บทที่ 91 เจ้าคิดว่าบนโลกนี้มีที่ให้ล้มเหลวเป็นครั้งที่สองเช่นนั้นรึ? สำหรับข้า…ไม่มี!!"เพี้ยะ!!"เสียงฝ่ามือกระทบกับใบหน้าของมือสังหารที่นั่งคุกเข่าอยู่มือสังหารใบหน้าหันไปตามแรงฝ่ามือ เขาค่อยๆ หันหน้ากลับมาอีกครั้งแววตาและน้ำเสียงที่แฝงความกลัว"ข้า…ข้าน้อยล้มเหลวขอรับ ท่านแม่ทัพซู่หลิงถูกศรอาบยาพิษยิงแล้ว แต่..แต่ทว่าไม่ทราบว่าด้วยเหตุใดเขาจึงรอดมาได้ และยังนำทหารของเขาก็บุกไล่ล่าศัตรูจนต้องล่าถอย"เขาเอ่ยเล่าเหตุการณ์ที่เห็นกองทัพของแม่ทัพซู่หลิงที่ไล่ล่าศัตรูที่มารุกรานดินแดนแคว้นต้าโจวด้วยอาวุธที่ร้ายกาจซึ่งเขาก็ไม่เคยเห็นมา จากนั้นเขาก็อาศัยช่วงเวลานั้นหลบหนีออกมาความเงียบปกคลุมห้องชั่วขณะ ดวงตาของอัครมหาเสนาบดีหลิวหรี่ลงจนแทบจะกลายเป็นเส้นบาง ๆ ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว เขาเดินกลับมาที่โต๊ะและหยิบพู่กันขึ้นมาเหมือนอยากจะเขียนอะไรสักอย่างแต่สุดท้าย เขาก็วางพู่กันลงอย่างแรงจนหมึกกระเด็นเปื้อนกระดาษตรงหน้า เส้นเลือดที่ขมับของเขาเต้นตุบ ดวงตาจ้องเขม็งไปยังมือสังหารราวกับจะเผาไหม้"ล้มเหลว? เจ้ากล้ากลับมาหาข้าทั้งที่ทำงานไม่สำเร็จหรือ?"เสียงของเขาเพ
บทที่ 92 ปริศนาที่กำลังรอคำตอบแสงแดดยามสายส่องผ่านหน้าต่างกระจกของเรือนพัก เสียงลมพัดเบา ๆ สะท้อนกับความเงียบสงบในห้อง เฟิงหย่าเสวี่ยนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้ ที่วางภาพวาดตึกสูงและถนนสายใหญ่จากตลาดครั้งก่อน เส้นสายบนกระดาษราวกับบอกเล่าเรื่องราวของโลกที่ช่างแตกต่างจากยุคนี้มากนัก แสงแดดสะท้อนผืนกระดาษให้เกิดประกายวาววับ ดวงตาของนางจับจ้องไปยังภาพเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกแยกในคราวเดียวกันทุกเส้นสายของภาพล้วนสะท้อนถึงโลกยุคปัจจุบัน ตึกระฟ้าที่สูงเสียดฟ้าราวจะทะลุขึ้นสู่ท้องฟ้ากว้าง ภาพรถยนต์ที่วิ่งขวักไขว่ตามถนน และผู้คนที่แต่งกายในชุดแปลกตา สำหรับคนในยุคนี้ภาพเหล่านี้แทบจะเหมือนภาพฝันจินตนาการที่เหนือกว่าความคิดของผู้คนที่นี่ แต่สำหรับนาง มันคือความจริงที่เคยสัมผัสมามันคือความคุ้นเคย แต่ทว่าผู้ที่วาดภาพนี้ออกมาได้นั้นราวกับเขาเป็นส่วนหนึ่งในภาพนี้อย่างไรอย่างนั้นทันใดนั้น เสียงเบา ๆ คล้ายเสียงสะท้อนจากวัตถุบางอย่างดึงสตินางกลับมา พู่กันชิงหลงที่วางอยู่ข้าง ๆ เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง เสียงสั่นนั้นดังราวกับเสียงคำรามลึกจากสิ่งมีชีวิตที่กำลังตื่นขึ้น เฟิงหย่าเสวี่ยรีบ
