บทที่ 93 การตัดสินใจของชินอ๋องภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังคฤหาสน์เฟิง องครักษ์คนสนิทของชินอ๋องยืนรออยู่หน้าห้องโถงใหญ่อย่างสงบนิ่ง แม้ใบหน้าจะไร้ความรู้สึก แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความกังวล หลังจากได้รับอนุญาตให้นำความเข้าเฝ้า เขาก็เดินเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าองค์ชายชินอ๋อง ซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ร่างสูงโปร่งของเขามีผ้าสีดำพันรอบดวงตาที่มองไม่เห็น มือของชินอ๋องประคองจอกน้ำชาไว้ แต่น้ำเสียงเยือกเย็นและท่าทางสงบนิ่งกลับทำให้องครักษ์สัมผัสได้ถึงอำนาจที่ไม่ลดน้อยลงแม้แต่น้อย“ทูลชินอ๋อง กระหม่อมนำข่าวสำคัญมารายงานพะยะค่ะ” องครักษ์เอ่ยเสียงหนักแน่น แม้ในใจจะสั่นไหวเล็กน้อยชินอ๋องพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงอนุญาตให้องครักษ์รายงานต่อ"เล่ามา"“หลังจากที่เราเฝ้าติดตามขบวนการลักลอบขนเกลือเถื่อนมานานในที่สุด พวกเราจับกุมผู้ลักลอบขนเกลือเถื่อนได้ทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน และหนึ่งในนั้นคือ...หวังชางซึ่งเป็นผู้ดำเนินการในการขนย้ายในครั้งนี้ หวังชางผู้นี้นั้นบิดาของอดีตอี้เหนียงของเจ้าเมืองอวี้ไห่พะยะค่ะ"ชื่อของหวังชางทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันลงทันที ชินอ๋องวางจอกน้ำชาลงเบา ๆ“หวังชางอย่างนั้นหรือ? คนข
บทที่ 94 นี่มันกลางวันแสกๆนะเพคะ!! ชินอ๋อง...แต่ข้าตาบอด!!องครักษ์ที่เข้ามาผิดจังหวะทำสีหน้างวยงงเล็กน้อยก่อนที่จะมองตามหลังนายหญิงเฟิงไป เขาคิดว่าคราวนี้เขาพลาดแล้วจริงๆแม้ว่าจะปวดหัวเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะแต่เขาทราบดีว่าหากไม่ใช่เรื่องร้ายแรงองครักษ์ของเขาไม่มีทางโผล่เข้ามาโดยที่ไม่มีการบอกกล่าวอย่างแน่นอน เขาถอนหายใจก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มว่า“ว่ามา!!”"ทูลชินอ๋อง" องครักษ์คุกเข่าลง กระซิบด้วยน้ำเสียงเร่งด่วน"หวังชางถูกพบว่าเสียชีวิตในคุกที่ศาลาว่าการแล้วพ่ะย่ะค่ะ"ชินอ๋องชะงักไปทันที "อะไรนะ? เกิดขึ้นได้อย่างไร?" หวังชางที่เป็นพยานสำคัญในคดีนี้เสียชีวิตได้อย่างไร"ถูกแขวนคอตายในห้องขัง แต่..." องครักษ์มองซ้ายขวา ก่อนจะกระซิบเบาลงอีก "แพทย์ชันสูตรศพตรวจพบรอยช้ำแปลกๆ ที่ต้นคอ เหมือนถูกบีบด้วยนิ้วมือ ก่อนที่จะถูกแขวนคออีกที""ตรวจสอบผู้ต้องขังที่ถูกจับมาพร้อมกันหรือยัง?""พะยะค่ะ" องครักษ์พยักหน้า "มีชายคนหนึ่งที่น่าสงสัย เขาเพิ่งเข้าร่วมกลุ่มขนเกลือได้ไม่นาน ไม่มีใครรู้ประวัติที่แท้จริง และที่สำคัญ..." องครักษ์หยุดชั่วครู่ "เขาหายตัวไปจากห้องขังแล้ว โดยที่ไม่มีร่องรอยกา
