการณ์ถึงการระเบิดทำลายตัวเองของจินเทียนเซิงแต่คิดทบทวนอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะคาดการณ์ไว้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ตราบใดที่เขายังคงไล่ตามฆ่าจินเทียนเซิงอยู่ อีกฝ่ายก็สามารถที่จะระเบิดทำลายตัวเองไปพร้อมกับเขาได้ทุกเมื่อ“ด้วยอาการบาดเ
สถานการณ์ที่เลวร้ายของฉู่เฉินทำให้หนิงชิงเสว่ใจเสียเป็นอย่างมากในขณะนี้เธอเริ่มสับสน แต่ยิ่งกว่านั้นเธอก็กลัวในที่สุดเธอก็พบน้องเสี่ยวสือโถวแล้ว เธอจะยอมรับว่าเขากำลังจะจากเธอไปได้อย่างไร"จะทํายังไงดี…..ทํายังไงดี"หนิงชิงเสว่กัดริมฝีปากแน่น ตื่นตระหนกและไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปทันใดนั้น สัญญาณโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น ทำให้หนิงชิงเสว่กลับมามีสติอีกครั้ง ขณะที่เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทาแล้วพูดว่า "ใช่แล้วๆ ต้องโทรออกไป เพื่อขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอก"เธอกดหมายเลข 110 โดยไม่ลังเล จากนั้นยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแต่ครู่ต่อมา สายก็ถูกตัดไปพร้อมกับเสียงบี๊บหนิงชิงเสว่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู และตระหนักว่าไม่มีสัญญาณแม้แต่ขีดเดียวเธอจําได้ทันทีว่านี่เป็นความลึกใต้ดิน 1 กิโลเมตรและสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่สามารถลงมาถึงได้เลยข่าวร้ายนี้เกือบจะทำให้เธอเป็นลมหมดสติ เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินไปเดินกะโผลกกะเผลกโดยหวังว่าจะมีสัญญาณแค่ขีดเดียว!เธอต้องการสัญญาณเพียงแค่ขีดเดียว แค่นั้นก็เพียงพอที่จะโทรออกได้หนิงชิงเสว่ยังคงอธิษฐานอยู่ในใจอาการบาดเจ็บของฉู่เฉ
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่