บทที่ 93 การตัดสินใจของชินอ๋องภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังคฤหาสน์เฟิง องครักษ์คนสนิทของชินอ๋องยืนรออยู่หน้าห้องโถงใหญ่อย่างสงบนิ่ง แม้ใบหน้าจะไร้ความรู้สึก แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความกังวล หลังจากได้รับอนุญาตให้นำความเข้าเฝ้า เขาก็เดินเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าองค์ชายชินอ๋อง ซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ร่างสูงโปร่งของเขามีผ้าสีดำพันรอบดวงตาที่มองไม่เห็น มือของชินอ๋องประคองจอกน้ำชาไว้ แต่น้ำเสียงเยือกเย็นและท่าทางสงบนิ่งกลับทำให้องครักษ์สัมผัสได้ถึงอำนาจที่ไม่ลดน้อยลงแม้แต่น้อย“ทูลชินอ๋อง กระหม่อมนำข่าวสำคัญมารายงานพะยะค่ะ” องครักษ์เอ่ยเสียงหนักแน่น แม้ในใจจะสั่นไหวเล็กน้อยชินอ๋องพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงอนุญาตให้องครักษ์รายงานต่อ"เล่ามา"“หลังจากที่เราเฝ้าติดตามขบวนการลักลอบขนเกลือเถื่อนมานานในที่สุด พวกเราจับกุมผู้ลักลอบขนเกลือเถื่อนได้ทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน และหนึ่งในนั้นคือ...หวังชางซึ่งเป็นผู้ดำเนินการในการขนย้ายในครั้งนี้ หวังชางผู้นี้นั้นบิดาของอดีตอี้เหนียงของเจ้าเมืองอวี้ไห่พะยะค่ะ"ชื่อของหวังชางทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันลงทันที ชินอ๋องวางจอกน้ำชาลงเบา ๆ“หวังชางอย่างนั้นหรือ? คนข
บทที่ 94 นี่มันกลางวันแสกๆนะเพคะ!! ชินอ๋อง...แต่ข้าตาบอด!!องครักษ์ที่เข้ามาผิดจังหวะทำสีหน้างวยงงเล็กน้อยก่อนที่จะมองตามหลังนายหญิงเฟิงไป เขาคิดว่าคราวนี้เขาพลาดแล้วจริงๆแม้ว่าจะปวดหัวเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะแต่เขาทราบดีว่าหากไม่ใช่เรื่องร้ายแรงองครักษ์ของเขาไม่มีทางโผล่เข้ามาโดยที่ไม่มีการบอกกล่าวอย่างแน่นอน เขาถอนหายใจก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มว่า“ว่ามา!!”"ทูลชินอ๋อง" องครักษ์คุกเข่าลง กระซิบด้วยน้ำเสียงเร่งด่วน"หวังชางถูกพบว่าเสียชีวิตในคุกที่ศาลาว่าการแล้วพ่ะย่ะค่ะ"ชินอ๋องชะงักไปทันที "อะไรนะ? เกิดขึ้นได้อย่างไร?" หวังชางที่เป็นพยานสำคัญในคดีนี้เสียชีวิตได้อย่างไร"ถูกแขวนคอตายในห้องขัง แต่..." องครักษ์มองซ้ายขวา ก่อนจะกระซิบเบาลงอีก "แพทย์ชันสูตรศพตรวจพบรอยช้ำแปลกๆ ที่ต้นคอ เหมือนถูกบีบด้วยนิ้วมือ ก่อนที่จะถูกแขวนคออีกที""ตรวจสอบผู้ต้องขังที่ถูกจับมาพร้อมกันหรือยัง?""พะยะค่ะ" องครักษ์พยักหน้า "มีชายคนหนึ่งที่น่าสงสัย เขาเพิ่งเข้าร่วมกลุ่มขนเกลือได้ไม่นาน ไม่มีใครรู้ประวัติที่แท้จริง และที่สำคัญ..." องครักษ์หยุดชั่วครู่ "เขาหายตัวไปจากห้องขังแล้ว โดยที่ไม่มีร่องรอยกา
บทที่ 95 โชคดีที่เขาตาบอด!!! ด้วยความรีบร้อนชินอ๋องรีบพานางเข้าไปในห้องนอนทันที เมื่อประตูปิดลงเขาหันกลับมาและมือหนาลูบไล้ไปทั่วร่างกายตามสัญชาตญาณซึ่งไม่เคยผิดพลาดเขาลูบไล้มาจึงถึงใบหน้าเรียวเล็กเท่าฝ่ามือของนางก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลงและกดริมฝีปากหนาลงไปบนกลีบปากเรียวเล็กแสนหวานของนางทันที ส่วนมือก็รีบดึงทึ้งเสื้อผ้าของทั้งคู่ออกอย่างรวดเร็วตัวนางนั้นไม่เหลือเสื้อผ้าสักชิ้นส่วนเขาเหลือเพียงกางเกงตัวเดียว จนเฟิงซิ่วเหยาเลิกคิ้วมองใบหน้าหล่อเหลาที่มีผ้าปิดตาอยู่พลางคิดว่า..ชำนาญเหลือเกินนะเพคะชินอ๋องเรื่องถอดเสื้อผ้าเนี้ย!!!ไม่ถึงอึดใจเสื้อผ้าของทั้งคู่ก็หลุดกระจายไปทั่วตามแรงปรารถนาที่ร้อนแรง เขาจูบนางไม่หยุดและค่อยพอไปที่เก้าอี้ยาวนุ่มที่นางเคยบอกว่าเขา มันเรียกว่าโซฟา จากนั้นเขาให้นางนั่งลงทันทีส่วนตัวเขายังยืนอยู่ เฟิงซิ่วเหยาที่แข็งขาสั่นจนไม่มีแรงที่จะยืนแล้วเพราะการจู่โจมที่รวดเร็วของชินอ๋องช่างผิดกลับบุคคิกเคร่งขรึมหล่อเหลาราวหยกสลักของเขาเหลือเกิน…เมื่อนั่งลงทำให้เฟิงซิ่วเหยาได้ทัศนาภาพที่แสนจะ…ดีย์..ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนาง มันใกล้จนนางสามารถมองเห็นเส้นขนที่ขึ้นของเขาทุกเส้นสา
บทที่ 96 ต่อจากนี้เจ้าคือส่วนหนึ่งของราชวงค์คู่รักที่ตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวกันใหม่อีกครั้งนั้นไม่ยอมออกจากห้องเลยทำให้ตอนนี้ทุกคนในคฤหาสน์นั้นทราบแล้วว่านายหญิงเฟิงนั้นได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานกับคุณชายจิ้นหลงแล้ว พวกเขาต่างก็ดีใจเพราะในที่สุดตระกูลเฟิงก็จะมีนายท่านที่คอยปกป้องนายหญิงและคุณหนูคุณชายน้อยแล้ว ชินอ๋องนั้นแม้ว่าจะไม่อยากจะแยกจากนางอันเป็นที่รักเลย แต่ทว่าตอนนี้เหตุการณ์สำคัญนั้นรออยู่ พวกเขาทั้งคู่จึงได้จำเป็นต้องรีบเร่งที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงให้ทันก่อนที่ข่าวเรื่องการจับกุมขบวนการค้าเกลือนั้นจะส่งถึงเมืองหลวงซึ่งอย่างน้อยพวกเขาน่าจะใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดก็ หนึ่งเดือนเพราะระยะทางที่ไกล แต่ทว่าการเดินทางเข้าเมืองหลวงของคนตระกูลเฟิงนั้นไม่เคยเป็นปัญหาแสงตะวันยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างกระดาษ ทอประกายอ่อนๆ ลงบนใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังนอนซุกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม สองวันสองคืนที่ผ่านมา ห้องนี้เป็นพยานถึงความรักอันลึกซึ้งของทั้งคู่ ไม่มีใครกล้ารบกวน นอกจากการวางถาดอาหารไว้หน้าประตู"นายหญิงคงมีความสุขมากเลยข้าดีใจจริงๆ" อาหงกระซิบกับสาวใช้คนอื่นขณะเดินผ่านระเบียง "ข
บทที่ 97 เดินทางกลับเมืองหลวงทันที!!เฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยเดินทางมายังเรือนของคุณชายอี้หลงอีกครั้ง แม้จะผ่านมาเป็นหลายวันแล้วตั้งแต่การรักษาครั้งก่อน แต่ผลยังคงเหมือนเดิม ร่างของอี้หลงยังคงนิ่งสงบอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ดวงตาปิดสนิทอย่างสงบ ราวกับกำลังหลับลึกในความฝันที่ไม่มีวันตื่น ลมหายใจของเขาคงที่และแผ่วเบา เส้นผมยาวสลวยกระจัดกระจายอยู่บนหมอน ผ้าห่มที่คลุมร่างบาง ๆ ขึ้นสูงถึงหน้าอกเผยให้เห็นไหล่ที่เคยแข็งแรงแต่ตอนนี้ดูผ่ายผอม ราวกับว่าเขาแบกรับภาระบางอย่างในจิตวิญญาณจนทำให้ร่างกายของเขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงเฟิงหย่าเสวี่ยจับมือเขาอย่างแผ่วเบา