บทที่ 95 โชคดีที่เขาตาบอด!!! ด้วยความรีบร้อนชินอ๋องรีบพานางเข้าไปในห้องนอนทันที เมื่อประตูปิดลงเขาหันกลับมาและมือหนาลูบไล้ไปทั่วร่างกายตามสัญชาตญาณซึ่งไม่เคยผิดพลาดเขาลูบไล้มาจึงถึงใบหน้าเรียวเล็กเท่าฝ่ามือของนางก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลงและกดริมฝีปากหนาลงไปบนกลีบปากเรียวเล็กแสนหวานของนางทันที ส่วนมือก็รีบดึงทึ้งเสื้อผ้าของทั้งคู่ออกอย่างรวดเร็วตัวนางนั้นไม่เหลือเสื้อผ้าสักชิ้นส่วนเขาเหลือเพียงกางเกงตัวเดียว จนเฟิงซิ่วเหยาเลิกคิ้วมองใบหน้าหล่อเหลาที่มีผ้าปิดตาอยู่พลางคิดว่า..ชำนาญเหลือเกินนะเพคะชินอ๋องเรื่องถอดเสื้อผ้าเนี้ย!!!ไม่ถึงอึดใจเสื้อผ้าของทั้งคู่ก็หลุดกระจายไปทั่วตามแรงปรารถนาที่ร้อนแรง เขาจูบนางไม่หยุดและค่อยพอไปที่เก้าอี้ยาวนุ่มที่นางเคยบอกว่าเขา มันเรียกว่าโซฟา จากนั้นเขาให้นางนั่งลงทันทีส่วนตัวเขายังยืนอยู่ เฟิงซิ่วเหยาที่แข็งขาสั่นจนไม่มีแรงที่จะยืนแล้วเพราะการจู่โจมที่รวดเร็วของชินอ๋องช่างผิดกลับบุคคิกเคร่งขรึมหล่อเหลาราวหยกสลักของเขาเหลือเกิน…เมื่อนั่งลงทำให้เฟิงซิ่วเหยาได้ทัศนาภาพที่แสนจะ…ดีย์..ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนาง มันใกล้จนนางสามารถมองเห็นเส้นขนที่ขึ้นของเขาทุกเส้นสา
บทที่ 96 ต่อจากนี้เจ้าคือส่วนหนึ่งของราชวงค์คู่รักที่ตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวกันใหม่อีกครั้งนั้นไม่ยอมออกจากห้องเลยทำให้ตอนนี้ทุกคนในคฤหาสน์นั้นทราบแล้วว่านายหญิงเฟิงนั้นได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานกับคุณชายจิ้นหลงแล้ว พวกเขาต่างก็ดีใจเพราะในที่สุดตระกูลเฟิงก็จะมีนายท่านที่คอยปกป้องนายหญิงและคุณหนูคุณชายน้อยแล้ว ชินอ๋องนั้นแม้ว่าจะไม่อยากจะแยกจากนางอันเป็นที่รักเลย แต่ทว่าตอนนี้เหตุการณ์สำคัญนั้นรออยู่ พวกเขาทั้งคู่จึงได้จำเป็นต้องรีบเร่งที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงให้ทันก่อนที่ข่าวเรื่องการจับกุมขบวนการค้าเกลือนั้นจะส่งถึงเมืองหลวงซึ่งอย่างน้อยพวกเขาน่าจะใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดก็ หนึ่งเดือนเพราะระยะทางที่ไกล แต่ทว่าการเดินทางเข้าเมืองหลวงของคนตระกูลเฟิงนั้นไม่เคยเป็นปัญหาแสงตะวันยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างกระดาษ ทอประกายอ่อนๆ ลงบนใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังนอนซุกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม สองวันสองคืนที่ผ่านมา ห้องนี้เป็นพยานถึงความรักอันลึกซึ้งของทั้งคู่ ไม่มีใครกล้ารบกวน นอกจากการวางถาดอาหารไว้หน้าประตู"นายหญิงคงมีความสุขมากเลยข้าดีใจจริงๆ" อาหงกระซิบกับสาวใช้คนอื่นขณะเดินผ่านระเบียง "ข