ดวงตานางเต็มไปด้วยความกังวล “ข้าหวังว่าเจ้าจะฟื้นในเร็ววันนี้ คุณชายอี้หลง” นางพึมพำเบา ๆเฟิงหยวนเจี๋ยเดินสำรวจภาพวาดในเรือนอีกครั้ง ภาพที่เขียนขึ้นด้วยฝีมืออันละเอียดอ่อนเหล่านั้นดูเหมือนจะสื่อความหมายบางอย่างที่นางยังไม่เข้าใจ“ท่านพี่ พู่กันชิงหลงยังเงียบเหมือนเดิมหรือไม่?” เฟิงหยวนเจี๋ยถามขณะมองไปยังภาพวาดเฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้า ดวงตาของนางมองพู่กันชิงหลงที่นางถืออยู่ในมือ มันไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ราวกับว่ามันสูญเสียพลังไปโด
บทที่ 98 หญิงสาวในภาพวาด!!ค่ำคืนที่หนาวเย็น บนท้องฟ้าสีดำสนิทเหนือค่ายกองทัพต้าโจว มีเพียงเสียงลมพัดผ่านและความเงียบสงบที่ทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายหลังจากความเหนื่อยล้าของวัน แต่ในความสงบนี้ ขบวนของแม่ทัพซู่หลิงกำลังเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างลับ ๆขบวนรถม้าทั้งสามคันยาวเหยียดถูกลากโดยม้าทั้งสามตัวอวิ่นหลิวนั้นลากรถม้าสำหรับแม่ทัพซู่หลิง ป้าจวง เฟิงหย่าเสวี่ย และเฟิงหยวนเจี๋ย ซึ่งจะดูแลผู้บาดเจ็บทั้งสองคือคุณชายอี้หลงและชายชราที่ทั้งคู่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ ส่วนม้านิลมังกรและไป่หลิวนั้นลากรถม้าที่มีเหล่า นายทหาร 1,000 นายที่ได้รับคัดเลือกนั้นล้วนเป็นผู้มีฝีมือฉกาจ“อย่าให้เสียงล้อรถหรือเกราะของพวกเราไปรบกวนใคร… พวกเขาต้องไม่รู้ว่าเรากำลังเดินทางออกจากค่าย” ซู่หลิงย้ำขบวนรถม้าและทหารเดินทางออกจากค่ายในความมืด ทุกคนเคลื่อนไหวเงียบเชียบจนไม่มีใครในค่ายสังเกตเห็นว่าพวกเขาหายไประหว่างที่ขบวนม้ากำลังเคลื่อนที่ขึ้นสู่ฟากฟ้า นายทหารที่อยู่ในรถม้าและเดินเท้าต่างมองม้านิลมังกรที่กางปีกออกด้วยความตื่นตะลึง“นี่คือม้านิลมังกรของฮูหยินท่านแม่ทัพ ข้าไม่เคยเห็นสิ่งใดงดงามและยิ่งใหญ่เท่านี้ม
บทที่ 163 จนกว่าจะพบกัน.. (จบบริบูรณ์)แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างโรงพยาบาลในยุคปัจจุบัน เฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวากลับสับสนเล็กน้อย ราวกับจิตวิญญาณของนางยังคงล่องลอย เธอมองเพดานสีขาวสะอาดและพยายามดึงความทรงจำที่กระจัดกระจายกลับคืนมาเธอถูกพาออกจากโลกแห่งยุคโบราณและกลับมายังยุคปัจจุบัน ร่างกายของนางอ่อนแอแต่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความทรงจำอันเจ็บปวด นางนึกถึงผู้คนที่นางได้ช่วยเหลือและเสียสละเพื่อพวกเขา นึกถึงท่านแม่และเจ้าเล็กหากว่าพวกเขารู้ข่าวจะเป็นอย่างไรนะ…คงจะเศร้าเสียใจอย่างแน่นอน..ไหนจะป้าจวงที่จะต้องรู้สึกผิดที่ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือนางได้ จากนั้นน้ำตาไหลของนางก็ออกมาเงียบๆ ขณะที่นางพึมพำชื่อคนที่คุ้นเคยจากโลกอีกใบหลังจากนั้น เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นตัวและกลับไปดำเนินชีวิตในฐานะจิตรกร นางใช้ศิลปะในการแสดงความรู้สึกและความทรงจำจากอดีต ทุกภาพที่นางวาดล้วนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละและความหวัง นางกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ผู้คนต่างหลงใหลในผลงานของนางโดยไม่รู้ว่านั่นคือเศษเสี้ยวของชีวิตที่นางเคยผ่านพ้นมา แต่ทว่าพู่กันชิงหลงที่เธอใ