บทที่ 97 เดินทางกลับเมืองหลวงทันที!!เฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยเดินทางมายังเรือนของคุณชายอี้หลงอีกครั้ง แม้จะผ่านมาเป็นหลายวันแล้วตั้งแต่การรักษาครั้งก่อน แต่ผลยังคงเหมือนเดิม ร่างของอี้หลงยังคงนิ่งสงบอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ดวงตาปิดสนิทอย่างสงบ ราวกับกำลังหลับลึกในความฝันที่ไม่มีวันตื่น ลมหายใจของเขาคงที่และแผ่วเบา เส้นผมยาวสลวยกระจัดกระจายอยู่บนหมอน ผ้าห่มที่คลุมร่างบาง ๆ ขึ้นสูงถึงหน้าอกเผยให้เห็นไหล่ที่เคยแข็งแรงแต่ตอนนี้ดูผ่ายผอม ราวกับว่าเขาแบกรับภาระบางอย่างในจิตวิญญาณจนทำให้ร่างกายของเขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงเฟิงหย่าเสวี่ยจับมือเขาอย่างแผ่วเบา ดวงตานางเต็มไปด้วยความกังวล “ข้าหวังว่าเจ้าจะฟื้นในเร็ววันนี้ คุณชายอี้หลง” นางพึมพำเบา ๆเฟิงหยวนเจี๋ยเดินสำรวจภาพวาดในเรือนอีกครั้ง ภาพที่เขียนขึ้นด้วยฝีมืออันละเอียดอ่อนเหล่านั้นดูเหมือนจะสื่อความหมายบางอย่างที่นางยังไม่เข้าใจ“ท่านพี่ พู่กันชิงหลงยังเงียบเหมือนเดิมหรือไม่?” เฟิงหยวนเจี๋ยถามขณะมองไปยังภาพวาดเฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้า ดวงตาของนางมองพู่กันชิงหลงที่นางถืออยู่ในมือ มันไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ราวกับว่ามันสูญเสียพลังไปโด
บทที่ 98 หญิงสาวในภาพวาด!!ค่ำคืนที่หนาวเย็น บนท้องฟ้าสีดำสนิทเหนือค่ายกองทัพต้าโจว มีเพียงเสียงลมพัดผ่านและความเงียบสงบที่ทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายหลังจากความเหนื่อยล้าของวัน แต่ในความสงบนี้ ขบวนของแม่ทัพซู่หลิงกำลังเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างลับ ๆขบวนรถม้าทั้งสามคันยาวเหยียดถูกลากโดยม้าทั้งสามตัวอวิ่นหลิวนั้นลากรถม้าสำหรับแม่ทัพซู่หลิง ป้าจวง เฟิงหย่าเสวี่ย และเฟิงหยวนเจี๋ย ซึ่งจะดูแลผู้บาดเจ็บทั้งสองคือคุณชายอี้หลงและชายชราที่ทั้งคู่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ ส่วนม้านิลมังกรและไป่หลิวนั้นลากรถม้าที่มีเหล่า นายทหาร 1,000 นายที่ได้รับคัดเลือกนั้นล้วนเป็นผู้มีฝีมือฉกาจ“อย่าให้เสียงล้อรถหรือเกราะของพวกเราไปรบกวนใคร… พวกเขาต้องไม่รู้ว่าเรากำลังเดินทางออกจากค่าย” ซู่หลิงย้ำขบวนรถม้าและทหารเดินทางออกจากค่ายในความมืด ทุกคนเคลื่อนไหวเงียบเชียบจนไม่มีใครในค่ายสังเกตเห็นว่าพวกเขาหายไประหว่างที่ขบวนม้ากำลังเคลื่อนที่ขึ้นสู่ฟากฟ้า นายทหารที่อยู่ในรถม้าและเดินเท้าต่างมองม้านิลมังกรที่กางปีกออกด้วยความตื่นตะลึง“นี่คือม้านิลมังกรของฮูหยินท่านแม่ทัพ ข้าไม่เคยเห็นสิ่งใดงดงามและยิ่งใหญ่เท่านี้ม
บทที่ 99 หญิงหม้ายเช่นเจ้าคู่ควรที่จะมาเป็นแม่เลี้ยงของข้ารึ?!! เย็นนั้นหลังจากที่แม่ทัพซู่หลิงกลับจากเข้าเฝ้าเขาก็ได้บอกเล่าเรื่องราวของชินอ๋องกับแม่นางเฟิงให้กับฮูหยินของเขาฟัง ป้าจวงนั้นเมื่อได้รับรู้ว่าทั้งสองตัดสินใจที่จะลงเอ่ยกันนางก็พยักหน้าอย่างพอใจ ...ได้น้องเขยเป็นชินอ๋องจริงๆ ด้วย....และเย็นวันนั้นทั้งสองพี่น้องได้รับคำบอกเล่าจากป้าจวงว่าท่านแม่ของพวกเขานั้นได้เข้ามาเมืองหลวงด้วยเช่นกันและนางก็พักอยู่ที่วังของชินอ๋อง ซึ่งทั้งสองก็งงเหมือนกันว่าท่านแม่ไปรู้จักกับชินอ๋องได้อย่างไร ซึ่งป้าจวงบอกว่าให้รอถามท่านแม่ของพวกเขาเองวันต่อมาเฟิงซิ่วเหยานั่งคอยมองที่ประตูเรือนรับรองของชินอ๋องที่นางพักอยู่เพื่อรอลูกๆ ของนาง วังของชินอ๋องแห่งนี้ชื่อว่า “วังหย่งเฮ่า” ตั้งตระหง่านกลางสวนกว้างใหญ่ที่ประดับด้วยต้นเหมยและบ่อน้ำพุที่ไหลรินอย่างสง่างาม ตัววังถูกสร้างขึ้นจากไม้แกะสลักลายมังกรสีทองประดับด้วยหินหยกขาว ส่วนหลังคากระเบื้องเคลือบเงาสีเขียวอ่อนสะท้อนแสงแดดราวกับอัญมณีล้ำค่า ภายในวังทุกพื้นที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าม่านไหมแพรสีทองอร่ามและแจกันดอกไม้สดที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วในยามเย็นแสงอาทิตย์
บทที่ 100 พระราชทานสมรสแม้ว่าองค์หญิงเฟยเหยาจะไม่พอใจมากเพียงไร แต่การสมรสระหว่างชินอ๋องและนายหญิงแห่งตระกูลเฟิงก็ยังต้องเกิดขึ้น ส่วนเฟิงซิ่วเหยานั้นก็ไม่ได้บอกลูกๆ ของนางเรื่องที่องค์หญิงเฟยเหยานั้นไม่พอพระทัยในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะว่านางไม่อยากจะให้ลูกๆ ของนางไม่สามารถใจ เพราะถึงอย่างไรนี้ก็เป็นเรื่องที่นางจะต้องจัดการเองท่ามกลางความดีใจของเหล่าขุนนางที่ท่านแม่ทัพซู่หลิงกลับมาพร้อมชัยชนะอันยิ่งใหญ่และยังมีการกล่าวถึงคุณความดีของตระกูลเฟิงมากมายที่ได้ช่วยเหลือกองทัพเอาไว้ท้องพระโรงแห่งราชวังหลวงเต็มไปด้วยบรรยากาศคึกคักในเช้าวันนี้ ขุนนางและข้าราชบริพารจากทั่วราชสำนักต่างรวมตัวกันภายใต้เพดานสูงที่ประดับด้วยโคมไฟแก้วระย้าที่ส่องประกายระยิบระยับ“ท่านแม่ทัพซู่หลิงนำชัยชนะกลับมาอีกครั้ง เก่งกาจสมเป็นเสาหลักของแผ่นดิน” ขุนนางวัยกลางคนกล่าวขึ้นพร้อมพยักหน้าชื่นชม“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าในการศึกครั้งนี้ เขายังได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากตระกูลเฟิงด้วย…” อีกคนเอ่ยขึ้น พลางเหลือบมองไปทางเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยที่ยืนอยู่ด้านข้างในชุดพิธีการ“ว่าแต่ สมุนไพรที่ช่วยรักษาทหารบาดเจ็
บทที่ 136 ปรับความเข้าใจในเวลาเดียวกันที่วังหย่งเฮ่า องค์หญิงเฟยเหยาเองก็ต้องเผชิญกับความจริงที่น่าผิดหวังเกี่ยวกับตระกูลของราชครูหลิ่ว ซึ่งเป็นตระกูลฝั่งมารดาของนาง ซึ่งนางเคยเคารพและเชื่อฟังเป็นอย่างมากมาตลอดหลายปี เมื่อนางได้รู้ว่าตระกูลของราชครูหลิ่วได้คิดกบฏและขายชาติ ความรู้สึกผิดหวังและเสียใจถาโถมเข้ามาในจิตใจของนาง แม้ในเวลาที่ตระกูลหลิ่วกำลังจะถูกเนรเทศ ท่านยายของนางยังให้บ่าวคนสนิทมาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือ“องค์หญิงเพคะ ท่านยายฝากให้หม่อมฉันนำจดหมายนี้มาให้องค์หญิง…” บ่าวคนสนิทคุกเข่าต่อหน้าองค์หญิงพร้อมยื่นจดหมาย นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดอ่าน เมื่ออ่านข้อความจบลง นางถอนหายใจยาว“บอกท่านยายเถิด ข้าไม่อาจช่วยอะไรได้ คดีของพวกเขาหนักหนานัก แม้แต่ข้าก็ไม่อาจฝืนกฎหมายของบ้านเมือง…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ก่อนจะเรียกนางกำนัลคนสนิทเข้ามา“เจ้าจงนำตั๋วเงินสามพันตำลึงไปมอบให้ท่านยาย บอกนางว่าเก็บไว้ให้ดี อย่าได้แสดงออกมาให้ใครเห็นในระหว่างเดินทาง เข้าใจหรือไม่?” องค์หญิงเฟยเหยาสั่งอย่างเด็ดขาด แม้จะรู้สึกสะเทือนใจ แต่สิ่งเดียวที่นางทำได้คือช่วยให้พวกเขามีทุนในการดำรงชีวิตร
บทที่ 135 ปลอบใจข้าหน่อยข้าขวัญหายเพราะพี่สาวของเจ้า..ในค่ำคืนที่บรรยากาศเงียบสงบ รอบนอกจวนแม่ทัพซู่หลิงมีเพียงเสียงแมลงกลางคืนและสายลมบาง ๆ พัดโชย แสงจันทร์ขับให้น้ำค้างบนใบไม้ทอประกายวิบวับ ดูเหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนักแม่ทัพซู่หลิง ที่สวมเสื้อคลุมหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จกลับนั่งอย่างกระสับกระส่ายอยู่ตรงห้องนอน สีหน้าเขาฉายแววเหมือนคนเพิ่งผ่านศึกสำคัญมา แต่ไม่ใช่ศึกกลางสนามรบ หากเป็น “ศึก” ที่มี พี่สาวภรรยา เป็นตัวการ"อวี้เออร์… ค่ำมืดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่มาปลอบข้าอีก” มีเขาผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเรียกจวงหลิวอวี้ว่าอวี้เออร์เขาพึมพำแผ่วเบาด้วยความเฝ้ารอ พลางยกชาอุ่นขึ้นจิบครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ารสชาติของชาในปากกลับจืดชืด ไม่อาจบรรเทาจิตใจให้สงบลงได้ หลังจากที่โดน จวงหลิวเฟิง พี่สาวของภรรยาระเบิดรูปปั้นสิงโตใส่ไปสองตัว ด้วยโทสะเมื่อช่วงกลางวัน ความหวาดกลัวปนความอายก็เล่นงานแม่ทัพหนุ่มไม่เลิก และเขาก็คิดว่านี่คือความผิดของภรรยาของเขานางจะต้องมาปลอบใจปลอบขวัญเขาเพราะว่าพี่สาวของนางทำให้เขาขวัญกระเจิงหมด..ใช่แล้วความผิดของหญิงชราของเขา นางต้องรับผิดชอบบบ!!! ความคิดของแม่ทัพซู่หล
บทที่ 134 ประหาร / เนรเทศในขณะที่ ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง กำลังทรงงานหนักในการแจกข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ประชาชนในแคว้นต้าหมิง เพื่อบรรเทาความอดอยากที่โหมกระหน่ำทั่วแผ่นดินนั้น—อีกฟากหนึ่งของยุทธภพ ณ เมืองหลวงของ แคว้นต้าโจว กลับเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกี่ยวข้องกับคนที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงรู้จักดีเฟิงหย่าเสวี่ย และ เฟิงหยวนเจี๋ย เดินทางกลับมาถึง เมืองหลวงแคว้นต้าโจว