บทที่ 162 พี่ใหญ่...ท่านผิดสัญญาเช่นนั้นหรือ?“จบแล้ว...” เฟิงหย่าเสวี่ยพึมพำ เสียงแผ่วบางราวกับสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วง ร่างบางของนางค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ ราวกับวิญญาณที่กำลังหลุดลอยไปจากโลกนี้“คุณหลีหนิง!” เสียงของเจิ้งอี้หลงดังขึ้นด้วยความตกใจ พระองค์รีบพุ่งเข้ามาประคองร่างของนางไว้ในอ้อมพระกร พระพักตร์ซีดเผือด น้ำพระเนตรเอ่อคลอ “คุณหลีหนิง! ลืมตาขึ้นมา! อย่าทิ้งข้าไปแบบนี้!”ดวงตาของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เปลือกตาที่หนักอึ้งเผยให้เห็นดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก “อี้หลง... ข้า... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน...”“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ตรงนี้” เจิ้งอี้หลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่น มือหนาลูบใบหน้าซีดขาวของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับพยายามปลอบประโลมความเจ็บปวดของนาง “เจ้าอย่าพูดแบบนี้ เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา...”เฟิงหย่าเสวี่ยพยายามยกมือที่อ่อนแรงขึ้นแตะใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเจิ่งอี้หลง มือที่เย็นเฉียบสั่นระริกจนเจิ้งอี้หลงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง “ข้า... ใช้พลังทั้งหมดแล้ว... ทุกหยด... ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือน... เหมือนวิญญาณกำลังหลุดลอย
บทที่ 161 ข้าได้บอกเจ้าหรือยังว่าอาจารย์ของข้าคือ จวงหลิวเฟิง!!!เฟิงหย่าเสวี่ยถูกกับไป่เหลียนใช้มีดจี้ที่คอและถูกจับเอาไว้ พยายามนิ่งมากที่สุดแม้ว่าตอนนี้นางแmบจะไม่มีแรงที่จะยืนแล้ว ขณะนั้นเองมือขวากำเข็มเงินแน่น สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของอีกตนที่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ล้อมไป่เหลียนเอาไว้ ทุกทางส่วนกองทัพเด็กของนางนั้นต่างก็ถูกช่วยเหลือและพาออกจากสถานที่นี้แล้ว ทำให้ตอนนี้กลางลานนั้นมีเพียงนางเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่พร้อมกับตัวประกันของนางที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดด้วย"เจ้าคิดว่าตัวเองจะหยุดข้าได้หรือ?" ไป่เหลียนเอ่ยเสียงเย็น พลางหันมองดวงหน้าที่งดงามของนังเด็กบ้าผู้นี้…เหตุใดนางถึงได้งดงามเช่นนี้แม้ว่าตอนนี้หน้าของนางจะซีดเซียวมากก็ตาม