หลังผ่านการผจญภัยทั้งร้อนและหนาว พวกเขาคิดว่าจะได้พักผ่อนสักระยะ ทว่าเมื่อก้าวเข้าประตูเมืองได้เพียงไม่นาน สองพี่น้องกลับพบเห็นภาพขบวนเชลยที่กำลังถูกคุมตัวไปยัง ลานประหาร โดยมีฝูงชนเบียดเสียดมุงดูอยู่รายรอบ ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและสาปแช่งเสียงแหลม สายตาของสองพี่น้องกวาดไปยังเหล่านักโทษในชุดผ้าขาดรุ่ยสกปรก มีทั้งขุนนางเก่าและบ่าวไพร่ที่ทรยศแผ่นดิน ทั้งหมดถูกตีตรวนตรึงมือไพล่หลังไว้แน่นเสียงโซ่ตรวนดังกรุ๋งกริ๋งบนถนนหลวง เมื่อขบวนนักโทษทรยศถูกนำตัวมุ่งหน้าสู่ลานประหาร แดดยามสายแผดเผาไร้ความปรานี เหงื่อไหลอาบใบหน้าของเหล่านักโทษแผ่นดินที่เดินตามกันไปสู่ลานประหารทว่ามีร่างหนึ่งที่ทั้งเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเ
บทที่ 133 ใต้ร่มพระบารมีของฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตาตรงลานกว้างตอนนี้ถูกจัดให้เป็นที่ตั้งโต๊ะสำหรับวางอาหารถึงห้าร้อยโต๊ะเรียงรายจนสุดลูกหูลูกตา เสียงแม่ครัวและนายทหารขะมักเขม้นตระเตรียมหม้อโจ๊กขนาดใหญ่ กลิ่นของข้าวตุ๋นที่เดือดปุด ๆ ส่งไอร้อนฉุยขึ้นสู่ยอดผ้าใบกันแดด จนใครที่เดินผ่านก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ขณะเดียวกัน กลิ่นร้อนกรุ่นของซาลาเปาหอม ๆ ก็ลอยอบอวลกระตุ้นความหิวโหยในหัวใจผู้คนหลายพันชีวิตที่รอต่อคิวอยู่ ทั้งเด็กตัวน้อยที่มีตาโหลลึก และคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งพิงไม้เท้า ต่างพากันขยี้ตาเพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป ซาลาเปาเป็นพันเป็นหมื่นลูกจะมีจริง ๆ หรือ!เหนือศีรษะ หลักไม้ถูกตั้งเรียงเป็นแนวค้ำผ้าใบขนาดใหญ่เพื่อกันแดด แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทาความร้อนแผดเผาลงมาเล็กน้อย บางคนมีเหงื่อไหลอาบจนเสื้อผ้าติดเนื้อ บ้างหน้ามืดแสบตาเพราะไม่ได้กินข้าวมาหลายมื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดทนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อหวังจะได้รับเสบียงอาหารอันล้ำค่านี้องค์ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ประทับยืนอยู่ด้านหน้าสุด ตรงโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ทีมงานใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการแจกจ่ายเสบียง พระองค์ฉลองพระองค์อย่างเรียบง่ายในโทนสีอ่อน แฝงไว้ด
บทที่ 132 พระราชามาแจกอาหารยามอรุณรุ่ง แสงสีทองบางเบาแตะแต้มผืนฟ้าเหนือค่ายพักแรม เหล่าทหารและขุนนางของแคว้นต้าหมิงเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ สายลมอ่อนโยนพัดผ่านพุ่มไม้และผืนหญ้า ส่งกลิ่นดินชื้นหลังการต่อสู้มาเหนื่อยหนักหลายคืน เมื่อยามราตรีถูกแทนที่ด้วยแสงของอรุณ วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น โดยมีร่องรอยของอดีตเป็นเครื่องเตือนว่าการฟื้นฟูแคว้นนี้ยังอีกยาวไกลท่ามกลางลานกว้างในค่ายพักแรม ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่เบื้องหน้า สายพระเนตรจับจ้องไปยังสองพี่น้องตระกูลเฟิงที่ยืนสงบนิ่งเบื้องพระพักตร์ พวกเขาเป็นแขกผู้มาเยือนจากแคว้นต้าโจว แต่กลับต้องต่อสู้ร่วมกันเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์ จากอำนาจอันโหดร้ายของอดีตฮองเฮาเหวินลี่หรงและเหล่าบริวารที่กดขี่ราษฎรมานานแสนนาน หลังจากที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงได้ช่วยเหลือฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงจัดการกับเหวินเทียนหลงและจัดการระเบิดถ้ำแห่งนั้นแล้วทั้งสองก็จะกลับมาแคว้นต้าโจวก่อนจากกันเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยยืนอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ท่ามกลางสายลมยามเช้าที่พัดโชยเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเสวี่ยสวมเสื้อผ้าเดินทางอย่างเรียบง่าย ทว่าท่วงท่าของทั้งคู่เต็ม
บทที่ 131 ผู้ถือครองพู่กันมังกรดำคนใหม่ / ป้ายทองเว้นโทษตายพู่กันมังกรดำส่องประกายวูบวาบ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าตรงไปที่แคว้นต้าโจวมันพุ่งอย่างเร็วและแรงเลยผ่านหลายเมืองของแคว้นต้าโจวไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางเหนือเลยผ่านเมืองหลวง และมุ่งหน้าลงใต้และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงที่่เมืองอวี้ไห่จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ตอนนี้มีผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลินเหมยและเฟิงซินซินลูกสาวตัวน้อยของนางนั้นเองในห้องที่อบอุ่นของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เฟิงซินซินน้อยเพิ่งดื่มนมมารดาเสร็จ ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงด้วยความง่วง ริมฝีปากน้อยๆ ยังเปื้อนรอยนม หลินเหมยได้อุ้มลูกน้อยไปนอนในเปลและเมื่อเห็นว่าลูกน้อยหลับนางจึงได้ออกจากห้องไปแต่แล้วลมเย็นก็พัดผ่านเข้ามาในห้อง พู่กันมังกรดำลอยเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันวนเวียนอยู่เหนือเปลเด็ก ปลายพู่กันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กๆ ของเฟิงซินซินเด็กน้อยขยับตัว มือป้อมๆ ยกขึ้นปัดราวกับกำลังขับไล่แมลงหรือสิ่งก่อกวนที่ไม่พึงปรารถนาแต่แค่มือเล็กนุ่มนิ่มของนางปัดเบาๆ ของเด็กน้อยคราวนี้กลับสัมผัสเข้ากับด้ามพู่กันที่เย็นเยียบเป็นพู่กันมังกรดำโบราณท
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 129 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยลด
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น