ไป่เหลียนคิด ดวงตาฉายแววอำมหิตขึ้นมาอีกครั้ง "เด็กน้อยอย่างเจ้า ช่างงดงามเสียจริงหากว่าความงามของเจ้าเป็นของข้าคงจะดีไม่น้อย ฮ่าฮ่าฮ่า!" นางพูดขึ้นมา พลางพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง และคิดหาทางที่จะใช้ประโยชน์จากความเยาว์วัยนี้ให้ได้"ข้ารู้ว่าท่านกำลังทำผิด" เฟิงหย่าเสวี่ยตอบเสียงมั่นคง มือยังคงกำเข็มเงินแน่น "ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การทำร้ายผู้บริสุท
บทที่ 160 เจ้าแพ้แล้ว!!จวงหลิวอวี้จ้องมองเหตุการณ์ที่เบื้องหน้าอย่างแน่นิ่ง สายตาของนางจับจ้องเฟิงหย่าเสวี่ยที่ยกพู่กันชิงหลงขึ้นมา เสียงหัวใจเต้นหนักหน่วงในอกบอกให้นางรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก นางรีบพุ่งตัวเข้าหาหลานสาวทันที มือแข็งแรงคว้ามือที่กำพู่กันไว้แน่นก่อนที่จะทันได้วาดอะไรลงในอากาศ“อะไรก็ตามที่เจ้าคิดจะทำและเสียสละ...จงหยุดมันเดี๋ยวนี้!!!” จวงหลิวอวี้เอ่ยเสียงดัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใยเฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองป้าจวง ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพที่นางมีต่อผู้ที่คอยปกป้องและดูแลมาตลอด ทว่าในแววตานั้นกลับแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง“ท่านป้า...” เฟิงหย่าเสวี่ยพูดเสียงสั่น ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา “ข้าขอโทษ...” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความอาลัยจวงหลิวอวี้มองหลานสาวอย่างตกตะลึง นางยื่นมือไปจับใบหน้าของเฟิงหย่าเสวี่ย “เสวี่ยเออร์... เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้าคือความหวังของตระกูลเฟิง! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียสละตัวเองเด็ดขาด เจ้านึกถึงท่านแม่และน้องชายของเจ้าสิพวกเขาจะเป็นอย่างไร หากว่า
บทที่ 159 ฉันขอทำหน้าที่ของฮองเฮาที่กล้าเสียสละเพื่อลูกหลาน"และนี่คือผลงานชิ้นเอกของข้า!" ไป่เหลียนผายมือไปที่เด็กๆ "พิษที่ไม่เพียงทำลายร่างกาย แต่ยังบดขยี้จิตวิญญาณ ทำให้พ่อแม่ต้องเห็นลูกของตัวเองกลายเป็นเครื่องมือสังหาร! ความทรมานทั้งผู้ใช้และผู้ถูกใช้ นี่คือสิคือสิ่งที่เรียกว่าพิษที่ดีที่สุดที่ที่ข้าสามารถสร้างขึ้นมาได้ ไม่เพียงทำลายหนึ่งแต่ทำลายได้ทั้งครอบครัวฮ่าฮ่าฮ่า!" เสียงหัวเราะของนางดังลั่นไปทั่วเฟิงซินซินร้องไห้จ้า มือน้อยๆ กำพู่กันแน่นดวงตาเล็กๆ ของนางมองไปที่เหล่าเด็กๆ ที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดเป็นร่างที่ไร้ชีวิต"นางสละความเป็นมนุษย์... แลกกับพลังแห่งความชั่วร้าย ยิ่งมีผู้ถูกพิษตาย พิษก็ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมีผู้ทุกข์ทรมาน พิษก็ยิ่งร้ายกาจ... วงจรแห่งความชั่วร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด!"จวงหลิงเฟิงสะท้านเฮือก "นี่มัน... เกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะทำได้ไป่เหลียนเจ้านี่มันกู่ไม่กลับจริงๆ ไม่เคยสำนึกถึงความผิดของตัวเอง..""ฮ่าฮ่าฮ่า!!!นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรเพื่อนรักว่าข้าไม่ใช่มนุษย์แล้ว!" ไป่เหลียนตะโกนก้องและหันมาจ้องมองเพื่อนรักในอดีตที่ได้กลายมาเป็นศัตรูคู่แค้น และเพราะความแค้น
บทที่ 158 กองทัพของไป่เหลียนเฟิงหย่าเสวี่ยรีบวิ่งไปที่โต๊ะทดลอง หยิบสมุนไพรและอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว จวงหลิงเฟิงวางเฟิงซินซินลงบนเก้าอี้นุ่มและเดินมายืนข้างนาง"เร็วเข้า!" เสียงตะโกนดังมาจากด้านนอก "ประตูวังจะพังแล้ว!""ศิษย์มีความคิดหนึ่ง" เฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ "แต่อาจจะเสี่ยงเกินไป""ว่ามา""ถ้าเราใช้พู่กันจุ่มน้ำยาและวาดในอากาศให้มันไปสัมผัสบนร่างของผู้ติดเชื้อโดยตรง..." นางกลืนน้ำลาย "มันอาจจะช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น"จวงหลิงเฟิงขมวดคิ้ว "แต่นั่นหมายความว่า...""ใช่" เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้า "พวกเราต้องใช้พู่กันทั้งสามด้านพร้อมกัน""อา!" เฟิงซินซินปรบมือ พู่กันในมือส่องแสงวูบวาบ ราวกับเห็นด้วยกับแผนนี้เสียงระเบิดดังสนั่น ประตูวังถูกพังทลาย ร่างของผู้ติดเชื้อทะลักเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ ส่วนเหล่านายทหารก็พยายามที่จะต่อสู้ แม้ว่าจะไม่ทำให้ตายแต่ทำให้บาดเจ็บก็ยังเป็นการชะลอการบุกของพวกเขาได้บ้าง"ไม่มีเวลาแล้ว" จวงหลิงเฟิงอุ้มเฟิงซินซินขึ้น "พร้อมหรือไม่?"เฟิงหย่าเสวี่ยกระชับขวดยาในมือ "พร้อมแล้ว!""อึก!" เฟิงซินซินชี้พู่กันไปที่กลุ่มผู้ติดเชื้อที่กำลังบุกเข
บทที่ 157 ท่านอาจารย์พานางมาด้วยเพราะเหตุใดเจ้าคะ??ที่กำแพงเมืองด้านตะวันออก ภาพที่เห็นช่างน่าสยดสยอง กลุ่มผู้ติดเชื้ออักขระมารนับร้อยกำลังปีนป่ายกำแพงเมืองด้วยพละกำลังเหนือมนุษย์ ดวงตาสีดำสนิทและลายอักขระที่เรืองแสงบนผิวหนังส่งเสียงครวญครางน่าสะพรึงกลัว"ยิง!" เสียงแม่ทัพเว่ยตะโกนสั่ง ลูกธนูนับพันพุ่งใส่ผู้ติดเชื้อ แต่พวกเขากลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงปีนป่ายต่อแม้ร่างจะถูกธนูปักเต็มไปหมด"ไม่ได้ผล!" ทหารตะโกนอย่างหวาดกลัว "พวกมันไม่รู้สึกเจ็บ!“แย่แล้ว!! พิษที่พวกเขาได้รับกลายพันธ์ุอย่างที่แม่นางเฟิงบอกเสียแล้ว” แม่ทัพเว่ยสิงขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นมา ภาพที่เขาเห็นตอนนี้นั้นคือ เหล่าผู้ที่ติดพิษนั้นราวกับหุ่นเชิดที่ไร้ความรู้สึก ดวงตาไร้แวว และมุ่งแต่จะเดินไปข้างหน้าเพื่อที่จะปล่อยพิษที่อยู่ในตัวพวกเขาให้มากที่สุด…ภายในห้องทดลองของเฟิงหย่าเสวี่ย เสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยดังก้องไปทั่วห้องทดลอง เฟิงหย่าเสวี่ยหันขวับไปมอง เห็นจวงหลิงเฟิงอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังร้องไห้งอแงเข้ามา พร้อมกับพู่กันโบราณที่แผ่รัศมีสีดำออกมาเป็นระลอก"อาจารย์!" เฟิงหย่าเสวี่ยรีบเดินเข้าไปต้อนรับ แต่ต้องชะงักเมื่อเ
บทที่ 156 ศึกต้านพิษและอักขระควบคุมวิญญาณ EP 2การทดลองดำเนินไปอย่างเข้มข้นตลอดทั้งคืน เฟิงหย่าเสวี่ยทุ่มเทสุดความสามารถในการปรุงยา ใช้ความรู้ทั้งจากยุคปัจจุบันและโบราณผสานเข้าด้วยกัน ท่ามกลางแสงจันทร์เต็มดวง นางนำพืชวิญญาณมาสกัดร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ จนได้ยาเม็ดที่เปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆเมื่อถึงเวลา ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงพร้อมเหล่าขุนนางและป้าจวงก็มาถึงห้องทดลอง ทุกคนต่างรอดูผลการทดลองด้วยความคาดหวัง ผู้ป่วยระยะสามที่อาการหนักที่สุดถูกนำเข้ามา ร่างของเขาอ่อนแรงจนแทบจะไร้ลมหายใจ แต่ลายอักขระสีดำบนร่างกลับเต้นรัวเหมือนมันยังคงต่อสู้"มาถึงเวลาทดสอบแล้ว" เฟิงหย่าเสวี่ยพูดขึ้น เสียงของนางมั่นคงแม้หัวใจจะเต้นแรง นางค่อยๆ ป้อนยาเม็ดให้ผู้ป่วย และเริ่มฝังเข็มทองคำตามจุดสำคัญบนร่างกายเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงครางของผู้ป่วยดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะกลายเป็นเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวด ร่างของเขาสั่นเทาจนเกือบจะหลุดจากเตียง อักขระสีดำบนผิวเริ่มเรืองแสงจ้า ทุกคนในห้องต่างถอยห่างด้วยความตกใจ"หย่าเสวี่ย... หรือมันจะไม่ได้ผล?" ป้าจวงถามด้วยเสียงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่
บทที่ 155 ศึกต้านพิษและอักขระควบคุมวิญญาณ EP 1เสียงครวญครางแผ่วเบาดังแว่วมาตามสายลมยามใกล้รุ่งสาง ภายในค่ายรักษาริมกำแพงพระราชวังต้าหมิง เฟิงหย่าเสวี่ยยืนนิ่ง ดวงตาอิดโรยจับจ้องไปยังร่างของผู้ป่วยที่นอนทุรนทุรายอยู่เบื้องหน้า ลายอักขระสีดำทะมึนเลื้อยไปตามผิวหนังของพวกเขา ส่งเสียงครางน่าสะพรึงกลัวราวกับมีชีวิต"อย่าให้พวกเขาหลุดออกไปจากค่ายเด็ดขาด!" เสียงตะโกนของป้าจวงดังก้องขึ้น ขณะที่นางและทหารอาสาพยายามควบคุมผู้ป่วยที่กำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเฟิงหย่าเสวี่ยกัดริมฝีปากแน่น สายตาจับจ้องไปที่ลายอักขระสีดำบนร่างผู้ป่วยที่ขดตัวทุรนทุรายบนพื้น ลายอักขระนั้นเต้นเป็นจังหวะ ราวกับมีชีวิต เส้นสายของมันเลื้อยไปทั่วร่างผู้ป่วย ส่งเสียงครางแผ่วเบาที่ฟังดูน่าขนลุกนางสูดหายใจลึกพยายามสงบจิตใจ แม้จะเคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เลวร้ายมาก่อน แต่ครั้งนี้ต่างออกไป พิษที่ไป่เหลียนสร้างขึ้นมานั้นไม่เพียงแต่เป็นพิษธรรมดา หากยังผสานกับอักขระโบราณที่มีพลังควบคุมจิตใจผู้ป่วยได้โดยสมบูรณ์ ความคิดของนางย้อนกลับไปยังยุคปัจจุบันเมื่อครั้งที่นางเคยดูภาพยนตร์เกี่ยวกับอาวุธชีวภาพ"มันเหมือนอาวุธชีวภาพในยุคของข้า" นาง